Wednesday, April 28, 2010

‘ปลื้ม’ วิจารณ์แผนผัง ‘ศอฉ.’

ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล วิจารณ์แผนผังของ ศอฉ. ผ่านรายการ “The Daily Dose” ว่าเป็น “Mind Map บ้าๆ”

เต็มไปด้วยทฤษฎีสมคบคิด

รายการ “The Daily Dose” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม Voice TV เมื่อ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา (บันทึกโดยคุณ RedHeart2553/youtube.com)
คืนวานนี้ (27 เม.ย.) ในรายการ “The Daily Dose” ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมวอยซ์ทีวี ดำเนินรายการโดย ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล โดยช่วงหนึ่งของรายการ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ วิจารณ์แผนผังเครือข่ายล้มสถาบันฯ ที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก และโฆษก ศอฉ. นำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 26 เม.ย.
โดย ม.ล.ณัฏฐกรณ์กล่าวว่าพยายามนั่งดูและทำความเข้าใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนนี้ไปถึงคนนู้น และดูจนงง เป็นทฤษฎีสมคบคิด และว่านี่คือ Mind Map บ้าๆ ของ ศอฉ.
ในตอนท้ายรายการ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ถามว่า คนไหนแย่กว่ากัน ระหว่างคนที่ต้องการปฏิรูปบทบาทของสถาบัน กับคนที่อ้างเจ้าในการสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง ตนคิดว่าคนที่โหนเจ้าแย่กว่า

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล: “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: กำลังแต่งภาพละครแขวนคอ”


28 เมษายน 2553

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

ที่มา – ประขาไท
นักคิดที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวว่า ประวัติศาสตร์จะเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกในลักษณะโศกนาฏกรรม (tragedy) ครั้งที่สอง ในลักษณะ ตลกชวนสมเพช (farce)


เมื่อ 34 ปีก่อน ขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล โดยมี มรว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี และมี ชวน หลีกภัย ฮีโร่ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นกำลังสำคัญคนหนึ่งของรัฐบาล กลุ่มปฏิกิริยาขวาจัดได้ร่วมมือกันสร้างสถานการณ์ปลุกระดม ด้วยการนำภาพถ่ายการแสดงละครของนักศึกษาธรรมศาสตร์ เพื่อประท้วงเหตุการณ์ที่มีช่่างไฟฟ้านครปฐม 2 คน ที่กำลังร่วมกับขบวนการนักศึกษาขณะนั้นรณรงค์ต่อต้านการกลับมาของทรราชถนอม เพื่อฟื้นเผด็จการ ถูกแขวนคอตายอย่างสยดสยอง มาโฆษณาว่า นักศึกษากำลังกระทำการดูหมิ่นองค์รัชทายาท


อาศัยข้ออ้างนี้ อันธพาลการเมืองและกำลังตำราจ ตชด. ได้บุกโจมตีเข้าไปธรรมศาสตร์ ในเช้าตรู่ของวันที่ 6 ตุลาคม


สิ่งที่ตามมาคือ การฆ่าหมู่กลางเมืองที่ป่าเถื่อนที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย


หลังเหตุการณ์นั้น ชวน หลีกภัย เอง กับเพื่อน “ปีกซ้าย” ประชาธิปัตย์ อย่างสุรินทร์ มาศดิษถ์ บิดาของคุณหญิงสุพัตรา ต้องหลีกหนีภัยการเมืองขวาจัดกลับไปบ้านเกิดทางใต้ คุณสุรินทร์ต้องหนีไปบวช ขณะที่ ชวน หันไปจับปากกา เขียนสารคดีชุด “เย็นลมป่า” เพื่อเตือนให้ผู้มีอำนาจเห็นว่า ผลจากการปราบปรามครั้งนั้น ได้ผลักดันให้คนดีๆจำนวนมาก ไม่มีทางเลือกทางอื่น นอกจากเข้าป่าจับปืนขึ้นสู้


34 ปีผ่านไป โดยการคอยยุเชียร์ของชวน หลีกภัย ที่ตอนนี้ สวมวิญญาณเหยี่ยวการเมืองกระหายเลือดเสียเอง รัฐบาลประชาธิปัตย์ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังดำเนินการสร้างภาพ “ละครแขวนคอ” ชุดใหม่ เพื่อเตรียมใช้กำลังติดอาวุธเข้าปราบผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์


“ภาพละครแขวนคอ” ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครั้งนี้ แม้หน้าตาภายนอกจะต่างออกไปจาก “ภาพละครแขวนคอ” ครั้งก่อน แต่เนื้อหาไม่ต่างกัน คือ ออกมาในรูปของ “แผนภูมิ” ของสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เรียกว่า “เครือข่ายล้มเจ้า” ที่เผยแพร่โดย ศอฉ. เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา


ที่ไม่ต่างกันเลยคือ การใช้ข้อหาว่า มีการล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์เกิดขึ้น โดยที่ข้อหานั้น ไม่เป็นความจริงเลย (เช่นเดียวกับที่ ไม่เคยมีการเล่นละครแขวนคอหุ่นหรือคนที่แต่งหน้าเป็นองค์รัชทายาท ในสมัยนั้น ในปัจจุบัน ก็ไม่มี “เครือข่าย” เพื่อการ “ล้มเจ้า” แต่อย่างใด)


และจุดมุ่งหมายของ “ภาพละครแขวนคอ” ครั้งนี้ ก็เหมือนกันกับครั้งก่อน คือ เพื่อปูทาง เป็นข้ออ้างสำหรับการฆ่ากลางเมือง


อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โชคดีที่โตไม่ทัน เมื่อมีเหตุการณ์ 6 ตุลา จึงไม่ต้องผ่านประสบการณ์ที่มีลักษณะ “บาดแผลร่วม” (collective trauma) ของสังคมไทย ที่เจ็บปวดและร้าวลึกอย่างไม่อาจบรรยายได้ ที่เป็นผลตามมาจากเหตุการณ์นั้น


เสียดายที่ ชวน หลีกภัย ครูการเมืองของอภิสิทธิ์เอง ได้เสียสติ เสียความจำไปเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผมหวังอย่างยิ่งว่า วินาทีนี้ ยังไม่สายเกินไป ที่ อภิสิทธิ์ จะตั้งสติ คิดถึงผลที่จะตามมา ของสิ่งที่เขากำลังตระเตรียมทำอยู่นี้


อันที่จริง ถ้าเพียงแต่ผมเป็นหนึ่งใน “เครือข่ายล้มเจ้า” จริง และถ้าเพียงแต่ผมจะต้องการอำนาจอย่างไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้นในลักษณะเดียวกับที่อภิสิทธิ์กำลังหวงอำนาจของตัวเอง, ผมควรยุเสียด้วยซ้ำว่า Bring It On “เอาเลยครับ” รีบทำขั้นตอนต่อไป หลังจากแต่งภาพ “ละครแขวนคอ” (เผยแพร่ “แผนภูมิเครือข่ายล้มเจ้า”) ไปแล้ว แบบเดียวกับที่พวกขวาจัด ทำต่อไปหลังโฆษณาภาพ “ละครแขวนคอ” ของพวกเขาเมื่อ 34 ปีก่อน


เพราะผมเชื่อแน่นอนว่า ถ้าอภิสิทธิ์ทำเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ผู้คนจะตายเป็นเบือ แต่สิ่งที่จะตามมา จะเป็นการเริ่มต้นของจุดจบ ไม่เพียงของอภิสิทธิ์เอง แต่ของ “เครือข่าย” จริงๆ ที่หนุนหลังอภิสิทธิ์ตอนนี้ด้วย

Monday, April 26, 2010

เจาะใจ ไพร่หมื่นล้าน "ธนาธร ไทยซัมมิท" ..ถ้าไม่พูดเรื่องความเท่าเทียมกันวันนี้ ก็ไม่รู้จะไปพูดวันไหน

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 10:22:09 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์สังคมการเมืองไทยได้อย่างถึงกึ๋น ตรงไปตรงมา อะไรทำให้เขาผู้นี้มีมุมมองที่แตกต่างจากนักธุรกิจทั่วไป หากคุณอยากรู้ต้องอ่านบทสัมภาษณ์ที่เผ็ดร้อนชิ้นนี้โดยพลัน ... !!

"ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หรือ "เอก" รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทไทยซัมมิท เป็นนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง เพียงไม่กี่คนในประเทศไทย ที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์สังคมการเมืองไทยได้อย่างถึงกึ๋น ตรงไปตรงมา ปัจจุบันธนาธรกำลังสนุกกับการสร้างอาญาจักรหมื่นล้าน ไทยซัมมิท อะไรทำให้นักธุรกิจหนุ่มวัย 30 ปีผู้นี้มีมุมมองที่แตกต่างจากนักธุรกิจทั่วไป หากคุณอยากรู้ต้องอ่านบทสัมภาษณ์ที่เผ็ดร้อนชิ้นนี้โดยพลัน !



@ ก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร เคยไปดูการชุมนุมของประชาชนบนท้องถนน
ผมไปนานมั้ย ผมไปจนถึงตอนประกาศก่อนมาตรา 7 พอประกาศมาตรา 7 เราก็รู้แล้วว่า นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องในแนวทางประชาธิปไตย ผมเคยให้สัมภาษณ์สื่อที่ criticize ทั้งคุณทักษิณ (ชินวัตร) criticize ทั้งคุณอาผม (สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ผมก็ออกมาเป็นคนแรก ๆ ที่ criticize เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเหมือนกัน แน่นอนที่สุด ถ้ามีผลประโยชน์ทับซ้อนก็ต้องว่ากัน แต่ผมคิดว่าการแก้ปัญหาควรอยู่ในกรอบหลักประชาธิปไตย ซึ่งการที่พันธมิตรฯเรียกร้องมาตรา 7 ผมคิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบที่ 19 กันยายน 2549
ตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่ได้เข้าร่วม ตอนที่ผมเข้าร่วมสังเกตการณ์ผู้ชุมนุม ตอนนั้นยังไม่เป็นเสื้อเหลืองด้วยซ้ำไป ตอนที่มันเป็นเสื้อเหลืองมาเป็นหลัง ๆ แต่ช่วงแรก ๆ ของคุณสนธิ (ลิ้มทองกุล) ยังไม่ได้เริ่มเสื้อเหลืองด้วยซ้ำไป แต่พอประกาศมาตรา 7 ผมก็ถอยเลย


@ แล้วตอนนั้นทำยังไงครับ ซ้ายก็ไม่ใช่ ขวาก็ไม่ใช่
อืม...ผมก็พยายามหาที่ลงทางการเมืองเหมือนกัน (นะ) ในทางจุดยืน แต่ท้ายที่สุดผมคิดว่าพอมันเริ่มชัดเจนว่าเสื้อสีเหลืองยืนเพื่ออะไร และเสื้อสีแดงยืนเพื่ออะไร ก็คิดว่าเราชัดเจนในจุดยืนทางการเมือง ผมก็พูดไม่ถูกว่ามันเริ่มเมื่อไหร่ แต่อย่างแรกเรารู้สึกในเชิงหลักการ เราไม่เอาด้วยกับเสื้อเหลืองแน่นอนอยู่แล้ว พอเสื้อแดงมาแรก ๆ ก็มีข้อกังขาเยอะในเชิงจุดยืน แต่ท้ายที่สุดผมคิดว่าคนเสื้อแดงได้พิสูจน์ตัวเองมาพอสมควร โอเค อาจจะมีเรื่องทักษิณบ้าง อะไรบ้าง แต่ว่าข้อเสนอของเขาส่วนใหญ่มันตอบโจทย์ประชาธิปไตยของไทยได้


@ รู้สึกยังไง ตอนเสื้อเหลืองก็ไม่เอาทักษิณเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แต่เสื้อแดงวันนี้ก็มีเรื่องของทักษิณอยู่
ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องทักษิณแล้ว ณ วันนี้จะ defend ทักษิณก็ต้อง defend ทักษิณ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ชอบทักษิณก็ตาม แต่ต้อง defend ทักษิณในฐานะที่เป็นตัวแทนของประชาธิปไตยแบบตัวแทนที่ถูกรัฐประหาร
ฉะนั้น ผมคิดว่าเวลาเราดูข้อเสนอของคนเสื้อแดง ณ วันนี้ คำว่าไพร่กับคำว่าอำมาตย์ ใครศึกษาโพสต์โมเดิร์น อาจต้องไปศึกษาหน่อยว่า คำว่าไพร่และอำมาตย์ วันนี้มันกลับมามีความหมายอีกครั้งอย่างทรงพลังด้วย ที่เสื้อแดงนำเสนอ
ทำไมเราถึงต้องสนับสนุนเสื้อแดง ผมคิดว่าดูที่ข้อเสนอคำว่าไพร่กับอำมาตย์ มันเป็นคีย์เวิร์ด ไม่ได้ถูกคิดมาอย่างลอย ๆ อำมาตย์ อะไรคือความหมายของคำว่าอำมาตย์ ผมคิดว่าความหมายของอำมาตย์ มันไม่ใช่ข้าราชการอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ผมคิดว่าถ้าจะนิยามให้ถูกว่าอำมาตย์ในภาวะปัจจุบันคืออะไร ผมคิดว่าคือคนที่มีอำนาจ และไม่ถูกตรวจสอบ คนที่มีอำนาจ และไม่มีกลไก check and balance และในสังคมประชาธิปไตย อำนาจมาพร้อมกับความรับผิดชอบ
ณ วันนี้คนกลุ่มหนึ่งในสังคมไทย ที่มีอำนาจและปราศจากความรับผิดชอบใด ๆ เลย มีคนที่มีอำนาจและไม่ถูกตรวจสอบ ผมเคยพูดว่า ผมคิดว่าไม่มีใครบอกว่าประชาธิปไตยแบบตัวแทน แบบรัฐสภาคือระบบที่ดีที่สุดในโลก แต่มันเป็นระบบที่เลวร้ายน้อยที่สุด เพราะต่อให้ทักษิณเลวร้ายเท่าไหน คุณตรวจสอบทักษิณได้ คนรู้ว่าในช่วง 2 ปี สุดท้ายของทักษิณ ทักษิณโดนตรวจสอบทุกเรื่อง
นี่คือเหตุผลที่เราต้องต่อสู้ ที่วันนี้เราต้องกล้าฟันธงว่าจุดยืนของเราในฐานะมนุษย์คุณเลือกอะไร คุณเลือกอำนาจที่คุณมีสิทธิ์ตรวจสอบ มีสิทธิ์ลงโทษได้ กับอำนาจที่คุณไม่สามารถทำอะไรได้เลย คุณเลือกอะไร นี่คือโจทย์ใหญ่ ซึ่งเสื้อแดงเสนอว่า สังคมจะเลือกอะไร


@ วีระ มุสิกพงศ์ เปรียบเทียบว่า นี่คือการต่อสู้ระหว่างคนที่ได้เปรียบและเสียเปรียบทางสังคม
วันนี้สิ่งที่เสื้อแดงเสนอคือ การปลดแอก ไม่เพียงแต่รากหญ้า แต่กำลังปลดแอกว่าคนทุกคนควรมีโอกาสเท่าเทียมกันในสังคม ไม่จำเป็นต้องเข้าไปหาคนชั้นใน เพื่อที่จะเติบโตในเศรษฐกิจ ฉะนั้น ในแง่นี้ผมก็เป็นไพร่คนหนึ่ง เพราะผมไม่ต้องการให้คู่แข่งของผมมาเอาชนะผมได้เพราะอำนาจรัฐ แต่เรามาแข่งกันอย่างเสรี คุณกับผมมาแข่งกัน พัฒนาเทคโนโลยี ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ใครทำได้ดีกว่าคนนั้นเอาชนะใจลูกค้าไป


@ เข้าไปดูม็อบเสื้อแดงช่วงนี้เห็นอะไรบ้าง ได้คุยกับชาวบ้านบ้างมั้ย
ก็มีบ้าง คือ ผมเห็นม็อบเขาอยากจะบีบสิวให้แตกซะทีนะ แต่ปัญหาคือ ผมคิดว่าผู้นำของม็อบตอนนี้กำลังพยายามที่จะตอบสนองความรู้สึกของชนชั้นกลางมากกว่าตอบสนองความรู้สึกมวลชนตัวเอง เหมือนมีสิวที่คาอยู่หลายปี จะหายมันต้องบีบสิว ทำให้มันแตกออกมา แต่ปัญหาคือ แกนนำยืนหยัดในสันติวิธี แกนนำมั่นคงในเส้นทางนี้ ซึ่งต้องชื่นชม
ถ้าเสาร์แรกมาแล้วลุยเลย เกมนี้เสื้อแดงแพ้ไปแล้ว ทีแรกผมยังไม่คิดว่าเสื้อแดงจะยืนหยัดได้นานขนาดนี้
ตอนนี้ปัญหาน่าจะกลับมาอยู่ที่สื่อแล้วก็คนเมือง อาจต้องช่วยขยายความด้วยว่า อย่าเอาความสุขเฉพาะหน้ามาแลกกับประชาธิปไตยระยะยาว คนชั้นกลางพูดอย่างเดียวว่ารถติด นักลงทุนไม่มา นักท่องเที่ยวไม่มา คือ เฉพาะหน้าทั้งนั้นเลย แต่ผมกำลังบอกว่าสิ่งที่เสื้อแดงต่อสู้ ณ วันนี้ มันมีค่ากว่านักท่องเที่ยวอีกล้านคนในปีนี้มากนัก
มันกำลังกำหนดเส้นทางอนาคตของประเทศ ว่าเราจะไปยังไงกันดี เราจะอยู่ในระบบที่มีผู้มีอำนาจแล้วตรวจสอบไม่ได้อีกต่อไปหรือเปล่า นี่คือคำถาม ณ วันนี้ที่สังคมไทยต้องตอบ
ฉะนั้น สังคมไทยต้องเลือก อย่าให้คำถามเฉพาะหน้าพวกนี้มาบดบังคำตอบของประชาธิปไตยไทยว่าเราจะเดินไปทางไหน ไม่เกี่ยวกับทักษิณด้วย
ต่อให้ผู้มีอำนาจเลวร้าย โกงกิน ผมยังยืนยันว่า ผมเลือกสังคมไทยที่ตรวจสอบผู้มีอำนาจได้ สิ่งหนึ่งที่เป็นสิทธิ์ของมนุษย์ในสังคมที่ซับซ้อนอย่างวันนี้ก็คือ สิทธิ์ในการเลือกผู้นำ ผมต้องเลือกผู้นำของผมได้ว่าใครจะมานำผม


@ สมมติถ้าม็อบแดงแพ้ สลายไป สังคมไทยได้อะไรบ้าง
จินตนาการหลุดไปแล้วหนึ่ง อย่างที่ผมพูด คือ 5 ปีที่แล้ว ไม่มีใครพูดเรื่องพลเอกเปรม เป็นไปได้ในสังคมไทย ผมคิดว่าต่อให้เสื้อแดงถูกปราบ แต่อุดมการณ์แบบนี้มันไปไกลกว่านั้น ต่อให้ไม่มีเสื้อแดง พรุ่งนี้ก็จะมีเสื้อสีเขียวมาต่อแดง ต้องมีใครมาต่อจากคุณวีระ ผมว่ามันมาไกลกว่าที่จะย้อนกลับไปจุดเดิม
ในสายตาผมคนเสื้อแดงไม่มีทางแพ้ ขึ้นอยู่กับว่าจะชนะยังไง แล้วเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ฉะนั้นวันนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่นองเลือด เงื่อนไขแรกคือ ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะยุบสภาก่อนตุลาคม เพราะว่าคุณประยุทธ์ (จันทร์โอชา) ได้ขึ้น ตุลานี้ยังไงก็แล้วแต่คุณประยุทธ์ จันทร์โอชาต้องขึ้นสถานเดียว ไม่มีออปชั่นอื่น รัฐบาลจะยุบสภาก่อนคุณประยุทธ์ขึ้นไม่ได้ นั่นถึงทำไม 9 เดือน หรือ 3 เดือนไม่ได้
หลังจากนั้นผมคิดว่ารัฐบาลไม่ซื้อเวลาเพื่อหาทางว่าจะเลือกตั้งชนะยังไง ทุกคนรู้ว่าเลือกตั้งแพ้ความเสียหายมันใหญ่หลวงแค่ไหนกับอำมาตย์ ฉะนั้น ยุบสภาไม่ได้ อย่างแรกคือต้องตรึงทหารไว้ก่อนคุณประยุทธ์ขึ้น
อย่างที่ 2 ต้องคิดต่อว่า ทำยังไงประชาธิปัตย์ถึงกลับมา ปัญหาคือ ถ้าเสื้อแดงกลับมาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ จัดวางระบบสังคมใหม่ เอาอำมาตย์ เอาทหารออกไป ผมคิดว่าคนกลุ่มนี้ไม่ยอม
ถ้าเสื้อแดงสู้แล้วดัน หรืออะไรก็แล้วแต่ หรือรูปแบบการต่อสู้ คือ สู้วันนี้แล้วกดดันให้มากขึ้นเรื่อย ๆ หรือหลังการเลือกตั้ง พยายามไปเปลี่ยนแปลงบริบทกฎเกณฑ์ที่ไปกระทบตรงนั้นเมื่อไหร่ ผมคิดว่าเราน่าจะได้เห็นรัฐประหารกันอีกรอบ ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่เกินไปเลย เพราะเขารู้ว่าการเดิมพันครั้งนี้มันสูงขนาดไหน
การเดิมพันครั้งนี้มันสูงมาก แพ้ไม่ได้ ถ้าต้องเอารถถังมาอีกรอบก็เอา ผมคิดอย่างนั้นเลยนะ ถ้าคุณจะกดเสื้อแดงลงอีกรอบ แต่อย่างที่บอก อาจจะชั่วคราว เสื้อแดงอาจจะแพ้สลายตัว แต่สิ่งที่เสื้อแดงทิ้งไว้มันคือเรื่องประชาธิปไตย ซึ่งท้ายที่สุดอำนาจแบบนี้อยู่ไม่ได้
รัฐบาลยังถือไพ่เหนือกว่าอยู่ดี เสื้อแดงยังหาทางชนะยาก คุณลุยกดดันมากกว่านี้ รัฐประหารออกมา คุณยุบสภาแล้วเลือกตั้งชนะ แล้วไปแตะต้องมากไป ทหารก็ออกมาอีก


@ คิดว่าสุดท้ายเสื้อแดงจะจบยังไง
ในการเจรจาที่ผ่านมา ผมคิดว่าในเชิงความมัน ในเชิงการซัดหน้ากัน เสื้อแดงซัดได้เข้าเป้ามากกว่า แต่ในเชิงผลการเจรจา เสื้อแดงเสียมวยไปนิดหนึ่ง ถามว่าหมัดตรงเข้าหน้าคุณอภิสิทธิ์มันเยอะมาก นับไม่ถูกเลย แต่ถ้าถามผลการเจรจา ความมันส์เสื้อแดงมันส์กว่าแต่แพ้คะแนน
แต่อย่างที่บอก เราต้องคิดว่า การรบครั้งนี้เป็นการรบระยะยาว เป็นจินตนาการของสังคมใหม่ ถ้าเราอธิบายให้มวลชนเข้าใจได้ว่า นี่คือจินตนาการของสังคมใหม่ที่ไม่ได้สร้างในวันเดียว ต้องมารวมตัวกันอีก 10 ครั้ง 100 ครั้ง คนก็มา ถ้ารู้ว่ามันไปสู่อะไร ผมคิดว่าอาจจะต้องปูทางตรงนั้น แต่ตอนนี้มันไกลไปกว่ามานั่งเถียงตรงนั้น วันนี้คือ จะจบยังไง จะลงยังไง ไม่ให้เสียมวลชน เอาไปลุยผิดแน่นอน ดีไม่ดีพาคนไปตาย ทางเลือกของคุณวีระมีน้อยจริง ๆ


@ สรุปแล้วเราอาจอยู่ในวังวนกับอำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้ไปอีกยาวนานหรือเปล่า
ผมยังเชื่อว่า แนวคิดแบบนี้ในสังคมมนุษย์มันเป็นสากล มันเลวน้อยที่สุด ผมยังยืนยันในหลักการ ยืนยันในความเชื่อแบบนี้ว่าท้ายที่สุด ความเชื่อ ความหวังแบบนี้ จะได้รับชัยชนะ ผมยังโรแมนติกอยู่ (หัวเราะ)

@ ทำไมคุณถึงอยากเป็นไพร่
เอ่อ...ทำไม ผม ถึงต้องมาให้สัมภาษณ์เนี่ย (หัวเราะ) ไม่เป็นผลประโยชน์ที่ดีกับธุรกิจเลย (หัวเราะ) เข้าเรื่องดีกว่า คือ ต้นทุนของผม คือความเป็นไปของธุรกิจว่า ถ้าให้สัมภาษณ์แล้วเนี่ย ครอบครัว ธุรกิจ อาจจะโดนผลกระทบ แบงก์อาจจะไม่ให้กู้ แต่ถ้าเทียบกันแล้ว ผมยกตัวอย่าง ผมมานั่งคิดว่าทำไมต้องซัพพอร์ต
อย่างนี้ดีกว่า ยามหมู่บ้านผมลางาน 5 วัน ไปม็อบเสื้อแดง คือคนที่ไปอยู่ในนั้นต้นทุนเขากับต้นทุนเราคนละแบบกัน แล้วเขาไปนั่งอยู่ในนั้น มันเป็นอะไรที่มีความหมายกับชีวิตเขา
ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้มันวัดกันไม่ได้ คือ ถ้าไม่ออกมาพูดเรื่องความเป็นธรรม ไม่ออกมาพูดเรื่องความเท่าเทียมกันในสังคมวันนี้ ก็ไม่รู้จะไปพูดวันไหนแล้ว


__________________

Saturday, April 24, 2010

ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้


สมหญิง อาชาวานิชสกุล
ที่มา – ประชาไท

ไม่ว่าจะลงเอยเช่นไร การชุมนุมของคนเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคมเป็นต้น ได้ช่วยทำให้ฉัน “ตาสว่าง” ในหลายๆ เรื่อง

1. ม็อบ นปช. เป็นม๊อบรับจ้าง?

ในรอบสองสามปีที่ผ่านมานี้ ฉันได้ยินได้ฟังมาโดยตลอดว่าชาวบ้านที่มาชุมนุมกับนปช. ต่างรับเงินมาจากหัวคะแนน คนละห้าร้อยบาทบ้าง พันบาทบ้าง คนพวกนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น อุดมกงอุดมการณ์อะไรก็ไม่มี ใครให้เงินก็มา ดีกว่าอยู่บ้านเปล่าๆ แต่การที่พวกเขามาชุมนุม นอนกลางฟุตบาท กินกลางถนน ท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนระอุของเดือนมีนาคม – เมษายน ได้นานนับเดือนคงต้องมาด้วยอะไรที่มากกว่าเงินเป็นแน่ หากพวกเขาไม่มีใจ ไม่มีความหวัง ความเชื่อในบางสิ่งบางอย่างแล้ว พวกเขาจะอดทนตากแดดตากฝนกันได้ยาวนานเพียงนี้เชียวหรือ ยิ่งพวกที่ยอมเจ็บยอมตายในคืนที่รัฐบาลสั่งให้ทหารเข้าไป “ขอคืนพื้นที่” แล้วยิ่งไม่ต้องสงสัยว่าเลยว่าพวกเขาเป็นเพียงม๊อบรับจ้าง

2. คนเสื้อแดงถูกหลอกใช้?

“ไอ้พวกนี้มันควายทั้งนั้น ถูกไอ้พวกนักการเมืองชั่วมันหลอกใช้” ฉันได้ยินคำพูดทำนองนี้เต็มสองรูหูทั้งในที่ทำงาน ร้านอาหารหรูๆ และตามหน้าหนังสือพิมพ์ บนจอโทรทัศน์ หรือบนเฟซบุ๊ค แต่พอซักไซ้ถามต่อว่าพวกเขาโง่ตรงไหน ถูกหลอกใช้อย่างไร ส่วนใหญ่มักจะตอบกันไม่ค่อยจะได้ ได้แต่เสไปพูดเรื่องนักการเมืองชั่วบ้างล่ะ คนพวกนี้ไม่มีการศึกษาใครพูดอะไรก็เชื่อทั้งนั้น น้อยคนที่จะรู้จริงว่าคนเสื้อแดงคิดและรู้สึกอย่างไร เพียงแต่เห็นว่าพวกเขาเป็นคนบ้านนอกก็ทึกทักเอาเสียแล้วว่าเขาเป็นคนโง่ ยิ่งพวกนักข่าวแล้ว ฉันไม่เคยเห็นพวกเขาไปทำข่าวถามไถ่คนพวกนี้สักคำว่าพวกเขามากันทำไม ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ฉันว่าคนที่บอกว่าคนเสื้อแดงโง่ต่างหากที่โง่บรม วันๆ ได้แต่จำขี้ปากคนอื่นมาพูด รัฐบาลบอกอะไรก็เชื่อฟังเหมือนเด็กว่านอนสอนง่าย

3. สังคมไทย เป็นสังคม “สองมาตรฐาน” ?

ฉันได้ยินคำนี้มาพักใหญ่แล้วเรื่องสองมาตรฐาน แต่ไม่อยากจะปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังอยากจะคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรที่บรรดานักปราชญ์ นักวิชาการผู้ปราดเปรื่อง นักคิด นักเขียน ปัญญาชนผู้มากด้วยวิจารณญาณ แพทย์พยาบาลผู้ได้ชื่อว่าอุทิศตัวเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ คณะกรรมการอิสระผู้ทรงเกียรติและศักดิ์ศรี สื่อมวลชน นักข่าว นักหนังสือพิมพ์ผู้ยึดมั่นในจรรยาบรรณ ตลอดจนศาลผู้สถิตย์ไว้ซึ่งความยุติธรรม จะพากันมีอคติ เลือกที่รัก มักที่ชั่ง ได้อย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับสั่งซ้ายหัน ขวาหันได้ แต่พฤติกรรมของคนทั้งหลายเหล่านี้ที่มีต่อคนเสื้อแดงในรอบหนึ่งเดือนที่ฉันเฝ้าติดตามดูอยู่นั้น เมื่อเทียบกับปฏิกิริยาของพวกเขาที่มีต่อพวกคนเสื้อเหลืองที่เคยชุมนุมบนถนน ยึดทำเนียบ และปิดสนามบิน ทำให้ฉันประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า สังคมไทยมีสองมาตรฐานจริงๆ อย่าว่าแต่บรรดาผู้ทรงเกียรติและทรงศักดิ์ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เลย แม้แต่ฟ้าก็ยังไม่เป็นใจให้กับคนเสื้อแดงเลย ไหนจะร้อนตับแตก ไหนจะฝนตกมาห่าใหญ่

4. สังคมไทยไม่มีชนชั้น?

สืบเนื่องจากเรื่องสองมาตรฐาน คือเรื่องไพร่กับอำมาตย์ นี่ก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับฉัน อย่างที่รู้ๆกันว่าระบบไพร่หมดไปแล้วจากสังคมไทย แต่ “ความเป็นไพร่” “ความเป็นอำมาตย์” หาได้หายสาบสูญตามระบบไพร่ไปด้วย แต่มันยังอยู่และปรากฏตัวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นในการชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้ ปฏิกิริยาของบรรดาท่านผู้ทรงเกียรติที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ รวมไปถึงพฤติกรรมและท่าทีของบรรดาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ที่ดูหมิ่นถิ่นแคลน เหยียดหยาม เยาะเย้ยคนเสื้อแดงทั้งโดยเปิดเผยและในหมู่คณะของพวกเขา (นับเป็นความโชคร้ายอย่างยิ่งที่ฉันก็อยู่ในหมู่คณะของคนเหล่านี้ด้วย) ทำให้ฉันไม่ประหลาดใจ เมื่อคนเสื้อแดงจะประกาศยืนยันความเป็นไพร่ของพวกเขาด้วยความภาคภูมิใจ และเป็นที่ถูกอกถูกใจคนจำนวนมากทั่วทั้งประเทศที่ถูกทำให้รู้สึกโดยตลอดมาว่าพวกเขาเป็นคนต่ำต้อยไร้ค่าในสายตาของท่านผู้ทรงศีลและมากด้วยภูมิปัญญาในกรุงเทพฯ

ที่ฉันไม่ค่อยจะเข้าใจนักก็คือ บรรดาอภิชน อภิสิทธิ์ชน และชนชั้นกลางในกรุงเทพฯเหล่านี้พูดมาตลอดว่าชาวบ้านคนต่างจังหวัด เป็นพวกโง่เง่า ขายสิทธิ์ ขายเสียง ถึงขนาดนำเอามาเป็นข้ออ้างเพื่อล้มรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งก็เคยทำมาแล้ว ขณะเดียวกันก็ถือว่าตนเองคือผู้ฉลาดมีปัญญา มีศีลธรรม รู้ผิดชอบชั่วดีมากกว่าคนต่างจังหวัด พฤติกรรมและวจีกรรมเหล่านี้ก็คือการแบ่งแยกคน แบ่งแยกชนชั้นอย่างโจ่งแจ้ง แต่ครั้นเมื่อคนต่างจังหวัดลุกขึ้นมาประกาศว่า “เออ โง่ก็โง่วะ กูเป็นไพร่ แล้วมึงจะทำไม” บรรดาดัดจริตชนคนกรุงเทพฯ พาลจะเป็นจะตายเสียให้ได้ รีบมาจีบปากจีบคอบอกว่า สังคมไทยไม่มีไพร่ ไม่มีผู้ดี ไม่มีชนชั้น เราอยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง มันจะอะไรกันนักกันหนา นี่จะเอามันซะทุกอย่างเลยหรืออย่างไร มือข้างหนึ่งก็ชี้หน้าด่าชาวบ้านว่าโง่ แต่มืออีกข้างก็โบกปัดพัลวัน บอกว่าเราเป็นพี่น้องกัน ชนชั้นไม่มีในสังคมไทย อภิชนและชนชั้นกลางบ้านเรานี้มันไร้น้ำยากันขนาดนี้เลยหรืออย่างไร กล้าทำก็ต้องกล้ารับบ้างจะเป็นไรไป

5. ใครใช้ความรุนแรงก่อนคือผู้แพ้?

เชื่อกันว่า ในการต่อสู้กับรัฐบาลด้วยการชุมนุมประท้วงนั้น ฝ่ายใดใช้ความรุนแรงก่อนจะต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย เหตุการณ์หลายครั้งในประวัติศาสตร์ดูเสมือนว่าจะพิสูจน์สัจธรรมของความเชื่อดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นกรณี 14 ตุลาคม 2516 ที่ถนอม ประพาส ณรงค์ ต้องระเห็จออกนอกประเทศเพราะปราบปรามผู้ชุมนุม กรณีพฤษภาทมิฬในปี 2535 ที่สุจินดาจำต้องลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากมีการนำทหารเข้ามาสลายการชุมนุม หรือในกรณี 7 เมษายน 2551 ที่รัฐบาลสมชายถูกประณามอย่างรุนแรงภายหลังเกิดการปะทะกับกลุ่มพธม.

“สัจธรรม” นี้จึงเป็นเสมือนเกราะกำบังที่ทำให้ผู้ชุมนุมทางการเมืองกล้าเสี่ยงฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่กล้าใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมทางการเมืองเป็นอันขาด แต่การระดมทหารติดอาวุธและยุทโธปกรณ์เต็มอัตราวุธเข้าสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย. คือบทพิสูจน์ว่าสัจธรรมที่ว่านี้ไม่มีอยู่จริง แม้จะมีพลเรือนตายนับสิบและบาดเจ็บนับร้อย แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ยังอยู่เป็นปกติดี โดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องรับผิดใดๆ แม้แต่คำกล่าว “ขอโทษ” สักคำก็ไม่มี ซ้ำร้ายฝ่ายผู้ชุมนุมกลับถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” เข้าให้อีก

ฉันไม่แปลกใจหรือผิดหวังอะไรหรอกที่นายอภิสิทธิ์จะไม่ออกมากล่าวขอโทษหรือยอมรับผิด เพราะรู้เช่นเห็นชาติบุคคลผู้ไร้ยางอายผู้นี้มาตั้งแต่ครั้งที่เขาออกมาเรียกร้องขอนายกพระราชทานแล้ว

แต่ฉันขอสารภาพว่าผิดหวังกับสื่อ องค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรเอ็นจีโอต่างๆ ตลอดจนบรรดาปัญญาชน นักวิชาการ นักสันติวิธี และผู้ต่อต้านความรุนแรงทั้งปวง ที่ต่างพากันวางเฉยไม่ออกมาตำหนิหรือกดดันให้รัฐบาลต้องรับผิดในสิ่งที่กระทำลง ซ้ำร้ายจำนวนมากของคนเหล่านี้กลับออกมาพูดให้ทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรง ราวกับว่าเหตุการณ์วันที่ 10 เป็นเรื่องของคนสองฝ่ายยกพวกตีกัน ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายเปิดฉากส่งทหารติดอาวุธหนักเข้ามาสลายการชุมนุมในยามวิกาลซึ่งผิดหลักสากลอย่างไร้ข้อกังขา ที่เลวทรามยิ่งกว่าคือจำนวนมากของคนเหล่านี้ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการกับผู้ชุมนุมให้หนักมือยิ่งขึ้น บ้างก็ออกมาป่าวร้องอย่างกระหายเลือดให้ฆ่าผู้ชุมนุมให้หมดไป ภายใต้ข้ออ้างเพื่อความอยู่รอดของชาติ และความผาสุกของคนกรุงเทพฯ และที่ชั่วช้าน่าขยะแขยงที่สุดคือการออกมาใส่ร้ายป้ายสีผู้ชุมนุมให้เป็น “ผู้ก่อการร้าย” เป็นขบวนการล้มสถาบันหลักของชาติ ไม่ผิดอะไรกับเมื่อการใส่ร้ายนักศึกษาประชาชนก่อนที่เกิดการสังหารหมู่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519

ฉันอยากจะเตือนสติพวกท่านว่า เพียงเพื่อจะอุ้มรัฐบาลนี้กันต่อไป พวกท่านยอมลงทุนทำลายกฎเหล็ก “ใครเริ่มต้นความรุนแรงก่อน เป็นผู้แพ้” อันเป็นเกราะกำบังคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ชุมนุมทางการเมืองจากการใช้ความรุนแรงของรัฐ วันข้างหน้าพวกท่านจะต้องสำนึกเสียใจ เพราะไม่มีใครอยู่ค่ำฟ้า และรัฐบาลนี้ต่อให้ลากยาวไปจนหมดวาระ ก็เชื่อแน่ได้ว่าจะไม่มีวันหวนกลับมาอีกแน่ ฉันจะไม่แปลกใจเลยเมื่อถึงวันนั้นการชำระแค้นในครั้งนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเมื่อพวกท่านระดมคนมาชุมนุมทางการเมืองต่อต้านรัฐบาล ท่านจะเอาอะไรเป็นเกราะกำบังคุ้มครองได้

บัดนี้ฉันได้รู้ซึ้งแก่ใจแล้วว่าคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งเสียกว่าทหารหรือรัฐบาลก็คือบรรดาคนรอบๆตัวฉันนี่เอง คือราษฎรอาวุโส ปราชญ์ ปัญญาชน อาจารย์ตามรั้วมหาวิทยาลัย นักสันติวิธี เอ็นจีโอ สื่อมวลชน และชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ผู้อวดอ้างตนเองมาโดยตลอดว่าเป็นผู้ยึดมั่นในความจริง ฝักใฝ่ประชาธิปไตย เชิดชูคุณธรรมและความเป็นธรรม ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ว่าหัวใจของคนเหล่านี้ทำด้วยอะไร พวกเขาไม่เพียงแต่จะวางเฉยปล่อยให้อำนาจอธรรมย่ำยี่ความจริงเท่านั้น แต่จำนวนมากได้ออกมาสนับสนุนและร่วมมือกระทำการใส่ร้ายและเข่นฆ่าประชาชนได้อย่างเลือดเย็น

ฉันไม่รู้ว่าสำนึกในเรื่องความยุติธรรมและความเป็นคนของพวกเขาได้ตกหล่นสูญหายไปตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าจริงๆแล้วพวกเขาไม่เคยมีสำนึกเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ฉันนึกไม่ออกว่าจะมีสังคมใดและชาติใดที่คนเราจะโหดเหี้ยมอำมหิตต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างเลือดเย็นดังที่ฉันได้ประสบในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้

อ้อแล้วก็เลิกพูดเสียทีเถอะว่าทั้งหมดนี้พวกท่านทำไปเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพราะหากชาติที่พวกท่านชอบอ้างกันนักมีหน้าตาดังเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ฉันต้องขอบอกว่า “ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้”

Thursday, April 22, 2010

อย่าปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย 6 ตุลา 2519


การก่ออาชญากรรมรัฐไทยต่อนักศึกษาประชาชนผู้ต่อสู้ด้วยสองมืออันว่างเปล่าเพื่อทวงถามถึงความยุติธรรม เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ได้สร้างบาดแผลให้กับสังคมไทยอย่างยากที่จะเยียวยา มาแล้วครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

การสังหารหมู่อย่างเหี้ยมโหดอำมาหิตของชนชั้นปกครองไทยที่กระทำต่อนักศึกษาประชาชนที่ต่อสู้ด้วยแนวทางสันติวิธี อสิงหา ปราศจากอาวุธ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เป็นร้อยร้าวที่อยากจะประสานในสังคมไทย มาแล้วครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

ก่อนการเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนในครั้งนั้น รัฐอนุรักษ์นิยมไทย ได้โหมกระแสสื่อต่างๆโดยเฉพาะวิทยุยานเกราะกล่าวหา นักศึกษาประชาชนเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นผู้ก่อการร้าย เป็นผู้ทำลายความมั่นคงแห่งชาติ

เป็นผู้ไม่รักชาติ เป็นคนเวียตนาม ไม่ใช่คนไทย เป็นพวกหัวรุนแรง

รัฐไทยสมัยนั้น ยังได้จัดตั้งกลุ่มพลังประชาชนต่างๆ เช่น ลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง นวพล ฯลฯ เพื่อเป็นพลังสนับสนุน หรือรัฐไทยได้สร้างกระบวนการไม่เป็นไทย เป็นอื่นให้กับนักศึกษาประชาชน ผู้เพรียกหาความยุติธรรม เสรีภาพและความเสมอภาคในสังคมไทย

เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ควรเป็นบทเรียนให้กับสังคมไทยมิใช่หรือ?
………………………..

การต่อสู้ของคนเสื้อแดง ด้วยสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ เพื่อเรียกร้องให้ยุบสภา คืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน ตามหลักการประชาธิปไตยรัฐสภาในระบอบเสรีนิยม แต่กลับถูกรัฐอภิสิทธิ์อำมาตย์ มีคำสั่งใช้พรก.ฉุกเฉินร้ายแรงและนำสู่การปราบปรามประชาชนเสียชีวิต 25 ชีวิตและบาทเจ็บนับร้อยคน

ณ ห้วงขณะนี้ รัฐอภิสิทธิ์อำมาตย์ได้โหมป่าวประกาศผ่านสื่ออย่างต่อเนื่องซ้ำๆโดยเฉพาะ ทีวี NBT ว่า มีผู้ก่อการร้ายอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงจะดำเนินการขั้นเฉียดขาด

นอกจากนี้แล้ว ยังได้มีพลังมวลชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือพลังปฏิกิริยาขวาจัดอนุรักษ์นิยมสมัยปัจจุบัน ที่แปลงตัวจากเสื้อเหลืองเป็นหลากสี และอ้างการผูกขาดความรักชาติรักสถาบันเพียงฝ่ายเดียว ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนรัฐอภิสิทธิ์อำมาตย์ ให้จัดการคนเสื้อแดง

ฤา ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย 6 ตุลาคม 2519 ?

คงไม่มีผู้รักชาติรักประชาธิปไตยคนใดที่อยากจะให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

คงมิอาจให้ความเชื่อมั่นรัฐอภิสิทธิ์อำมาตย์ได้ ว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงต่อประชาชน เพราะการขับเคลื่อนของรัฐที่กระทำกันอยู่นั้น กำลังนำไปสู่เส้นทางที่ไม่พึงปรารถนาอยู่ทุกขณะ

เราจะทำอย่างไรกันดี เพื่อให้สังคมไทยมีทั้งประชาธิปไตยเหมือนดั่งอารยะทั่วโลก และไม่มีการล้อมปราบประชาชน ผู้มีสองมืออันว่างเปล่าต่อสู้เพื่ออนาคตของสังคมไทย ท่ามกลางการปิดล้อมด้วยสื่อของรัฐ



1 ควรระดมสื่อนอกรัฐทุกรูปแบบขยายสู่ประชาชนทุกกลุ่มให้มากที่สุด เสนอเนื้อหาว่าปกป้องไมให้รัฐปราบปรามประชาชน ไม่มีความชอบธรรมของเหตุผลของรัฐใดๆทั้งสิ้น
2 คนไทยผู้รักประชาธิปไตยในต่างประเทศ ปักหลักชุมนุมหน้าสถานทูตต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะปกติ
3 ใครมีเพื่อนญาติมิตรเป็นทหารตำรวจชวนกันบอกทหารตำรวจไม่ต้องฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา
4 ก่อกระแสไม่จ่ายภาษี ถอนเงินจากธนาคารฝ่ายอำมาตย์ ไม่ซื้อของพวกทุนอำมาตย์
5 คนชั้นกลางในเมืองประท้วงด้วยการเปิดไฟรถยนต์ตอนกลางวัน
6 พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานบริษัทหยุดการทำงานชั่วคราวจนกว่าเหตุการณ์ปกติ
และอื่นๆ ที่ต้องช่วยกันขบคิด


อย่าปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย 6 ตุลา 19
เพราะคนเสื้อแดง คือคนไทยผู้รักผืนแผ่นดิน เช่นเรา
เพราะคนเสื้อแดง คือผู้รักประชาธิปไตย เช่นเรา
เพราะคนเสื้อแดงคือผู้รักชาติ เช่นเรา

Saturday, April 17, 2010

"แก๊งสี่คน"ล่มสลาย มาจนถึงการปราบปรามที่เทียนอันเหมิน


ระบอบประชาธิปในเมืองไทยและระบอบคอมมิวนิสต์ในแผ่นดินจีนใหญ่ ทั้งสองระบอบนี้เคลื่อนตัวออกมาใกล้เคียงกัน ไม่ว่าประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองและผู้นำหรือผู้มีอำนาจได้เข้ามาปกครองประเทศ ก็ย่อมมีภาระ มีหน้าที่ มีความรับผิดชอบจะต้องปฏิบัติไปตามครรลองของแต่ละฝ่าย ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถืออำนาจก้าวล่วงล้ำเกินขอบเขตข้ามไปกระทบอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วฝ่ายที่ถูกกระทบด้วยอำนาจนั้น ย่อมมีปฏิกิริยา ต่อต้านและขัดขืน

อำนาจ” เป็นสิ่งเสพติด ใครลงได้เสพมันแล้ว ก็อยากได้มัน อย่างหยุดไม่ได้ และต้องการมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อใดมีคนมาขัดขวาง คนที่เสพจนติดแล้วก็จะไม่ยอม และจะหาทางกำจัดคนที่ขัดขวางนั้นให้ออกจากทางของมันให้ได้ เมื่อไร คนจะเลิกยึดติดกับ “อำนาจ” เสียที..... แหม๋...ช่างสรรหาถ้อยคำไพเราะเสนาะหูมานำเสนอ แต่สหายและสาวกพันธมารทั้งหลายควรย้อนกลับไปชำระจิตใจ ช่างใจแล้วตรึกตรองดู ว่าพวกตนเองนั้นมีแนวคิดตามคำประดิษฐ์ประดอยอย่างคมคายและสวยหรูนั้นอย่างไร ไม่ควรเอาถ้อยตำนั้นมากล่าวอ้าง ก็เพราะพวกตนเองกลับกระทำในทางตรงกันข้ามมาแล้ว....มิใช่หรือ?

เมื่อกล่าวถึง"อำนาจ" นั้นไม่จีรังยั่งยืนย่อมสูญสลายไปตามกาลเวลาและยุคสมัย ไม่มีบุคคลใด กลุ่มใดและคณะใดจะกอดอิงแอบแนบชิดให้"อำนาจ"
นั้น อยู่ยงคงกะพันไปโดยไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นทศวรรษ ศตวรรษและหลายศตวรรษก็ย่อมมีสิทธิ์ล่มสลายมาแทบทั้งสิ้น

บทบาทเรื่องอำนาจของ"แก๊งสี่คน"นี้โด่งดังในช่วงเหตุการณ์ปฏิวัติวัฒนธรรมในผืนแผ่นดินใหญ่มาตลอดสิบปี ระหว่างค.ศ. 1966-1976 บุคคลทั้งสี่ประกอบด้วย เจียงชิงภรรยาของเมาเซตุง,เหย๋าเหวินยวน,จางชุนเฉียวและหวังหงเหวิน มาดำเนินการให้การปฏิวัติเดินไปได้ในช่วงหนึ่ง แต่การมี"อำนาจ" ได้สร้างบทบาทและมีความกระหายความทะเยอทะยานอยากในแต่ละคน ไม่ให้ด้อยไปกว่ากันเลย จนไปสร้างผลกระทบในเรื่องความทุกข์ลำเค็ญไปทุกหย่อมหญ้าจากชนบทจนถึงในเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม จนไปถึงพวกนักรบที่เคยร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ประธานเหม๋า เจอ ตุง ปัญญาชนรวมไปถึงชั้นชนรากหญ้า

ความทะเยอทะยานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก็ทำให้นางเจียงชิงครองตำแหน่งสูงทางการเมือง ประกอบกับการเป็นคนที่มีปมด้อยไม่อยากเห็นใครเด่นเกินหน้า ในช่วงปลายของชีวิตประธานเหมา เจอ ตุง นางกับพรรคพวกได้กีดกันผู้นำพรรคคนอื่นๆ ที่เป็นปรปักษ์ไม่ให้เข้าใกล้ประธานเหมาฯ พร้อมทั้งทำลายชื่อเสียง เกียรติคุณของทั้งโจวเอินไหล เติ้งเสี่ยวผิง(ลูกสาว ซีพีได้ส่งเรียนที่อังกฤษ) และครอบครัวนักปฏิวัติที่ร่วมสร้างชาติมากับประธานเหมาท่ามกลางเสียงก่นด่าของประชาชนอีกด้วย

มาดามเจียงชิง แกนนำหลักของแก๊งสี่คนที่นำอำนาจของสามีมาใช้ในทางที่ผิด และแล้วอำนาจของนางก็สิ้นสุดลงในวันที่ 6 ตุลาคมปี 1976 หลังอสัญกรรมของเหมาเจ๋อตงไม่ถึง 1 เดือน เมื่อเติ้งเสี่ยวผิงร่วมมือกับนายพลเยี่ยเจี้ยนอิงและพรรคพวก วางแผนเข้าจับกุมแก๊ง 4 คน และในเดือนกรกฎาคม 1977 ในที่ประชุมเต็มคณะพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 10 วาระที่ 3 ก็ได้มีมติยกเลิกสถานภาพภายในพรรคของเจียงชิงไปตลอดกาล รวมถึงเพิกถอนตำแหน่งหน้าที่ทั้งหมด ถัดมาในวันที่ 25 มกราคม 1981 ศาลสูงสุดแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้พิพากษาให้ประหารนางเจียงชิงในฐานะหัวหน้าการกบฏ รอลงอาญาไว้ 2 ปี ซึ่งต่อมาในเดือนมกราคมปี 1983 ศาลก็ได้ลดหย่อนโทษให้เหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิต และไม่มีสิทธิทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้นตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม เจียงชิงก็ได้จบชีวิตตัวเองด้วยน้ำมือของตัวเองเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1991

นี่คือ "อำนาจ" มาชั่วครั้งชั่วคราว ยืนระยะอยู่ได้ไม่นาน ทั้งที่มีอำนาจที่สองรองจากประธานเหมา เจอ ตุงในผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ของโลก ก็ต้องมาสิ้นสลายด้วยน้ำมือพวกเดียวกัน จะเหลือมีชิวิตอยู่คนสุดท้ายก็คือ เหย๋าเหวินหยวนชาวเมืองฉางชุน เท่านั้น

มาถึงการปราบปรามกลุม่ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยนำโดยกลุ่มนักศึกษา ที่จตุรัสเทียนอันเหมิง ในวันที่ 4 มิ.ย.2532(1989) โศกนาฏกรรมดังกล่าวที่เกิดขึ้นนี้ ได้ไปถึงความหายนะของลัทธิคอมมิวนิสต์ทั่วโลก ขณะที่ผู้นำคอมมิวนิสต์จีนต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตย ที่ลุกขึ้นท้าทายอำนาจเบ็ดเสร็จของรัฐบาลแห่งประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ขณะเดียวกันลัทธิคอมมิวนิสต์ในเยอรมนีตะวันออกโงนเงนและล่มสลายไปในที่สุด กำแพงเบอร์ลินถูกทลายราบในเดือนพฤศจิกายน 1989 ขณะที่สถานการณ์ในแดนคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตก็ร่อแร่เช่นกันและล่มสลายในเดือนธันวาคม 1991

การเคลื่อนไหวที่เทียนอันเหมินเริ่มขึ้นกลางเดือนเมษายน จากการเดินขบวนแสดงความอาลัยแด่การจากไปของผู้นำนักปฏิรูป หู เย่าปัง อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ บานปลายเป็นการเดินขบวนเรียกร้องปฏิรูปการเมืองและปราบปรามคอรัปชั่นนำโดยกลุ่มนักศึกษา กลุ่มนักศึกษาได้เข้าไปยึดครองจัตุรัสเทียนอันเหมิน “ทุกตารางนิ้วของบริเวณจัตุรัสเต็มไปด้วยป้ายเรียกร้องการปฏิรูป มันเป็นการเดินขบวนครั้งแรกในประวัติศาสตร์สาธารณรัฐประชาชนจีน” หวัง ตัน หนึ่งในผู้นำกลุ่มนักศึกษา รำลึกเหตุการณ์ เสียงกู่ร้องเพรียกประชาธิปไตย และเสรีภาพดังกึกก้องทั้งจัตุรัส ที่เป็นสัญลักษณ์อำนาจการเมืองของประเทศจีน ผู้คนหลายพันอดอาหารประท้วง ผู้นำนักศึกษา อู๋เอ่อร์ ไคซี ได้ท้ายทายนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง ระหว่างการประชุมที่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ช่วงนั้นกลุ่มสื่อทั่วโลกกำลังหลั่งไหลมายังกรุงปักกิ่งเพื่อเกาะติดรายงานข่าวการเยือนระหว่างประเทศครั้งประวัติศาสตร์ ประธานาธิบดีมิกฮาอิล กอร์บาชอฟ จากแดนคอมมิวนิสต์ของหมีขาวมาเยือนจีน และกลุ่มสื่อเหล่านี้ก็ได้ข่าวใหญ่ที่สำคัญมากยิ่งกว่า

ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน กลุ่มประท้วงอยู่ระหว่างลิ่มอำนาจกลุ่มผู้นำหัวรั้นนำโดนนายกฯหลี่ เผิง และกลุ่มที่ยึดถือการปฏิบัติสายกลางนำโดย จ้าว จื่อหยาง เลขาธิการพรรค ในที่สุด กลุ่มผู้นำหัวรั้นก็ชนะด้วยการสนับสนุนของผู้นำสูงสุดเติ้ง เสี่ยวผิง จ้าว จื่อหยาง ถูกปลดออกจากตำแหน่ง นับจากนั้นจ้าวก็ถูกกักบริเวณในบ้านพักเป็นเวลาถึง 16 ปี กระทั่งวันสิ้นลมหายใจในปี 2548และที่ปรึกษา เป่า ถง ก็ถูกจำคุก 7 ปีเช่นกันหลังการนองเลือดที่เทียนอันเหมินสิ้นสุดลง

กลุ่มนักศึกษาประกาศ “การกบฏต่อปฏิปักษ์ปฏิวัติ” ขณะที่กลุ่มทหารเคลื่อนสู่เมืองหลวง บดขยี้ความฝันของกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตย โดยเปิดศึกรุนแรงในวันที่ 3 และ 4 มิถุนายน จำนวนผู้เสียชีวิตยังคงเป็นปริศนามาถึงวันนี้ ตัวเลขรัฐบาลระบุยอดผู้เสียชีวิต 241 คนโดยเป็นนักศึกษา 36 คน ขณะที่กลุ่มที่มีความคิดเห็นไม่ลงรอยกับรัฐบาลระบุตัวเลขถึงหลักพัน หลังจากนั้นคลื่นประณามจากทั่วโลกก็โถมซัดเข้าใส่ผู้นำจีน และจีนก็ถูกมองและปฏิบัติประหนึ่งพวกที่น่าเกียจเป็นเวลาหลายปี บรรดารัฐบาลในตะวันตกต่างเสนอให้ที่ลี้ภัยแก่กลุ่มนักศึกษา

แต่ละบุคคลต้องสูญเสียอำนาจอย่างที่ไม่ควรจะเสีย เพราะการหลงอำนาจมองข้ามประชาชนของแผ่นดิน ที่มีแนวคิดมีความปรารถนาต้องการอิสระเสรีภาพมากขึ้น แต่ผู้มีอำนาจไม่รู้จักใช้วิธีการประนีประนอม เรียกว่า "บัวไม่(ให้)ช้ำ น้ำไม่(ให้)ขุ่น กลับเหลิงอำนาจขาดความเมตตาธรรมทั้งจิตใจและตัวตน ไม่หาวิธีสร้างการผูกมิตรเข้ามาไกล่เกลี่ยและหาวิธีการแนวทางสันติเพื่อสยบความเคลื่อนไหว จึงได้เห็นเหตุการณ์ตามที่ปรากฏมาให้เห็น....อำมาตย์ ทหารและรัฐบาลหมีน่าฮ๊าก มือที่มองไม่เห็น ต้องการเช่นนั้นหรือ?
DJ.1

Friday, April 16, 2010

ความจริงเรื่อง “ล้มเจ้า”


ขณะนี้การประโคมข่าว “ล้มเจ้า” ดังจนผิดปกติ เครือข่ายอำมาตย์ในขั้วตรงข้ามกับประชาธิปไตยนั้นไม่ต้องห่วง รัวเสียราวกับวงโยธวาทิต แถมยังมีเสียงแว่วมาจาก “เวทีประชาธิปไตย” ร่วมสนุกกล่าวหาตามแห่ไปกับเขาด้วยว่ากลุ่มนั้นกลุ่มนี้คิด “ล้มเจ้า” เหมือนมุ่งจะเอาใจใครบางคน

เวลาเหมือนจะหมุนกลับไปไม่ต่ำกว่า ๔๐ ปี

เสมือนเราทุกคนยังอยู่ในยุคปลุกผีคอมมิวนิสต์ เพียงคราวนี้ใช้มาตรา ๑๑๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาแทนที่ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ในยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นกฎหมายเผด็จการโบราณที่ทำลายชีวิตและอนาคตของคนบริสุทธิ์ไปมากมายเหลือคณานับ

แถมใช้อย่างถี่ยิบไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม เพราะไปหลงเชื่อคนที่คอยเสี้ยมให้เล่นงานคนนั้นคนนี้ และให้ข้อมูลผิดๆ ว่ามีอยู่ไม่กี่คน ฟันลงไปเถิด

ในที่สุดก็เกิดเป็นกระแส

ความจริงการ “ล้มเจ้า” อย่างจริงจังในประวัติศาสตร์ไทยเคยเกิดขึ้นเพียง ๒ ครั้ง นั่นคือเมื่อคราว “กบฏ ร.ศ.๑๓๐” ซึ่งล้มเหลวเพราะถูกหักหลัง และการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ หรือ “การอภิวัฒน์” ที่เริ่มต้นด้วยท่าทีเด็ดขาด แต่แล้วค่อยๆ ผ่อนท่าทีลงจนกลายเป็นการหารือร่างรัฐธรรมนูญระหว่างกัน หลังจากนั้นก็เกิดกระบวนการฟื้นฟูอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์มาเรื่อย โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนกระทั่งทุกวันนี้

รัฐธรรมนูญถาวรกลายเป็นของพระราชทาน แทนที่จะเป็นคณะราษฎร์เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มา

ท่าทีสมานฉันท์ อย่างการตั้งรัฐบาลร่วมกันโดยเอาฝ่ายอำมาตย์แท้ๆ อย่างพระยามโนปกรณ์นิติธาดามาเป็นตัวประธานกรรมการราษฎร (นายกรัฐมนตรี) ก็กลายเป็นเปิดทางให้ฝ่ายอำนาจเก่าเขามาเอาอำนาจคืนอย่างดิบๆ ถึงขั้นเนรเทศหัวหน้าคณะราษฎร์สายพลเรือนไปต่างประเทศ ท่านที่เหลือต้องรวมกำลังกันยึดอำนาจซ้ำอีกครั้งเพื่อเอาประชาธิปไตยกลับคืนมา แต่ก็ถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแทบไม่เหลือซาก

ความจริงเมื่อวันชาติยุคหลังๆ ถูกเปลี่ยนจาก ๒๔ มิถุนายนมาเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ชัดแล้วในเรื่องระบอบ

ทวนความจำเพื่อจะบอกว่า จากนั้นไม่มีความพยายามใดๆ อีกเลย ที่จะพรากสังคมนี้จากสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนอกจากจะปลูกฝังกันอย่างเข้มข้นเกือบทุกวันทุกเวลาแล้ว กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพยังตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นด้วย ปัจจัยใดๆ จากภายนอกจะเข้ามาโยกหรือสั่นคลอนได้เล่า

เพียงดำรงพระสถานะเดิมและใช้พระราชอำนาจอย่างสมควรแก่เหตุ สถาบันนี้จะอยู่คู่สังคมไทยโดยไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ลับหลัง

ผมถึงได้สงสัยว่าคนที่เจตนาพูดคำว่า “ล้มเจ้า” นั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่

กำลังดูแคลนศักยภาพของสถาบันจนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเสียเองหรือไม่

หรือกำลังระดมฉายไฟเข้าไปยังสถาบัน ทำให้สถาบันกลายเป็นจุดสนใจโดยไม่จำเป็น?

ความจริงพฤติกรรมแกล้งโง่เหล่านี้ เราก็พอรู้อยู่หรอกครับ แต่ผู้ที่อยู่ในสถาบันควรทราบว่า คนที่ชิงเล่นบทจงรักภักดีโดยไม่ทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ให้ ได้แต่กล่าวประณามคนอื่นว่าจงรักภักดีไม่เท่าตน หรือสาดคดีหมิ่นฯ เข้าใส่ จนสุดท้ายสถาบันต้องเป็นผู้รับผิดชอบทางสังคมแทนนั้น สุดท้ายคือผู้ที่ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์มากที่สุด

รวมทั้งคนที่อ้างตัวว่าเป็นประชาธิปไตย แล้วทำลายคนอื่นด้วยข้อหา “ล้มเจ้า” อย่างสามานย์นั่นด้วย

การรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเหมาะสมคือการอนุวัตรไปตามโลก โดยรักษาแก่นไว้ให้มั่นคง ไม่ใช่ลืมตาตื่นขึ้นก็มองหาว่าใครจะเป็นเหยื่อในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้บ้าง

ความจริงก็คือ มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยในขณะนี้ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทของสถาบัน โดยไม่ได้มุ่งหมายจะโค่นล้มหรือทำอันตรายใดๆ เพราะสามปีที่ผ่านมานี้มีการกล่าวอ้างสถาบันเพื่อการเมืองจนสังคมสับสน หากเปิดโอกาสให้ถามและตอบอย่างวิญญูชน แทนที่จะอ้างกฎหมายหมิ่นฯ มาฟาดฟันกันอย่างที่เป็นอยู่ ว่าเราจะประคองสถาบันให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้อย่างไร ผมเชื่อว่าจะเป็นคุณกับประเทศชาติมากกว่า

สั่งให้หยุดพฤติกรรมผลักฝ่ายเดียวกันให้เป็นศัตรูเถิดครับ

มองให้เห็นว่าคนที่จะ “ล้มเจ้า” ตัวจริง ก็คือคนที่อวดอ้างความ “รักเจ้า” จนเกินกว่าเหตุและสร้างผลลัพธ์ในทางกลับกันเถิดครับ

เลิกสนุกสนานกับบทบาท “ผู้เล่น” กลับขึ้นไปเป็น “กรรมการผู้ทรงเกียรติ” ดังเดิมเถิดครับ

ใช้ตัวแทนวัฒนธรรมใหม่อย่างคุณทักษิณให้เป็น เพื่อบริหารบ้านเมืองในระยะเปลี่ยนผ่านที่ต้องใช้ทั้งภูมิปัญญาเดิมและภูมิปัญญาใหม่ผสมผสานกัน อย่าคิดกำจัดเพียงเพราะคุมโมหะจริตไม่อยู่เลยครับ

ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม

และทำในสิ่งที่ควรทำ


ผมขอตราไว้ตรงนี้ว่า คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่ได้ช่วยอะไรสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เลย ความเข้าใจถูกหรือผิดต่อสถาบัน กระทำได้อย่างยั่งยืนไม่ใช่ด้วยลมปากของใคร แต่ด้วยสิ่งที่คนไทยทั่วประเทศและทั่วโลกเขามองเห็นอยู่จริง

ถ้าตั้งมั่นอยู่ในธรรมแล้ว อย่าได้หวั่นกลัวสิ่งใด เว้นแต่เงาของตนเอง

เพราะในบ้านนี้เมืองนี้ ผลกระทบใดๆ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ย่อมมาจากสถาบันพระมหากษัตริย์เองเท่านั้น.
จักรภพ เพ็ญแข

Thursday, April 15, 2010

หมดเวลาของอภิสิทธิ์แล้ว


The End for Thailand’s Abhisit?

รัฐบาลสูญเสียความชอบธรรมในท่ามกลางห่ากระสุน

ความแตกร้าวที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นมาจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ฝังรากลึก และค่อยบานปลายขยายลุกลามจนพังทลายในกรุงเทพเมื่อไม่นานมานี้ ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอยอีกครั้งเมื่อถึงเวลาที่คนไทยจะร่วมฉลองประเพณีสงกรานต์ ย้ำให้เห็นถึงเรื่องความล้มเหลวจากความพยายามที่จะรอมชอมกัน

ฉันรีบรุดไปโรงพยาบาลกลางในทันที่ที่เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงในตอนเย็นคืนวันเสาร์ ร่างแล้วร่างเล่าที่ถูกลำเลียงมายังโรงพยาบาล บางร่างถูกห่อด้วยธงชาติไทย ผู้เคราะห์ร้ายรายหนึ่งกะโหลกเปิด เจ้าหน้าที่แผนกฉุกเฉินถือถุงพลาสติกที่บรรจุสมองที่เละของเหยื่อผู้นั้นวิ่งตามร่างในขณะที่ลำเลียงเข้าห้องฉุกเฉิน

นพ.พิชญา นาควัชระ ผู้อำนวยการ รพ.กลาง กล่าวว่า “ศพแรกมาถึงเมื่อเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม บาดเจ็บอย่างรุนแรงที่ศีรษะ กะโหลกแตกจนสมองไหล คนไข้ได้เสียชีวิตก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล เมื่อเราทำการตรวจ พบว่าร่างกายมีบาดแผลจากกระสุนหลายที่ ทั้งกระสุนจริง และกระสุนยาง ศพที่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงอาจมีสาเหตุมาจากถูกกระแทกจากของแข็ง ด้วยความเร็ว

นพ.พิชญา นาควัชระ กล่าวว่า “ผมคิดว่าจะเจอกระสุนยาง ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ใช้กระสุนจริง”

รัฐบาลไทย และกลุ่มเสื้อแดงซึ่งเป็นตัวแทนของชาวรากหญ้าซึ่งด้อยสิทธิ์แห่งประเทศไทย (และอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรที่ถูกปล้นอำนาจ) ทั้งสองฝ่ายต่างขาดความจริงใจ และไม่สามารถหยุดยั้งสภาพประเทศที่กำลังเข้าตาจนว่า ควรให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อคืนอำนาจที่ชอบธรรมให้กับประชาชน ขณะนี้ประเทศไทยแทบไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกเสียจากว่าดำเนินการเลือกตั้งนั้น

ทางเลือกอื่นนั้นไม่มีความหมายอันใด: จะมีแต่การนองเลือด การทำรัฐประหารครั้งใหม่ (ประเทศไทยมีมาแล้ว ๑๘ ครั้ง) แม้กำลังในกองทัพกำลังเสียงแตก หรือการที่ทรงออกมาแทรกแซงของกษัตริย์ภูมิพล อดุลยเดช ผู้ทรงครองราชย์นานที่สุดในโลก แต่พระองค์ทรงมีสุขภาพที่อ่อนแอ และทรงประทับในโรงพยาบาลตั้งแต่เดือนกันยายน

การเลือกตั้งใหม่จะไม่สามารถแก้ปัญหาอันซับซ้อนของประเทศไทย แต่จะเป็นการลดอุณหภูมิของประเทศซึ่งกำลังร้อนระอุจนแทบจะมอดไหม้ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะต้องลาออก ยิ่งออกเร็วเท่าไร จะเป็นการดีสำหรับความวุ่นวายที่เขาได้ก่อขึ้นมา ยิ่งกว่านั้น ในประวัติศาสตร์ของไทยผู้นำคนใหม่ที่จะเข้ามาดูแลสถานการณ์ของบ้านเมืองชั่วคราวนี้เป็นธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติมาแต่ก่อน ในเวลาแห่งวิกฤติ จะมีผู้นำปรากฏขึ้นมา และประเทศไทยไม่เคยขาดผู้นำซึ่งมีทั้งความเป็นกลาง ได้รับความเชื่อถือ และมีความเชี่ยวชาญ

ฝ่ายผู้ปกป้องรัฐบาลของอภิสิทธิ์แย้งว่า อภิสิทธิ์ควรได้รับการยกย่องจากการที่ยอมให้เสื้อแดงได้แสดงสิทธิขั้นพื้นฐานในการชุมนุมเพื่อแสดงออก แม้ว่าเมื่อปีที่แล้วกองกำลังในกลุ่มเสื้อแดงพยายามสร้างความวุ่นวายเพื่อลงประชาทัณฑ์เขา ฝ่ายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อภิสิทธิ์จะไม่ใช่กำลังทหารจนกว่าเขาจะไม่มีทางเลือกเพื่อบังคับใช้กฎหมาย และเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยต้องกลายเป็นรัฐที่ล่มสลาย

ฝ่ายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คำถามเรื่องความชอบธรรมของอภิสิทธิ์นั้น – การพาดพิงของเสื้อแดงว่าอภิสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งมาจากกองทัพ – เป็นการพูดเกินจริง ภายใต้ระบบรัฐสภาแห่งประเทศไทย ฝ่ายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เขามีความชอบธรรม เช่นเดียวกับการอ้างชัยชนะจากการเลือกตั้งของประธานาธิบดี จอร์ช บุชในปี ๒๕๔๓ และกฎหมายต้องได้รับการเคารพ (ทำราวกับว่า ประเทศไทยมีกฎเกณฑ์)

ฝ่ายอภิสิทธิ์ให้ข้อสังเกตว่า แม้แต่นายกฯ กอร์ดอน บราวน์ ซึ่งเผชิญกับสถานการณ์บีบคั้นให้ต้องลาออก บราวน์เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม และเป็นสิทธิอันชอบธรรม พวกเขาเสริมว่า อภิสิทธิ์เป็นนักการเมืองอาชีพ ซึ่งได้รับการเลือกตั้งเข้ามาในสภาก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้ง อภิสิทธิ์ขณะนี้มีอายุ ๔๖ ปี เข้ามาเล่นการเมืองตั้งแต่อายุ ๒๗ ปี

แต่อย่างไรก็ตาม อภิสิทธิ์จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับเหตุการณ์นองเลือดที่รุนแรงที่สุดในรอบสองทศวรรษ ใครก็ตามที่อาศัยอยู่ที่นี่ในประเทศไทย และรู้ถึงประเทศไทย และชื่อเสียงว่าพร้อมไปด้วยความความมีน้ำใจคงจะบอกคุณได้ว่า ประเทศนี้ได้เปลี่ยนไปนับตั้งแต่ฝ่ายพันธมิตรเสื้อเหลืองได้เข้ายึดสนามบินนานาชาติในปี ๒๕๕๑ ผลักดันให้อภิสิทธิ์เข้ามาสู่อำนาจ ทักษิณผู้ถูกปล้นอำนาจจากการทำรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ ในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งนั้น ก็ไม่ได้เป็นแบบอย่างเช่นเดียวกัน แต่ศักดินาไทยตกที่นั่งที่คอยหลอกตัวเองเกี่ยวกับความเป็นประเทศไทยใหม่ จนมาตาสว่างเมื่อศูนย์การค้าอันเป็นที่นิยมของตัวเองถูกเข้ายึดครองจากคลื่นมหาชนที่ต้องการประกาศสิทธิของตัวเอง และสิทธิในการเลือกตั้งให้ปรากฏเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

ตัวอย่างเช่น สองวันก่อนที่ศาลคดีอาญาจะนัดพิพากษาอันไม่ชอบมาพากลของคดีทักษิณที่กำลังอยู่ในระหว่างการหลบหนี และทรัพย์สินของเขาซึ่งรัฐกำลังทำการอายัดอยู่ สถานีทีวีของรัฐบาลไทยแพร่ภาพอภิสิทธิ์พร้อมด้วยใบหน้าที่แหกยิ้มที่ทำเนียบรัฐบาลในเวลาทีคนไทยส่วนใหญ่กำลังนั่งใจจรดจ่อที่บ้านด้วยความหวาดกลัวว่าจะเกิดความโกลาหล อภิสิทธิ์วางมาดอย่างอาจหาญต่อหน้ากล้องทีวี

ปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาลอ้างว่า คนไทยหลายคนต้องการเห็นที่ทำงานของนายกฯ ซึ่งพวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้เห็นมาก่อน บ่งบอกได้ถึงแนวความคิดของเจ้าหน้าที่รัฐที่ตัดขาดในเรื่องการรับรู้ ถึงภัยคุกคามในโลกแห่งความจริงของเสื้อแดงที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ

อภิรักษ์ วรรณสาธพ ที่ปรึกษาอิสระ ซึ่งเคยเป็นพยานในเหตุการณ์จลาจลที่นองเลือดเมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ นำโดยนักศึกษา และชนชั้นกลางในกรุง ยืนยันว่าสภาพแวดล้อมทางการเมืองของไทยในขณะนี้นั้นได้พัฒนาขึ้นไปมาก เขากล่าวว่า “มีรากฐานที่ต่างกัน และมวลชนมีวุฒิภาวะมากขึ้น ผู้ประท้วงเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแต่มาจากพื้นที่ชนบท แต่พวกเขายังเป็นคนทำงาน และผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในเมือง” อภิรักษ์ให้ข้อคิดว่า หากเสื้อแดงถูกบังคับให้ลงใต้ดิน สถานการณ์จะเลวร้ายยิ่งขึ้น เขากล่าวหากถูกกดดันจากนานาชาติแล้ว จะทำให้อภิสิทธิ์ลาออกแน่

สุรนันท์ เวชชาชีวะ ญาติของอภิสิทธิ์ ซึ่งทำงานให้กับสมัยรัฐบาลทักษิณ กล่าวว่า การเมืองในประเทศไทยจะไม่เหมือนเก่าอีกต่อไป เป็นอะไรที่เขากล่าวว่า ญาติของเขาพลาดที่จะทำความเข้าใจ นักวิเคราะห์หลายคนถกเถียงในเรื่องการเมืองไทยในวาระก่อนหน้า และภายหลังรัชสมัยปัจจุบัน และประเด็นการสืบสันตติวงศ์ เป็นเสียงที่ดังระงมเป็นครั้งแรกของการดิ้นรนอย่างทรมานของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่สุดของรากฐานที่เกิดความขัดแย้งนี้

ที่สำคัญที่สุดคือ อภิสิทธิ์ต้องออก เพราะพรรคประชาธิปัตย์ของเขาที่ทำการคว่ำบาตรการทำประชามติของทักษิณในปี ๒๕๔๙ แผ้วทางให้เกิดการทำรัฐประหาร กฎหมายหมิ่นฯ ที่เหี้ยมเกรียมที่สุดของประเทศได้ถูกอำนาจของอภิสิทธิ์นำมาใช้อย่างเมามัน เพียงเพื่อมอบอำนาจฉุกเฉินอย่างเหลือเฟือในการใช้ดุลพินิจเชิงอำนาจของกองทัพ ผลก็ชัดเจนอย่างที่เห็นๆกันอยู่

Monday, April 12, 2010

น้อมคารวะดวงวิญญาณผู้กล้าเพื่อประชาธิปไตย... ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓


เลือดระบอบ


เลือดหยดรดถนน คือเลือดข้นคนเสื้อแดง


บทเรียนราคาแพง จี้ระบอบตอบคำถาม


อภิสิทธิ์คนเดียวหรือ ควรลุกฮือควรติดตาม


เชื้อร้ายโรคลุกลาม ทั่วโคตรพงศ์และวงศา


คนไทยไม่มืดบอด ไม่หลุดรอดจากสายตา


คนยิงก็เพียงหมา เจ้าของคลั่งผู้สั่งยิง


เกิดซ้ำและเกิดซาก ใต้หน้ากากน่าเกรงกริ่ง


จากเตียงส่งเสียงยิง ดับญาติตนไม่สนใจ


อย่าร้องอย่างขี้ข้า ให้เชิดหน้าสูงกว่าไพร่


เจ้าของคือผองไทย เลิกครรลองขอร้องมาร


เลือดนี้มีความหมาย เฮือกสุดท้ายให้กล่าวขาน


“เหมาะสมล้มกระดาน สร้างรัฐหลวงของปวงชน”



จักรภพ เพ็ญแข
๑๑ เมษายน ๒๕๕๓

Sunday, April 11, 2010

แถลงการณ์พรรคสังคมนิยมมาเลยเซียและองค์กรสังคมนิยมอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อภิสิทธิต้องลาออก ต้องยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้ง!!


April 9, 2010
ที่มา – RedSiam

แถลงการณ์พรรคสังคมนิยมมาเลยเซียและองค์กรสังคมนิยมอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อภิสิทธิต้องลาออก ต้องยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้ง!!

ต้องเคารพสิทธิในการประท้วง ต้องหยุดควบคุมสื่อ!!

เรา องค์กรสังคมนิยมในประเทศเพื่อนบ้าน มีความเป็นห่วงอย่างยิ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย เนื่องจากรัฐบาลของ อภิสิทธิ เวชชาชีวะที่มีทหารหนุนหลัง ได้มีการประกาศภาวะฉุกเฉินท่ามกลางการประท้วงของประชาชนเพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง

สถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทย ยิ่งน่าเป็นห่วงเพราะรัฐบาลปิดกั้นสื่อเสรีและใช้อำนาจตาม พรก.ฉุกเฉินที่สามารถใช้ความรุนแรงต่อผู้ประท้วงได้

แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) ได้รณรงค์ครั้งยิ่งใหญ่เพื่อต่อตานรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากาการเลือกตั้งของ อภิสิทธิ เวชชาวีวะ ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปีนี้

วิกฤติปัจจุบันเริ่มจากการที่ทหารทำรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 เพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ ทักษิณ ชินวัตร ทหารเผด็จการได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี 2540 และนำรัฐธรรมนูญทหารเข้ามาใช้แทน พวกเสื้อเหลืองฟาสซิตส์มีการเคลื่อนไหวต่อต้าน รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ตั้งแต่ปี 2550 และรัฐบาลปัจจุบันของอภิสิทธิ ขึ้นมามีอำนาจได้ผ่านการกระทำของทหาร ม๊อบฟาสซิสต์เสื้อเหลือง และรัฐประหารโดยศาล

รัฐบาลปัจจุบัน กองทัพและพวกเสื้อเหลืองกลัวที่จะลงแข่งในการเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตย เพราะเขาทราบดีว่าคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนจนในประเทศไทยสนับสนุนคนเสื้อแดง นี่คือสาเหตุที่อภิสิทธิ และพวกชนชั้นสูงไม่ยอมยุบสภาและพยายามซื้อเวลาและข่มขู่ที่จะใช้การปราบปราม มันเป็นที่ชัดเจนว่าอภิสิทธิและพวกอำมาตย์กำลังพยายามนำประเทศชาติไปสู่เผด็จการฟาสซิสต์

ประเทศไทยเข้าสู่ยุคใหม่ของการต่อสู้ทางชนชั้น ชนชั้นปกครองเก่าร่วมกับกองทัพในการที่จะทำลายประชาธิปไตย ส่วนคนเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตย เป็นคนส่วนใหญ่ที่เป็นกรรมาชีพ ชาวไร่ชาวนา หรือ คนจน การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงได้พิสูจน์ความสามารถในการเคลื่อนไหว และการที่ได้รับการสนับสนุนคนส่วนใหญ่ ซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้กระทบกระเทือนพวกอำมาตย์เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเป็นก้าวสำคัญสำหรับคนธรรมดาในประเทศไทย ที่จะสร้างประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม

เราเรียกร้อง

1.ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่มีทหารหนุนหลัง ลาออกทันที และจัดการเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตย

2.ให้รัฐบาลหยุดใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดง และเคารพสิทธิในการประท้วง การจัดตั้ง และ การนัดหยุดงาน

3.ให้รัฐบาลหยุดทำลายเสรีภาพและการปิดกั้นสื่อ

4.ทหารและรัฐบาลต้องไม่ทำรัฐประหารอีก

วิกฤติปัจจุบันในประเทศไทยมีวิธีเดียวที่จะแก้ได้ คือผ่านกระบวนการประชาธิปไตย และมีอำนาจของประชาชน เราขอสนับสนุนและส่งความสมานฉันท์ถึงกรรมกร ชาวไร่ชาวนา และ คนยากจนในประเทศไทย ที่กำลังต่อสู้กับอำมาตย์ เพื่อฟื้นฟูประชาธิปไตยที่แท้จริงๆ

ลงชื่อ
พรรคสังคมนิยมมาเลเซีย และองค์กรสังคมนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฯลฯ)

Wednesday, April 7, 2010

รัก “ประชาธิปไตย” ต้องก้าวพ้น “ทักษิณ” และ…ต้องปกป้อง “ทักษิณ”


คำว่า “ประชาธิปไตย” ใครเป็นคนพูด หรือ พูดกันกี่ที มันก็ฟังดูดีทั้งนั้น แต่ในบรรดาคนที่อ้างตัวว่า “รักประชาธิปไตย” หรือ “ทำเพื่อประชาธิปไตย” ทั้งหลาย มีสักกี่คนกันที่เข้าใจความหมายของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

แล้วประชาธิปไตยคืออะไรกันแน่? แล้วมันดีจริงอย่างที่พวกเราเรียกร้องกันหรือไม่?

ไม่ว่าพวกปากว่างสมองกลวงจะพยายามสร้างคำสวยหรูมาเป็นกำแพงแก้วล้อมรอบกรอบบิดเบือนคำว่า “ประชาธิปไตย” มากเพียงใด คำจำกัดความของประชาธิปไตยที่ยอมรับและใช้กันแพร่หลายที่สุดก็น่าจะเป็นดังประโยคข้างล่างนี้

Democracy is the government of the people, by the people, for the people.

Abraham Lincoln

หรือที่แปลเป็นไทยว่า “ประชาธิปไตยคือการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” คราวนี้ประเด็นมันก็มาอยู่ตรงที่ว่าใครคือ “ประชาชน”? มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนจะคิดตรงกันเหมือนกันไปหมดในทุกๆ เรื่องและเนื่องจากว่าทุกคนต่างก็เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเท่าๆ กัน ดังนั้นตัวตัดสินชี้ขาดในระบอบของประชาธิปไตยจึงตกเป็นหน้าที่ของ “เสียงข้างมาก” นั่นเอง ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการเลือกจุดยืนทางการเมืองและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจอย่างเสมอภาคผ่านระบบการโหวต จะเป็นการโหวตโดยตรงหรือผ่านตัวแทนก็ว่ากันไปตามกรณี ข้อตกลงที่ได้รับมติจากเสียงข้างมากย่อมเป็นคำตอบสุดท้ายอันไม่มีอำนาจเถื่อนอื่นใดจะมาล้มล้างลงได้ นี่คือกติการ่วมกันของระบอบประชาธิปไตยที่ใช้กันอยู่อย่างสากล ถ้าไม่ได้ยึดมั่นในกติกาสากลอันนี้ ต่อให้ร้องแรกแหกกระเชิง เขียนประดับไว้ในรัฐธรรมนูญทุกบรรทัด หรือเกณฑ์คนมาถือป้ายทั่วบ้านทั่วเมือง มันก็เป็นได้เพียงแค่ภาพลวงตา เป็นเพียง “ประชาธิปไตยตอแหล” เท่านั้นเอง

การปกครองที่คนกลุ่มหนึ่งอุปโลกน์ตนเองว่าเป็นคนดี ยัดเยียด “ความดี” ของตนเองให้คนหมู่มากคล้อยตาม และปกครองโดยการกดหัวประชาชนนั้นย่อมไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างแน่นอน “การปกครองของคนดี โดยคนดี เพื่อคนดี” เช่นนั้นคือนิยามการปกครองของพวกเผด็จการ หรือจะเรียกให้สวยหรูแบบไทยๆ ว่า “ธรรมาภิบาล”

คำว่า “ประชาธิปไตย” ไม่ได้ให้การรับรองว่าเราจะได้ “คนดี” มาเป็นผู้นำวางนโยบายปกครองประเทศ แต่ประชาธิปไตยให้การรับรองว่าประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุด ทุกอำนาจย่อมมีที่มาจากประชาชน และผู้ใช้อำนาจนั้นก็จะต้องอยู่ภายใต้การคานอำนาจอย่างสมดุล

แล้วคราวนี้ประชาธิปไตยมาเกี่ยวข้องกับ “ทักษิณ” ได้อย่างไร? และชื่อเรื่องวกวนกวนประสาทของผมที่ตั้งว่า “รักประชาธิปไตยต้องก้าวพ้นทักษิณและ…ต้องปกป้องทักษิณ” พยายามจะสื่ออะไร?

ความเกี่ยวข้องของประชาธิปไตยและทักษิณก็คือคำว่า “มติเสียงข้างมาก” นั่นแหละ

ก่อนอื่นต้องขอบอกกว่าเลยว่า คำว่า “ทักษิณ” สองคำในชื่อเรื่อง “รักประชาธิปไตยต้องก้าวพ้นทักษิณและ…ต้องปกป้องทักษิณ” นี้สื่อความหมายแตกต่างกันและต้องแยกให้ออกจากกันโดยสิ้นเชิงด้วย

“ทักษิณ” ตัวแรกที่ผมบอกให้ “ก้าวพ้น” มันไปซะ คือ อคติต่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ว่าจะเป็นอคติจากความรัก ความเกลียด มโนภาพ มายาคติ ความเชื่อที่มีต่อบุคคลชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” หรือ “ระบอบทักษิณ”

“ทักษิณ” ตัวที่สองที่เราต้อง “ปกป้อง” คือ “ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะที่เป็นตัวเลือกของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย เป็นผู้นำที่ได้รับสิทธิอันชอบธรรมจากมติเสียงข้างมาก (สำหรับพวกที่จะเข้ามาบอกว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีจากเสียงข้างมากในสภาฯ ผมขอให้เอาหัวไปเลี้ยงแมลงวัน อย่าได้มาพล่ามแถวนี้ให้รำคาญหูรำคาญตา)

นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่เหล่าบรรดานักวิชาการ สื่อมวลชน และผู้ “มีการศึกษา” ที่แย่งกันสวม “หน้ากากประชาธิปไตย” และ “หน้ากากความเป็นกลาง” แห่ออกมาพูดตามหน้าสื่อทุกวันนี้ ต่างไม่มีใครก้าวพ้นจาก “ทักษิณ” ในความหมายแรกไปได้เลย พวกเขาเหล่านี้ต่างจมปลักกับอคติเดิมๆ (ซึ่งจะว่าไปแล้ว อคติเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาเองสรรค์สร้างขึ้นมาเองภายใต้วาทกรรม “ระบอบทักษิณ”) พวกเขาจึงทำได้เพียงสำรอกความคิดอุบาทว์ออกมาเรียกร้องความสนใจและปั่นหัวประชาชนไปวันๆ ไม่ต่างจากหนอนในถังขี้ที่ทั้งชีวิตก็ว่ายวนอยู่ท่ามกลางของปฏิกูล จะกิน จะถ่าย หรือผสมพันธุ์ก็ล้วนแต่เกลือกกลั้วอาจมได้โดยไม่ต้องรังเกียจ ไม่ต้องอาย

พวก “ปัญญาชน” เหล่านี้เรียกร้องประชาธิปไตยด้วยการละเลย (หรือที่หนักหน่อยก็ต่อต้าน) มติเสียงข้างมาก!!???!! ไม่ต่างจากคนใส่สูทเดินเข้าร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วสั่งก๋วยเตี๋ยวแต่ไม่เอาเส้น ถ้าไม่ใช่ว่าโง่จนไม่รู้ว่าก๋วยเตี๋ยวคืออะไรก็ต้องเป็นคนบ้าอย่างแน่นอน

ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนโลกจะเล่นตลก คนเสื้อแดงที่ส่วนใหญ่เป็นรากหญ้า เป็นชนชั้นล่าง บางท่านก็ไม่ได้มีโอกาสเล่าเรียนในระดับสูงๆ กลับเข้าใจบทบาทการเคลื่อนไหวของตนอย่างไม่น่าเชื่อ หากมองผิวเผิน เสื้อแดงก็ดูเหมือนจะเป็นแค่กลุ่มคนที่รักทักษิณ อยากให้ทักษิณกลับมาสู่อำนาจ แต่หากลองใช้วิจารณญาณพิจารณาอย่างลึกซึ้ง ก็จะพบว่าพวกเขากำลังปกป้อง “ทักษิณ” ในความหมายที่สองอยู่ เขาปกป้องผู้ที่ได้รับเลือกจากมติเสียงส่วนใหญ่ ต่อต้านอำนาจเถื่อนที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากประชาชน และที่สำคัญที่สุด พวกเขากำลังปกป้องสิทธิเสียงของตนเอง

ผมยอมรับผมเข้าข้างแนวทางการเคลื่อนไหวเสื้อแดงแน่นอน แต่ผมขอยืนยันว่า “เสื้อแดงทุกคนในวันนี้ได้ก้าวพ้น(อคติต่อ)ทักษิณไปแล้วโดยสิ้นเชิง” หรือจะพูดให้สวยหรูหน่อยก็คือ “เสื้อแดงก้าวพ้นทักษิณ…ด้วยการปกป้องทักษิณ” ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” เพียงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในเชิงรูปธรรมที่เห็นได้ชัดที่สุดในการเคลื่อนไหวของพวกเขาแค่นั้นเอง

และใครก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การต่อสู้ของมวลชนเสื้อแดงในวันนี้เป็น “แนวร่วมประชาชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทรงพลังที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุด” เท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศนี้

มีคำกล่าวหนึ่งที่พวก “ปัญญาชนสั่งก๋วยเตี๋ยวไม่เอาเส้น” ชอบสำรอกออกมาเสียเหลือเกิน คือ “เสื้อแดงเป็นพวกถูกจ้างมาทั้งนั้น” ผมเองก็ไม่อยากจะเถียงเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะผมก็คิดว่าเสื้อแดงก็ถูกจ้างมาจริงๆ….

ทว่าค่าจ้างของพวกเขาไม่ใช่เงิน หากแต่จ่ายเป็น “สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค” ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

ค่าจ้างระดับนี้คนเดินดินธรรมดาอย่างชายที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่มีปัญญาจะจ่ายได้แน่นอน

พวกดัดจริตอ้างเป็นกลาง


6 เมษายน 2553
ใจ อึ๊งภากรณ์
ที่มา – RedSiam

ผมเชื่อมานานแล้วว่าคนที่อันตรายที่สุดเป็นพวกที่อ้างว่า “เป็นกลาง” เพราะในโลกจริง เมื่อมีเหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญๆ เกิดขึ้น คนที่เป็นกลาง หรือคนที่ไม่มีจุดยืนใดๆ มีแค่สองประเภทคือ 1.คนโกหก หรือ 2.คนปัญญาอ่อนที่ไม่รู้เรื่องและไม่สนใจจะรู้เรื่องอะไร ประเภทที่อันตรายสุดคือพวกโกหกว่าเป็นกลาง

ในแวดวงวิชาการ มักจะมีการหลงตนเองคิดว่าตัวเก่งกว่าผู้อื่นหรือเข้าใจอะไรด้วยเหตุผล ไม่เหมือนไพร่ประชาชนธรรมดา แถมยังมีการสร้างภาพเท็จว่าตัวเอง “เป็นกลาง” ทั้งๆ ที่ทุกคนมีความเห็นและอคติต่างๆ เหมือนคนอื่น เวลาสอนหนังสือพวกนี้จะอ้างว่าไม่มีจุดยืนทางการเมือง แต่เนื้อหาที่สอนมันฟ้องเอง เพราะมีแต่การเสนอด้านเดียว และมีการกล่าวหาว่าคนที่มองต่างจากกระแสหลักคือพวก “หัวรุนแรง” ที่จุฬาฯ นักวิชาการส่วนใหญ่เป็นพวกเสื้อเหลืองที่สนับสนุนอำมาตย์ พวกนี้คิดว่านักวิชาการฝ่ายซ้ายอย่างผมจะต้อง “ล้างสมอง” นิสิตนักศึกษา เพราะเวลาเขาเองสอนและตรวจงานนักศึกษา เขาไม่มีวันให้ “A” หรือ คะแนนเต็มร้อยกับงานเขียนที่อาจารย์ไม่เห็นด้วย เขาไม่เข้าใจว่านักวิชาการที่ประกาศจุดยืนตนเองชัดเจนว่าเป็นซ้าย แต่ให้คะแนนเต็มกับความคิดที่ตรงข้ามกับตนเอง เป็นการสร้างกบฏต่อระบบอาวุโสเพื่อให้นักศึกษาคิดเองเป็น

นักวิชาการสายรัฐศาสตร์จำนวนมาก จะสอนว่าวิธีขยายพื้นที่ประชาธิปไตยคือการเคลื่อนไหวของ “ประชาสังคม” หรือการเคลื่อนไหวของประชาชนพลเมืองธรรมดาที่อิสระจากรัฐ โดยมีการคัดค้านเผด็จการหรือการลดทอนสิทธิเสรีภาพโดยรัฐ แต่ตอนนี้ดูเหมือนนักวิชาการจำนวนมากที่อ้างตัว “เป็นกลาง” แยกไม่ออกระหว่างสองฝ่ายที่มีความสำคัญในวิกฤตปัจจุบัน ฝ่ายที่หนึ่งคือพลเมืองธรรมดาชาวบ้านชาวเมืองเสื้อแดง ซึ่งเป็นคนยากจน เขามีจำนวนมากและเขาเรียกร้องประชาธิปไตย ส่วนฝ่ายที่สองคือทหารที่ทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา อภิสิทธิ์ชน รัฐบาลที่ไม่เคยชนะการเลือกตั้ง และขบวนการชนชั้นกลางที่ใช้ความรุนแรงเพื่อสร้าง “การเมืองระเบียบใหม่” ของเผด็จการซึ่งลดเสียงประชาชนในการเลือกตั้ง

ผมไม่ได้พูดเรื่องนักวิชาการเสื้อเหลืองที่ไม่เห็นด้วยกับประชาธิปไตย พวกนั้นแสดงจุดยืนตรงไปตรงมา และคงสอดคล้องกับผลประโยชน์ทางชนชั้นของเขาในฐานะอภิสิทธิ์ชน

ผมพูดถึงคนที่อยากใส่เสื้อสีขาว พูดแต่เรื่องสันติวิธีแต่ไม่วิจารณ์ทหาร อ้างว่าเป็นกลาง แล้วเสนอให้ยุบสภาภายในสามเดือน ซึ่งเป็นการพยายามประนีประนอมระหว่างจุดยืนรัฐบาลเผด็จการกับฝ่ายประชาธิปไตย และผลของการประนีประนอมแบบนั้นต้องจบด้วยระบบ “กึ่งเผด็จการ”

ในห้องเรียนถ้าท่านสอนเรื่องประชาสังคมและประชาธิปไตย แต่พอก้าวออกไปนอกห้องในโลกจริง ไม่สามารถมองเห็นประชาสังคมในแววตาคนเสื้อแดงจำนวนมาก มันก็แปลว่าท่านล้มเหลวในวิชาการแล้ว

การเรียกร้องให้ยุบสภา เพื่อให้ประชาชนตัดสินว่าอยากได้พรรคไหนเป็นรัฐบาล เป็นมาตรการประชาธิปไตยชัดเจน แน่นอนมันมีปัญหาระยะยาวว่าอำนาจอำมาตย์ของทหาร ศาล ข้าราชการ และสถาบันหลักๆ ก็ยังอยู่ และเขาก็สามารถทำลายประชาธิปไตยได้อีกเสมอ พร้อมกันนั้นแนวร่วมชนชั้นกลางของพันธมิตรฯ ที่ชื่นชมเผด็จการก็จะยังอยู่ แต่การยุบสภาเป็นก้าวแรก ถ้าใครคัดค้านเพราะไม่ไว้ใจประชาชนตาดำๆ ในวันเลือกตั้ง ก็แปลว่าท่านไม่เห็นด้วยกับประชาธิปไตย

นักวิชาการที่ดัดจริตอ้างตัวเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพียงแต่ไปยืนอยู่ห่างๆ จากประชาสังคมของประชาชน คิดว่าการเป็นกลางของตนเองเพิ่มน้ำหนักและเหตุผลให้กับแถลงการณ์ที่เขาเสนอให้สังคม แต่ความจริงมันตรงข้าม ถ้าใครรักประชาธิปไตยและไม่สนับสนุนคนเสื้อแดงในยามวิกฤตนี้ ความเห็นของท่านไร้ค่าในการขยายประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง

กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ตอนนี้อ้างตัวเป็นกลางเพื่อ “ช่วยหาทางออกให้สังคม” ได้ทำลายความน่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิงนานแล้ว เพราะแต่งตั้งจากผลของรัฐประหาร ไม่ยอมคัดค้านการขู่ใช้กำลังของทหาร ไม่ยอมพูดถึงการเซ็นเซอร์สื่อหรือกฎหมายหมิ่นฯ แถมยังสวมเสื้อเหลืองสนับสนุนพันธมิตรฯ ฝ่ายองค์กรเอ็นจีโอหลักๆ ก็เช่นกัน ออกประกาศเพื่อปกป้องคนชั้นกลางรักเผด็จการในอดีต แต่ตอนนี้หันหลังให้คนจนเสื้อแดง กลายเป็นกองเชียร์ของอำมาตย์อย่างเบ็ดเสร็จ

ในยามที่อำมาตย์นำทหารมาล้อมประชาชนที่เรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ใครไม่ยืนข้างประชาชนเสื้อแดงโดยไม่มีเงื่อนไข ถือว่าคนนั้นคัดค้านประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียมทางสังคม

Tuesday, April 6, 2010

เรา .... จะไม่มีวันแพ้ !!!


From 'The Mask of Anarchy' by Percy Bysshe Shelley

"Stand ye calm and resolute,
Like a forest close and mute,
With folded arms and looks which are
Weapons of unvanquished war.

And if then the tyrants dare,
Let them ride among you there,
Slash, and stab, and maim and hew,
What they like, that let them do.

With folded arms and steady eyes,
And little fear, and less surprise
Look upon them as they slay
Till their rage has died away

Then they will return with shame
To the place from which they came,
And the blood thus shed will speak
In hot blushes on their cheek.

Rise like Lions after slumber
In unvanquishable number,
Shake your chains to earth like dew
Which in sleep had fallen on you-
Ye are many — they are few"

=====================================
The Mask of Anarchy ภายใต้หน้ากากแห่งการปฏิเสธรัฐ
โดย Percy Bysshe Shelley : บทกวีต้นกำเนิดของอารยะขัดขืน
แปลโดย คุณ ปูบ้าน

เรายืนอยู่ตรงนี้ด้วยใจสงบและเชื่อมั่น
ประหนึ่งป่าไม้ที่หนาแน่นและเงียบสงัด
ใช้การกอดอกและภาพลักษณ์ที่แน่วแน่
เป็นอาวุธในการต่อสู้ในสงครามที่เราจะไม่มีวันแพ้

และถ้า เผด็จการผู้กดขี่ พุ่งเข้าหาเรา
ใช้อาวุธความรุนแรง ฟัน แทง ตัดแขนขา และ สับเราเป็นชิ้นๆ
ปล่อยให้มันทำไป

เราจะกอดอกแน่นและสาดสายตาที่แน่วแน่จ้องไปที่พวกมัน
เราอาจหวาดกลัวแต่เราจะไม่แปลกใจในความโหดร้ายของมัน
เราจะจ้องมองการฆ่าฟันของผู้กดขี่เหล่านั้น มองตามัน
จนกระทั่งความโกรธแค้นของพวกมันมอดไหม้ไป

และ..พวกมันจะกลับไปยังที่ๆมันจากมาด้วยความละอายใจ
เลือดที่สาดกระจายไปในวันนั้น จะปรากฏเป็นสีแห่งความ
ละอายบนหน้าของพวกมัน ที่จะประทับอยู่ในใจของมัน
หลอกหลอนมัน อย่างที่มันจะไม่มีวันลืม

แล้วพวกเราจะไม่แพ้...
เราจะตื่นขึ้นมาเหมือนกับราชสีห์ที่พึ่งตื่นจากการนอนหลับ
พวกเราจะมาเพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก... มากแบบที่ไม่มีใครเอาชนะได้
ราชสีห์เหล่านั้น จะตื่นขึ้นมา และสลัดโซ่ตรวนที่ได้ถูกคล้องใส่ยามที่หลับอยู่
ให้หลุดออกไปจากกาย เหมือนหยดนํ้าค้างที่ถูกสลัดกระเด็นออกไปจากร่าง
ใช่... พวกเรามีมากเหลือเกิน และจะมาอีกมาก
แต่พวกมันมีน้อยและน้อยลง
และ... เรา... จะไม่มีวันแพ้




เมื่อความอยุติธรรม แผ่ปกคลุมไปทุกหย่อมหญ้า
ประชาชนรากหญ้าทุกคน รู้สึกเหมือนกันหมด
แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่อดทน
จนวันหนึ่ง มีคนๆ หนึ่งถูกรังแกทางการเมือง ไม่มีทางสู้
ประชาชนเลยเอา คนๆ นั้น มาเป็นสัญญลักษณ์ในการต่อสู้
อาวุธของประชาชนไม่มี มีแต่ความจริงและความสามัคคี

มีแต่ไพร่ กัน ไพร่ เท่านั้น เป็นที่พึ่งในยามนี้



เลือดสีแดงของไพร่ จะทาบทาแผ่นดิน ...

เอาชนะความอยุติธรรมให้ได้