Saturday, June 12, 2010

เสียงเพรียกจากค่ายกักกันอดิศร สระบุรี


เสียงเพรียกจากค่ายกักกันอดิศรสระบุรี
ของสมยศ พฤษภาเกษมสุข บก. Voice of TAKSIN
(ของฝากจากทหารแตงโม ๗ มิถุนายน ๒๕๕๓ )


ขอขอบคุณพี่น้องประชาชน คณาจารย์ นักศึกษา และผู้ใช้แรงงานทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่ร่วมเคลื่อนไหวคัดค้านการใช้อำนาจเผด็จการของรัฐบาลตัวแทนอำมาตย์ อภิสิทธิ์-สุเทพ ที่จับกุมพี่น้องประชาชน รวมทั้งตัวผมอย่างไม่เป็นธรรมและเป็นการใช้กฎหมายเลือกปฏิบัติ (สองมาตรฐาน)

ผมถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2553 โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในภาวะฉุกเฉิน ด้วยเพียงเพราะผมกับอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ยืนให้สัมภาษณ์ว่า “จะจัดให้มีการชุมนุมในอนาคต” คือจะชุมนุมในวันที่ 24 มิถุนายน เพื่อตามหาวันชาติดังเช่นที่เคยทำมาแล้วในปีก่อน เพียงเท่านี้ก็เป็นความผิดที่ ศอฉ.ได้ยัดเยียดคุกตะรางให้ผม แต่ในเวลาเดียวกันพวกเสื้อ(เหลือง)หลากสีได้จัดชุมนุมในปัจจุบันยื่นข้อเรียกร้องให้ถอดถอน ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคนที่เข้าร่วมต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยร่วมกับคนเสื้อแดง กลับมีเสรีภาพชุมนุมเกิน 5 คนได้ทั้งๆ ที่อยู่ภายใต้กฎหมายภาวะฉุกเฉินเช่นเดียวกับผมแต่กลับไม่มีความผิด

ผมและอาจารย์สุธาชัยได้แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่หลบหนีจึงเดินไปมอบตัว แต่ปรากฏว่ากลับถูกจับกุมห้ามเยี่ยมห้ามประกันในช่วงแรก และสุดท้ายพวกเขาปล่อยตัวอาจารย์สุธาชัยก่อน เพราะทนแรงกดดันจากเพื่อนคณาจารย์และนักศึกษาไม่ได้ แต่ตัวผมยังถูกจองจำเหมือนเดิมทั้งๆที่ถูกจับด้วยข้อหาเดียวกันเวลาเดียวกัน และมอบตัวพร้อมกัน

ผมมาพิจารณาดูน่าจะเป็นเพราะว่าอาจารย์สุธาชัยมีสถานภาพเป็นข้าราชการอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนตัวผมไม่มีสถานภาพความเป็นข้าราชการ เพราะผมเป็นเพียงประชาชนเช่นคนเสื้อแดงทั่วไปที่ถูกจับกุมตัวโดยไม่มีความผิด และไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเหมือนกัน ผมไม่โกรธการตัดสินใจของ ศอฉ.เช่นนี้เพราะอย่างน้อยที่สุดทำให้ผมได้ลิ้มรสของคำว่า “ไพร่” อย่างเป็นจริง

รัฐบาลตัวแทนอำมาตย์อภิสิทธิ์-สุเทพ ใช้อำนาจตามกฎหมายภาวะฉุกเฉินเองแต่ก็ทำผิดกฎหมายนั้นเอง กล่าวคือตามมาตรา 12 กำหนดว่า “จะควบคุมตัวผู้ถูกจับกุมอย่างผู้ต้องหาไม่ได้” แต่ตัวผมถูกควบคุมหนักกว่าผู้ต้องหา ซึ่งสถานที่ควบคุมตัวผมและอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ที่ค่ายทหารอดิศร สระบุรี นั้นไม่ต่างอะไรกับค่ายกักกันในสมัยพรรคนาซีเรืองอำนาจในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2ผมและอาจารย์สุธาชัยถูกจับให้นอนอยู่ในเต็นท์กลางแดดตั้งแต่วันแรกจนถึงขณะนี้โดยมีลวดหนามเป็นขดสูง 2 ชั้นล้อมรอบไว้ และมีทหารถือปืนควบคุมตัว แต่ต่างจากสมัยนาซีตรงที่ทหารบางคนที่ควบคุมตัวนั้นมีจิตใจรักความเป็นธรรมหรือที่เรียกว่า ทหารแตงโม ผมและคนเสื้อแดงทุกคนที่ถูกจองจำทีนี่ถูกห้ามไม่ให้ดูโทรทัศน์ และฟังข่าวสารใดๆ ทั้งจากวิทยุ และหนังสือพิมพ์ รวมตลอดทั้งจะอ่านหนังสือประเทืองความรู้ใดๆ ก็ไม่ได้นอกจาก หนังสือนิตยสารเรื่องม้าเป็นบางเล่มเท่านั้นที่พวกเขาหยิบยื่นให้

การควบคุมตัวในแต่ละวันไม่มีการสอบสวนอะไรในทางกฎหมายมีแต่ทหารมานั่งคุยและคุยอยู่เรื่องเดียวที่วนเวียนซ้ำซาก และต้องการจะให้ผมพูดความเท็จว่าหนังสือพิมพ์ Voice of TAKSIN หรือเสียงทักษิณ ของผมเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และได้รับเงินสนับสนุนจากทักษิณซึ่งผมก็ปฏิเสธไปครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ไม่ใช่” ส่วนการใช้ชื่อหนังสือพิมพ์ว่า “ทักษิณ” ซึ่งพวกทหารของศอฉ.เขาติดใจมากและอยากให้ผมเปลี่ยนชื่อหนังสือนั้นผมก็อธิบายว่าเป็นเทคนิคทางการตลาดไม่ต่างอะไรกับกรณีที่มีคนผลิตขายสินค้ายาชูกำลังที่ชื่อ “ทักษิณสู้” แต่ดูเหมือนว่าพวกทหารที่มาคุยกับผมจะไม่เข้าใจกลไกตลาดโดยเฉพาะธุรกิจหนังสือพิมพ์ที่เป็นกลไกตลาดทางความคิดเลย

ผมลงทุนหนังสือพิมพ์ครั้งแรกไม่เกิน 5 แสนบาท และก็ยืนอยู่ได้มาเกือบปีกว่าแล้วก่อนถูกอำนาจเผด็จการปิดก็โดยอาศัยบุคคลต่างๆ ที่มีชื่อเสียงทางสังคม โดยไปกราบเขาขอให้ผมใช้ชื่อเขามาตีพิมพ์เป็นประธานบ้างที่ปรึกษาบ้าง เพื่อหนังสือพิมพ์จะได้รับความเชื่อถือและสามารถขายได้ บุคคลเหล่านั้น เช่น คุณสุธรรม แสงปทุม และ คุณวีระ มุสิกพงศ์ ก็กลายเป็นว่าผมรับเงินจากทักษิณผ่านคนเหล่านั้นทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง

ผมพยายามอธิบายให้พวกทหารสมุนอำมาตย์ที่ดูจะโง่เง่ามากในเรื่องสินค้าความคิดว่าชื่อ “ทักษิณ” วันนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมทางการเมืองหรือต่อสู้กับภาวะ 2 มาตรฐาน ซึ่งมันฝังลึกอยู่ในใจประชาชนไทยมานานแล้ว และมันได้ระเบิดขึ้นจากรูปธรรมของการรวมศูนย์อำนาจรัฐของอำมาตย์พุ่งเข้าทำร้ายไปที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มานานติดต่อกันเกือบ 4 ปีแล้ว

ดังนั้นชื่อหนังสือพิมพ์ Voice of TAKSIN จึงเป็นชื่อที่จำได้ง่ายและกินใจประชาชน แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นวันนี้ชื่อทักษิณ และสีแดง ได้กลายเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นผมก็ขอให้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญเสียเลยจะดีไหม?

จริงๆ ผมสามารถจะได้รับการปล่อยตัวทันทีหากลงลายมือชื่อยืนยันว่าผมได้รับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณมาพิมพ์หนังสือ ผมเข้าใจว่าพวก ศอฉ.คงจะเอาหลักฐานนี้ไปปรักปรำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้ายอย่างแน่นอน ซึ่งการปฏิเสธของผมไม่ใช่เป็นการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะผมกับพ.ต.ท.ทักษิณโดยส่วนตัวไม่รู้จักกันและไม่เคยเดินทางไปพบไม่ว่าที่ใดๆ แต่ผมช่วยให้ความจริงปรากฏในบรรณพิภพ ว่าผมสร้างหนังสือพิมพ์นี้ด้วยกำลังกายและด้วยกำลังสมองของผมเอง เพียงแต่อาศัยจิตสำนึกวิญญาณของประชาชนที่โหยหาเสรีภาพ ความเสมอภาค และความเป็นธรรม เป็นตัวผลักดันผ่านชื่อ “ทักษิณ” ซึ่งคำว่าทักษิณเป็นคำสามัญที่แปลว่า “ทิศใต้”

ผมยอมเสียเสรีภาพ แต่จะไม่ยอมสูญเสียความเป็นมนุษย์ และสูญเสียจิตวิญญาณแห่งอิสระทางความคิดของการเป็นนักหนังสือพิมพ์อย่างเด็ดขาด

พบกันบนเส้นทางแห่งเสรีภาพทางความคิด

วิญญาณฆาตกร โดย กาหลิบ


คอลัมน์ : เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง : วิญญาณฆาตกร
โดย : กาหลิบ

เราต่างรู้ดีว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังเล่นปาหี่-ตีสองหน้าอยู่กลางเมือง ในขณะที่ตามล้างตามผลาญฝ่ายประชาชนจนถึงขั้นสิ้นชีวิต บาดเจ็บ พิการ สูญเสียอิสรภาพ อาชีพการงานถูกทำลายย่อยยับ โดยไม่เห็นแก่ความเป็นคนใดๆ เลยนั้น ก็โหมประโคมข่าวสร้างภาพลักษณ์ว่ากำลังปรองดองสามัคคี พร่ำพูดหลักการกลวงๆ ที่ตัวเองไม่เคยคิดสร้าง เพื่อให้ฝ่ายฆ่าทำงานได้สะดวกขึ้น

คนสำคัญให้ความร่วมมืออย่างสุดใจขาดดิ้น เพราะเป็นเจ้าตำรับแห่งการกวาดล้างฝ่ายประชาธิปไตยและทำภาพของตัวเองให้บริสุทธิ์สูงส่งไปพร้อมกัน ดีใจจนเนื้อเต้นว่าลูกน้องฆาตกรกลุ่มนี้กำลังสานต่อลัทธิปิศาจที่ตัวเองสถาปนาขึ้น หลังจากที่ลองผิดลองถูกมาแล้วหลายครั้ง
ปิศาจหัวหน้าและปิศาจลูกน้องจึงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก เกิดมาเป็นหนอนก็ต้องแทะเล็มอุจจาระไปตามกำพืด

แต่ความชั่วร้ายในวันนี้กลับไปปรากฏที่คนกลุ่มหนึ่งในกรุงเทพมหานครและเขตเมืองใหญ่ๆ ในประเทศนี้ ซึ่งกำลังทำให้ประเทศไทยกลายสภาพเป็นนครปิศาจไปอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เพียงเมืองฟ้าอมรที่ถูกฝูงปิศาจเข้าครอบครองเท่านั้น

นั่นคือชนชั้นกลางที่ไม่รู้สึกยี่หระอะไรกับความตายอันโหดเหี้ยมทารุณของชนชั้นรากหญ้า
ภาพแห่งความตายหาไม่ยากด้วยเทคโนโลยีของยุคนี้ แค่ปรายตามองดูก็จะเห็นทั่วไปว่าอาวุธสงครามที่นำมาใช้กับประชาชนผู้ไร้อาวุธในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓​มันทำอะไรบ้างกับมนุษย์ผู้บริสุทธิ์เหล่านี้

ภาพนี้ก็เลือดสาด ภาพนั้นก็สมองกระจาย

ส่วนมากสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่ได้เตรียมไปรบราฆ่าฟันกับใคร และส่วนใหญ่ก็ใส่รองเท้าแตะ
อายุก็หลากหลายแตกต่างกันไป เด็กก็มาก คนแก่ก็เยอะ ไม่เหมือนกับฝ่ายฆ่าที่เป็นชายฉกรรจ์ในวัยยี่สิบต้นๆ ที่ถูกฝึกให้เป็นนักฆ่าโดยเฉพาะ

เห็นภาพเหล่านี้แล้วผู้คนจำนวนหนึ่งในประเทศที่เรียกว่าไทยกลับรู้สึกตายด้าน ไม่มีความเศร้าสะเทือนใจ ไม่มีน้ำตา
ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของหัวใจที่จะมอบให้

กลับรู้สึกดีใจเสียด้วยว่า ได้พื้นที่จราจรมาวิ่งรถหรูหราของตัวเองอย่างสะดวก ได้ห้างสรรพสินค้าคืนมาช็อปปิ้ง โดยไม่ต้องเห็นหน้าอันทุกข์ทรมานของคนยากจนในประเทศ ที่เขาเรียกกันเสียไพเราะว่าเพื่อนร่วมชาติอีกต่อไป

ใจดำขนาดนี้จะให้เรียกว่าอะไร และมันไหลออกมาจากไหน?

เสพสุขกันอยู่ได้อย่างไรครับ เมื่อคนแก่ถูกยิงด้วยอาวุธสงครามจนสมองกระจาย อาสาสมัครที่เข้าไปทำความดีต่อเพื่อนมนุษย์ถูกฆ่าถูกรุมยิงเพราะฝ่ายฆาตกรต้องการจะลากศพหลบไปเสีย เพื่อมิให้กลายเป็นหลักฐานแสดงพฤติกรรมเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน

รู้สึกปกติอยู่ได้อย่างไร?

โชคดีที่รัฐบาลชุดนี้ ได้รับคำพูดปลอบประโลมใจจากที่สูง เหมือนน้ำแร่ที่ไหลลงมาจากยอดเขา จนเกิดความเหิมเกริมที่จะสร้างกรรมชั่วต่อไปโดยไม่มีหิริโอตตัปปะปะ

เขาจึงทำอะไรกันกลางเมืองโดยไม่มีความละอายต่อบาปและไม่หวั่นหน้าอินทร์หน้าพรหม รู้สึกเสียแล้วว่าหน้าอินทร์หน้าพรหมหันมายิ้มให้กับตน

แต่งตั้ง คณิต ณ นคร เป็นหัวหน้างานสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องการสังหารหมู่

แต่งตั้ง สมบัติ ธำรงค์ธัญญวงศ์ เป็นโต้โผในงานแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แต่งตั้ง วสิษฐ์ เดชกุญชร เป็นเจ้าภาพปฏิรูปตำรวจ

เพียงเท่านี้ก็บอกแล้วว่าเขาไม่สนใจหน้าไหนทั้งนั้น เมื่อชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยผู้มีอำนาจมากในสังคมไทยสนับสนุนเขาอย่างออกหน้าออกตา เขาก็เหยียบหัวชนชั้นรากหญ้าขึ้นมายืนผึ่งผายได้

ครับ วิญญาณฆาตกรในวันนี้มันไหลเข้าไปสิงร่างของชนชั้นกลางในเมืองไทยเข้าด้วยแล้ว

โรคอำมหิตไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะชนชั้นสูงในสังคมไทยอีกต่อไปแล้ว

หมอผีคนเดียวคงเอาไม่อยู่ ขบวนการไล่ผีอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจึงมีความจำเป็น.

(พบคอลัมน์ "เมืองไทยหรือเมืองใคร?" ได้ทุกวันจันทร์,พุธ,ศุกร์)

วรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ บรรยายความโหดเหี้ยมในวัดปทุมฯ

Thursday, June 3, 2010

ราชประชาวิวาทะ ตอนที่ 4 โดย จักรภพ เพ็ญแข


ราชประชาวิวาทะ ตอนที่ ๔
วันศุกร์ที่ ๒๖ มีนาคม - วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓
โดย : จักรภพ เพ็ญแข
*************************************************************************

(๒๖ มี.ค.) หนังสือ “ไทมส์” ว่าคนไทยรอในหลวง
แก้เหตุการณ์ลุล่วงเลิกใหลหลง
“พฤษภาประชาธรรม” ยังดำรง
กรอบความคิดงุนงงหลงเวลา

“ทักษิณ” งดโฟนอินมาบินเงียบ
ขี่ม้าเลียบค่ายเล่นคงดีกว่า
สังคมเริ่มเปลี่ยนใจใช้เวลา
ไม่เนิ่นช้าคิดอย่าง “ไทมส์” คงตามทัน

ยื่นอุทธรณ์ “ยึดทรัพย์” จับเล่นต่อ
หวังใจขอยุติธรรมเลิกห้ำหั่น
สี่จุดหกหมื่นล้านเงินอัศจรรย์
เป็นความฝันใครหนอจะขอคืน

ฝ่ายตรงข้ามคือโจรเข้าปล้นฆ่า
ปล้นลูกเต้าภรรยาแล้วข่มขืน
ผลักจนตกโคลนตมล้มทั้งยืน
ใครคิดยื่นอุทธรณ์คงอ่อนใจ

แดงเคลื่อนพลอีกครั้งหวังรุกฆาต
ฝ่ายอำมาตย์เพิ่มกำลังระวังใหญ่
จราจรเพิ่มนับพันได้ทันใจ
เกมรุกไล่แมวหนูดูเอามัน

(๒๗ มี.ค.) เดินทางไกลไปถึง “ร. ๑๑”
นึกว่าเสร็จคราวนี้ยึดที่มั่น
“กี้” นำทัพไปทำเนียบพอเหยียบพลัน
ถูกสั่งลั่นให้ถอยทัพกลับเข้ามา

ฝ่ายตรงข้ามแอบแยงว่าแดงแตก
“สุรชัย” ถล่มแหลกยิ่งแตกกว่า
อัดแกนนำไร้กลยุทธ์สุดเวทนา
แต่ปวงประชาย้อนตอบไม่ชอบใจ

อารมณ์คนยกทัพเข้าจับศึก
ท่ามกลางความฮักฮึกเตือนไม่ไหว
นี่แหละคือความจริงทุกสิ่งไป
อารมณ์ใหญ่กว่าปัญญาจนน่ากลัว

เกิดระเบิด “ช่อง ๕” หน้าค่ายทหาร
ไม่ตายด้านตูมลั่นสนั่นทั่ว
ประชาชนบวกทหารคลานระรัว
“กษิต” มั่วออกประกาศวินาศกรรม

(๒๘ มี.ค.) เอ็ม ๖๗ ระเบิดลั่นบ้าน “บรรหาร”
ตำรวจพล่านตรวจสอบกันระส่ำ
แบ็งค์กรุงเทพตลิ่งชันเกิดลั่นซ้ำ
ตัวคนทำหายไปไร้ร่องรอย

นักวิชาการ ๑๕๕ พากันร้อง
รัฐบาลจำต้องลดมาหน่อย
ยุบสภาสามเดือนไม่เกินคอย
เป็นทางถอยจากวิกฤติอย่าปิดทาง

(๒๙ มี.ค.) “เสธ.แดง” ออกโรงมาว่าเราอ่อน
รัฐบาลมันสอนว่ามวยห่าง
ให้ปรับยุทธวิธีมีแนวทาง
แต่เสียงดูเบาบางไร้คนฟัง

ฝนตกหนัก “ทักษิณ” เสนอสู้
รัฐบาลไม่แลดูขุดหลุมฝัง
เมื่อหน้าด้านขนาดนี้จี้ให้พัง
ส่งเสียงดังสู้อำมาตย์จนบาดใจ

“พันธมิตรฯ” ออกโรงจากโลงเก่า
แถลงข่าวเสียงกระเส่าขอเข้าใกล้
ออกคัดค้านนั่นนี่พูดดีไป
แต่ “สนธิ” หายไปไม่เห็นเงา

เจรจารอบสามจะงามไหม
แกนนำถามคนไทยก่อนจะเข้า
เสียงมวลชนชัดใสว่าไม่เอา
จะมุ่งเอาชนะใหญ่เลือดไหลริน

(๓๐ มี.ค.) พรบ. ความมั่นคงฯ
ขยายต่อ กทม. รอบรั้ว และหัวหิน
อ้างประชุมลุ่มน้ำโขงเหมือนตีกิน
ใช้อำนาจจนชินก็สิ้นพลัง

ระเบิดใส่ “มูลนิธิรัฐบุรุษ”
มุ่งตรงจุดจี้ที่คนเชื่อมมนต์ขลัง
ขาด “เปรม” เชื่อมให้คงไร้พลัง
จึงคลุ้มคลั่งสั่งตำรวจตรวจดูแล

ข่าว “ทักษิณ” ถูกขับจับมาเล่น
“สวีเดน” ตอบโต้ว่าตอแหล
ก.ต. ไทยใยโฆษณาสาระแน
ประชาธิปไตยเที่ยงแท้ไม่แคร์ไทย

ประชาธิปัตย์เสนอยุบหกธันวา
แล้วยี่สิบสามมกราเลือกตั้งใหม่
นปช. ตอบลั่นอย่างทันใจ
ยี่สิบล้านแดงไทยระดมมา

ปฏิเสธโดยไม่ปฏิเสธ
รัฐบาลหวังเศษเนื้อตรงหน้า
ก็จะขอสู้ขาดอำมาตยา
ไม่ต้องมาเล่นล้อต่อรองกัน

(๑ เมษ.) เว็บมาสเตอร์ “นปช.ยูเอสเอ”
ถูกจับเข้าซังเตไม่คาดฝัน
“เร๊ดอีเกิ้ล” ถูกส่งไปลงทัณฑ์
เพียงเพราะมั่นใจตามความเป็นคน

ใครกันหนอคือสายฝ่ายอำมาตย์
แอบรุกฆาตรุมจวกกับพวกปล้น
มุ่งทำลายอุดมธรรมที่ดำรง
สักวันหนึ่งมันคงต้องใช้กรรม

แกนนำแดงประกาศพร้อมคุยรอบสาม
แต่ “กอปร์ศักดิ์ฯ” สั่งห้ามจนล้มคว่ำ
อ้างว่าแดงดาวกระจายไม่ชอบธรรม
หากยังย่ำรุมล้อมไม่ยอมคุย

(๒ เมษ.) สหรัฐฯ ออกโรงอ้างเป็นกลาง
ไม่เข้าข้างสีไหนไร้ควันฉุย
แต่ขอเตือนอย่ารุนแรงในการลุย
พร้อมยอมคุยกับทุกสีดีทุกทาง

ยุติธรรมอำพรางระหว่างนี้
เร่งคดี “เร๊ดอีเกิ้ล” รวบหัวหาง
แต่คดี “สนธิ” กลับอำพราง
เลื่อนคดีไปเสียห่างอ้างพยาน

เสื้อชมพูรุมตีสี่เสื้อแดง
คนเวทีเครื่องแรงไม่มองผ่าน
จะเคลื่อนทัพทั่วกรุงมุ่งประจาน
อันธพาลครองเมืองคนของใคร

(๓ เมษ.) แล้วเสื้อแดงปักหลักราชประสงค์
จุดมุ่งหมายจะธำรงให้ยิ่งใหญ่
ประกาศก้องกู่เรื่องทั่วเมืองไทย
ยึดพื้นที่ส่วนใน กทม.

“อภิสิทธิ์” ดิ้นขอให้กลับผ่านฟ้า
ปวงประชาจึงเห็นว่าเป็นต่อ
ปิดแยกราชประสงค์คงเพียงพอ
วอนร้องขอคนไทยเข้าใจกัน

“ทักษิณ” คารวะคนเสื้อแดง
ฝ่ากำแพงยึดแยกเป็นที่มั่น
ราชประสงค์ไร้กำหนดเพื่อกดดัน
หวังคืนวันสว่างใสได้กลับมา

“จตุพร” ประกาศพร้อมทั่วประเทศ
หากถูกปราบขยายเขตไปทั่วหล้า
ศาลากลางทุกจังหวัดจัดคนมา
หากเข่นฆ่าประชาชนเจอคนจริง

(๔ เมษ.) ระเบิดตูมลูกใหญ่ “โพไซดอน”
จากเศษเหล็กปลิวว่อนจนนอนนิ่ง
เอ็ม ๖๗ “เอ็นบีที” ก็มีจริง
แทนที่จะสงบนิ่งยิ่งประลอง

(๖ เมษ.) อีกสองวันระเบิดลงที่ตรงพรรค
“ประชาธิปัตย์” โดนหนักจนเจ็บสอง
เป็นตำรวจเวรยามตามครรลอง
ระเบิดก้องหลังพรรคมุ่งหักใคร

ข่าวเข้ามาสลายม็อบมีรายวัน
แต่เบื้องหลังสารพันเชื่อวันไหน
“ณัฐวุฒิ” ว่าฝ่ายโน้นโยนกันไป
ไม่มีใครกล้ารับมาจับกุม

“ทักษิณ” งดโฟนข้ามสามวันรวด
ใช่เจ็บปวดป่วยไข้ให้เกียรติกลุ่ม
ท่านบอกว่าในวันนี้ที่ชุมนุม
เป็นที่ประชุมยุทธศาสตร์เด็ดขาดไป

การต่อสู้นี้มิใช่เพื่อ “ทักษิณ”
แต่สู้เพื่อแดนดินวิญญาณไพร่
ท่านกลายเป็นผู้ตามให้หามไป
ไม่มีใครบัญชาการนอกบ้านเมือง

(๗ เมษ.) “กี้” นำทัพบุกรัฐสภา
ถูกระเบิดโยนมาหวังมีเรื่อง
มวลชนพร้อมเข้าอัดเพราะขัดเคือง
กะเอาเรื่องรัฐบาลสังหารใคร

แต่สุดท้ายจบลงตรงไกล่เกลี่ย
“อภิวันทน์” ร่วมเคลียร์จนเลิกได้
แดงยอมรับเหตุผลก็ทนไป
เดินทางกลับเวทีใหญ่ในทันที

(๘ เมษ.) สมาคมนักข่าวฯ เขาแถลง
ปิดแต่ทีวีแดงไม่ถูกที่
อ้างฉุกเฉินอย่าละเมิดสื่อที่มี
ใช่เสรีเบ็ดเสร็จเผด็จการ

สามสิบหกเว็ปไซต์ถูกไล่ปิด
อ้างความผิดไม่ชัดดั่งรัฐทหาร
เสรีภาพทุกวันอันตรธาน
สิทธิในข่าวสารผลาญรายวัน

(๙ เมษ.) ลาดหลุมแก้วที่ตั้งของ “ไทยคม”
ทีวีแดงไม่มีชมก็หุนหัน
แก๊สน้ำตาน้ำมาใช้รุกไล่ควัน
บาดเจ็บกันยี่สิบสองต้องพยาบาล

(๑๐ เมษ.) และแล้ว...คืนเลือดกระจายทั่ว
ณ สี่แยกคอกวัวทุ่งสังหาร
กระสุนจริงสาดใส่เป็นสายธาร
มวลชนแดงถูกสังหารผลาญชีวี

อ้างว่าใช้กระสุนยางทุกย่างก้าว
แต่เกิดคาวเลือดยับด้วยทัพผี
ใครอยู่หลังสั่งทัพตัวอัปรีย์
ขอวิญญาณคืนนี้จงเป็นพยาน

แต่ปรากฏกำลังแปลกชำแรกเข้า
ชุดสีดำอมเทาเข้าล้างผลาญ
ช่วยปวงชนคนสู้กับหมู่มาร
จนทหาร ว. บอกถอยออกไป

คนเสื้อแดงบุกโรงพยาบาลควานหาศพ
เกรงมันจะซ่อนหลบศพที่ไหน
นำวีรชนไร้วิญญาณผ่านฟ้าไทย
ขึ้นบูชาอาลัยในเวที

ร่างที่คลุมธงชาติประกาศบอก
เราปวงชนใช่คนนอกมีศักดิ์ศรี
ประกาศฆ่าประชาชนล้วนคนดี
ความอัปรีย์แห่งระบอบตอบอย่างไร

(๑๒ เมษ.) รัฐบาลแก้ตัวเป็นพัลวัน
อ้าง “เสื้อดำ” ผู้ลั่นกระสุนใส่
“ศอฉ.” ร่วมด้วยช่วยแก้ไป
แต่คลิปโชว์ชัดใสใช่มือปืน

คนเสื้อแดงร่วมงานศพวีรชน
ทั่วทิศาหลังล้นเพราะทนฝืน
ฝ่ายตรงข้ามคือทรราชอำนาจปืน
เสียงสะอื้นปนแค้นช่างแน่นทรวง

นั่งดูข่าวของทหารงานเดียวกัน
สื่อทุกสื่อยืนยันงานศพหลวง
ตาสว่างกันหรือไม่ไทยทั้งปวง
สิ่งใดลวงสิ่งใดจริงนิ่งพิจารณา

(๑๕ เมษ.) ราชประสงค์แน่นขนัดเพราะขัดข้อง
อาลัยรักพี่น้องต้องมาหา
เมื่อบ้านเมืองสีดำต้องนำพา
ตั้งใจฆ่าปวงชนย่อมดลใจ

บาปกรรมนี้มีจริงนิ่งไว้ก่อน
ทั่วนครมองตรงไม่สงสัย
เกิดสงครามเราบัดนี้รู้สู้กับใคร
ถึงเวลาแล้วเมืองไทยจักเปลี่ยนแปลง.