tag:blogger.com,1999:blog-60547864992349407712024-03-06T12:19:22.079+07:00กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้
<< "ความเชื่อ" มักไม่ได้รองรับด้วยเหตุผล
"ความเชื่อ" มักไม่ทนต่อความจริง
"ความเชื่อ" มักอิงสิ่่งที่พิสูจน์ไม่ได้ >>กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.comBlogger123125tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-40819141140422979112014-04-06T11:05:00.002+07:002014-04-06T11:05:56.262+07:00การสร้างพลเมืองกับการพัฒนาประชาธิปไตยไทย- วรเจตน์ ภาคีรัตน์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5CB5WLtE9ovhDGNeD6tfX0wSV1DlGhUfIHgTP0V7RX20DYgzO_s5jcVFaElEXY6xD_4OpBhSRJClT46TMO8hPltGfC4kCKE9yDrpLkEVyXPIt4qMqV6XBrs89lUujGoxTrPL81-5QhFA/s1600/44571.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5CB5WLtE9ovhDGNeD6tfX0wSV1DlGhUfIHgTP0V7RX20DYgzO_s5jcVFaElEXY6xD_4OpBhSRJClT46TMO8hPltGfC4kCKE9yDrpLkEVyXPIt4qMqV6XBrs89lUujGoxTrPL81-5QhFA/s1600/44571.jpg" height="165" width="320" /></a></div>
<br />
<span style="font-size: 14pt;">การสร้างพลเมืองกับการพัฒนาประชาธิปไตยไทย – วรเจตน์ ภาคีรัตน์</span><br />
<span style="font-size: 14pt;"><br /></span>
“สำหรับในมุมมองของผม
ในเบื้องต้นจะต้องมีความเข้าใจว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองซึ่ง
มองว่ามนุษย์ทุกคนในสังคมล้วนแล้วแต่มีผลประโยชน์ในทางการเมืองทั้งสิ้น”<br />
<br />
<br />
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
ที่มา: <a href="http://www.enlightened-jurists.com/page/179">http://www.enlightened-jurists.com/page/179</a></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>คอลัมน์</strong> บทสัมภาษณ์ความเห็นทางวิชาการ</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>ชื่อเรื่อง</strong> รองศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์<sup><strong>1.</strong></sup> อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
เรื่อง <strong>“การสร้างพลเมืองกับการพัฒนาประชาธิปไตยไทย” </strong>เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>ผู้เขียน</strong> กองบรรณาธิการจุลนิติ</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>จุลนิติ :
หลักการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยของนานาอารยประเทศในโลกนี้ได้วางหลัก
การพื้นฐานอันถือได้ว่าเป็นสาระสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยไว้อย่าง
ไร</strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong><br /></strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>รศ. ดร. วรเจตน์ฯ :</strong>
คำว่า “ประชาธิปไตย” หมายถึงการปกครองโดยประชาชนเป็นใหญ่
เป็นรูปแบบหนึ่งของระบอบการปกครอง (Regime of Government)
เราคงทราบว่าในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้น
ได้ผ่านรูปแบบการปกครองมาแล้วหลายรูปแบบด้วยกัน
โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นประเด็นที่นับว่าเป็นคำถามที่สำคัญที่สุด คือ <strong>“อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยควรเป็นของใครหรือควรอยู่ที่ใคร”</strong>
ซึ่งในที่สุดแล้วพัฒนาการของแนวความคิดทางด้านการเมืองโดยเฉพาะในยุคสมัย
ใหม่เป็นต้นมา ได้ให้การยอมรับและถือว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ <strong>“ควรเป็นของประชาชน”</strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong><br /></strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
ดังนั้น
เมื่อกล่าวถึงการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว
หลักการพื้นฐานหรือหัวใจที่มีความจำเป็นต้องพิจารณาและคำนึงถึงคือ
อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศนั้นเป็นของใคร ฉะนั้น
ถ้าหากว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของพระเจ้าหรือผู้แทนของพระเจ้า
บนพื้นพิภพ หรือเป็นของพระมหากษัตริย์
หรือเป็นของนักวิชาการหรือนักปราชญ์แล้ว
การปกครองในรูปแบบนั้นไม่ถือว่าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย <strong>เพราะการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศต้องเป็นของประชาชน</strong>
หลักการนี้คือหลักการพื้นฐานอันถือได้ว่าเป็นสาระสำคัญหรือนิยามที่สั้นที่
สุดของการปกครองระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ
ให้พิจารณาในแง่ของตัวผู้ที่เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศว่า
เป็นใคร
อย่างไรก็ตามการแสดงออกซึ่งอำนาจของประชาชนนั้นอาจเป็นไปได้ในหลายลักษณะ
ดังนั้นการใช้อำนาจสูงสุดจึงอาจมีรูปลักษณ์แตกต่างกันไปได้ เช่น
การออกเสียงเลือกตั้ง การออกเสียงประชามติ
การให้องค์กรของรัฐที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยเป็นผู้ใช้อำนาจ เป็นต้น</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>จุลนิติ : ในทัศนะของอาจารย์มีความเห็นว่าปัจจุบันประชาชนชาวไทยมีความรู้ความเข้าใจในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด</strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong><br /></strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>รศ. ดร. วรเจตน์ฯ :</strong>
เดิมสมัยที่ผมเป็นนักศึกษาและเรียนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัย
ผมถูกสอนให้เชื่อหรือเข้าใจเหมือนกับที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันว่า
ประชาชนของประเทศไทยยังไม่มีความรู้ความเข้าใจว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตย
คืออะไร
หรือยังไม่มีความเข้าใจว่าตนเองเป็นผู้ที่ทรงอำนาจหรือเป็นเจ้าของอำนาจ
อธิปไตยอย่างไร
และผมถูกสอนให้เชื่ออีกว่าสาเหตุที่ทำให้ระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยมี
ปัญหานั้น
สืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕
โดยคณะราษฎร<sup><strong>2.</strong></sup> เป็นการชิงสุกก่อนห่าม
เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยกลุ่มนักเรียนนอกหรือกลุ่มบุคคลซึ่ง
เป็นคนหัวก้าวหน้าและได้รับอิทธิพลแนวความคิดมาจากตะวันตก
พอกลับมาประเทศไทยจึงรีบร้อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง
โดยที่ประชาชนของประเทศยังไม่มีความรู้ความเข้าใจว่าการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยคืออะไร จนส่งผลทำให้เกิดเป็นปัญหาของประเทศมาจนถึงปัจจุบันนี้</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ผมได้ตระหนักแล้วว่าสิ่งที่ผมเคยรับรู้มานั้นน่าจะเป็นแนวความคิดที่ผิด และ<strong>ถ้า
หากถามผม ณ
ปัจจุบันนี้ว่าประชาชนชาวไทยโดยส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในหลักการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด
ผมเชื่อว่าในปัจจุบันนี้ประชาชนชาวไทยโดยส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจดี</strong>
อย่างน้อยที่สุดก็ตระหนักรู้ในสิทธิในเสียงของตนเอง ทั้งนี้
โดยพิจารณาจากพัฒนาการในทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วง ๓ ถึง ๔ ปี
ที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนในฝ่ายใดหรือสีใดก็ตาม
ผมเชื่อว่าเขามีความเข้าใจและตระหนักดีว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศแท้
จริงแล้วมันเป็นอำนาจของเขา
เพียงแต่วิธีการในการแสดงออกหรือการใช้อำนาจและแนวความคิดบางอย่างอาจจะไม่
ตรงกันเท่านั้น
และบางส่วนอาจจะยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการเคารพเสียงข้างมากอย่างพียง
พอ คือคิดว่าเสียงข้างน้อย (ที่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นนำ) ถูกต้อง
เมื่อถูกต้องเสียแล้วจึงมีความชอบธรรมที่จะทำอะไรแม้แต่จะกระทบกับแก่นของ
ประชาธิปไตยก็ได้เป็นความคิดที่ผิด</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>จุลนิติ :
ปัญหาและอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การพัฒนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย
ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรนั้นเกิดจากสาเหตุใด
และกระบวนการในการสร้างประชาธิปไตยโดยเฉพาะการสร้างจิตสำนึกของประชาชนให้
ได้มีโอกาสเข้าถึงวิถีชีวิตแบบสังคมประชาธิปไตยที่ถูกต้องนั้นควรมีแนว
ทางอย่างไร</strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong><br /></strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>รศ. ดร. วรเจตน์ฯ :</strong>
สำหรับคำถามประเด็นนี้อาจจะตอบยาก
เพราะว่าปัญหาและอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การพัฒนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยใน
ประเทศไทยไม่ประสบผลสำเร็จเป็น<strong>ปัญหาที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบการ
เมืองของไทยในปัจจุบัน กล่าวคือ
กลุ่มชนชั้นนำของสังคมไทยในปัจจุบันยังมีการโต้เถียงกันว่าแท้จริงแล้ว
ประชาชนชาวไทยมีความพร้อมหรือมีความเข้าใจในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย
หรือไม่</strong> ฝ่ายหนึ่งมีความเห็นว่ายังไม่พร้อม
เนื่องจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาทำให้ได้นักการเมืองเข้ามาทุจริตคอร์รัปชั่น
และกระบวนการในการเลือกตั้งยังมีการซื้อเสียง
รวมทั้งมีความเชื่อว่านักธุรกิจที่เข้าสู่ระบบการเมืองอาจจะผูกขาดอำนาจทาง
การเมืองโดยผ่านกลไกพรรคการเมือง และอาจจะนำไปสู่ระบบเผด็จการนายทุนได้
ดังนั้น <strong>จึงทำให้มีความเข้าใจหรือความเชื่อว่าประชาชนชาวไทยยังไม่พร้อมกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย</strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong><br /></strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
สำหรับในมุมมองของผม
ในเบื้องต้นจะต้องมีความเข้าใจว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองซึ่ง
มองว่ามนุษย์ทุกคนในสังคมล้วนแล้วแต่มีผลประโยชน์ในทางการเมืองทั้งสิ้น
เป็นเรื่องปัจเจกของบุคคลแต่ละคนหรือของกลุ่มบุคคลแต่ละกลุ่ม
ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ชาวไร่ชาวนา คนขับรถแท็กซี่ ข้าราชการ
หรือทุกคนที่อยู่ในระบบนี้ ล้วนแล้วแต่มีผลประโยชน์ในทางการเมืองทั้งสิ้น
ดังนั้น <strong>ระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นระบอบที่พยายามจัดสรรผลประโยชน์ในทางการเมืองให้มีความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายภายใต้หลักนิติรัฐ</strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong><br /></strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
หากถามว่าเพราะเหตุใดประเทศไทยยังคงมีปัญหาเรื่องนี้อยู่ในปัจจุบัน ผมคิดว่ามี<strong>สาเหตุ
สำคัญมาจากความไม่ลงตัวของดุลอำนาจหรือความไม่ลงตัวของโครงสร้างการเมืองการ
ปกครอง นับตั้งแต่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ </strong>กล่าว
คือ ก่อนปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของพระมหา
กษัตริย์
แต่ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่พระมหา
กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของ
ประชาชนทั้งหลาย<strong>ซึ่งหากพิจารณาในทางหลักการแล้วอาจจะมีการเปลี่ยน
แปลง แต่หากพิจารณาในแง่ของดุลอำนาจจริง ๆ แล้ว
ผมมีความเห็นว่าอาจจะไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยเท่าใดนัก</strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong><br /></strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
อย่างไรก็ตาม
ในช่วงประมาณ ๑๕ ปีแรก
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองอาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ระบบกำลัง
ดำเนินไปในทิศทางของประชาธิปไตยเป็นลำดับ แต่ก็มาสะดุดเอา<strong>เมื่อมีการทำรัฐประหารในปี พ.ศ. ๒๔๙๐<sup>3.</sup> และนับแต่นั้นเป็นต้นมาอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศแทบจะไม่ได้ตกมาอยู่ในมือหรือเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง</strong> เพราะเหตุที่มักจะมีกระบวนการที่พยายามสกัดกั้นพัฒนาการของประชาธิปไตยมาโดยตลอด นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เรื่อยมา <strong>และ
ส่งผลทำให้ประเทศไทยเข้าสู่วงจรการทำรัฐประหาร การยึดอำนาจ
ฉีกทำลายรัฐธรรมนูญ จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
มีการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และสุดท้ายก็มีการยึดอำนาจ</strong> เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
สาเหตุประการหนึ่งซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การพัฒนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยไม่ประสบผลสำเร็จคือ <strong>ความล้มเหลวหรือความพ่ายแพ้ของคณะราษฎรในการสถาปนาอุดมการณ์ประชาธิปไตยหรือนิติรัฐให้เป็นอุดมการณ์ของสังคม</strong>
กล่าวคือ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
คณะราษฎรไม่สามารถที่จะทำให้อุดมการณ์ประชาธิปไตยหรือนิติรัฐแทรกซึมผ่าน
เข้าไปในกลุ่มคนหรือองค์กรที่มีอำนาจในทางวินิจฉัยชี้ขาดหรือตัดสินปัญหา
สำคัญ ๆ ของประเทศได้ เราอาจพูดถึงองค์กรได้หลายองค์กร
แต่อาจจะยกตัวอย่างให้เห็นเด่นชัดได้ เช่น กองทัพหรือองค์กรตุลาการ
หากกล่าวเฉพาะองค์กรตุลาการ <strong>เราจะเห็นว่าองค์กรตุลาการเป็นองค์กร
ที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นน้อยที่สุดภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เนื่องจากได้รับเอาโครงสร้างขององค์กรตุลาการเดิมก่อนมีการเปลี่ยนแปลงการ
ปกครองมาเกือบทั้งหมด</strong>
รวมทั้งมีบทบาทในการพิทักษ์และคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนหรือมีส่วน
ในการพัฒนาประชาธิปไตยน้อยมาก ดังนั้น
พลังในการที่จะผลักหรือขับเคลื่อนประชาธิปไตยในช่วงเวลานั้นจึงอ่อนแรงลง
ประกอบกับการต่อสู้กันของกลุ่มชนชั้นนำหรือกลุ่มอำนาจเดิมก่อนมีการเปลี่ยน
แปลงการปกครองซึ่งมีความชาญฉลาดในการที่จะดึงอำนาจกลับคืนมาทีละเล็กทีละ
น้อยผ่านบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
จนทำให้อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศไม่ได้เป็นของประชาชน
อย่างแท้จริง
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงกองทัพที่แทบจะไม่มีอุดมการณ์ในเรื่องการรักษาคุณค่าของ
ระบอบประชาธิปไตยหรือการพิทักษ์คุ้มครองรัฐธรรมนูญเลย</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>ความล้มเหลวหรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของคณะราษฎรอาจมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งภายในคณะราษฎรเอง</strong>
กล่าวคือ ภายหลังจากที่ได้อำนาจมา
นอกจากจะต้องต่อสู้กับกลุ่มอำนาจเก่าแล้ว
ในคณะราษฎรเองความคิดเห็นบางอย่างยังไม่ลงรอยกัน
และความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกันนี้ทำให้เกิดการต่อสู้กัน
จนมาถึงจุดที่ทำให้สถานการณ์ผันแปรไป
คือภายหลังเหตุการณ์สวรรคตของรัชกาลที่ ๘ และเป็นเหตุที่ทำให้ ศ. ดร.
ปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม แกนนำของคณะราษฎรฝ่ายก้าวหน้า
ผู้ก่อตั้งและผู้ประศาสน์การของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ
เหตุการณ์ดังกล่าวและต้องได้รับผลร้ายจนเป็นเหตุให้ต้องลี้ภัยการเมืองไปยัง
ต่างประเทศและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทางการเมือง <strong>เหตุการณ์ดังกล่าวนับว่า
เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในทางประวัติศาสตร์ในความคิดเห็นของผม
เพราะถ้าไม่มีเหตุการณ์หรือจุดเปลี่ยนตรงนั้น
ปัจจุบันนี้ประชาธิปไตยของประเทศไทยอาจมีพัฒนาการไปอีกระดับหนึ่งแล้ว</strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong><br /></strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>ปัญหาดังกล่าว
ได้กลายเป็นปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
ได้สร้างกลไกให้รัฐบาลมีความเข้มแข็งและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น</strong>
และรัฐบาลที่มีความเข้มแข็งดังกล่าวเป็นรัฐบาลชุดที่มีนโยบายและการทำงานถูก
ใจประชาชนส่วนใหญ่
แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลชุดดังกล่าวได้ถูกกล่าวหาหรือมีข้อครหาเกี่ยวกับการ
ทุจริตคอร์รัปชั่นและผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้นำ
ในที่สุดปัญหาหรือแนวความคิดในสองด้านนี้ได้มาปะทะกัน และ<strong>คนในสังคมไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าปัญหาเรื่องใดเป็นเรื่องหลัก ปัญหาเรื่องใดเป็นเรื่องรอง</strong>
จึงได้ยกเอาเรื่องที่เป็นเรื่องรองกลายมาเป็นเรื่องหลัก กล่าวคือ
ยกเอาเรื่องการจัดการกับอดีตนายกรัฐมนตรีมาเป็นเรื่องหลัก
ซึ่งภายใต้แนวความคิดแบบนี้<strong>จึงเป็นต้นเหตุในการทำลายอุดมการณ์ประชาธิปไตยโดยไม่รู้ตัว</strong>
เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งภายใต้หลักเกณฑ์ของประชาธิปไตย
ในส่วนของข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นและผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น
ต้องดำเนินการหรือจัดการไปตามระบบหรือกลไกของประชาธิปไตย
ซึ่งผมไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าต้องใช้เวลานานเพียงใด
เพราะขึ้นอยู่กับตัวระบบที่จะแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
ถ้าเราเชื่อในระบบหรือกลไกของประชาธิปไตย
แต่ถ้าหากเราไม่เชื่อว่าระบบหรือกลไกของประชาธิปไตยจะสามารถแก้ไขปัญหาด้วย
ตัวเองได้ แล้วเราจะมาเรียกร้องประชาธิปไตยกันทำไม</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
ดังนั้น
ผมจึงอยากให้พิจารณาให้ถ่องแท้ว่าต้นเหตุที่ทำให้การพัฒนาการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยในประเทศไทยไม่ประสบผลสำเร็จอยู่ตรงไหน
ต้นเหตุของปัญหาอยู่ที่ประชาชนจริงหรือไม่
สำหรับผมแล้วผมคิดว่าเราคงไม่สามารถกล่าวได้ว่าประชาชนไทยทุกคนหรือแม้
กระทั่งในโลกนี้มีวิจารณญาณในการตัดสินใจที่เท่ากัน
ตอนที่ผมเรียนหนังสืออยู่ในเยอรมัน
ผมได้ศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมัน
ทำให้ทราบว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งของประเทศเยอรมันได้วางหลักเกณฑ์
เกี่ยวกับการเลือกตั้งไว้ค่อนข้างสลับซับซ้อน
และผมลองถามชาวบ้านเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ว่ามีหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขอย่างไรบ้าง ชาวบ้านตอบว่าไม่รู้และไม่มีทางที่จะรู้ได้
เพราะว่าเป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อนมาก
แต่อย่างน้อยชาวบ้านรู้ว่ามีหน้าที่ต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งและรู้ว่าอำนาจ
สูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของเขา
ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องในทางเทคนิคที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>สำหรับประเทศ
ไทย
ผมมีความเห็นว่าปัจจุบันนี้กลุ่มชนชั้นนำของสังคมไทยหรือกลุ่มคนที่อยู่ใน
ระดับผู้นำของประเทศน่าจะยังมีความไม่พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา
เป็นระบอบประชาธิปไตยซึ่งอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชนอย่าง
แท้จริง</strong> เพราะอาจกลัวว่าจะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของตนเอง
และกลัวว่าประชาชนจะถูกหลอกโดยนักการเมืองฉ้อฉล
ด้วยความกลัวดังกล่าวจึงทำให้คนกลุ่มนี้
รวมทั้งนักวิชาการและข้าราชการระดับสูง
ได้พยายามแสวงหาวิธีการหรือระบอบการปกครองในอีกลักษณะหนึ่ง
ซึ่งไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตย
ถึงแม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน มาตรา ๒ และมาตรา ๓
จะได้วางหลักการไว้ว่าประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา
กษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยก็ตาม <strong>แต่หากพิจารณาลึกลงไปในทางเนื้อหาของรัฐธรรมนูญแล้ว จะเห็นว่ามีกลไกบางประการที่ไม่สอดคล้องกับหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย</strong>
เช่น หลักการเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง
และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการ
เมืองซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยกับการกระทำความผิด
เพราะเท่ากับไปทำลายการรวมกลุ่มกันเพื่อแสดงเจตจำนงในทางการเมืองของประชาชน
อีกทั้งหลักการดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แต่ประการใด
หรือหลักการที่กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามีที่มาจากการสรรหาส่วนหนึ่ง
หรือการกำหนดให้ตุลาการมีบทบาทและอำนาจเพิ่มมากขึ้นโดยที่ไม่สามารถที่จะ
วิพากษ์วิจารณ์ได้หรือวิพากษ์วิจารณ์ได้ด้วยความยากลำบาก เป็นต้น</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
โดยสรุปแล้ว<strong>ปัญหา
และอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การพัฒนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยไม่
ประสบผลสำเร็จ คือ
การที่อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศยังไม่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง</strong>
ดังนั้น วิธีการหรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ง่ายที่สุด
คือการยอมรับกันในหลักการเบื้องต้นก่อนว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยอำนาจ
สูงสุดในการปกครองประเทศจะต้องเป็นของประชาชน หากประชาชนตัดสินใจอย่างใด
ต้องยอมรับในการตัดสินใจนั้น และการแก้ไขปัญหาจะต้องแก้ไขไปตามระบบ
นักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชั่นจะต้องมีการจัดการตามระบบของกฎหมาย
มิใช่พอเห็นว่ามีปัญหาเกิดขึ้นก็นำกำลังทหารออกมายึดอำนาจ
ซึ่งเท่ากับทำให้พัฒนาการของประชาธิปไตยสะดุดหรือหยุดชะงักลง
สิ่งนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาธิปไตยของประเทศไทยไปไม่ถึงไหน</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>จุลนิติ :
เมื่อสักครู่อาจารย์ได้กล่าวว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้การพัฒนาการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยในประเทศไทยไม่ประสบผลสำเร็จ คือ
ความล้มเหลวหรือพ่ายแพ้ของคณะราษฎรในการสถาปนาอุดมการณ์ประชาธิปไตยหรือนิติ
รัฐให้เป็นอุดมการณ์ของสังคม ดังนั้น หากสามารถย้อนเวลากลับไปในปี พ.ศ.
๒๔๗๕ ได้
และอาจารย์เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมกับคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
อาจารย์จะดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร</strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong><br /></strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>รศ. ดร. วรเจตน์ฯ :</strong>
ในฐานะที่ผมเป็นนักนิติศาสตร์
ผมคงจะทำได้ในแง่ของการจัดโครงสร้างของระบบกฎหมาย
ซึ่งแน่นอนว่าการดำเนินการเพียงแค่นี้อาจจะไม่เป็นการเพียงพอ เนื่องจาก<strong>การ
สถาปนาอุดมการณ์ประชาธิปไตยหรือนิติรัฐให้เป็นอุดมการณ์ของสังคมนั้น
ไม่ได้อาศัยเพียงเฉพาะตัวบทกฎหมายที่เป็นตัวหนังสือดำ ๆ
บนแผ่นกระดาษเท่านั้น</strong> เพราะยังหมายถึง <strong>สำนึก วิธีคิด อุดมการณ์</strong> และความเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรม ดังนั้น <strong>การปลูกฝังระบอบประชาธิปไตยให้เป็นอุดมการณ์ของสังคมจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการในหลาย ๆ ด้านไปพร้อม ๆ กัน</strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong><br /></strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
ดังนั้น ส่วนหนึ่งที่ผมจะทำคือ<strong>การจัดวางโครงสร้างของระบบกฎหมายให้มีความสอดคล้องหรือรองรับกับอุดมการณ์ในทางประชาธิปไตย รวมทั้งในทางวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ</strong>ด้วย สำหรับกฎเกณฑ์ในทางรัฐธรรมนูญ ผมคิดว่าสิ่งที่จะต้องทำคือจัดการความสัมพันธ์ของโครงสร้างอำนาจในทางรัฐธรรมนูญให้รับกับตัวระบบ <strong>หมาย
ความว่า
อำนาจของรัฐทุกอำนาจที่ใช้จะต้องมีความเชื่อมโยงกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของ
อำนาจ ทั้งในด้านนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
ตลอดจนความสัมพันธ์ของอำนาจเหล่านี้กับประมุขของรัฐหรือพระมหากษัตริย์ด้วย</strong>
โดยจะต้องจัดวางให้ได้ดุลยภาพภายใต้หลักการของความรับผิดชอบต่อประชาชน
นั่นหมายความว่าองค์กรของรัฐองค์กรใดมีอำนาจโดยขาดความเชื่อมโยงในทาง
ประชาธิปไตยกับประชาชนหรือใช้อำนาจโดยไม่ต้องรับผิดชอบกับการใช้อำนาจนั้น
จะต้องปรับเปลี่ยนการมีและการใช้อำนาจในลักษณะเช่นนั้นเสีย
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าในช่วงประมาณ ๑๕ ปีแรก
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เป็นช่วงเวลาที่ระบบกำลังดำเนินไปในทิศทางของประชาธิปไตยเป็นลำดับ
โดยเฉพาะการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙
ซึ่งผมมีความเห็นว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่มีความก้าวหน้ามาก
โดยได้วางหลักการเกี่ยวกับอำนาจนิติบัญญัติไว้ค่อนข้างดี
และถ้าผมมีส่วนในการยกร่าง คงจะต้องแก้ไขเพิ่มเติมหลักการในบางประการ เช่น <strong>ทำให้อำนาจของตุลาการมีความเชื่อมโยงกับประชาชน ให้มีผู้ตรวจการทหารซึ่งรัฐสภาแต่งตั้งทำหน้าที่ตรวจสอบกองทัพ เป็นต้น</strong>
อย่างไรก็ตามนี่เป็นการตอบบนพื้นฐานของรัฐธรรมนูญในช่วงสิบห้าปีแรกหลัง
เปลี่ยนแปลงการปกครอง
แต่ถ้าถามถึงรัฐธรรมนูญในปัจจุบันนี้คงจะมีจุดที่ต้องปรับเปลี่ยนเยอะกว่า
นี้มาก เรียกว่าต้องยกเครื่องใหม่ทีเดียว</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>จุลนิติ :
การพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งมั่นคงและยั่งยืน
ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา
กษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง ตามหลักการที่ว่าเป็น
“การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน”
นั้นควรจะต้องมีการพัฒนาอย่างไรจึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้</strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong><br /></strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>รศ. ดร. วรเจตน์ฯ :</strong>
วิธีการที่ง่ายที่สุดคือการทำให้กลุ่มชนชั้นนำของสังคมไทยหรือกลุ่มคนที่
อยู่ในระดับผู้นำของประเทศมีความตระหนักและควรรู้ว่าในที่สุดจะไม่สามารถ
ทัดทานกระแสประชาธิปไตยได้
เพราะแนวความคิดทางด้านการเมืองการปกครองของโลกได้พัฒนามาถึงจุดสุดท้ายแล้ว
หรืออาจกล่าวได้ว่าประชาธิปไตยคือคำตอบสุดท้าย
ส่วนที่เหลือที่จะต้องมีการพัฒนาต่อไปเป็นเพียงรายละเอียดในแง่ของรูปแบบ
ประชาธิปไตยเท่านั้น
เนื่องจากปัจจุบันผมยังมองไม่เห็นว่ามีระบอบการปกครองใดที่จะดีไปกว่าระบอบ
ประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม <strong>ระบอบการปกครองในโลกนี้ไม่ว่าระบอบใดต่าง
ก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ระบอบประชาธิปไตยก็มีปัญหาในตัวเอง
แต่การมีปัญหาของระบอบประชาธิปไตยยังมีข้อดีคือ
การเปิดโอกาสหรือการมีเสรีภาพในการที่จะวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความเห็นได้
ซึ่งถือเป็นคุณค่าสำคัญของระบอบประชาธิปไตย</strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong><br /></strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำมากที่สุดในการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งมั่นคงและยั่งยืน ตามหลักการที่ว่าเป็น <strong>“การ
ปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” นั้น
คือการทำให้อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชน
และประชาชนสามารถที่จะใช้อำนาจนั้นได้อย่างแท้จริง
ต้องเคารพการใช้อำนาจของประชาชน</strong>
และการแสดงออกซึ่งอำนาจของประชาชนที่มีความชัดเจนที่สุดคือการเลือกตั้งกับ
การออกเสียงประชามติ ถึงแม้การเลือกตั้งอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดของประชาธิปไตย
แต่ประชาธิปไตยในโลกปัจจุบันนี้เกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีการเลือกตั้ง
หรืออาจกล่าวได้ว่า<strong>การเลือกตั้งมิใช่คำตอบทุกคำตอบของประชาธิปไตย แต่เป็นสาระสำคัญของประชาธิปไตย</strong> หากใครปฏิเสธการเลือกตั้งเท่ากับเป็นการปฏิเสธประชาธิปไตยในบั้นปลาย และโดยส่วนตัวผมมีความเห็นว่า<strong>ปัญหาในการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยอยู่ที่ชนชั้นนำ ปัญหาไม่ได้อยู่ทีประชาชน</strong>
แน่นอนว่าในรายละเอียดคงจะต้องพูดถึงเรื่องการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น
ของประชาชน เรื่องการกระจายอำนาจอะไรเหล่านี้ แต่สิ่งนี้มาทีหลัง
ดังนั้นเวลาพูดว่าประชาชนไม่พร้อมเพราะยังไม่มีการศึกษา
ต้องให้การศึกษากับประชาชน
ซึ่งเป็นคำพูดมาตรฐานเวลาพูดถึงปัญหาประชาธิปไตยไทย
ผมว่าอาจจะต้องพูดถึงการให้การศึกษาเรื่องประชาธิปไตยและการปลูกจิตสำนึก
ประชาธิปไตยให้กับคนที่มีการศึกษาเสียก่อน
ส่วนประเด็นเรื่องนักการเมืองไม่ดี พรรคการเมืองไม่ดี
ปัญหาพวกนี้ค่อยๆแก้ไขไปได้ ซึ่งการวางระบบกฎหมายรัฐสภา
กฎหมายพรรคการเมืองที่ดีก็จะช่วยได้ส่วนหนึ่ง</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>จุลนิติ : บทสรุปส่งท้ายและข้อเสนอแนะอื่นๆ</strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong><br /></strong></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
รศ. ดร. วรเจตน์ฯ :
การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองที่อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ
เป็นของประชาชน ประชาชนจะต้องตระหนักและรู้ว่าตนเองเป็นเจ้าของอำนาจนั้น
ดังนั้น
หน้าที่สำคัญของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยคือการไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือการ
ไปออกเสียงประชามติ อันเป็นการแสดงออกซึ่งอำนาจของตน</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
สำหรับในส่วนของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนั้น ผมมีความเห็นว่าควรมีการเพิ่มเติมสิทธิบางประการให้แก่ประชาชน เช่น <strong>สิทธิในการถอนคืนตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรภายในเขตเลือกตั้ง </strong>ใน
กรณีที่ปรากฏว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นประพฤติหรือปฏิบัติตนไม่เหมาะสมที่
จะทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกต่อไป
แม้การกระทำดังกล่าวจะไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ตาม
แต่หากประชาชนมีความรู้สึกว่าถ้าให้ทำหน้าที่ต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหาย
ได้ และเมื่อผ่านช่วงระยะเวลาหนึ่งไปควรมีกลไก<strong>ให้ประชาชนในเขตเลือก
ตั้งมีสิทธิเข้าชื่อกันเพื่อถอนคืนตำแหน่งแล้วเลือกคนใหม่เข้าไปทำหน้าที่
แทน ดีกว่าการให้วุฒิสภามีอำนาจในการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง</strong>
เป็นต้น
และควรมีการจัดความสัมพันธ์ของโครงสร้างอำนาจในทางรัฐธรรมนูญให้มีความสอด
คล้องกับหลักการประชาธิปไตย
โดยเฉพาะวิธีการในการเข้าสู่ตำแหน่งผู้พิพากษาตุลาการในศาลสูงควรที่จะให้มี
ความเชื่อมโยงกับประชาชน เช่น
จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา
(ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย) ก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง
กำหนดระบบการถอดถอนออกจากตำแหน่งโดยเคารพหลักความเป็นอิสระของผู้พิพากษา
ตุลาการ และจะต้องมีกลไกในการตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจดังกล่าวได้
เช่นการมีผู้พิพากษาสมทบที่เป็นประชาชนธรรมดาในศาลระดับล่าง
การกำหนดหลักการประกาศองค์คณะให้ประชาชนทราบตัวผู้พิพากษาที่จะตัดสินคดีใน
แต่ประเภทคดีในแต่ละปีการการตัดสินคดี การมีกฎหมายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมาชิกวุฒิสภา
กฎหมายรัฐมนตรีซึ่งกำหนดกฎเกณฑ์การแสดงออกซึ่งอำนาจรัฐและการรับผลตอบแทน
การขจัดประโยชน์ที่ได้รับมาโดยไม่สมควร เป็นต้น</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
ตามที่กล่าวมาในเบื้อง
ต้น เป็นสิ่งหรือกลไกที่จะต้องมีการคิดและเพิ่มเติมไว้ในรัฐธรรมนูญ
และกฎหมายระดับพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง
แต่สังเกตว่ากลไกที่ต้องเพิ่มเติมดังกล่าวส่วนใหญ่แล้วจะไปลดทอนอำนาจของชน
ชั้นนำทั้งนั้น
ประเด็นปัญหาจึงมีว่าจะสามารถทำได้สำเร็จหรือไม่ในสถานการณ์การเมืองที่
ต่อสู้และแย่งชิงกันในปัจจุบัน ดังนั้น <strong>สถานการณ์ในปัจจุบันจึงอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยได้เดินมาถึงจุดซึ่งเป็นทางเดินสองทางที่แยกออกจากกัน และไม่มีวันที่จะมาบรรจบกันได้</strong>เรา
จะต้องเลือกเดินไปในทางใดทางหนึ่ง ระหว่างทางที่เป็นประชาธิปไตยจริง ๆ
กับทางที่เป็นประชาธิปไตยปลอม ๆ
หากถามว่าแนวโน้มในปัจจุบันสังคมไทยจะเดินไปในทิศทางใด ผมมีความเชื่อว่า<strong>ในที่สุดแล้วสังคมไทยจะเดินไปสู่สังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง</strong>
ซึ่งในระหว่างทางที่เดินนี้หากสามารถที่จะประนีประนอมกันได้ความรุนแรงอาจจะ
มีไม่มาก เช่น ในประเทศอังกฤษซึ่งเขาก็มีการต่อสู้และประนีประนอมกัน
เนื่องจากในปัจจุบันสภาขุนนาง (House of Lords)<sup><strong>4.</strong></sup>
ของอังกฤษ ยังประกอบด้วยสมาชิกประเภทขุนนางสืบตระกูล (Hereditary Peers)
ซึ่งมีที่มาจากการสืบทอดตำแหน่งทางสายโลหิตอยู่ แต่สมาชิกประเภทนี้จะค่อย ๆ
ถูกลดจำนวนให้น้อยลงจนในที่สุดผมเชื่อว่าจะเลิกไป
เพราะประเทศอังกฤษรู้ว่าระบบแบบนี้มีความไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตยจึงต้อง
มีการปฏิรูประบบการปกครองให้ไปในทิศทางประชาธิปไตยมากขึ้น เป็นต้น</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
ดังนั้น
จึงพิจารณาเห็นได้ว่าปัจจุบันทุกประเทศมีแนวโน้มที่จะเดินไปในทิศทางนี้หมด
อย่างไรก็ตาม ประชาธิปไตยอาจจะนำมาซึ่งปัญหาใหม่ ๆ เช่น
ปัญหาการใช้ทรัพยากรที่เกินขนาดและนำมาสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
แต่ว่าปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขและจัดการได้ภายใต้ระบอบ
ประชาธิปไตยที่มีโครงสร้างและมีกลไกที่ดีและยอมรับว่าอำนาจสูงสุดเป็นของ
ประชาชน</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
นอกจากนี้ ในปัจจุบันมีการพูดถึงรัฐสวัสดิการ (Welfare state)<sup><strong>5.</strong></sup>
รวมทั้งมีความพยายามที่จะปฏิรูปประเทศเนื่องจากมีความเห็นว่าสังคมไทยมี
ปัญหาความเหลื่อมล้ำ หรือการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรมนั้น
ผมมีความเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่สามารถที่จะสำเร็จได้ตราบใดที่โครง
สร้างของประเทศยังไม่เป็นประชาธิปไตยก่อน เพราะ<strong>การที่จะปฏิรูปประเทศไปสู่รัฐสวัสดิการหรือสังคมแบบนั้นได้จะต้องผ่านสังคมที่มีความเป็นประชาธิปไตยก่อนทั้งสิ้น</strong>
การจัดทำกฎหมายว่าด้วยภาษีที่ดินจะสำเร็จได้อย่างไรถ้าชนชั้นนำของประเทศยัง
ถือครองที่ดินจำนวนมหาศาลอยู่ ใครจะยอมให้มีกฎหมายแบบนี้มาบังคับใช้
เพราะคนที่กุมอำนาจในการกำหนดนโยบายของประเทศไม่ใช่ประชาชนที่แท้จริง
พรรคการเมืองใดที่คิดจะทำนโยบายในลักษณะนี้จะต้องถูกขัดขวางจากกลุ่มที่เป็น
ชนชั้นนำของประเทศที่ถือครองที่ดินอยู่
เพราะนโยบายดังกล่าวจะกระทบกับผลประโยชน์ของคนกลุ่มนี้โดยตรง ดังนั้น
ในการที่จะไปสู่รัฐสวัสดิการหรือปฏิรูปประเทศสิ่งที่จะต้องดำเนินการก่อนใน
เบื้องต้นคือการทำให้โครงสร้างของประเทศเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงก่อน โดย<strong>ต้อง
เริ่มต้นทำให้อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
รวมทั้งการทำให้สถาบันการเมืองหรือสถาบันในรัฐธรรมนูญทุกสถาบันอยู่ใน
ตำแหน่งแห่งที่ที่ตนจะต้องอยู่ไม่มาก้าวก่ายกัน
และแสดงบทบาทเท่าที่เป็นบทบาทที่อยู่ในรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย</strong>หากมีปัญหาเกิดขึ้นต้องมีการแก้ไขปัญหาไปตามระบบ ให้ระบบค่อย ๆ ปรับตัวเอง แล้วในที่สุดจะไปสู่รัฐสวัสดิการอย่างที่ต้องการได้</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
————————————————————————</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>1.</strong>
Doctor der Rechte (summa cum laude) Universität Göttingen ประเทศเยอรมัน,
ปัจจุบันเป็นอาจารย์ภาควิชากฎหมายมหาชน ประจำคณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>2.</strong>
“คณะราษฎร”
เกิดขึ้นจากการรวมตัวของกลุ่มนักเรียนไทยซึ่งเป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง
ในประเทศฝรั่งเศสเป็นแกนนำ
และต่อมาได้ร่วมมือกับกลุ่มนายทหารในประเทศไทยอีกจำนวนหนึ่งก่อตั้งเป็นคณะ
ราษฎรขึ้น
โดยคณะราษฎรได้ทำการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับ
เรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ ณ
หอพักแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในถนนซอมเมอราร์ด กรุงปารีส
โดยมีสมาชิกเข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ จำนวน ๗ คน ได้แก่ ๑) นายปรีดี
พนมยงค์ ๒) ร้อยโท ประยูร ภมรมนตรี ๓) ร้อยโท แปลก ขีตตะสังคะ ๔) ร้อยตรี
ทัศนัย มิตรภักดี ๕) นายตั้ว ลพานุกรม ๖) หลวงศิริราชไมตรี และ ๗)
นายแนบ พหลโยธิน ซึ่งต่อมาคณะราษฎรได้ชักชวนนายทหารในประเทศ ๔ นาย
ซึ่งได้รับสมญานามว่า “สี่ทหารเสือ” เข้าร่วมกลุ่มด้วย ได้แก่ ๑) พันเอก
พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ๒) พันเอก พระยาทรงสุรเดช (เทพ
พันธุมเสน) ๓) พันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ เอมะศิริ) และ ๔) พันโท
พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น).</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>3.</strong>
การรัฐประหารเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐
เป็นการยึดอำนาจโดยคณะทหารบก ซึ่งผู้นำส่วนใหญ่เป็นนายทหารนอกประจำการ
โดยมีพลโท ผิน ชุณหะวัณ เป็นผู้นำ และประกอบด้วย นาวาเอก กาจ กาจสงคราม,
พันโท ก้าน จำนงภูมิเวท, พันเอก สวัสดิ์ สวัสดิเกียรติ, พันเอก สฤษดิ์
ธนะรัชต์ และพันเอก เผ่า ศรียานนท์
ได้นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลของพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นให้ลาออกจากตำแหน่ง
เมื่อทำการรัฐประหารได้สำเร็จ คณะรัฐประหารได้สนับสนุนให้ จอมพล ป.
พิบูลสงคราม ขึ้นเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร
และแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย
และได้ประกาศยุบสภาและยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙
โดยได้นำร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉะบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐
หรือ “รัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม” ร่างโดยนาวาเอก กาจ กาจสงคราม
ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ในรัฐธรรมนูญฯ
ฉบับดังกล่าว มาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๗ ได้กำหนดให้รัฐสภาประกอบด้วย
วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร
โดยพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรซึ่งราษฎรเป็นผู้เลือกตั้ง และได้มอบหมายให้นายควง อภัยวงศ์
เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดตั้งรัฐบาลต่อไป.</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>4.</strong>
สภาขุนนาง (House of Lords) หมายถึง สภาสูงของสหราชอาณาจักร
ประกอบไปด้วยสมาชิกที่เรียกว่า ลอร์ดส (Lords) หรือ เพียร์ส (peers) ประมาณ
๗๐๐ กว่าคน ซึ่งมาจากการแต่งตั้งทั้งหมด โดยแบ่งเป็น ๔ ประเภท คือ</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
(๑) ขุนนางชั่วชีพ
(Life Peers) มาจากการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี และจะดำรงตำแหน่งไปตลอดชีวิต
ปัจจุบันสมาชิกของเฮาส์ออฟลอร์ดสจำนวนมากอยู่ในประเภทนี้</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
(๒) ขุนนางสืบตระกูล
(Hereditary Peers) มาจากการสืบทอดตำแหน่งทางสายเลือด
ในสมัยก่อนนั้นเฮาส์ออฟลอร์ดสมีเฉพาะสมาชิกประเภทนี้เท่านั้น
แต่ปัจจุบันถูกลดจำนวนเหลือเพียงแค่ ๙๒ คน โดย Parliament Act ๑๙๙๙ ซึ่ง ๙๐
คนมาจากการเลือกตั้งโดย Hereditary Peers ด้วยกัน
และอีกสองคนเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งซึ่งเกี่ยวเนื่องกับรัฐสภาโดยตรงอยู่ก่อน
แล้ว ได้แก่ Great Lord Chamberlain และ Earl Marshall</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
(๓) ขุนนางศาสนา (Spiritual Peers) มาจากตัวแทนของศาสนา เช่น บิชอปและอาร์คบิชอปต่าง ๆ</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
(๔) ขุนนางนิติ (Law
Lords) เป็นสมาชิกที่มีความรู้ด้านกฎหมาย
และทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหราชอาณาจักรด้วย
ประกอบไปด้วยผู้พิพากษาจำนวน ๒๖ คน (ข้อมูลจาก <a href="http://th.wikipedia.org/">http://th.wikipedia.org</a>).</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
<strong>5.</strong>
รัฐสวัสดิการ (Welfare state)
เป็นระบบทางสังคมที่รัฐให้หลักประกันแก่ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันใน
ด้านปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการมีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น
หลักประกันด้านสุขภาพ ที่ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับบริการป้องกันและรักษาโรคฟรี
หลักประกันด้านการศึกษา
ที่ทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาตามความสามารถโดยได้รับทุนการศึกษาฟรีจนทำงาน
ได้ตามความสามารถในการเรียน หลักประกันด้านการว่างงาน
ที่รัฐต้องช่วยให้ทุกคนได้งานทำ
ใครยังหางานไม่ได้รัฐต้องให้เงินเดือนขั้นต่ำไปพลางก่อน
หลักประกันด้านชราภาพ ที่รัฐให้หลักประกันด้านบำนาญสำหรับผู้สูงอายุทุกคน
หลักประกันด้านที่อยู่อาศัย ที่ดินทำกิน เป็นต้น</div>
<div style="max-width: 640px; text-align: justify;">
ประเทศที่มีระบบรัฐ
สวัสดิการจะใช้ระบบการเก็บภาษีแบบก้าวหน้า
คือเก็บภาษีจากคนรวยในอัตราต่อรายได้สูงกว่าคนจนมาก
เก็บจากชนชั้นกลางในระดับพอประมาณ และเก็บจากคนจนน้อยหรือไม่เก็บเลย
นอกจากนั้นอาจมีการเก็บเบี้ยประกันสังคมจากคนที่มีงานทำตามอัตราเงินเดือน
เงินที่เก็บได้ทั้งหมดรัฐก็จะนำมาใช้จ่ายสำหรับบริการทางสังคมทั้งหมดในระบบ
รัฐสวัสดิการ ระบบนี้จึงเป็นการ “เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข”
คนที่มีรายได้ดีต้องช่วยจ่ายค่าบริการทางสังคมส่วนหนึ่งแก่คนที่ยากจนกว่า
(ข้อมูลจาก <a href="http://th.wikipedia.org/">http://th.wikipedia.org</a>).</div>
กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-84652738198470140782014-03-29T08:38:00.001+07:002014-03-29T08:38:43.644+07:00ระบอบสังคมการเมืองที่ขัดฝืนการเปลี่ยนแปลงคืออันตรายที่แท้จริง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhhrxdcSPRmB3SVbWnpa6wtp4WLcFPwMHPpdBCYfGX4XpUkHTgV8u7Ro7mAJkePswWVEwQ20aFxDfLl6EdLsNw0KPs0n0N-xpYI8-T6t6i2cAv_SFJnEabscwPUYU855D9IV0_YKsdXtB4/s1600/630.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhhrxdcSPRmB3SVbWnpa6wtp4WLcFPwMHPpdBCYfGX4XpUkHTgV8u7Ro7mAJkePswWVEwQ20aFxDfLl6EdLsNw0KPs0n0N-xpYI8-T6t6i2cAv_SFJnEabscwPUYU855D9IV0_YKsdXtB4/s1600/630.jpg" height="320" width="262" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
เคยคิดไหมว่า อีก 50
ปีข้างหน้าประวัติศาสตร์จะบันทึกความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันอย่างไร
จะบันทึกความขัดแย้งกรณีมาตรา 112
ว่าสะท้อนภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยอย่างไร
ประวัติศาสตร์จะมองย้อนกลับมาแล้วประเมินและวิเคราะห์ปัจจุบันจากความรู้และ
ทัศนะของอนาคตอย่างไร<br />
การปฏิวัติ 2475 และปรีดี พนมยงค์ถูกใส่ร้ายเข้าใจผิดอยู่เป็นเวลา 30
กว่าปีจาก 2490 จนถึงประมาณ 2520 กว่าๆ ทุกวันนี้สังคมเข้าใจการปฏิวัติ
2475 และท่านปรีดีต่างจากช่วง 30 ปีนั้นอย่างลิบลับ<br />
6 ตุลา 2519 ใช้เวลา 20
ปีจึงพอจะโงหัวขึ้นมาพูดได้เต็มปากว่าอาชญากรรมของรัฐไทย
ในวันนั้นน่าอัปยศและยังรอการสะสาง
ผิดลิบลับกับช่วงหลังเหตุการณ์ใหม่ๆซึ่งฆาตกรกลายเป็นวีรชน
ได้รับการยกย่องจากคนสำคัญของสังคมไทยว่าช่วยกำจัดศัตรูของชาติ<br />
แม้เราจะบอกไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ปีนี้ ปีหน้า
หรือประมาณ 5-10 ปีข้างหน้า
แต่แนวโน้มกระแสความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆของสังคมไทยและของโลกในแง่ระบอบการ
เมือง กลับพอจะมองออกได้<br />
จิตร ภูมิศักดิ์ไม่ใช่คนแรกและคนเดียวที่เกิดก่อนกาล
แต่ทุกยุคสมัยมีคนจำนวนหนึ่งที่เกิดก่อนกาล พยายามผลักดันการเปลี่ยนแปลง
แต่กลับถูกทำร้ายทำโทษแทบไม่ได้ผุดได้เกิด
ทว่าอนาคตพิสูจน์ว่าของประวัติศาสตร์ยืนอยู่ข้างเขา<br />
ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า นิติราษฎร์และคณะกรรมการรณรงค์เพื่อแก้ไขมาตรา 112
คือผู้กล้าประเภทนี้
อนาคตจะพิสูจน์ว่าประวัติศาสตร์ของสังคมไทยยืนอยู่ข้างพวกเขา<br />
ผู้เขียนขอเสนอว่า อีก 50 ปีข้างหน้า
ประวัติศาสตร์จะอธิบายบริบทหรือภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
จะบันทึกถึงความขัดแย้งกรณีมาตรา 112
และจะอธิบายการฉุดรั้งขัดฝืนความเปลี่ยนแปลง ดังอธิบายในข้อเขียนชิ้นนี้<br />
<strong>ข้อสังเกตต่อการปรับตัวและฉุดรั้งการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมา</strong><br />
ก่อนอื่น ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตบางประการต่อการปรับตัวและฉุดรั้งการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมาในสังคมไทย<br />
<ol class="arabic">
<li>
<div class="first">
ถ้าหากเราไปถามใครก็ตามว่า
สังคมควรรู้จักปรับตัวให้ทันความเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ทุกคนจะตอบว่าควร
แต่หากถามเฉพาะเจาะจงลงไปว่าควรปรับอะไรอย่างไร
จะพบความเห็นต่างขัดแย้งกันเต็มไปหมด
จนเกิดการต่อสู้ระหว่างความคิดที่ต่างกันเป็นปกติตามแต่อุดมการณ์ ความรู้
ทัศนะ ประสบการณ์ ผลประโยชน์ วัยและ generation
ก็มีผลต่อความคิดเกี่ยวกับการปรับตัวเปลี่ยนแปลงเช่นกัน</div>
</li>
<li>
<div class="first">
แต่สังคมต่างๆมีความสามารถจัดการความขัดแย้งชนิดนี้ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ปัจจัยสำคัญของความสามารถมากน้อย ก็คือ</div>
<blockquote>
2.1 กระบวนการที่เอื้ออำนวยต่อการจัดการความขัดแย้งและการปรับตัว<br />
<blockquote>
2.1.1. เสรีภาพที่จะแสดงความคิดต่อสาธารณะ
เป็นเงื่อนไขจำเป็นเพื่อเปิดโอกาสให้คนที่เห็นความเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนกัน
มาบอกอธิบายต่อสังคมแต่เนิ่นๆ จึงจะปรับตัวได้ทัน<br />
2.1.2. ถกเถียงกันอย่างอารยชน ไม่ใช่หมายถึงพูดจาภาษาดอกไม้
ดัดจริตจีบปากจีบคอ แต่หมายถึงไม่มีการใช้กำลัง
ไม่ข่มขู่คุกคามหรือดูถูกเหยียดหยามคนอื่น
ไม่เจตนาบิดเบือนทำร้ายกันอย่างไม่เป็นธรรมเพียงเพราะความคิดแตกต่างกัน<br />
2.1.3. ประชาธิปไตย แท้ที่จริงแล้วประชาธิปไตยไม่ได้กำหนดว่าสังคมอุดมคติเป็นอย่างไร แต่ประชาธิปไตยคือกระบวนการในอุดมคติ<br />
เหตุผลที่ทำให้ประชาธิปไตยเป็นกระบวนการในอุดมคติ
ก็เพราะสังคมเติบโตก็ยิ่งมีความแตกต่างหลากหลายมากขึ้นทั้งความคิดและผล
ประโยชน์ ปัญหาไม่ใช่เพราะมีคนเลวจึงเกิดความขัดแย้งแตกต่าง
ต่อให้ทั้งสังคมไม่มีคนเลวเลยแม้แต่คนเดียว
ก็ยังมีความขัดแย้งแตกต่างกันในทุกเรื่อง
ต่อให้ทุกคนเห็นแก่ผลประโยชน์ของชาติด้วยกันทั้งนั้นก็ยังมีความขัดแย้งแตก
ต่างกันอยู่ดี<br />
ประชาธิปไตยคือกระบวนการที่อนุญาตให้ความขัดแย้งแตกต่างปะทะกันอย่าง
สันติ มีกติกา แล้วนำไปสู่การตัดสินใจ
อีกทั้งยังสามารถตัดสินใจใหม่ได้หากพบว่าการตัดสินใจคราวก่อนผิดพลาด<br />
ประชาธิปไตยไม่ใช่การเลือกตั้ง
แต่ด้วยมูลเหตุดังกล่าวมาจนบัดนี้มนุษย์ค้นพบว่าการเลือกตั้งคือรูปแบบการ
จัดการความแตกต่างอย่างเป็นธรรมที่สุดแก่ทุกฝ่าย
ไม่ใช่ระบอบที่ฝากความหวังกับผู้อ้างว่ามีคุณธรรมหรือปัญญาเป็นเลิศกว่าใคร
อื่น ไม่ใช่ 70/30 ไม่ใช่ธรรมิกสังคมนิยม ไม่ใช่เผด็จการไม่ว่าทหาร
หรือชนชั้นกรรมาชีพ<br />
</blockquote>
2.2. นอกจากเรื่องกระบวนการและกติกาแล้ว อีกปัจจัยที่สำคัญคือ
สติปัญญาของสังคมนั้นๆมีมากน้อยเพียงใด
มีวุฒิภาวะเพียงใดที่จะใชัปัญญาหาทางออกแก้ไขความขัดแย้ง
ไม่ใช้อารมณ์ความเชื่อไม่มีเหตุผล หรือใช้กรรมวิธีอวิชชาอื่นๆ<br />
</blockquote>
</li>
<li>
<div class="first">
ประวัติศาสตร์ของการปรับตัวครั้งใหญ่ๆในสังคมไทย มักมีผลตามมาในลักษณะต่อไปนี้</div>
<blockquote>
3.1. ปรับไม่ได้ เกิดความขัดแย้งรุนแรง
สังคมไทยจะกลบเกลื่อน ปล่อยผ่านไปโดยไม่สร้างบรรทัดฐานว่าอะไรถูกผิด
และไม่เรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต<br />
3.2. ปรับได้ปรับทัน จึงยึดติดกับความสำเร็จนั้น จนระบอบดังกล่าวกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการเปลี่ยนแปลงระลอกต่อมา ตัวอย่างเช่น<br />
</blockquote>
</li>
</ol>
การปรับตัวเข้าสู่สมัยใหม่จนสำเร็จภายใต้รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ส่งผลให้เกิดรัฐสมัยใหม่
ข้าราชการและชนชั้นใหม่ซึ่งเรียกร้องต้องการความเปลี่ยนแปลงในเวลาต่อมา
แต่รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ฉุดรั้งขัดฝืนความเปลี่ยนแปลง เกิดการปฏิวัติ
2475<br />
การปรับตัวของรัฐไทยภายใต้ยุคสงครามเย็นและเศรษฐกิจโลกยุคใหม่หลังสงคราม
โลกครั้งที่สองทำได้สำเร็จภายใต้เผด็จการ
สร้างชนชั้นกลางที่เติบโตมากับการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมซึ่งเรียกร้องต้องการ
ประชาธิปไตยในเวลาต่อมา
แต่รัฐเผด็จการยุคสงครามเย็นฉุดรั้งขัดฝืนความเปลี่ยนแปลง เกิดการปฏิวัติ
14 ตุลา 2516<br />
จะเห็นได้ว่าระบอบการเมืองที่ประสบความสำเร็จได้เถลิงอำนาจนาน
มักสร้างพลังทางการเมืองอย่างใหม่ที่เติบโตขึ้นมาท้าทายระบอบการเมืองนั้นใน
เวล่าต่อมา แต่ระบอบการเมืองดังกล่าวกลับไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง
จึงฉุดรั้งขัดฝืนไม่ยอมปรับตัว<br />
ผู้เขียนเห็นว่าระบอบการเมืองปัจจุบันยึดติดกับความสำเร็จของตนระหว่าง
20-30 ปีก่อน แต่กำลังถูกท้าทายโดยผลพวงของความสำเร็จนั้น
ระบอบการเมืองปัจจุบันกลับขัดฝืนความเปลี่ยนแปลงที่ตนมีส่วนสร้างขึ้นมา<br />
นี่คือภาพใหญ่ภาพหนึ่งของกระแสความขัดแย้งและวิกฤติการเมืองไทยในปัจจุบัน<br />
<strong>มูลเหตุ 3 ประการของวิกฤติการเมืองปัจจุบัน</strong><br />
วิกฤติของการเมืองที่สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร
2549 ยังคงปกคลุมสังคมไทยอยู่จนทุกวันนี้ แต่เรายังอยู่ท่ามกลางวิกฤติ
ใกล้ตัวเกินไปทั้งกาละและเทศะ จึงมักมองเห็นแต่ปรากฎการณ์รูปธรรมระยะสั้นๆ
ไม่ตระหนักถึงภาพใหญ่ของกระแสความเปลี่ยนแปลงระยะยาวที่ผลิตปรากฎการณ์
รูปธรรมเหล่านั้นออกมา<br />
หากเราถอยออกมาสักนิด มองกระแสความเปลี่ยนแปลงในมุมกว้างขึ้นระยะยาวขึ้น
ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าจะเป็นมุมมองต่อปัจจุบันในอีก 50 ปีข้างหน้า
เราจะเห็นว่าวิกฤติปัจจุบันเป็น perfect storm ที่เกิดจากมูลเหตุหลักๆ 3
ประการ<br />
<ol class="upperroman simple">
<li>สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว เกิดพลังใหม่ทางการเมืองที่หนุนประชาธิปไตย</li>
<li>ระบบอบเมืองประชาธิปไตยใต้บงการอำมาตย์พยายามฉุดรั้งไม่ยอมปรับตัว</li>
<li>ความไม่แน่นอนของสภาวะปลายรัชกาล</li>
</ol>
<ol class="upperroman">
<li>
<div class="first">
สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้ว เกิดพลังใหม่ทางการเมือง</div>
<blockquote>
ไม่กี่ปีมานี้
มีการศึกษาจำนวนไม่น้อยที่พยายามอธิบายความสำเร็จของทักษิณ
ความเข้าใจทั่วๆไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายที่เห็นทักษิณเป็นปีศาจ
จะอธิบายว่าความสำเร็จมาจากเงิน เงิน เงิน
ที่ซื้อได้ทั้งนักการเมืองเลวๆมาเข้าค่ายและซื้อประชาชนที่โง่เขลาขาดการ
ศึกษา ตามทัศนะนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญใดๆ
วิกฤติเป็นเรื่องของทุนสามานย์ นักการเมืองเลวๆกับประชาชนโง่ๆ<br />
แต่การศึกษาทั้งโดยนักวิชาการไทยและเทศ อย่างสมชัย ภัทระธีรานนท์ (ม.
มหาสารคาม) พฤกษ์ เถาถวิล (ม. อุบลฯ) อภิชาติ สถิตนิรามัย (ธรรมศาสตร์)
อรรถจักร สัตยานุรักษ์ (ม. เชียงใหม่) การวิเคราะห์ของ นิธิ เอี่ยวศรีวงค์
และการวิจัยต่อเนื่องเป็นระบบใน 10 ปีที่ผ่านมาโดย Andrew Walker (ANU)
ล้วนยืนยันตรงกันว่า สังคมชนบทและหัวเมืองของไทยเปลี่ยนไปอย่างมากมาตลอด 2
ทศวรรษที่ผ่านมา เราท่านเห็นอยู่ตำตา
แต่เรานึกไม่ถึงว่าจะมีผลกระทบกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อ
ประชาธิปไตยไทย<br />
กล่าวคือการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังสงครามเย็นในประเทศยุติลง
(คือหลังการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์)
เกิดขึ้นพร้อมกับการปรับยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญตั้งแต่ครึ่งหลัง
ของทศวรรษ 2520 คือหันมาเน้นการส่งออก
ประสบความสำเร็จสูงต่อเนื่องมาถึงวิกฤติปี 2540
และแม้จะเสียหายหลายปีแต่โดยภาพรวมสามารถกลับฟื้นมาได้
ความเติบโตตลอดช่วงนี้พลิกโฉมชนบทและหัวเมืองทั่วประเทศ
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไม่กระจุกตัวอยู่แค่กรุงเทพฯ ปริมณฑล
หรือศูนย์กลางของภูมิภาคอย่างการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในรอบก่อนหน้านั้น<br />
ผลที่สำคัญคือวิถีชีวิตของผู้คนในชนบทและหัวเมืองเปลี่ยนไปมาก
เข้าถึงการศึกษาระดับสูง เกิดการขยับชั้นทางสังคม
ความสัมพันธ์ระหว่างเมือง-ชนบทเปลี่ยนไป ผู้คนรู้จักแสวงโอกาสทางเศรษฐกิจ
สร้างตัวเอง มิใช่รอการสงเคราะห์จากรัฐอีกต่อไป
ทั้งรู้จักการต่อรองต่อสู้เพื่อทรัพยากรจากภาครัฐด้วย Walker
เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า ชนบทกลายเป็นชนชั้นกลางไปหมด<br />
ผลกระทบสำคัญทางการเมืองคือผู้คนที่แต่ก่อนเคยอยู่นอกวงการเมือง
ไม่ได้รับดอกผลของระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งเท่าที่ควร
(เพราะการเมืองระดับชาติเป็นเรื่องของคนกรุงและผู้มีอันจะกิน)
กลับเปลี่ยนพฤติกรรมขนานใหญ่
เพราะเขาตระหนักว่าการเลือกตั้งคือช่องทางที่เขาสามารถดึงทรัพยากรจากนโยบาย
และโครงการของรัฐบาลที่เขาเลือกให้กลับมาเป็นประโยชน์แก่ท้องถิ่นของเขาได้
การเลือกตั้งคือช่องทางที่ชนชั้นกลางรากชนบทเหล่านี้ใช้เอาชนะระบบราชการและ
รัฐที่เอียงเข้าข้างคนกรุงมาตลอด<br />
ดังนั้น
ความสำเร็จของทักษิณไม่ใช่เรื่องของทุนสามานย์หลอกลวงประชาชนโง่ๆ
แต่เป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย
สร้างพลังทางการเมืองอย่างใหม่ขนาดใหญ่มหึมาขึ้นมา
ซึ่งต้องการระบบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง
พลังทางการเมืองอย่างใหม่นี้เปิดช่องแก่ใครก็ได้ที่มองเห็นโอกาสนี้และมี
ความสามารถสร้างนโยบายที่เหมาะสม ก็จะกลายเป็นผู้ชนะในระบอบรัฐสภา
ภายใต้เงื่อนไขทางเศรษฐกิจสังคมเช่นนี้ปรากฏการณ์ทักษิณจึงเกิดได้<br />
กล่าวอีกอย่างก็คือ ทักษิณไม่ได้ซื้ออำนาจจากชาวบ้านโง่ๆ
แต่พลังทางการเมืองอย่างใหม่ที่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตยต่างหากที่สร้าง
ทักษิณขึ้นมา<br />
ความเปลี่ยนแปลงระดับพื้นฐานเช่นนี้ไม่ใช่ปรากฎการณ์ชั่ววูบชั่วคราว
ไม่ใช่ผลของยุทธวิธีทางการเมืองหรือเงิน
แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีทางย้อนกลับได้อีกแล้ว<br />
แต่ผู้ครอบงำได้เปรียบในระบอบการเมืองปัจจุปันไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง
นี้ นักวิชาการและสื่อมวลชนจำนวนมากไม่เข้าใจ
พวกเขาคิดว่ากำจัดปีศาจทักษิณแล้วทุกอย่างก็จะย้อนกลับไปเป็นอย่างเก่า
พวกเขาไม่เห็นว่าประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ซึ่งครอบงำการเมืองไทยมา 40 ปี
กำลังขัดฝืนความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยระดับพื้นฐาน<br />
</blockquote>
</li>
<li>
<div class="first">
ประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ไม่ยอมปรับตัว</div>
<blockquote>
ผู้เขียนเคยเรียกระบอบประชาธิปไตยที่ครอบงำสังคมไทยอยู่ทุก
วันนี้ว่าเป็น “ประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา”
สาระสำคัญที่สุดคือเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่มีพวกกษัตริย์นิยม <a class="footnote-reference" href="http://robinlea.com/pub/ThongchaiWinichaikul/20120211.html#id10" id="id3">[1]</a> อยู่ “เหนือ” หรืออยู่ข้างบนของระบอบการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งอีกชั้นหนึ่ง<br />
แต่ไม่กี่ปีมานี้มีการใช้คำว่า “อำมาตย์-ไพร่”
ซึ่งมิได้หมายถึงการแบ่งชนชั้นตามกฎหมายในอดีต
แต่เป็นการเทียบเคียงการแบ่งชั้นชนตามสถานะและอำนาจของยุคปัจจุบัน
ผู้เขียนเห็นว่าคำว่า “อำมาตย์-ไพร่”
เชิงเทียบเคียงมีประโยชน์ต่อการเข้าใจระบอบการเมืองปัจจุบันอย่างมาก
โดยมิได้หลงคิดว่าเหมือนระบบศักดินาในอดีตแต่อย่างใด
แต่กลับชี้ให้เห็นมรดกของการแบ่งชั้นชนที่ยังคงมีอยู่อยู่หนาแน่นในสังคมไทย
ได้ปัจจุบันเป็นอย่างดี ผู้เขียนจึงขอเปลี่ยนคำรุ่มร่าม
“ประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา” เป็นคำว่า “ประชาธิปไตยแบบอำมาตย์” แทน<br />
ระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์
มีรากเหง้ามาจากความปรารถนาของฝ่ายเจ้าที่พ่ายแพ้เมื่อ 2475
จึงเรียกได้ว่าเป็นมรดกหนึ่งของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
อุดมคติของพวกเขาหรือความฝันของ”ชาวน้ำเงินแท้”
คือต้องการฟื้นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อยู่เหนือประชาธิปไตยรัฐสภาที่
ประชาชนเลือกตั้ง
พวกเขาเข้าใจประวัติศาสตร์ตามลัทธิราชาชาตินิยมที่เชื่อว่าประชาธิปไตยที่
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7
กำลังจะพระราชทานคือประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับสังคมไทย
แต่ถูกคณะราษฎรชิงสุกก่อนห่ามไปเสียก่อน<br />
ความคิดของพวกเขาเผยตัวเป็นรูปธรรมครั้งแรกในช่วงสั้นๆที่ฝ่ายเจ้ามี
โอกาสทางการเมืองหลังการรัฐประหาร 2490
ความคิดนี้เติบโตขึ้นมากช่วงต้นทศวรรษ 2510
โดยนักวิชาการเสรีนิยมของยุคนั้นที่ไม่พอใจเผด็จการทหารจึงพยายามแสวงหาทาง
เลือกอื่น
ประสานกับปัญญาชนอนุรักษ์นิยมซึ่งเผยแพร่ประชาธิปไตยในอุดมคติของฝ่ายเจ้า
ในเวลานั้นฝ่ายกษัตริย์นิยมเติบโตขึ้นอีกครั้งด้วยความร่วมมือและอุปถัมภ์
ของระบอบสฤษดิ์
โดยรวมศูนย์อยู่ที่การสร้างสถาบันกษัตริย์อย่างใหม่ที่สาธารณชนนิยมและเป็น
ประชาธิปไตย (แบบอำมาตย์) <a class="footnote-reference" href="http://robinlea.com/pub/ThongchaiWinichaikul/20120211.html#id11" id="id4">[2]</a><br />
ประชาธิปไตยแบบอำมาตย์จึงแยกไม่อออกจากสถาบันกษัตริย์ที่มีคุณสมบัติจำ
เป็นในแบบหนึ่งซึ่งพวกกษัตริย์นิยมเพียรสร้างขึ้นมาในรัชกาลปัจจุบัน
และแยกไม่ออกจากการฟื้นฟูและส่งเสริมลัทธิกษัตริย์นิยมอย่างขนานใหญ่ในสังคม
ไทย<br />
จุดพลิกผันที่เปิดโอกาสให้พวกกษัตริย์นิยมสามารถปักหลักในระบบการเมือง
ไทยได้คือ การลุกขึ้นสู้ของประชาชนต่อต้านระบอบเผด็จการทหารเมื่อ 14 ตุลา
2516<br />
ระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์เริ่มมาตั้งแต่เหตุการณ์คราวนั้น
แม้ว่าจะต้องฝ่าด่านอุปสรรคหลายอย่างกว่าจะสถาปนาอำนาจนำได้อย่างแท้จริง
ด่านแรกคือการท้าทายของกระแสสังคมนิยม
รวมทั้งความกลัวว่าการปฎิวัติอินโดจีนจะแผ่ลามเข้ามาในประเทศไทย
ฆาตกรรมเมื่อ 6 ตุลา 2519 เป็นการร่วมมือของทุกฝ่ายที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์
คือทั้งเผด็จการทหารและพวกกษัตริย์นิยมที่พยายามสถาปนาประชาธิปไตยอำมาตย์
(เห็นได้จากแผนบันได 16 ปีสู่ประชาธิปไตยของธานินทร์ กรัยวิเชียร
นายกรัฐมนตรีพระราชทานหลังฆาตกรรมที่ธรรมศาสตร์)<br />
ด่านที่สองซึ่งโหดเหี้ยมทารุณน้อยกว่าฆาตกรรมประชาชนในที่แจ้ง
แต่กินเวลายาวกว่าและหลายยก คือการต่อสู้กับอำนาจทหาร
กล่าวอย่างรวบรัดได้ว่าเริ่มจากการสยบทหารให้เป็นรองนับจาก 14 ตุลา
แม้จะไม่ราบรื่นเป็นบางช่วงก็ตาม
ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบคือความร่วมมือระหว่างพวกกษัตริย์นิยมและภาคประชาชน
เพื่อลดทอนบทบาทอำนาจทหารลงเรื่อยๆ
แม้จะไม่ราบรื่นแต่ลงท้ายการต่อสู้รอบนี้จบลงในเหตุการณ์พฤษภา 2535
กองทัพถอยออกจากการเมือง หมายถึง
กองทัพสยบยอมอยู่ภายใต้อำนาจของระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์
คือเป็นประชาธิปไตยรัฐสภา มีการเลือกตั้ง
โดยมีพวกกษัตริย์นิยมอยู่ชั้นบนเหนือระบบรัฐสภาอีกที<br />
นับจาก 2516 เป็นต้นมา ระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นแบบไทยๆมาตลอด
ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นหลัง 2549 ผู้แทนประชาชนถูกจำกัดบทบาท
ต้องยอมรับอำนาจกองทัพและอำมาตย์ทั้งโดยเปิดเผยและโดยนัย
ระบอบรัฐสภาอ่อนแอตั้งแต่พรรคการเมืองจนถึงสถาบันรัฐสภา<br />
หากมองในแง่ฐานพลังทางการเมืองในสังคมไทย
อาจกล่าวได้ว่ายังไม่พลังใดที่เข้มแข็งใหญ่โตพอที่จะหนุนให้เกิดระบอบ
ประชาธิปไตยนอกอุ้งเท้าอำมาตย์
จนกระทั่งการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมที่กล่าวถึงเป็นมูลเหตุข้อแรก<br />
หลังรัฐประหาร 2549 พวกกษัตริย์นิยมโฆษณาประชาธิปไตยแบบไทยๆ
มิใช่เพราะพวกเขาพยายามสร้างสิ่งใหม่
แต่เป็นการเรียกร้องให้ยึดมั่นอยู่กับประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ อย่าเฉไฉ
ออกนอกลู่นอกทางอย่างยุคทักษิณ แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่า
ทักษิณมิได้เป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง
เขาเป็นแค่ผู้คว้าโอกาสจากความเปลี่ยนแปลงระดับพื้นฐานของสังคมได้ก่อนใคร
อื่น ผู้เขียนเชื่อว่าทักษิณมิได้ตระหนักด้วยซ้ำไปว่า
ตนเป็นผลผลิตของความเปลี่ยนแปลงที่ตนก็ควบคุมไม่ได้และไม่ได้สร้างขึ้นมา
ไม่ได้คิดว่าปรากฎการณ์รูปธรรมของความขัดแย้งกับอำมาตย์ที่เขาประสบอยู่เป็น
แค่ยอดภูเขาน้ำแข็งของความเปลี่ยนแปลงระดับรากฐานที่ใหญ่กว่านั้น
ผู้คนโดยทั่วไปจนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นไม่เข้าใจ<br />
พวกกษัตริย์นิยมที่ครองอำนาจผ่านระบอบประชาธิปไตยอำมาตย์มองไม่เห็นว่า
ความเปลี่ยนแปลงระดับพื้นฐานของสังคมเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประชาธิปไตยแบบ
อำมาตย์สถาปนาอำนาจนั่นแหละ
ระบอบการเมืองของพวกเขาสร้างพลังการเมืองอย่างใหม่ขึ้นมา
และพลังใหม่นี้เองที่กำลังท้าทายระบอบการเมืองของพวกเขา
ต้องการออกจากใต้อุ้งเท้าของพวกเขา
แต่กลับเห็นว่าปัญหาทุกอย่างเป็นแค่เรื่องของความฉ้อฉลของนักการเมืองทุน
สามานย์ที่มักใหญ่ใฝ่สูงกับประชาชนโง่ๆที่ตกเป็นเครื่องมือ<br />
พวกเขาไม่รู้ว่าระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์กำลังฉุดรั้งขัดฝืนการเปลี่ยน
แปลงที่ไม่มีทางย้อนกลับได้อีกแล้ว
และการฝืนความเปลี่ยนแปลงของพวกเขาคืออันตรายต่อสังคมไทย<br />
อันตรายเกิดขึ้นแล้วในการรัฐประหาร 2549
การปราบปรามประชาชนเมื่อเดือนเมษา-พฤษภา 2553
และอีกหลายเหตุการณ์รวมทั้งการคุกคามต่อต้านผู้ที่ต้องการแก้ไขมาตรา 112<br />
</blockquote>
</li>
<li>
<div class="first">
สภาวะปลายรัชกาล</div>
<blockquote>
ระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์นับจาก 2516
เติบโตขึ้นมาได้ด้วยปัจจัยจำเป็น 2 อย่าง คือ หนึ่ง
สถาบันกษัตริย์แบบที่แยกไม่ออกจากพระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบัน และ สอง
ลัทธิ Hyper-royalism ที่เติบโตขึ้นมาอย่างมากใน 40 ปีที่ผ่านมา ทั้ง 2
ปัจจัยอิงแอบซึ่งกันและกัน<br />
ผู้เขียนจะกล่าวถึง Hyper-royalism 40 ปีที่ผ่านมาในหัวข้อต่อไป
ในที่นี้เรามาพิจารณากันก่อนว่าปัจจัยแรกเป็น 1 ใน 3 ของสาเหตุของ Perfect
Storm อย่างไร<br />
10 ปีที่ผ่านมา คนจำนวนมากในสังคมไทยตระหนักดีถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญต่อทั้งสังคมที่กำลังจะเกิดขึ้น คือ การสืบราชสมบัติ<br />
สมมติว่าไม่มีประชาธิปไตยแบบอำมาตย์นับจาก 2516
ไม่มีการอ้างสถาบันกษัตริย์เป็นแหล่งความชอบธรรมของอำนาจ
ไม่มีอำนาจของพวกกษัตริย์นิยมเหนือระบบประชาธิปไตยรัฐสภา
การสืบราชสมบัติและคุณสมบัติของพระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบันหรือพระองค์
ต่อไปย่อมไม่มีผลใดๆต่ออำนาจทางการเมืองและย่อมไม่เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤติ
ทางการเมือง
ไม่เป็นประเด็นที่ผู้คนต้องวิตกซุบซิบนินทากันทั้งบ้านทั้งเมือง<br />
แต่ความจริงคือระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์อิงแอบอวดอ้างสถาบันกษัตริย์
อย่างมาก จึงทำให้การสืบราชสมบัติกลายเป็นเรื่องสำคัญมาก
เพราะย่อมมีผลต่อการเมืองและสังคมทั้งระบบและโดยเฉพาะต่อพวกกษัตริย์นิยมเอง
การซุบซิบนินทาจึงหนาหูอย่างยิ่งในหมู่อำมาตย์นั่นเอง<br />
ประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ของพวกกษัตริย์นิยมคือตัวการใหญ่ที่สุดที่ดึงเอา
สถาบันกษัตริย์มาผูกกับการเมือง
และคือสาเหตุที่ทำให้การสืบราชสมบัติเป็นประเด็นขึ้นมาอย่างไม่ควรจะเป็น<br />
</blockquote>
</li>
</ol>
ถ้ามูลเหตุ I คือเงื่อนไขพื้นฐานของสังคมที่เปลี่ยนไปแล้ว หยุดไม่ได้ ห้ามไม่ได้<br />
ถ้ามูลเหตุ II คือ ระบอบการเมืองที่ฉุดรั้งขัดฝืนข้อ I<br />
มูลเหตุ III คือ ชนวนที่จุดประทุความขัดแย้งจนระเบิดขึ้นมาในเวลาปัจจุบัน<br />
หมายความว่าถ้าไม่มี III ความขัดแย้งระหว่าง I กับ II อาจมีเวลายื้อยุดกันอีกนานพอควร<br />
ถ้าไม่มี III พวกกษัตริย์นิยมคงไม่เห็นทักษิณเป็นปีศาจ
หรือคงไม่กล่าวหาเหลวไหลว่า ทักษิณเหิมเกริมอยากเป็นใหญ่ แต่เพราะ III
พวกกษัตริย์นิยมจึงวิตกว่าจะสูญเสียอำนาจในวันพรุ่ง
วิตกว่าทักษิณจะเป็นตัวแปรที่มีอำนาจมากไปในการสืบราชสมบัติที่กำลังจะเกิด
ขึ้น พวกเขามองทุกอย่างด้วยแว่นของ III ทั้งๆที่ความขัดแย้งรากฐานคือ I กับ
II<br />
การมองเห็นและเข้าใจว่าสังคมเปลี่ยนไปแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่พวกกษัตริย์นิยมไม่ตระหนักแม้กระทั่งว่า
ระบอบที่เขาปรารถนาให้คงอยู่ถาวรนั้นอิงอยู่กับพระองค์ปัจจุบันเท่านั้น
ไม่ก่อนและไม่หลังไปจากรัชกาลนี้
ไม่ว่าพระมหากษัตริย์องค์ต่อไปจะเป็นใครก็ตาม<br />
ทั้งมูลเหตุ I และ III จึงไม่อยู่ข้างระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์เลย<br />
ถ้าไม่ปรับตัว สถาบันกษัตริย์กับระบอบประชาธิปไตยจะไปด้วยกันไม่ได้<br />
<strong>ปรับตัวหมายความว่าอะไร</strong><br />
การปรับตัวหมายถึงอย่างน้อยต้องทำให้สถาบันกษัตริย์ไม่ขัดฝืนกับระบอบ
ประชาธิปไตย
ต้องทำให้สถาบันกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญและอำนาจของประชาชนอย่างแท้จริง
ต้องไม่มีการอ้างอิงสถาบันกษัตริย์เป็นแหล่งอำนาจอีกต่อไป
ต้องไม่มีพวกกษัตริย์นิยมอยู่ชั้นบนเหนือระบอบรัฐสภาที่มาจากประชาชน<br />
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักลัทธิกษัตริย์นิยมเสนออย่างโจ่งแจ้งว่า
ระบอบการเมืองที่พวกเขาต้องการคือลดประชาธิปไตย เพิ่มพระราชอำนาจ
ข้อเสนอเช่นนั้นจะยิ่งผลักให้สถาบันกษัตริย์ขัดแย้งกับกระแสความเปลี่ยนแปลง
หนักยิ่งขึ้นไปอีก และจะเป็นอันตรายของสถาบันกษัตริย์เอง<br />
ยังมีความเข้าใจผิดอยู่มากว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นเรื่องของฝรั่ง
ส่วนของไทยคือพระราชอำนาจ การเลือกตั้งเป็นวิธีฝรั่ง
การสรรหาแล้วแต่งตั้งคนดีมีคุณธรรมเป็นวิธีของไทย<br />
แท้ที่จริงแล้วกระแสประชาธิปไตยมีรากฐานอยู่ที่วิวัฒนาการทางสังคมไม่ว่า
ขาติไหน ไม่ว่าจะเรียกชื่อว่าอะไรก็ตามที สาระที่แท้จริงของประชาธิปไตยคือ
เป็นกระบวนการ (วิธีการ)
ที่เปิดโอกาสให้พลังทางการเมืองต่างๆมาปะทะต่อรองอำนาจกันในกรอบกติกาอย่าง
สันติ ไม่ว่าจะเป็นพลังทางการเมืองเก่าหรือใหม่ ชนชั้นสูงหรือต่ำ รวยหรือจน
ไม่ว่าอำมาตย์หรือไพร่ เสรีนิยมหรืออนุรักษ์นิยม รักเจ้ามาก น้อย
หรือไม่รักเลย กระบวนการนี้จึงไม่มีจุดหมายตายตัว
แต่เปิดรับพลังต่างๆเข้ามามีส่วนร่วมไปได้เรื่อยๆ<br />
ประชาธิปไตยตามอุดมคติจึงเป็นวิธีการ (means)
ที่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลงปรับตัวของสังคม
ลดความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดจากกลุ่มอำนาจเก่ายึดมั่นเคยตัวคิดว่าตนควรมี
อำนาจอย่างถาวร ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหทาร กรรมาชีพ หรือพวกกษัตริย์นิยม<br />
รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งล้วนเป็นรูปธรรมของวิธีการในอุดมคตินี้
มนุษยชาติยังไม่ค้นพบวิธีการที่ดีกว่านี้
หรือสังคมยังเปลี่ยนไปไม่ถึงจุดที่สามารถมีวิธีการอื่นที่ดีกว่่านี้มาทดแทน<br />
ดังนั้นประชาธิปไตยจึงไม่ใช่เรื่องของฝรั่งหรือไทย
แต่เป็นกระบวนการวิธีการที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาจัดการกับอำนาจในสังคมที่
แตกต่างและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
สังคมไทยก็แตกต่างและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเช่นกัน
มิใช่สังคมหรือชุมชนเล็กๆที่ผู้คนมีผลประโยขน์เหมือนๆกันและคิดคล้ายๆกันอีก
ต่อไป สังคมไทยเต็มไปด้วยความแตกต่างขัดแย้งซับซ้อน
ต่อให้ทุกคนในสังคมไทยเป็นคนดีมีคุณธรรม ไม่มีคนเลวเลยแม้แต่คนเดียว
ก็ยังมีความแตกต่างขัดแย้งอยู่ดี
จึงต้องอาศัยวิธีการประชาธิปไตยมาจัดการความขัดแย้งที่เป็นเรื่องปกติของ
สังคม<br />
ประชาธิปไตยแบบไทยๆหรือความเชื่อในพระราชอำนาจว่าจะจัดการความขัดแย้งแตก
ต่างได้
จึงเป็นความเพ้อเจ้อที่จะยิ่งดึงสถาบันกษัตริย์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความแตก
ต่างขัดแย้ง ยิ่งสังคมเติบโตแตกต่างมาก
การหวังพึ่งพระราชอำนาจจะยิ่งทำให้สถาบันกษัตริย์ตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น<br />
ผู้เขียนเคยตั้งคำถามตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 ใหม่ๆ (ในบทความ
“สัมฤทธิผลนิยม” พ.ย.2549) ว่า “ฤๅนี้จะเป็นอภิชนาธิปไตยขบวนสุดท้าย”
ก็เพราะประชาธิปไตยแบบไทยๆที่หลายท่านอวดอ้างจะผลักสถาบันกษัตริย์เข้าชนกับ
ประชาธิปไตย<br />
ในเมื่อเราห้ามหรือหยุดการเปลี่ยนแปลงไม่ได้(พระพุทธองค์สอนไว้ 2600
ปีพอดีในปีนี้) ทางออกจึงมีทางเดียวคือปรับตัว ขอยืมคำของเกษียร เตชะพีระ
เมื่อไม่กี่วันก่อนมากล่าวอีกทีว่า นี่ไม่ใช่เสนอให้ล้มเจ้า
แต่ต้องการล้มการอ้างอิงสถาบันกษัตริย์เพื่อเถลิงอำนาจ
ฉุดรั้งทำร้ายประชาธิปไตยและทำร้ายประชาชน<br />
นี่คือทางออกเดียวที่จะช่วยให้การสืบราชสมบัติไม่เป็นปัญหา
ไม่เป็นประเด็นที่ต้องวิตกกังวล ไม่เป็นเหตุให้องคมนตรี ขุนทหาร
อดีตนายกฯหรือผู้มีอำนาจคนใดต้องซุบซิบเรื่องนี้ให้ทูตอเมริกันรายงานจนรู้
กันทั่วโลกอีก<br />
นี่เป็นทางออกเดียวที่สังคมไทยสามารถอยู่ร่วมกันได้
ระหว่างคนที่รักเจ้ามากด้วยศรัทธาโดยไม่ต้องมีเหตุผลเลยแม้แต่นิดเดียว
กับคนที่รักด้วยเหตุผล กับคนที่ไม่ค่อยรักเท่าไหร่แต่เคารพคนที่ยังรักอยู่
และกับคนที่ไม่รักเลย ถ้าความรักเจ้ามากน้อยกว่ากันไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
ก็ไม่ต้องเสียงบประมาณไปซื้อเครื่องล่าแม่มดตามปิดเวบไซต์
คนไทยสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องไล่ใครออกไปไหน
ไม่ต้องหยาบคายล่วงเกินพ่อแม่คนอื่น
ไม่ต้องมีนักสื่อสารกษัตริย์นิยมเที่ยวล่าแม่มด ไม่ต้องแขวนคอใคร
ไม่ต้องเผาคนทั้งเป็น<br />
แถมนี่ยังเป็นหนทางที่จะรักษาสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยด้วย<br />
<strong>Hyper-royalism</strong> <a class="footnote-reference" href="http://robinlea.com/pub/ThongchaiWinichaikul/20120211.html#id12" id="id5">[3]</a><br />
เพียงแค่นี้ก็น่าจะพอเห็นแล้วว่า การใช้มาตรา 112
เป็นเครื่องมือค้ำจุนระบอบที่ขัดฝืนต่อการเปลี่ยนแปลง
ยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง ดังนั้นการเสนอแก้ไขมาตรา112
คือความพยายามหนึ่งที่จะปลดล็อกการขัดฝืนระหว่างสถาบันกษัตริย์กับ
ประชาธิปไตย<br />
แต่ผู้เขียนอยากจะนำเสนอประเด็นใหญ่อีกเรื่องเพื่อที่จะเข้าใจปัญหาของ
มาตรา 112 โดยเฉพาะยิ่งขึ้น
ผู้เขียนเห็นว่าสภาวะที่ทำให้มาตรานี้กลายเป็นจุดของการปะทะขัดฝืนกัน
ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาธิปไตย คือ สภาวะ Hyper-royalism<br />
Hyper-royalism มีลักษณะกว้างๆ 5 ประการ ดังต่อไปนี้<br />
<ol class="arabic">
<li>
<div class="first">
สภาวะที่ลัทธิกษัตริย์นิยมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ
ชีวิตปกติทางสังคมและชีวิตประจำวันของปัจเจกชนอย่างมากยิ่งกว่ายุคใดๆใน
ประวัติศาสตร์ คือ เข้มข้นกว่ายุคราชาธิปไตยหรือยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
และเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับตลอด 40 ปีที่ผ่านมา</div>
ดัชนีประการหนึ่งที่บ่งชี้สภาวะดังกล่าวคือ ปริมาณพื้นที่และเวลาของชีวิตประจำวันและประจำปีที่ลัทธิกษัตริย์นิยมเข้าครอบครอง<br />
หลักฐานชัดๆคือปริมาณของกิจกรรมของทุกหน่วยงานทั้งเอกชนและราชการ
รายการโทรทัศน์ วิทยุ สื่อมวลชนทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์
พิธีเฉลิมฉลองครบรอบวาระสำคัญทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ทั้ง
ชนิดประจำปีและชนิดพิเศษเฉพาะปี ถูกผลิตขึ้นมากมายถี่ยิบในเกือบ 40
ปีที่ผ่านมา ส่วนมากเป็นประเพณีประดิษฐ์ (invented traditions) คือ
อ้างว่าเป็นของเก่าแต่ที่จริงผลิตขึ้นใหม่<br />
นี่คือการเข้าครอบครองกาละและเทศะของชีวิตปกติอย่างเข้มข้นขึ้นทุกที
จนพื้นที่และเวลาของปัจเจกชนและของสังคมไทยที่ปลอดจากลัทธิกษัตริย์นิยม
เหลือน้อยลงทุกที<br />
</li>
<li>
<div class="first">
การยกย่องพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์อย่างเหลือเชื่อ
เหนือมนุษย์ เกินพอเหมาะพอควร เกินงามและเกินจำเป็น
อาจมีผู้แย้งว่าเป็นการยกย่องตามธรรมเนียม
แต่การเชิดชูบูชาพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อนเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมตาม
ธรรมเนียมโบราณ
ส่วนการยกยอปอปั้นในปัจจุบันเป็นการสร้างอภิมนุษย์ตามค่านิยมของกระฎุมพี
สมัยใหม่ Hyper-royalism คือการประจบสอพลอของยุค 40 ปีมานี้เอง</div>
คงไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่างความสอพลอที่มีมากมายจนเป็นปกติและการแข่งกัน
ว่าใครจะสอพลอได้น่ามหัศจรรย์กว่ากัน
นักลักธิกษัตริย์นิยมไม่ตระหนักว่าความสอพลอพรรค์นี้เป็นลบมากกว่าบวก อีก
50 ปีข้างหน้าการสอพลอเหล่านี้จะเป็นเรื่องตลกที่น่าสมเพชในประวัติศาสตร์<br />
</li>
<li>
<div class="first">
สถาบันกษัตริย์กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นทุกที
ความสัมพันธ์กับประชาชนอาศัยศรัทธาและความเหลือเชื่อมากขึ้นทุกที
การใช้เหตุผลความเข้าใจลดน้อยถอยลงทุกที
ความจงรักภักดีเป็นความสัมพันธ์ทางสังคมน้อยลง
แต่กลับเป็นความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นทุกที
ลัทธิกษัตริย์นิยมเปลี่ยนจากอุดมการณ์ทางการเมืองและสังคมกลายเป็นลัทธิความ
เชื่อ เป็นกึ่งศาสนา หรือเป็น religiosity ประเภทหนึ่งไปแล้ว <a class="footnote-reference" href="http://robinlea.com/pub/ThongchaiWinichaikul/20120211.html#id13" id="id6">[4]</a>
religiosity ชนิดนี้ไม่ใช่ศาสนา เพราะเป็นมากกว่าและน้อยกว่าศาสนา อาทิ
เช่น กลายเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของชาติด้วย
ลัทธินี้ไม่ยอมให้เสรีภาพในการนับถือหรือไม่นับถืออย่างศาสนา
ไม่ยอมให้มีการแสดงความศรัทธาต่างๆระดับกันได้อย่างศรัทธาต่อศาสนา <a class="footnote-reference" href="http://robinlea.com/pub/ThongchaiWinichaikul/20120211.html#id14" id="id7">[5]</a></div>
หากนำข้อ 1 และ 2 มาพิจารณาประกอบกับข้อ 3 นี้
จะพบว่าการยกย่องเกินสมควรได้กลายเป็นธรรมเนียมการแสดงความจงรักภักดีที่
เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆในชีวิตปกติ
มีธรรมเนียมใหม่ๆและข้อห้ามใหม่ๆที่ผลิตขึ้นมาเร็วๆนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
มีเกณฑ์ที่บังคับให้ผู้คนต้องปฎิบัติตามเพิ่มขึ้นและพิสดารขึ้นทุกที
ยิ่งส่งผลให้ลัทธิกษัตริย์นิยมเข้าควบคุมกระทั่งพฤติกรรมและร่างกายของเรา
(เช่น จะใส่เสื้อสีอะไรไปทำงาน) ทั้งในที่สาธารณะและในปริมณฑลส่วนตัว
ทั้งบนแผ่นดินไทยและไม่ว่าที่ไหนในโลก
มาตรการบังคับสามารถตามไปหลอกหลอนให้เราต้องระวังตัวทุกขณะ<br />
</li>
<li>
<div class="first">
มีกฎหมายและมาตรการทางสังคมบังคับให้ต้องแสดงความ
นับถืออย่างไม่มีข้อยกเว้น
และยิ่งนานวันก็ยิ่งบังคับให้ต้องแสดงความนับถือแบบเดียวกันเหมือนๆกัน
ในขณะที่สังคมยอมรับการนับถือศาสนาต่างกันและความเคร่งไม่เท่ากันได้
แต่สังคมไทยทำร้ายผู้ที่ถูกหาว่านับถือเจ้าไม่มากเท่ามาตรฐาน ฆ่าได้
ไล่ออกนอกประเทศได้ ไม่รับเข้ามหาวิทยาลัยได้ หรือทำร้ายในรูปอื่นๆ
ซึ่งคนไทยไม่ทำต่อผู้นับถือศาสนาต่างๆกันมากน้อยไม่เท่ากัน</div>
มาตรา 112 คือ”เสา” หรือหลักค้ำยันการบังคับทางสังคมในข้อนี้ ซึ่งจะกล่าวในหัวข้อถัดไป<br />
</li>
<li>
<div class="first">
Hyper-royalism 40
ปีที่ผ่านมามิใช่แค่ผลงานของรัฐเท่านั้น แต่เป็น religiosity
ที่ภาคเอกชนและสาธารณชนร่วมผลิต ร่วมผลิตซ้ำ และร่วมควบคุมบงการกันเอง
รัฐไม่ต้องทำเองทั้งหมด
กิจกรรมที่เข้าครอบครองเวลาและพื้นที่ของชีวิตเราจำนวนมากเป็นเรื่องของ
ประชาสังคมทำกันเอง
เอกชนร่วมผลิตและหมุนเวียนลัทธิกษัตริย์นิยมจนกลายเป็นสินค้าได้
(commodification of royalism)
แต่สินค้าดังกล่าวอยู่ในสภาวะศักดิ์สิทธิ์(ทำนองเดียวกับพระเครื่อง)
ที่เราต่างเข้าถึงได้ด้วยตัวเอง (open access and consumption)
ไม่ต้องอาศัยพิธีกรรม และไม่ได้จำกัดอยู่ในมือของพระราชวังอีกต่อไป magic
ยิ่งหมุนเวียนหลายรอบและถี่ขึ้นก็ยิ่งเพิ่มมูลค่าของ magic
ให้กระจายทั่วไปในวงกว้างกว่ายุคใดในอดีต
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ชุมชนนิยมเจ้าทำการควบคุมบงการประชาชนเองเพื่อสนองความ
เชื่อและตัวตนของตนเอง</div>
สภาวะ Hyper-royalism ทั้ง 5 ประการไม่ได้จู่ๆเกิดขึ้นชั่วข้ามคืน
แต่มีวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
เราคงต้องศึกษามากกว่านี้จึงจะอธิบายได้ชัดเจน
แต่ในที่นี้ขอลองเสนอประวัติศาสตร์ของ Hyper-royalism อย่างคร่าวๆดังนี้<br />
Royalism
ได้รับการฟื้นฟูจริงจังในยุคสฤษดิ์ทั้งโดยปัจจัยการเมืองในประเทศที่ระบอบ
เผด็จการสฤษดิ์ร่วมมือกับฝ่ายเจ้าในการโค่นรัฐบาลก่อนหน้านั้นลงไป
ทั้งสองฝ่ายต่างอาศัยซึ่งกันและกัน
อีกปัจจัยสำคัญคือการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาซึ่งอาศัยลัทธิกษัตริย์นิยมใน
การต่อสู้กับคอมมิวนิสต์<br />
แต่ Hyper-royalism หรือ
กษัตริย์นิยมอย่างเข้มข้นล้นเกินดังที่อธิบายมาดูเหมือนจะเริ่มจากความหวาด
กลัวคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฎิวัติอินโดจีน 2518
ซึ่งรวมถึงความเชื่อว่าฝ่ายซ้ายในประเทศเป็นตัวแทน (proxy)
ของคอมมิวนิสต์ต่างประเทศเพื่อเข้ายึดครองประเทศไทยและจะทำลายสถาบันพระมหา
กษัตริย์<br />
Hyper-royalism ระลอกแรกจึงได้แก่ประมาณ 2518-2520
และจนถึงสิ้นสุดภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์ในประเทศ
ลัทธิกษัตริย์นิยมถูกโหมประโคมอย่างหนัก
ขบวนการลูกเสือชาวบ้านและฝ่ายขวาอีกหลายกลุ่มอ้างความจงรักภักดีเป็นแหล่ง
อำนาจและได้รับการสนับสนุนจากพวกกษัตริย์นิยมทั้งโดยเปิดเผยและในทางลับ
ลงท้ายด้วยการฆ่าคอมมิวนิสต์ที่ธรรมศาสตร์อย่างโหดร้ายทารุณ แม้ว่า
Hyper-royalism ระยะนี้มีอาการบ้าคลั่ง (hysterical)
แต่กลับเป็นระยะแรกที่ยังไม่ได้ผลิตประเพณีใหม่ๆที่เข้าขึดครองชีวิตประจำ
วันอย่างแนบเนียนนุ่มนวลเท่ากับระยะต่อมา<br />
Hyper-royalism
ระลอกถัดมาเกิดขึ้นควบคู่กับการเพิ่มอำนาจมากขึ้นทุกทีของระบอบประชาธิปไตย
แบบอำมาตย์ คือประมาณ 2520 เรื่อยมา
แม้จะลดลักษณะบ้าคลั่งแต่นี่คือยุคทองของ Hyper-royalism
เพราะเติบโตขึ้นเรื่อยอย่างไม่มีการทัดทาน มีพิธีกรรมใหม่ๆ
เรื่องราวมากมายผลิตออกมาล้นหลาม รุกคืบกาละและเทศะของสังคมมากขึ้นทุกที
การยกย่องเหนือเหตุผล
และการหมุนเวียนของลัทธิกษัตริย์นิยมที่กลายเป็นสินค้าเกิดขึ้นหลายต่อหลาย
รอบจนความเป็น religiosity เกิดขึ้น
ตลอดระยะนี้จนถึงเมื่อไม่กี่ปีมานี้กลับไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่มี
น้ำหนัก ไม่มีใครทัดทาน ไม่มีปฎิกิริยาย้อนกลับ
ปฎิกิริยารุนแรงที่สุดแพร่หลายอยู่ใต้ปริมณฑลสาธารณะ
คือในรูปของข่าวลือและการซุบซิบนินทา
ในภาวะเช่นนี้จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้มาตรา 112
ในการไล่ล่าปราบปรามผู้ที่คิดเห็นต่าง <a class="footnote-reference" href="http://robinlea.com/pub/ThongchaiWinichaikul/20120211.html#id15" id="id8">[6]</a><br />
จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้เองที่ Hyper-royalism
ถูกท้าทายทั้งอย่างเข้มข้นมากขึ้นใต้ปริมณฑลสาธารณะ และเปิดเผยขึ้นใน
cyberspace ข้อสังเกตเบื้องต้นที่น่าคิดก็คือ ในภาวะเช่นนี้เองที่ มาตรา
112 ถูกใช้อย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าครั้งใดๆในประวัติศาสตร์
และก่อให้เกิดปฎิกิริยาย้อนกลับต่อลัทธิกษัตริย์นิยมอย่างหนักหน่วงอย่างไม่
เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์<br />
</li>
</ol>
<strong>Hyper-royalism ส่งผลอะไรต่อสังคมไทย</strong><br />
<ol class="arabic">
<li>
<div class="first">
สถาบันกษัตริย์มีความสำคัญต่อการเมืองและขีวิตของ
สังคมยิ่งกว่ายุคใดๆ
แต่สังคมกลับไม่สามารถอภิปรายว่าควรและไม่ควรมีบทบาทอย่างไร
มีการอิงสถาบันกษัตริย์เพื่อใช้อำนาจ แต่ไม่สามารถวิจารณ์
ตรวจสอบอำนาจดังกล่าวได้
ประชาธิปไตยที่มีชั้นบนไม่โปร่งใสจึงเป็นระบอบอำนาจนิยมชนิดหนึ่ง</div>
</li>
<li>
<div class="first">
Hyper-royalism
เป็นลัทธิความเชื่อชนิดหนึ่งซึ่งไม่ได้อยู่บนความมีเหตุผล
แต่กลับขึ้นอยู่กับศรัทธา ความเชื่อ และความกลัว
ทั้งกลัวจะละเมิดโดยไม่ตั้งใจและกลัวว่าคิดต่างจากคนอื่นแล้วจะถูกรังเกียจ
ถูกสังคมปฎิเสธ</div>
สังคมใต้อิทธิพลของลัทธิชนิดนี้ไม่สามารถสร้างประชากรที่มีวิจารณญาณ
เพราะวัฒนธรรมทางปัญญาและวิชาการอยู่ภายใต้ความกลัว
วัฒนธรรมเซ็นเซอร์ตัวเองแผ่ซ่านจนเป็นเรื่องปกติ
ไม่มีอิสระในการถกเถียงก็ไำม่เกิดปัญญา ในขณะที่ลัทธิ Hyper-royalism
เผยแพร่ได้โดยไม่ถูกทัดทาน การศึกษาจึงกลายเป็นการกล่อมประสาท
ตีกรอบความคิด ทำให้คนไม่เป็นตัวของตัวเอง
ความพยายามปฎิรูปการศึกษาให้ีนักศึกษาคิดเป็นย่อมเป็นเรื่องตลกในเมื่อทั้ง
รัฐและสังคมเน้นความเชื่อ เหนือเหตุผลและเน้นการเชื่อฟังตามๆกัน
การลงโทษความคิดต่างด้วยกฏหมายและรุมประณามต่อสาธารณะก็เป็นการควบคุมปัญญา
สังคมที่มีความกลัวแผ่ซ่านย่อมฝึกฝนให้ประชาชนเอาตัวรอด
หลบเลี่ยงหลอกลวงเก่ง แต่ปัญญาถูกจำกัด<br />
</li>
<li>
<div class="first">
Hyper-royalism
ทำให้การสื่อสารอย่างโปร่งใสในทางสาธารณะมีขีดจำกัดจนบางเรื่องเชื่อถือไม่
ได้
เนื่องจากความกลัวจนกลายเป็นการควบคุมตัวเองแล้วกลายเป็นการร่วมแพร่ข่าว
เท็จประจบสอพลอเองด้วย
ข่าวสารในที่สาธารณะเกี่ยวกับสถาบัยกษัตริย์จึงเหลือแค่ด้านเดียวหรือเป็น
ข่าวบิดเบือน
ข่าวลือจึงหมุนเวียนเต็มไปหมดและบ่อยครั้งมีความจริงมากว่าข่าวสารสาธารณะ
เสียอีก ข้อวิจารณ์ ความเห็นใดๆ
แม้แต่เรื่องที่ไม่ผิดกฎหมายจึงหลบเลี่ยงลงใต้ดิน
เกิดวัฒนธรรมนินทาเจ้าแผ่ไปทั่วทั้งสังคม
นี่คือวัฒนธรรมการวิจารณ์แบบไทยๆภายใต้ Hyper-royalism
บ่อยครั้งไม่สร้างสรรค์แต่กลับไม่มีทางเลือกอื่น
เพราะการสื่อสารแสดงความเห็นในที่สาธารณะมีแต่การประจบสอพลอ
แข่งกันแสดงความจงรักภักดี
วัฒนธรรมอาเศียรวาทสดุดีในที่แจ้งแต่นินทาว่าร้ายในที่ส่วนตัวกลายเป็น
เรื่องปกติของผู้นิยมเจ้าและประชาชนทั่วไป</div>
</li>
<li>
<div class="first">
สื่อมวลชนส่วนข้างมากคุณภาพตกต่ำไร้ความรับผิดชอบ
อย่างน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง ในชั้นต้นอาจเริ่มจากความกลัว
แต่ต่อมากลายเป็นความเคยชิน การละทิ้งจรรยาบรรณทางวิชาชีพเป็นภาวะปกติ
แรกๆก็แก้ตัวว่าต้องทำเพื่อความอยู่รอด
นานวันเข้าพวกเขาต้องปกป้องตัวเองว่าทำถูกต้องแล้ว
ลงท้ายพวกเขาถูกกลืนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโกหกตอแหล
ไม่ใช่เพื่อความอยู่รอดอีกต่อไป
แต่เพื่อให้ความชอบธรรมแก่สิ่งที่ตนเป็นและกระทำ ในที่สุดพวกเขาจึงร่วม
“ไล่ล่าแม่มด” อย่างสนิทใจ
กลายเป็นกลไกโฆษณาชวนเชื่อของลัทธิกษัตริย์นิยมทำร้ายประชาชนอย่างสนิทใจ</div>
</li>
<li>
<div class="first">
ศรัทธาความเชื่อ ความกลัวและการนินทาว่าร้าย
แผ่ซ่านทั้งสังคมไปพร้อมๆกัน สองอย่างที่ขัดแย้งกลับอยู่ด้วยกัน
และกระทำโดยคนๆเดียวกันเป็นชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องปกติของสังคม
นี่คือพฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอก ปากว่าตาขยิบ ฯลฯ
หรือที่เรียกกันในระยะหลังว่า “ตอแหล” นี่มิใช่แค่พฤติกรรมของบางคนบางเวลา
แต่แพร่หลายทั้งสังคมโดยคนจำนวนมากต่างร่วมมือกันทำหรือต้องทำอย่างไม่มีทาง
เลือก
นานวันจนกลายเป็นพฤติกรรมปกติก็ตอแหลได้อย่างสนิทใจไม่ต้องตะขิดตะขวงใจอีก
ต่อไป
หมายความว่าทั้งการสอพลอสดุดีเกินจริงและการนินทาแพร่กระจายข่าวลือกลายเป็น
“วัฒนธรรมตอแหล” ไปเรียบร้อยแล้ว
วัฒนธรรมเช่นนี้แพร่หลายมากในหมู่ผู้จงรักภักดีอย่างถวายหัว
พวกเขาล้วนแต่นินทาว่าร้ายเจ้าด้วยความจงรักภักดีอย่างเหลือล้น
การตอแหลเพราะจงรักภักดีจึงเป็นลักษณะพิเศษของไทยภายใต้ Hyper-royalism</div>
</li>
<li>
<div class="first">
ในเมื่อความจริง ความวิตกกังวล
การวิพากษ์วิจารณ์กระทำไม่ได้ในที่สาธารณะ
ทั้งๆที่ความไม่ถูกต้องของพวกกษัตริย์นิยมมีมากมายตำตา
ตั้งแต่เรื่องไม่คอขาดบาดตายอย่างผลกระทบต่อการจราจรหรือการใช้จ่ายภาษี
ประชาชนเกินสมควร จนถึงเรื่องที่มีผลกระทบสำคัญต่อสาธารณะ เช่น
การอิงเจ้าเพื่อแทรกแซงนโยบายและโครงการสำคัญ การโยกย้ายแต่งตั้งผู้มีอำนาจ
และการเลือกข้างในความขัดแย้ง
แต่สังคมไทยกลับรับรู้แต่ิอาเศียรวาทสดุดีและการถวายความจงรักภักดีอย่าง
ตอแหล ภาวะเช่นนี้คือสังคมไทยหลอกตัวเอง ช่วยกันทำเป็นมองไม่เห็น
หลอกซึ่งกันและกัน</div>
ยิ่งไปกว่านั้น
นักลัทธิกษัตริย์นิยมกลับชักนำสังคมไทยให้หลอกตัวเองหนักเข้าไปอีกคือความ
เชื่อว่าสถาบันกษัตริย์ไทยวิเศษสุดไม่เหมือนที่ใดในโลก
เป็นสิ่งวิเศษที่คนไทยควรภูมิใจราวกับได้ขึ้นสวรรค์บนดิน
ได้สัมผัสทิพยวิมานพิสดารกว่าใครในโลก
สื่อมวลชนช่วยกล่อมสังคมไทยให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลดุจตกอยู่ในภวังค์ของยา
กล่อมประสาท
ความเชื่อว่าสังคมไทยวิเศษสุดกว่าใครคือที่สุดของการหลอกลวงตัวเอง
ไม่ต่างเลยกับนิทานฝรั่งเรื่อง The Emperor Has No Clothes<br />
</li>
<li>
<div class="first">
แม้ว่าลัทธิกษัตริย์นิยมจะแผ่ซ่านมากมายขนาดไหนก็ตาม
แม้ว่าการบงการควบคุมจะมากขนาดไหนก็ตาม ย่อมมีคนที่คิดต่างอยู่ดี
สังคมไทยไม่ใช่สังคมปิดตาย ความคิดต่างมีทั้งผู้ที่รักเจ้าแต่พองาม
รักด้วยเหตุผล มีทั้งผู้ที่ไม่ยินดียินร้ายกับสถาบันกษัตริย์
และมีคนไม่รักเจ้าแต่ไม่เคยคิดล้มเจ้าเพราะเคารพผู้อื่น
การที่คนเหล่านี้คิดแตกต่างจากความเชื่อที่ครอบงำอยู่ได้
มักต้องอาศัยความใคร่ครวญ เหตุผล ข้อมูล
และวิจารณญาณที่มากกว่าการเชื่อตามๆกันทำตามๆกัน</div>
คนที่คิดต่างจากลัทธิกษัตริย์นิยมมีมาทุกยุคสมัยตั้งแต่สมัยสมบูรณาญา
สิทธิราชย์ หลัง 2475 และภายใต้ Hyper-royalism แต่ข้อสังเกตสำคัญมากก็คือ
ก่อนการรัฐประหาร 2549
คนที่คิดต่างมักเป็นผลของอุดมการณ์ทางการเมืองบางอย่าง เช่น นิยมเก็กเหม็ง
สังคมนิยม มาร์กซิสม์ หรือเป็นเสรีนิยมที่ยึดมั่นว่าคนเราควรเท่าเทียมกัน
แต่คนที่คิดต่างหลัง 2549 คือผลผลิตของ Hyper-royalism นั่นเอง
กล่าวคือพวกเขาถูกทำร้าย ถูกละเมิดสิทธิเสียง
และลงท้ายถึงขนาดถูกฆาตกรรมกลางเมืองหลวงโดยพวกกษัตริย์นิยม
จึงเกิดปฎิกิริยาตอบโต้ลัทธิกษัตริย์นิยม
ครั้นคนเหล่านี้ตื่นพ้นจากภวังค์กล่อมประสาทของ Hyper-royalism
ไม่ยากเลยที่เขาจะ “ตาสว่าง” ตระหนักถึงการกระทำและผลของ Hyper-royalism
ที่กล่าวมาข้างต้น<br />
Hyper-royalism เองนั่นแหละเป็นสาเหตุและผู้สร้างปรากฏการณ์ “ตาสว่าง”<br />
ผู้ที่สมาทานลัทธิการเมืองใดๆที่เคยท้าทายลัทธิกษัตริย์นิยมไม่เคยสามารถ
ทำได้ถึงขนาดนี้มาก่อนเลย
ทักษิณก็ทำไม่ได้และหากเขาบงการทุกอย่างจริงอย่างที่ศัตรูของเขากล่าวหา
คงไม่มีทางเกิดปรากฏการณ์ตาสว่างอย่างที่เป็นอยู่
เพราะคงจะมีแต่คนที่กราบกรานขอให้พวกกษัตริย์นิยมยอมให้อภัย<br />
</li>
<li>
<div class="first">
เราอาจกล่าวได้ว่า
มีวิกฤติอย่างหนึ่งในสังคมไทยที่ชัดแจ้งตำตาแต่คนไทยยังพยายามหลอกตัวเอง
แถมพยายามปฎิเสธวิกฤตินี้ด้วยการไล่ล่าปราบปรามคนที่คิดต่างหรือจงรักภักดี
ไม่เท่ามาตรฐานของ Hyper-royalism นั่นคือ วิกฤติของความจงรักภักดี</div>
Hyper-royalism ที่ครอบงำสังคมไทยมานานกว่า 40
ปีกำลังเผชิญวิกฤติอย่างหนัก ภายใต้สภาวะนี้เอง มาตรา 112
จึงถูกนำมาใช้อย่างเข้มข้นยิ่งกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์ ปัญหามีอยู่ว่า
การไล่ล่าทำร้ายคนที่คิดต่างจะสำเร็จเมื่อไร
หรือจะยิ่งผลิตปฎิกิริยาสวนกลับต่อ Hyper-royalism มากขึ้นไปอีก<br />
วิกฤติของความจงรักภักดี เป็นปรากฎการณ์อีกอย่างที่มีสาเหตุมาจากระบอบสังคมการเมืองที่ฉุดรั้งขัดฝืนความเปลี่ยนแปลง<br />
</li>
</ol>
<strong>มาตรา 112 ภายใต้ Hyper-royalism</strong><br />
“กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มีมานานแล้ว
รวมทั้งในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
แต่กฎหมายประเภทนี้กลับมีบทบาทมากน้อยเปลี่ยนไปตามบริบททางสังคมการเมือง<br />
ภายใต้สมบูรณาญาสิทธิราชย์ กลับไม่มีการใช้กฎหมายนี้พร่ำเพรื่อนัก
และไม่ใช่เครื่องมือบังคับควบคุมความคิดของคน
ทั้งนี้มิใช่เพราะพระมหากรุณาธิคุณมากน้อยของพระมหากษัตริย์พระองค์ใด
แต่เป็นเพราะระบอบการเมืองนั้นมีกลไกรัฐและกฎหมายอื่นในการควบคุมทางสังคม
ตัวอย่างเช่น การละเมิดพระราชอำนาจย่อมถือว่าเป็นกบฎก็ได้
ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจึงมีความหมายเฉพาะจำกัดอยู่ที่การหมิ่น
ประมาทองค์พระมหากษัตริย์ ไม่มากและไม่น้อยไปกว่านั้น
และไม่มีนัยหรือผลกระทบทางการเมืองเท่าไรนัก<br />
กฎหมายหมิ่นฯ
เริ่มเป็นอาวุธทรงพลังก็ต่อเมื่อนักลัทธิกษัตริย์นิยมเอามาใช้เป็นเครื่อง
มือเพื่อช่วยสถาปนาประชาธิปไตยแบบอำมาตย์
โดยถือว่าความผิดนี้เป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ<br />
นัยสำคัญของประเด็นนี้มิได้อยู่ที่ว่าสถาบันกษัตริย์สำคัญของชาติหรือไม่
อย่างที่บางคนโต้เถียง
เพราะมีเรื่องสำคัญต่อความมั่นคงของชาติอีกมากมายที่มิได้ถูกจัดอยู่ในหมวด
ความมั่นคงของชาติ แต่เป็นเรื่องของกลไกทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
กล่าวคือ จากการศึกษาของ David Streckfuss
พบว่าภายใต้ระบอบเผด็จการอันยาวนานของไทย
บรรดาความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงถูกดำเนินการโดยกระบวนการยุติธรรมที่วิปลา
ศผิดหลักการต่างจากการะบวนการยุติธรรมต่อความผิดอาญาอื่นๆ
กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทประเภทหนึ่งกลับ
อยู่ใต้กระบวนการยุติธรรมที่ผิดปกติต่างจากความผิดหมิ่นประมาทอื่นๆ
ความผิดปกติเกิดจากกระบวนการยุติธรรมที่สยบต่ออำนาจและรับใช้อำนาจเป็นอา
จินต์ แถมยึดเอาความเชื่อ ค่านิยม อุดมการณ์
และเหตุผลของรัฐซึ่งเต็มไปด้วยอคติคับแคบ
มาเป็นมาตรฐานในการพิจารณาความถูกผิดคดีความมั่นคงเหล่านี้<br />
กระบวนวิธีพิจารณาคดีความมั่นคงบิดเบี้ยวไปจากมาตรฐานของกระบวนการ
ยุติธรรมปกติ ที่สำคัญได้แก่
มักถือว่าจำเลยกระทำความผิดร้ายแรงจนกว่าจำเลยจะพิสูจน์ได้ว่าตนบริสุทธิ์
ดังนั้นจึงมักไม่ให้ประกันตัว
และภาระการพิสูจน์ตกอยู่กับจำเลยแทนที่จะตกอยู่กับฝ่ายโจทก์ นอกจากนี้
ปกติการพิสูจน์ความผิดอาญาต้องเคร่งครัดชัดเจน
หากไม่ชัดเจนต้องยกประโยชน์ให้จำเลย
แต่ในคดีความมั่นคงกลับมักตีความกฎหมายอย่างกว้างให้ครอบคลุมการกระทำที่
ต้องสงสัยแม้จะไม่ชัดเจนก็ตาม<br />
กระบวนการยุติธรรมสำหรับความผิดตามมาตรา112 ก็ผิดปกติในทำนองเดียวกัน ตัวอย่างกรณี “อากง” คงช่วยอธิบายความผิดปกติได้ดี<br />
<ul class="simple">
<li>เริ่มจากไม่ให้ประกันทั้งๆที่ยังไม่มีการพิสูจน์</li>
<li>ศาลยอมรับว่าฝ่ายโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าอากงกระทำความผิดแต่ศาลเชื่อว่าผู้กระทำผิดย่อมพยายามปกปิดความผิดไว้จึงทำให้พิสูจน์ยาก</li>
<li>โจทก์ไม่ต้องพิสูจน์ว่าอากงครอบครองเครื่องโทรศัพท์ในขณะเกิดการกระทำ
ความผิด อากงเป็นฝ่ายต้องพิสูจน์ว่าเอาเครื่องไปซ่อม
เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ศาลจึงถือว่าไม่ได้เอาไปซ่อม</li>
<li>ไม่มีการพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำการส่งข้อความหรือไม่
เพียงแค่พิสูจน์ว่าเป็นเจ้าของเครื่องและครอบครองเครื่องในขณะเกิดการกระทำ
ความผิดก็พอ ผู้พิพากษายอมรับเองว่าเป็นหลักฐานแวดล้อมทั้งสิ้น
(เราอาจเปรียบกับการเป็นเจ้าของรถที่ถูกนำไปโจรกรรมหรือเป็นเจ้าของอาวุธที่
ถูกเอาไปใช้ฆ่าคนตาย)
ซึ่งในคดีอาญาปกติต้องมีการพิสูจน์ว่าเป็นผู้ลงมือกระทำความผิดด้วย
แต่ในกรณีนี้กลับไม่จำเป็น</li>
</ul>
ความผิดปกติวิปลาศที่สำคัญที่สุดคือ
เนื่องจากเป็นความผิดต่อความมั่นคงจึงเปิดให้ใครก็ตามที่พบเห็นการกระทำที่
สงสัยว่าเข้าข่ายความผิด สามารถแจ้งต่อเจ้าพนักงานได้
ต่างลิบลับจากคดีหมิ่นประมาททั่วไปซึ่งผู้เสียหายเท่านั้นจึงจะมีสิทธิฟ้อง
ด้วยเหตุนี้เอง คอป.ของ ดร.คณิต ณ นคร
ยังต้องพยายามหาทางออกเพื่อแก้ปมปัญหานี้ (แต่ คอป.
มิได้เสนอให้แยกความผิดตามมาตรา 112
ออกมาตั้งเป็นหมวดต่างหากจากคดีความมั่นคง
แต่ให้ถือว่าความผิดต่อความมั่นคงชนิดนี้ต้องให้อำนาจแก่ผู้เสียหายหรือ
หน่วยงานที่รับผิดชอบแทนเท่านั้นเป็นผู้ฟ้อง)<br />
มาตรา 112 ได้สร้างสมปมปัญหาแก่กระบวนการยุติธรรมอีกมากมายหลายประการ
เช่นปัญหาขอบเขตอำนาจบังคับ
ดังจะเห็นได้จากการลงโทษการกระทำที่เกิดนอกประเทศหรือไปสอบสวนในต่างประเทศ
ปัญหาบทลงโทษที่สูงเกินเหมาะสมและหนักหนาสาหัสกว่าที่ใดในโลก<br />
แต่ผู้สมาทาน Hyper-royalism ถือว่ามาตรา 112 เป็นบทบัญญัติศักดิ์สิทธิ์
ห้ามแก้ไขหรือแตะต้อง แม้จะกระทำตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญก็ตาม
(แต่ถ้าแก้โดยคณะรัฐประหารที่เถลิงอำนาจหลังอาชญากรรมที่โหดร้ายกลับยอมรับ
ได้) การถกถึยงไม่ต้องใช้เหตุผลหรือหลักวิชาใดๆ แต่ใช้ความเชื่อ ศรัทธา
และโฆษณาชวนเชื่อ
แม้แต่นักกฎหมายของพวกกษัตริย์นิยมก็ไม่จำเป็นต้องใช้หลักกฎหมาย
และไม่ต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของกฎหมายนี้ในสังคมไทย ทำไมเป็นเช่นนั้น?<br />
เพราะมาตรา 112 เป็นมากกว่ากฎหมายอาญามาตราหนึ่ง
คือเป็นเครื่องมือบังคับควบคุมความคิดของลัทธิ Hyper-royalism
สามารถใช้ได้หลายทาง ได้แก่
การลงโทษเพื่อขีดเส้นเป็นบรรทัดฐานว่าแค่ไหนเป็นความผิด
การสร้างความกลัวทั้งในแง่กฏหมาย (เพราะโทษรุนแรงและกระบวนการผิดปกติ)
และกลัวถูกสังคมลงโทษ ก่อให้เกิดการเซ็นเซอร์ตัวเอง
ไปจนถึงใช้ปลุกความบ้าคลั่งไล่ล่าทำร้ายคนอื่นทั้งอย่างตักเตือนและอย่างโหด
ร้ายทารุณ การใช้มาตรา 112 ยังเปลี่ยนไปตามเวลาด้วย เช่น
แต่ก่อนชาวต่างชาติที่ทำผิดจะโดนเนรเทศทันทีโดยไม่จำคุก
เพิ่งโดนจำคุกในระยะหลัง การใช้มาตรา 112
ในแบบล่าสุดระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือใช้ทำลายจิตวิญญาณ
หมายถึงการใช้อย่างไร้ความปรานีจนกว่าจะยอมรับสารภาพ คือมักจับไว้ก่อน
ไม่ให้ประกันตัว พิจารณาลับ ลงโทษรุนแรง
แต่ให้ความหวังว่าจะพ้นคุกได้เร็วถ้ายอมรับสารภาพ จนหลายคนยอมแพ้ในที่สุด
นี่คือการทำร้ายถึงจิตวิญญาณ
หากต้องการอิสรภาพทางกายต้องยอมแพ้ราบคาบทางมโนสำนึก
ชีวิตที่มีอิสระทางกายต้องขังจิตวิญญาณเสรีไว้ข้างในตลอดไป <a class="footnote-reference" href="http://robinlea.com/pub/ThongchaiWinichaikul/20120211.html#id16" id="id9">[7]</a><br />
มาตรา 112 ถูกใช้ใน Hyper-royalism ช่วงแรก (2518-2520)
ด้วยความกลัวคอมมิวนิสต์จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์
แม้ปริมาณคดีไม่เท่าระยะไม่กี่ปีมานี้แต่ก็มากกว่าก่อนหน้านั้น
ถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการปราบปรามนักศึกษาปัญญาชนฝ่ายซ้ายในยุคนั้น
ด้วยเหตุนี้คณะปฎิรูปขวาจัดหลัง 6
ตุลาจึงถือเป็นภารกิจต้องเพิ่มโทษความผิดตามมาตรา 112
อันเป็นปัญหาจนทุกวันนี้<br />
เอาเข้าจริงมาตรา 112 ไม่ถูกนำมาใช้เท่าไรนักระหว่าง 2520 เศษถึง 2540
เศษซึ่งเป็นช่วงที่ Hyper-royalism เติบโตอย่างมาก
คดีที่เกิดขึ้นจำนวนไม่มากนักมักไม่ผูกโยงกับความขัดแย้งทางการเมืองที่
สำคัญในขณะนั้นๆ
ที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะการสถาปนาอำนาจนำของประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ใน
ระยะนั้นเป็นการแข่งขันกับกองทัพซึ่งอ้างอิงสถาบันกษัตริย์้เป็นแหล่งอำนาจ
เช่นกัน ทั้งยังเป็นความขัดแย้งกันในหมู่ “ชั้นบน”
เหนือระบอบประชาธิปไตยด้วยกัน ดังนั้น
ประเด็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาธิปไตยจึงไม่เกิด
ขึ้น แม้แต่ในไม่กี่กรณีที่การแข่งขันกับกองทัพถึงจุดที่น่าวิตก
ก็ไม่เคยต้องยกประเด็นความขัดแย้งระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาธิปไตยขึ้น
มา ตลอดช่วงดังกล่าว Hyper-royalism
ขยายตัวเติบโตได้โดยแทบไม่ปรากฎผู้ทัดทานวิพากษ์วิจารณ์
มีแต่แข่งกันอวดความจงรักภักดี จึงไม่ต้องใช้มาตรา 112<br />
การใช้มาตรา 112 เป็นอาวุธบ่อยครั้งจนเป็นประเด็นในขณะนี้
เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤติความจงรักภักดีดังได้กล่าวมาแล้ว เมื่อมีผู้คิดต่าง
วิพากษ์วิจารณ์ หรือปฏิเสธ Hyper-royalism
มากขึ้นฝ่ายกษัตริย์นิยมทั้งกลไกรัฐและในประชาสังคมจึงเอามาตรา 112
เป็นอาวุธปกป้องลัทธิความเชื่อของตนเองและปกป้องระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์<br />
จะแก้ ไม่แก้ แก้แค่ไหนอย่างไร หรือควรยกเลิกไปเสียเลย
จึงมิใช่แค่ปัญหาเทคนิคทางกฎหมายเท่านั้น
แต่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่ใหญ่โตกว่านั้นมาก
และเป็นความขัดแย้งที่มีลักษณะเฉพาะของปัจจุบันแต่จะส่งผลมหาศาลต่ออนาคตของ
สถาบันกษัตริย์และระบอบประชาธิปไตยของไทย<br />
ถ้าหากผู้สมาทาน Hyper-royalism ต้องการยืนยันรักษามาตราศักดิ์สิทธิ์
หวังรักษาระบอบประชาธิปไตยอำมาตย์ไว้ชั่วนิรันดร์
ก็จะยิ่งผลักให้สถาบันกษัตริย์กับประชาธิปไตยขัดแย้งกันมากยิ่งขึ้น
เพราะมาตรา 112 ได้กลายเป็นอาวุธในการฉุดรั้งขัดฝืนความเปลี่ยนแปลง<br />
แต่หากไม่อยากให้อันตรายต่อสถาบันกษัตริย์และสังคมไทยสะสมมากไปกว่านี้
ต้องหาทางแก้ความขัดแย้งระหว่างสถาบันกษัตริย์กับระบอบประชาธิปไตย
นิติราษฎร์ได้เสนอทางออกหนึ่งไว้ให้แล้วด้วยเจตนาดี
ไม่อยากเห็นความขัดแย้งไปถึงจุดที่ทุกคนต้องสลดใจ<br />
นิติราษฎร์และคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขมาตรา 112
สามารถเอาตัวเองออกจากความเจ็บปวดในปัจจุบันได้อย่างสบายๆ
แต่พวกเขายอมเจ็บตัวเพื่อช่วยหาทางออกแก่สังคมไทย
แต่พวกลัทธิกษัตริย์นิยมกลับไม่เห็นความน่าสมเพชและความอับจนของตนเอง<br />
ในอนาคตประวัติศาสตร์จะบันทึกว่า
เป็นความผิดพลาดมหันต์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ไม่ฟังนิติราษฎร์และครก. 112
แถมยังผลักไสทำร้ายความปรารถนาดีของพวกเขา<br />
<strong>ความวิปลาศของอนารยธรรม</strong><br />
ในระยะที่ผ่านมามีคำกล่าวและปราการณ์มากมายที่สะท้อนความวิปลาศในสังคม
ไทย ทุกปรากฎการณ์ที่จะยกเป็นตัวอย่างต่อไปนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นในสังคมอารยะ
แต่สังคมไทยกลับไม่รู้สึก ไม่ได้เห็นเป็นความผิดปกติแต่อย่างใด<br />
เหตุที่ต้องคิดเทียบกับสังคมอารยะเพราะสังคมไทยเติบโตถึงทุกวันนี้ได้
ด้วยการปรับตัวให้เข้ากับอารยธรรมของโลก
เราเข้าใจประวัติศาสตร์ครึ่งเดียวมาตลอดว่าสยามได้รับการยอมรับจากประชาคม
โลกเพราะเราเป็นไม่ตกเป็นเมืองขึ้น
แท้ที่จริงสยามที่เป็นเอกราชยังไม่ได้รับการยอมรับจนกระทั่งสยามได้พิสูจน์
ว่าตนมีอารยธรรม ผู้ดีกรุงรัตนโกสินทร์ทั้งหลายเข้าใจข้อนี้ดี<br />
ขอบอกว่าโลกกำลังจับตามองอารยธรรมของสังคมไทยด้วยความเหนื่อยหย่าย
ข้อท้วงติงจากนานาชาติเกี่ยวกับมาตรา 112
ที่ผ่านมานับว่าเบากว่าความรู้สึกที่แท้จริงที่สังคมอารยะมีต่อกรณีนี้อยู่
มาก<br />
ตัวอย่างที่ 1 มหาวิทยาลัยที่รับก้านธูปถูกตั้งคำถาม ถูกตำหนิ
แถมมีคนตามล้างตามเรียกร้องให้ธรรมศาสตร์ไล่เด็กออกไป
แต่มหาวิทยาลัยที่ปฎิเสธก้านธูปเพียงเพราะความคิดของเธอกลับไม่ถูกสอบสวน
ไม่ถูกลงโทษ ไม่โดนสังคมประณามด้วยซ้ำไป ในสังคมอารยะอื่นๆ
การกระทำผิดๆเช่นนี้เคยเกิดมาแล้ว
เช่นในยุคแมคคาร์ธีหรือยุคล่าแม่มดสมัยใหม่
กลายเป็นรอยด่างทางประวัติศาสตร์ที่น่ารังเกียจ จึงไม่มีทางเกิดในยุคนี้อีก
ในสังคมอารยะอื่นๆอาจารย์ที่ฟ้องนักศึกษาเพียงเพราะความคิดต่างควรถูกไล่ออก
เพราะเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ
ละเมิดจรรยาบรรณของนักวิชาการอย่างไม่ควรให้อภัย แต่สังคมไทยเฉย
แถมกลับลงโทษเหยื่อ<br />
ตัวอย่างที่ 2 การออกมาขับไล่คนที่ไม่สมาทานลัทธิ Hyper-royalism ให้ออกนอกประเทศ<br />
พฤติกรรมแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นในอารยสังคม
เพราะเป็นการกระทำที่โง่เขลาน่าสมเพชสิ้นดี
เอาอะไรมาเป็นเหตุผลขับไล่คนที่คิดต่างจากลัทธิของตัวออกนอกประเทศที่เขา
เป็นเจ้าของ<br />
ในอารยประเทศ
คนที่ขับไล่ผู้คิดต่างออกนอกประเทศจะถูกด่าประณามและถูกเรียกร้องให้ขอโทษ
ยิ่งถ้าคนพูดเป็นผุ้บัญชาการทหารยิ่งเป็นความผิด 2
ชั้นเพราะเขาไม่มีสิทธิให้ความเห็นทางการเมืองตราบที่ยังอยู่ในอำนาจ
เขาไม่มีเสรีภาพให้ความเห็นทางการเมือง ถ้าอยากทำก็ออกจากอำนาจเสียก่อน
ถ้าเกิดขึ้นในประเทศประชาธิปไตย เขาถูกปลดไปแล้วอย่างแน่นอน<br />
แต่สังคมไทยไม่ว่าอะไร แถมนักข่าวยังป้อนคำถามการเมืองให้ขุนทหารตลอดเวลา<br />
ตัวอย่างที่ 3 คำกล่าวประเภท “พ่อแม่ไม่สั่งสอน”
สะท้อนจิตใจและรสนิยมต่ำของผู้พูด ยิ่งเป็นสื่อมวลชนที่มีผู้ฟังมากมาย
ในอารยสังคมเขาจะถูกประณาม
ถูกเรียกร้องให้ขอโทษหรือถูกถอดรายการเพราะถือเป็นความไม่รับผิดชอบต่อสังคม
คำกล่าวที่รุนแรงน้อยกว่านี้ยังโดนปลดออกจากผังรายการมาแล้วหลายราย
แต่สังคมไทยเฉย<br />
ตัวอย่างที่ 4 เมื่อนิติราษฎร์ถูกขู่ ถูกทำร้ายหยาบคายด้วยวาจา
ถูกคุกคามโจ่งแจ้งเปิดเผย นิติราษฎร์จึงถูกลงโทษจากสังคมและถูกจำกัดพื้นที่
ถูกเรียกร้องให้สอบสวน ให้ลงโทษทางวินัย<br />
ในอารยสังคม
เขาเรียกร้องอาการทำนองนี้ว่าการลงโทษเหยื่อที่ถูกข่มขืนเพื่อป้องกันไม่ให้
เกิดการข่มชืน ในอารยสังคม
ไม่ว่าหญิงคนนั้นจะแต่งกายอย่างไรย่อมไม่ใช่เหตุของการข่มชืน
ต้องลงโทษและกำราบผู้คุกคามทำร้ายคนอื่นเท่านั้น<br />
แต่มหาวิทยาลัยของไทยและสื่อมวลชนรุมกระหน่ำโจมตีเหยื่อผู้ถูกทำร้าย
ยังดีที่อธิการบดีออกมายืนยันว่าไม่มีความผิด ไม่มีการสอบสวน
ไม่มีการลงโทษทางวินัย
แต่ผู้เขียนสลดใจอยู่ดีที่ไม่มีใครออกมาเตือนสติสังคมไทยว่า
การเรียกร้องให้สอบสวนลงโทษทางวินัยเป็นเรื่องวิปลาศวิปริตสิ้นดี<br />
ถ้าวัฒนธรรมพิเศษอย่างไทยเป็นใหญ่ในโลก ป่านนี้ Salman Rushdie คงถูกลากคอออกมาตัดหัวไปแล้ว<br />
โปรดตระหนักว่า ความวิปริตเช่นนี้มีอยู่ในสังคมไทยมานานแล้ว
เพราะนี่คือเชื้อมูลของการที่คนจำนวนมากยืนดูการแขวนคอ เผาทั้งเป็น
ตอกอกในที่สาธารณะได้โดยไม่เข้าช่วยเหลือยับยั้ง
ความวิปริตข้อนี้มีมูลเหตุเดียวกันกับความพึงพอใจขณะดูเก้าอี้ฟาดร่างไร้
ชีวิตบนปลายบ่วงเชือก<br />
ตัวอย่างที่ 5 จนป่านนี้ยังมีปัญญาชนวิปริตเรียกร้องให้ทหารออกมาทำรัฐประหารอยู่อีก<br />
ยังมีการให้พฤติกรรมคำกล่าววิปลาศอีกมากมายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
บางข้อยากขึ้นนิดที่จะอธิบายว่าทำไมจึงวิปลาศ
แต่หากคิดให้ดีจะพบว่าตลกและไร้เดียงสา อาทิเช่น คำกล่าวที่ว่า
“อย่าละเมิดเสรีภาพของในหลวง” หรือข้อเขียน 2 ครั้ง
ของนักเขียนใหญ่รายหนึ่งที่ว่า “ขอพื้นที่ให้คนที่ศรัทธาอย่างแท้จริงบ้าง”
ทั้งๆที่ท่านมีพื้นที่ทั่วประเทศไทย ทั้งในธรรมศาสตร์ ราบ 11
และราชประสงค์ ในเขตราชการและเขตพระราชวัง
แต่คนที่ขอใช้เหตุผลอย่างบริสุทธิ์ใจกลับถูกคุกคามทำร้าย ถูกปิดกั้นพื้นที่
และถูกขอคืนพื้นที่ด้วยกระสุนจริง<br />
เวลาได้ยินได้พบเห็นความวิปลาศพรรค์นี้
ผู้เขียนมักนึกถึงตำนานเกี่ยวกับการปฎิวัติฝรั่งเศสที่เล่าว่า พระนางมารี
อังตัวเนต บอกแก่คนยากจนว่า “หากไม่มีขนมปัง แล้วทำไม่กินเค็ก”
เรื่องนี้ไม่ใช่ความจริงแต่ตำนานยืนยงตลอดมาเพื่อสะท้อนความวิปริตของสังคม
ฝรั่งเศสก่อนการปฎิวัติซึ่ง
ราชสำนักและพวกกษัตริย์นิยมขังตัวเองอยู่ในโลกของตนโดยไม่เข้าใจความเปลี่ยน
แปลงที่กำลังเกิดขึ้น
ตำนานคำพูดของพระนางเป็นเรื่องตลกทำนองเดียวกับตลกวิปลาศที่กำลังเกิดขึ้นใน
สังคมไทยช่วงนี้<br />
อีก 50
ปีข้างหน้าประวัติศาสตร์อาจจะบันทึกความผิดปกติของสังคมไทยปัจจุบันโดยจดจำ
ความวิปลาศที่ยกตัวอย่างมาจนเป็นตำนาน เช่น คำกล่าวที่ว่า
“อย่าละเมิดเสรีภาพของในหลวง”<br />
<strong>ความวิปลาศผิดจากอารยสังคมเหล่านี้สะท้อนอะไร?</strong><br />
คำตอบที่ 1 สะท้อนว่าสังคมไทยมีลักษณะพิเศษ
อย่างที่ปัญญาชนลัทธิกษัตริย์นิยมมักอ้างเสมอๆ พิเศษเสียจนการใช้เหตุผล
จรรยาบรรณ มาตรฐานตามปกติของอารยสังคม เอามาใช้กับสังคมไทยไม่ได้
พวกเขากล่าวเสมอว่าความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับพสกนิกรไทยพิเศษไม่
มีที่ใดเหมือนและอาจเข้าใจยากสำหรับชาวต่างชาติ
หมายความว่าพิเศษจนต้องยุติการใช้เหตุผล ยุติอารยธรรมตามปกติ
ยุติมนุษยธรรมปกติ และต้องใช้ความเชื่อ ศรัทธาเหนือเหตุผล หรือเหตุผลวิปลาศ
กลับหัวกลับหาง ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมผิดปกติดำเนินต่อไป
เช่นนั้นหรือ<br />
คำตอบที่ 2 สะท้อนว่าสังคมไทยป่วยหนัก ป่วยหนักมากจนหลง
จนหลอกตัวเองไม่รู้ว่ากำลังป่วย
ป่วยจนยอมถลำลึกลงไปในวิถีทางฝืนความเปลี่ยนแปลง
แต่กลับละเมอว่าทุกอย่างยังคงดีเหมือนเดิม
ป่วยจนอธิบายหาเหตุผลไม่ได้ก็อ้างว่าเป็นลักษณะพิเศษ สำนวนปัจจุบันเรียกว่า
“ไปไม่เป็น” แต่สังคมไทยกลับเชื่ออย่างภาคภูมิใจ<br />
อาการวิปลาศอย่างที่กล่าวมายังสะท้อนด้วยว่าสังคมไทยไม่มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งพอ นั่นคือ วัฒนธรรมทางปัญญาตกต่ำ<br />
เราเถียงกันด้วยเหตุผลไม่ค่อยได้ไกลเพราะเราอยู่กันด้วยความเชื่อกับด้วย
ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล เรากลัวคนคิดเป็น เราไม่ชอบปัจเจกชนที่กล้าคิด
เป็นอิสระ เรากลัวคนที่คิดนอกกรอบ<br />
ความอ่อนแอทางปัญญา สะท้อนออกมาในสองวงการที่คุณภาพต่ำอย่างน่าวิตก คือ
ระบบการศึกษาและสื่อมวลชน
แต่ขออนุญาตไม่อภิปรายปัญหาในวงการทั้งสองในที่นี้เพราะเป็นปัญหาใหญ่เกินไป<br />
แต่ที่เน้น 2
วิชาชีพนี้เพราะมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างปัญญาที่จะช่วยให้สังคมรู้จักคิด
ฝ่าการเปลี่ยนแปลงอย่างมีสติและความรู้ หรือสรัางปัญหา
กล่อมประสาทตอแหลหลอกลวงตัวเองจาสายเกินการณ์
(อีกเหตุผลเพราะเป็นวิชาชีพที่ผู้เขียนพอรู้จักมากหน่อย
อย่างน้อยผู้เขียนก็พอรู้ว่ามหาวิทยาลัยและวงวิชาการที่ดีมีมาตรฐานสูงเป็น
อย่างไร)
ความตกต่ำของวิชาชีพทางปัญญาเป็นเหตุหนึ่งของความวิปลาศยามสังคมเผชิญความ
เปลี่ยนแปลงแล้วเอาแต่ขัดฝืนฉุดรั้ง ในทางกลับกัน
ครั้นความวิปริตวิปลาศเหล่านี้เกิดจนเป็นปกติ ผู้คนไม่รู้สึกอะไร
ไม่ถูกทัดทาน ไม่ต้องขอโทษ ไม่ถูกปลด ไม่ถูกสอบสวน
มาตรฐานทางการเมืองก็ไม่ต้องรับผิด
ความไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีพรรค์นี้เองที่มีส่วนทำให้มาตรฐานและจรรยาบรรณ
ของวงวิชาการและสื่อมวลชนตกต่ำอย่างน่าวิตก<br />
บ่อยครั้งผู้เขียนรู้สึกเหมือนสังคมไทยอยู่ในยุคของกาลิเลโอ
ในยุคนั้นอำนาจอยู่กับศาสนจักรที่ยึดมั่นในความรู้ความคิดผิดๆ
ห้ามกาลิเลโอเผยแพร่ความรู้ใหม่ที่ถูกต้องซึ่งต่อมามีผลต่อการปฎิวัติวิทยา
ศาสตร์ขนานใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก
เพราะสิ่งที่กาลิเลโอเสนอขัดแย้งกับความเชื่อและศรัทธาของผู้มีอำนาจและ
สังคมในขณะนั้น<br />
กาลิเลโอไม่มีโอกาสอยู่ดูชัยชนะของเขา มนุษยชาติที่โหดร้ายเป็นหนี้บุญคุณเขาแต่ไม่เคยสามารถกล่าวขอโทษเขาได้ต่อหน้า<br />
มนุษย์เราโหดร้ายและขลาดเขลาพอที่จะทำอย่างนี้เป็นประจำ
เพราะมนุษย์ปกติมักสายตาสั้น มองโลกแคบ
ยิ่งสังคมที่ขาดวุฒิภาวะทางปัญญายิ่งขลาดเขลาเกินกว่าจะมองเห็นความเป็น
อนิจจังของสังคม กลัวการเปลี่ยนแปลง
หลงยึดมั่นถือมั่นกับเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเชื่อว่าไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
จนไม่สามารถเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา
อคติอวิชชาทำให้เขาคับแคบ
ลุ่มหลงตัวเองว่าพิเศษกว่าใครอื่นจนสามารถหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงไว้ได้<br />
คนพวกนี้จะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์อย่างน่าสงสารว่าเป็นผู้ฉุดรั้งขัด
ฝืนความเปลี่ยนแปลงจนก่อให้เกิดความเสียหายอย่างที่ไม่น่าต้องเกิดขึ้น
ไม่ว่าในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 6 ตุลา 2519 พฤษภา 2535 เมษา–พฤษภา 2553
และอีกหลายเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิด<br />
<strong>ในท้ายที่สุด</strong><br />
ณ ปลายรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงค์จักรี สังคมไทยกำลังเผชิญปัญหาหนักหน่วงอย่างน้อย 4 ประการที่สำคัญไม่แพ้กันทั้งนั้น คือ<br />
<ol class="arabic simple">
<li>รัฐธรรมนูญ คือ เรื่องของกรอบกติกาทางการเมืองที่จะเอื้ออำนวยหรือยิ่งขัดฝืนความเปลี่ยนแปลง</li>
<li>ความขัดแย้งชายแดนภาคใต้และปัญหาการกระจายอำนาจทั่วทั้งประเทศ
คือเรื่องรูปการของรัฐที่ปรับตัวน้อยเกินไปหรือแทบไม่ปรับโดยพื้นฐานมา
ตั้งแต่ 100 กว่าปีก่อน</li>
<li>โศกนาฎกรรมเมื่อเดือน เมษา-พฤษภา 2553
และอาชญากรรมของรัฐอีกหลายครั้งในอดีตรวมถึงการปราบปรามในชายแดนภายใต้ด้วย
นี่เป็นปัญหาความยุติธรรม
ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่สุดของความสัมพันธ์ราบรื่นในสังคม</li>
<li>มาตรา 112
เป็นกุญแจไขประตูไปสู่การเผชิญปัญหาที่ตกค้างมาตั้งแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิ
ราชย์ นั่นคือ
ปัญหาบาทบาทสถานะของสถาบันกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยควรเป็นอย่างไร</li>
</ol>
ปัญหาทั้งหมดนี้ต้องแก้ด้วยความหนักแน่น สติ และปัญญา
ไม่ใช่ด้วยโฆษณาชวนเชื่อหรือใส่ร้ายป้ายสีอย่างขาดความรับผิดชอบ
ขอสื่อมวลชนแค่ทำตามจรรยาบรรณ อย่าสุมไฟ<br />
เราต้องการวุฒิภาวะทางปัญญาและการเมืองที่จะคุยกันอย่างอารยชน มิใช่แข่งกันแสดงความจงรักภักดีอย่างขาดสติ<br />
กรุณาคิดถึงอนาคต มิใช่แค่การเมืองระยะสั้นๆ<br />
สังคมไทยที่พึงปรารถนาควรใจกว้าง
อยู่ร่วมกันได้ไม่ว่าคิดแตกต่างกันขนาดไหน
ในที่นี้หมายถึงคนที่รักเจ้าไม่เท่ากัน ในแบบต่างๆกัน
และคนที่ไม่ยินดียินร้าย หรือคนที่ไม่รักเจ้าเลยก็ตาม
ตราบเท่าที่เขาไม่ใช้ความรุนแรงบังคับข่มเหงใครหรือก่อให้เกิดการเปลี่ยน
แปลงระบอบการเมืองด้วยความรุนแรง<br />
ไม่ใช่สังคมภายใต้ Hyper-royalism ที่เที่ยวไล่ล่าปราบปรามคนที่คิดต่าง<br />
หลังรัฐประหาร 2549 ผู้เขียนเคยสงสัยว่า “ฤานี่จะเป็นอภิชนาธิปไตยชบวนสุดท้าย”<br />
ในขณะนั้นผู้เขียนมิได้เข้าใจภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เสนอใน
วันนี้
ผู้เขียนเพียงแต่เห็นปรากฎการณ์ที่พวกกษัตริย์นิยมทิ้งไพ่สำคัญๆออกมาบนโต๊ะ
จนหมดหน้า<br />
ถึงวันนี้ผู้เขียนยังขอชวนคิดเช่นเดิมว่า “ฤานี่จะเป็นอภิชนาธิปไตยขบวนสุดท้าย”<br />
ผู้เขียนไม่ทราบว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอันใกล้
ผู้เขียนไม่ทราบจริงๆว่าจะเป็นขบวนสุดท้ายหรือไม่เป็น แต่ค่อนข้างมั่นใจว่า
อีก 50 ปีข้างหน้า ประวัติศาสตร์จะย้อนมองมายังปัจจุบัน
จะเห็นมูลเหตุของวิกฤติ 3 ประการใหญ่ดังที่กล่าวมา
จะเห็นว่าวิกฤติของระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์เกิดจากความสำเร็จย้อนกลับมา
ท้าทายระบอบดังกล่าวเสียเอง จะเห็นความไม่สามารถปรับตัวอันเกิดจาก
Hyper-royalism
และจะบันทึกความพยายามของคนจำนวนหนึ่งรวมทั้งนิติราษฎร์และครก.112
ที่จะหาทางออกแก่สังคมไทยด้วยความปรารถนาดี<br />
แต่ผู้เขียนไม่ทราบว่า ลงท้ายระบอบการเมืองปัจจุบันปรับตัวสำเร็จหรือไม่
อันตรายที่แท้จริงอันเกิดจากการฉุดรั้งขัดฝืนความเปลี่ยนแปลงจะถูกถอดชนวน
ทันกาลหรือจะดึงดันไปถึงจุดสุดท้ายของอภิชนาธิปไตยขบวนนี้<br />
สังคมไทยจะยอมปลดล็อค เปิดประตู
แล้วเดินเข้าสู่ประตูของการปรับตัวหรือไม่ นิติราษฎร์ และ ครก. 112
ช่วยเสนอทางปลดล็อคให้ทางหนึ่งแล้ว<br />
เราท่านทุกคนมีส่วนในการตัดสินใจเพื่ออนาคตของสังคมไทย และลูกหลานของเรา<br />
<strong>อ้างอิง:</strong><br />
<table class="docutils footnote" frame="void" id="id10" rules="none">
<colgroup><col class="label"></col><col></col></colgroup>
<tbody valign="top">
<tr>
<td class="label"><a class="fn-backref" href="http://robinlea.com/pub/ThongchaiWinichaikul/20120211.html#id3">[1]</a></td>
<td>พวก กษัตริย์นิยม
หมายถึงใครก็ตามที่อิงสถาบันกษัตริย์เป็นความชอบธรรมหรือเป็นแหล่งที่มาของ
อำนาจตน พวกนี้มีมากมายเป็นเครือข่าย (network)
มีทั้งสามัญชนและผู้ที่มีเชื้อสายเจ้า</td>
</tr>
</tbody>
</table>
<table class="docutils footnote" frame="void" id="id11" rules="none">
<colgroup><col class="label"></col><col></col></colgroup>
<tbody valign="top">
<tr>
<td class="label"><a class="fn-backref" href="http://robinlea.com/pub/ThongchaiWinichaikul/20120211.html#id4">[2]</a></td>
<td>คำ ว่า สถาบันกษัตริย์ พระมหากษัตริย์ ที่จะใช้ในบทความนี้
ถ้ากล่าวถึงของไทยใน 40-50 ปีที่ผ่านมาจะแยกไม่ออกระหว่างสถายันกับบุคคล
เพราะองค์พระมหากษัตริยืกลายเป็นปัจจัยหลักของความเป็นสถายันจนความหมายทั้ง
2 ด้าน ปนเปกันอยู่ตลอดเวลา</td>
</tr>
</tbody>
</table>
<table class="docutils footnote" frame="void" id="id12" rules="none">
<colgroup><col class="label"></col><col></col></colgroup>
<tbody valign="top">
<tr>
<td class="label"><a class="fn-backref" href="http://robinlea.com/pub/ThongchaiWinichaikul/20120211.html#id5">[3]</a></td>
<td>ผู้ เขียนยังหาคำแปลที่เหมาะสมไม่ได้ คำว่าคลั่งเจ้าน่าจะใช้กับ
Ultra-rayalism
ซึ่งน่าจะหมายถึงคนจำนวนหนึ่งที่ขยันขันแข็งกับการโจมตีล่าทำร้ายผู้ที่คิด
ต่าง แต่ Hyper-royalism
เป็นภาวะที่เกิดขึ้นทั่วทั้งสังคมและผู้คนจำนวนมหาศาลยอมรับเข้าร่วม
ผู้เขียนเคยใช้คำแปลว่า “กษัตริย์นิยมล้นเกิน” ซึ่งยังน่าจะใช้ได้อยู่
แต่ประดักประเดิดทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน</td>
</tr>
</tbody>
</table>
<table class="docutils footnote" frame="void" id="id13" rules="none">
<colgroup><col class="label"></col><col></col></colgroup>
<tbody valign="top">
<tr>
<td class="label"><a class="fn-backref" href="http://robinlea.com/pub/ThongchaiWinichaikul/20120211.html#id6">[4]</a></td>
<td>สถาบันกษัตริย์สมัยใหม่ฟื้นความศักดิ์สิทธิ์สูงมากขึ้นมาได้อย่างไรยังต้องการการศึกษาและคำอธิบายมากกว่านี้</td>
</tr>
</tbody>
</table>
<table class="docutils footnote" frame="void" id="id14" rules="none">
<colgroup><col class="label"></col><col></col></colgroup>
<tbody valign="top">
<tr>
<td class="label"><a class="fn-backref" href="http://robinlea.com/pub/ThongchaiWinichaikul/20120211.html#id7">[5]</a></td>
<td>
<div class="first">
ปริศนา สำคัญอีกข้อของ Hyper-royalism กล่าวคือ
สังคมไทยเป็นสังคมเปิด
ต่างจากประเทศปิดอย่างเกาหลีเหนือหรือพม่าตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
สังคมไทยมีเสรีภาพในการเข้าถึงข่าวสารภายนอกและในประเทศพอสมควร
มิได้ถูกตรวจสอบปิดกั้นเข้มข้นอย่างประเทศเผด็จการเบ็ดเสร็จ
มีเสรีภาพในการบริโภคเต็มที่ มีเสรีภาพทางธุรกิจ
และสร้างโอกาสใหม่ๆของปัจเจกชนมากพอสมควร</div>
แต่ทำไมสภาวะ Hyper-royalism จึงเกิดขึ้นควบคู่กันได้ ?<br />
ทำไมสังคมค่อนข้างเปิดจึงเกิดสภาวะทำนอง 1984
ได้ในมิติที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์? (หมายถึงหนังสือ Nineteen
Eighteen Four ของ George Orwell)<br />
คำตอบเบื้องต้นก็คือ Hyper-royalism กลายเป็นลัทธิความเชื่อ หรือ
religiosity ที่เป็นระบบแข็งแกร่งในตัวเอง
ในบางแง่กลับแข็งแกร่งกว่าศาสนาเสียอีก กลายเป็น cult/occult ประเภทหนึ่ง
การทำความเข้าใจให้ได้ดีต้องไม่ใช้เพียงวิธีวิเคราะห์ทางการเมืองเท่านั้น
แต่ต้องดูระบบศรัทธาความเชื่อที่เหนือการพิสูจน์หรือเหตุผล
ดูพิธีกรรมและระบบคิดของลัทธินี้ในตัวมันเองไม่ว่าจะไร้เหตุผลสักเพียงไหนก็
ตาม รวมถึงบทลงโทษทั้งทางสังคมด้วย<br />
<div class="last">
ภายใต้สังคมเปิด
ลัทธิความเชื่อเช่นนี้กลายเป็นกำแพงที่สมาชิกในสังคมนั้นก่อขึ้น
ล้อมรอบตัวเอง ทำนองเดียวกับที่คนเราไม่เปลี่ยนศาสนาความเชื่อกันง่ายนัก
แถมยังส่งต่อไปยังรุ่นลูกหลานได้ด้วย
จนกว่าจะมีเหตุที่กระทบกับตัวตนเดิมอย่างแรง</div>
</td>
</tr>
</tbody>
</table>
<table class="docutils footnote" frame="void" id="id15" rules="none">
<colgroup><col class="label"></col><col></col></colgroup>
<tbody valign="top">
<tr>
<td class="label"><a class="fn-backref" href="http://robinlea.com/pub/ThongchaiWinichaikul/20120211.html#id8">[6]</a></td>
<td>Hyper-royalism ระลอกนี้ผูกพันใกล้ชิดกับ “ทัศนาวัฒนธรรม” (visual
culture)
กล่าวคือลักษณะที่กล่าวมาทั้งหมดเกี่ยวพันกับเทคโนโลยี่และวัฒนธรรมของการดู
รับรู้ด้วยสายตาประมวลขึ้นเป็นความรู้ด้วยภาพและการมอง เช่น
การแสดงและพิธีกรรมในที่สาธารณะ พระราชพิธีอลังการ์ และบทบาทของโทรทัศน์
ข้อสังเกตนี้มีผู้เริ่มเสนอไว้บ้างแล้ว แต่คงต้องศึกษาให้มากกว่านี้
ในที่นี้ขอทดลองเสนอเพียงว่าความสำเร็จของ Hyper-royalism
เกี่ยวพันกับเทคโนโลยี่และทัศนาวัฒนธรรม
ซึ่งไม่มีหรือยังไม่พัฒนาก่อนหน้านั้น</td>
</tr>
</tbody>
</table>
<table class="docutils footnote" frame="void" id="id16" rules="none">
<colgroup><col class="label"></col><col></col></colgroup>
<tbody valign="top">
<tr>
<td class="label"><a class="fn-backref" href="http://robinlea.com/pub/ThongchaiWinichaikul/20120211.html#id9">[7]</a></td>
<td>นี่คือวิธิการเดียวกันกับที่ Big Brother ใช้กำจัดขบถทางความคิดใน 1984</td></tr>
</tbody></table>
กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-61200440131042483022014-03-09T08:50:00.001+07:002014-03-09T08:50:07.406+07:00หนังสือ 1984 ของ จอร์ช ออร์เวล กับสังคมไทย<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://4.bp.blogspot.com/-RPa1IG7_ZcQ/T1mz1gEHMZI/AAAAAAAAAko/Xm_Bu2VdJeg/s1600/1984+by+george+orwell.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="http://4.bp.blogspot.com/-RPa1IG7_ZcQ/T1mz1gEHMZI/AAAAAAAAAko/Xm_Bu2VdJeg/s400/1984+by+george+orwell.jpg" width="245" /></a></div>
<blockquote class="tr_bq">
<span style="color: red;">ในเผด็จการ Ingsoc ท่านผู้นำหรือ </span><b style="color: red;">“พี่ใหญ่”</b><span style="color: red;"> เป็นผู้ที่คิดค้นทุกอย่าง เก่งทุกอย่าง จะมีอายุยืนตลอดกาล เขารักและดูแลประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็คอยจ้องมองทุกคนเพื่อไม่ให้ก่อ </span><b style="color: red;">“อาชญากรรมทางความคิด” </b><span style="color: red;">ประชาชนต้องทั้งรักและกลัวเขา</span></blockquote>
<br />
โดย <b>ใจ อึ๊งภากรณ์</b><br /><br /><b>จอร์ช ออร์เวล</b>
เป็นนักเขียนสังคมนิยมอังกฤษ ในปี 1937 เขาอาสาไปรบในประเทศสเปน
เพื่อยับยั้งการยึดอำนาจของทหารฟาสซิสต์ภายใต้นายพลฟรังโก
ออร์เวลเข้าร่วมในกองทัพอาสาสมัครของพรรค POUM
(พรรคแนวร่วมกรรมาชีพมาร์คซิสต์) พรรคนี้ร่วมกับองค์กรอนาธิปไตย CNT และ
FAI ในการปฏิวัติลุกฮือของกรรมาชีพและเกษตรกรสเปน <br /><br />แต่ปรากฏว่าพรรค
คอมมิวนิสต์สเปน ภายใต้อิทธิพลของ สตาลิน ในรัสเซีย
พยายามสลายกระแสปฏิวัติเพื่อเอาใจอังกฤษกับฝรั่งเศส
เพราะตะวันตกไม่ต้องการเห็นการปฏิวัติสังคมนิยมเกิดขึ้นในสเปน
สตาลินมองว่าถ้าสามารถเอาใจมหาอำนาจตะวันตกได้ รัสเซียจะไม่ถูกโจมตี
อย่างไรก็ตามการเอาใจตะวันตกแบบนี้นำไปสู่การเปลี่ยนสงครามปฏิวัติในสเปนไป
สู่สงครามกระแสหลัก
และนำไปสู่การทำลายความหวังของกรรมาชีพและเกษตรกรในการปลดแอกตนเอง
ผลในที่สุดคือความพ่ายแพ้ของฝ่ายซ้ายและฝ่ายประชาธิปไตยสเปน<br /><br />ประสบการณ์ของออร์เวลในสเปนถูกเขียนขึ้นหลังจากที่เขาหนีออกมาจากประเทศนั้นได้ ในหนังสือสำคัญของเขาชื่อ<b> Homage To Catalonia (แด่คาทาโลเนีย) </b>และเมื่อไม่นานมานี้ <b>Ken Loach </b>อาศัยหนังสือเล่มนี้ในการสร้างหนังชื่อ<b> Land and Freedom</b><br /><br />ออร์เวล
เข้าใจดีเรื่องการหักหลังขบวนการปฏิวัติสากลโดยสตาลินและพรรคคอมมิวนิสต์
ต่างๆ ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของสตาลิน อีกกรณีสำคัญในยุคนั้นนอกจากสเปน
คือการหักหลังคอมมิวนิสต์และกรรมาชีพจีน
โดยการสั่งให้เข้าไปร่วมพรรคกับพวกชาตินิยมก๊กหมินตั๋ง
ซึ่งทำให้เชียงไกเช็คกวาดล้างฆ่าคอมมิวนิสต์จำนวนมาก
สองเหตุการณ์นี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจาก ลีออน ตรอทสกี
ผู้ที่พยายามปกป้องแนวมาร์คซิสต์ และแนวบอลเชวิคจากการบิดเบือนของสตาลิน<br /> <br />ในหนังสือ <b>Animal Farm</b>
(รัฐสัตว์) ออร์เวลประชดระบบเผด็จการของสตาลิน
ที่อ้างว่าเป็นสังคมนิยมแต่สร้างความเหลื่อมล้ำและการกดขี่อย่างหนักในรัส
เซีย ตัวละครที่เป็นสตาลินคือหมูชื่อ นโปเลียน และหมูอีกตัวที่ชื่อ
สโนบอล์คือตรอทสกี<br /> <br />หนังสือ 1984 ซึ่งเขียนในปี 1949
เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ระบบเผด็จการสตาลินอย่างหนัก
แต่ผสมระบบนาซี-ฟาสซิสต์เข้าไปในรัฐเผด็จการเดียวกัน 1984
เน้นเรื่องกระบวนการกล่อมเกลาล้างสมอง การตอแหลโกหก
และการสร้างนิยายขึ้นมาครอบงำสังคมโดยเผด็จการ
มันเป็นหนังสือที่วิจารณ์ทั้งฝ่ายรัสเซียและฝ่ายอเมริกาในยุคสงครามเย็น<br /> <br />
<blockquote class="tr_bq">
<span style="color: red;">ในหนังสือ 1984 </span><b style="color: red;">“พี่ใหญ่”</b><span style="color: red;">
ที่คอยจ้องมองประชาชนตลอด มีใบหน้าเหมือน สตาลิน
และศัตรูหลักของระบบเผด็จการชื่อ โกล์ดสตีน ซึ่งมีหน้าตาเหมือน ตรอทสกี
บ่อยครั้งจะมีการบรรยายวิธีการที่เผด็จการทำให้อดีตนักปฏิวัติสารภาพว่าตน
เป็น </span><b style="color: red;">“สายลับของศัตรู”</b><span style="color: red;"> ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับอดีตแกนนำพรรคบอลเชวิคในคดีการเมืองภายใต้ </span><b style="color: red;">“ศาลเตี้ย”</b><span style="color: red;"> ของสตาลิน ในยุค 1930</span></blockquote>
<br />ในการกล่าวถึงสภาพโลกในหนังสือ 1984
ออร์เวลประชดสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคสงครามเย็นและภายหลัง
โลกในหนังสือของออร์เวลแบ่งเป็นสามมหาอำนาจที่อยู่ในสภาวะสงครามอย่างต่อ
เนื่อง คือ Oceania (ศูนย์กลางที่สหรัฐ), Eastasia (ศูนย์กลางที่จีน) และ
Eurasia (ศูนย์กลางที่รัสเซีย)
ตัวละครเอกในเรื่องจะอาศัยอยู่ที่อังกฤษซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อไปเป็น <b>“สนามบิน 1”</b>
และเป็นส่วนของอาณาจักร Oceania ของสหรัฐ ในสมัยประธานาธิบดีเรแกน
หลังออร์เวลตายไปสามสิบกว่าปี
คนอังกฤษที่คัดค้านจักรวรรดินิยมสหรัฐและการที่อังกฤษมีฐานทัพนิวเคลียร์ของ
สหรัฐบนเกาะ มักจะพูดว่าอังกฤษกลายเป็นแค่ <b>“สนามบินของสหรัฐ” </b>ไปแล้ว<br /> <br />ทั้ง
สามมหาอำนาจมีลัทธิการเมืองของตนเอง Oceania ใช้ลัทธิ Ingsoc
(สังคมนิยมอังกฤษ) Eastasiaใช้ลัทธิ Death-Worship (บูชาความตาย) และ
Eurasia ใช้ลัทธิ Neo-Bolshevism (บอลเชวิคใหม่) แต่ทั้งๆ
ที่แต่ละฝ่ายอ้างว่าแนวคิดของตนเองแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับของฝ่ายตรงข้าม
ในความเป็นจริงไม่ต่างกันเลยเพราะล้วนแต่เป็นเผด็จการของขุนศึกที่กดขี่
ประชาชน ในโลกแห่งความเป็นจริงของสงครามเย็น ฝ่ายสหรัฐอ้างว่าเป็น <b>“โลกเสรี”</b>
แต่ในโลกเสรีมีเผด็จการทหารไทย เผด็จการทหารเกาหลีใต้
และเผด็จการทหารในลาตินอเมริกา
ส่วนเผด็จการคอมมิวนิสต์สายสตาลินในรัซเสียและที่อื่นๆ โกหกว่าตนเป็น <b>“ประชาธิปไตยประชาชน”</b><br /> <br />ในหนังสือ 1984 Oceania Eastasia และ Eurasia ฉวยโอกาสสับเปลี่ยนกันเป็น <b>“แนวร่วม”</b> เพื่อต่อต้านอีกฝ่าย โดยไม่มีเรื่องอดุมการณ์เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด<br /> <br />ทั้งๆ
ที่หนังสือทั้งสามเล่มนี้ของออร์เวล เป็นการวิจารณ์ระบบสตาลินอย่างหนัก
จากจุดยืนนักสังคมนิยมปฏิวัติ แต่ฝ่ายขวาทั่วโลก โดยเฉพาะในสงครามเย็น
และแม้แต่ฝ่ายขวาในไทย
ก็บิดเบือนความหมายให้ตรงข้ามกับความจริงอย่างน่าไม่อาย
เพื่อเสนอว่าเป็นหนังสือ<b> “ต้านสังคมนิยม”</b><br /> <br />ในหนังสือ
Homage To Catalonia (แด่คาทาโลเนีย) ออร์เวล
กล่าวถึงเมืองบาซาโลนาที่ถูกกรรมาชีพยึด
เขาสนับสนุนการที่คนงานเป็นใหญ่ในสังคมโดยไม่มีเงื่อนไข ทั้งๆ
ที่เขาไม่สบายใจในฐานะที่ตัวเองเป็นคนชั้นกลาง ในหนังสือ 1984
ตัวเอกเชื่อมั่นว่าชนชั้นกรรมาชีพจะต้องเป็นผู้ปลดแอกตนเองและสังคมจากเผด็จ
การ Ingsoc แต่เล่มนี้เขียนภายหลัง Homage To Catalonia
และสะท้อนว่าออร์เวลเริ่มหดหู่กับความเป็นไปได้ว่ากรรมาชีพจะลุกฮือจริง<br /><br /><b style="color: blue;">1984 กับสังคมไทย</b><br /><br />เผด็จการ Ingsoc ติดตั้ง <b>“โทรทัศน์”</b> ที่คอยป้อนข่าวโฆษณาชวนเชื่อและคอยจ้องมองดูว่าคนในบ้านว่าทำอะไรและคิดอะไร มีหน่วย <b>“ตำรวจความคิด”</b>
ที่คอยจับผิดคนที่คิดต่าง
มีการส่งเสริมให้ประชาชนไปฟ้องตำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมของคนอื่น
ซึ่งคงจะทำให้เราคิดถึงหน่วยงานของรัฐไทย เช่นกระทรวงไอซีที
หรือศูนย์ประสานการปราบปรามภายใต้ทหาร ประชาธิปัตย์ และเพื่อไทย
ที่คอยสอดส่องประชาชนและลงโทษด้วยกฏหมาย 112<br /> <br />ในเผด็จการ Ingsoc ท่านผู้นำหรือ <b>“พี่ใหญ่”</b> เป็นผู้ที่คิดค้นทุกอย่าง เก่งทุกอย่าง จะมีอายุยืนตลอดกาล เขารักและดูแลประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็คอยจ้องมองทุกคนเพื่อไม่ให้ก่อ <b>“อาชญากรรมทางความคิด” </b>ประชาชนต้องทั้งรักและกลัวเขา<br /> <br />ประชาชน
ในสังคม Oceania แบ่งออกเป็นสองชนชั้นคือ กรรมาชีพ กับ
สมาชิกพรรคซึ่งมีบทบาทคล้ายๆ ชนชั้นกลาง สำหรับเผด็จการ Ingsoc
แกนนำพรรคไม่สนใจกรรมาชีพ เพราะคิดว่าโง่และไม่มีความสามารถในการลุกขึ้นสู้
แต่ในขณะเดียวกันมักอ้างว่าเขาปกครองเพื่อกรรมาชีพ
แกนนำพรรคจะให้ความสนใจกับชนชั้นกลางผู้เป็นสมาชิกพรรคมากกว่า
และจะกล่อมเกลาให้ทุกคนใช้ <b>“ระบบคิดซ้อน”</b> (Doublethink)<br /><br />
<blockquote class="tr_bq">
<b style="color: red;">“ระบบคิดซ้อน”</b><span style="color: red;">
คือการที่คนเราจะเชื่ออะไรสักอย่างอย่างจริงใจเต็มใจ แต่รู้พร้อมๆ
กันว่าความเชื่อนั้นเป็นเท็จด้วย เช่นการที่คนชั้นกลางอาจเชื่อว่ามีเทวดา
อาจเชื่อด้วยความศรัทธาเต็มเบี่ยม
แต่ในขณะเดียวกันรู้ในใจว่าเทวดาไม่มีจริงคือมันเป็นการล้วงเข้าไปในสมองของ
คนเพื่อไม่ให้มีความคิดเป็นอิสระเอง</span></blockquote>
<br /><b>“ระบบคิดซ้อน” </b>กับการ <b>“พูดซ้อน”</b> (Doublespeak) ไปด้วยกัน และเผด็จการ Ingsoc มีคำขวัญสำคัญคือ <b>“สงครามคือสันติภาพ” “เสรีภาพคือการเป็นทาส”</b> และ<b> “ความโง่เขลาคือพลัง”</b> การพูดซ้อนคงไม่ต่างจากคนที่เคยเรียกร้องให้เสื้อแดง <b>“งด”</b> ใช้ความรุนแรงในขณะที่ตนเองส่งทหารไปไล่ฆ่าประชาชน หรือไม่ต่างจากนายพลที่อ้างว่าเขา <b>“ทำรัฐประหารเพื่อปกป้องประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”</b> ไม่ต่างจากคนที่ทำรัฐประหารดังกล่าวเสร็จแล้ว และก็หันมากล่าวหาคนที่คัดค้านรัฐประหารว่า <b>“ดึงสถาบันกษัตริย์ลงมาเกี่ยวกับการเมือง”</b><br /> <br />ในระบบพูดซ้อน กระทรวงกลาโหมเรียกว่า <b>“กระทรวงสันติภาพ”</b> กระทรวงที่บิดเบือนประวัติศาสตร์คือ <b>“กระทรวงแห่งความจริง”</b> กระทรวงที่คุมการผลิต ซึงไม่เคยผลิตอะไรเพียงพอสำหรับประชาชนเลย มีชื่อว่า <b>“กระทวงแห่งความอุดมสมบูรณ์”</b> และกระทรวงที่จับประชาชนที่คิดต่างมาทรมาณ คือ <b>“กระทรวงแห่งความรัก”</b> คนที่สารภาพ <b>“อาชญากรรมทางความคิด”</b> ในคุกของกระทรวงแห่งความรัก ในที่สุดจะได้รับการอภัยโทษปล่อยตัว นับว่า Oceania คือตอแหลแลนด์ที่แท้จริง!<br /> <br />เผด็จ
การ Ingsoc เข้าใจความสำคัญของประวัติศาสตร์มาก
มีหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ในหนังสือเก่า
และสิ่งตีพิมพ์ทุกชนิด อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับ<b> “แนว” </b>ของรัฐบาลในขณะนั้น และเมื่อมีการเปลี่ยน<b> “แนว” </b>ก็
ต้องปรับประวัติศาสตร์ตามเสมอ ในประเทศไทยอาจไม่ถึงระดับนี้
แต่กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่นๆ
มีบทบาทอันยาวนานในการเขียนประวัติศาสตร์ไทยให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชน
ชั้นปกครอง<br /> <br />จริงๆ แล้วระบบเผด็จการ Ingsoc กำลังเปลี่ยนภาษาจากภาษาเดิม ไปเป็น<b> “ภาษาใหม่” </b>โดย
ที่ศัพท์ต่างๆ ที่อนุญาตให้ใช้กลายเป็นแค่ศัพท์ที่เชิดชูระบบเผด็จการ
หรือเป็นศัพท์ที่ใช้วิจารณ์ระบบหรือคิดต่างไม่ได้เลย
เป้าหมายหลักคือการทำลายความสามารถของประชาชนที่จะคิด
ยิ่งกว่านั้นในภาษาใหม่ ไม่มีคำว่าวิทยาศาสตร์
เพราะวิทยาศาสตร์ถูกยกเลิกไปแล้ว สังคมไม่มีการพัฒนา <br /><br />เพราะชนชั้น
ปกครอง Oceania
กลัวว่าการพัฒนาจะทำให้กรรมาชีพเริ่มมีความมั่นใจในการตื่นตัวลุกขึ้นสู้
ประเด็นนี้ทำให้นึกถึงประโยคหนึ่งในแถลงการณ์ฉบับที่หนึ่งของคณะราษฏร์ในปี
๒๔๗๕ คือ<i> “ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็โง่ เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน
ที่ราษฎรรู้ไม่ถึงเจ้านั้นไม่ใช่เพราะโง่ เป็นเพราะขาดการศึกษา
ที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่ เพราะเกรงว่าถ้าราษฎรได้มีการศึกษา
ก็จะรู้ความชั่วร้ายที่ทำไว้ และคงจะไม่ยอมให้ทำนาบนหลังตน”</i><br /> <br />เผด็จ
การ Ingsoc คอยห้ามปรามเพศสัมพันธ์
กรณียกเว้นคือกรณีที่สมรสแล้วและมีเพศสัมพันธ์เพื่อผลิตลูก
การชอบเซกซ์เป็นสิ่งต้องห้ามโดยเฉพาะในสตรี และการสร้างความเก็บกดทางเพศ
ตามแนวจารีตนี้
มีวัตถุประสงค์ที่จะนำไปสู่การระเบิดออกมาของความเกลียดชังต่อศัตรู
และความจงรักภักดีรัก <b>“พี่ใหญ่”</b> รัฐบาลมีการติดป้ายใบหน้า <b>“พี่ใหญ่”</b> ทั่วเมือง และจัด <b>“สิบนาทีแห่งการเกลียดชังศัตรู”</b> ทุกอาทิตย์ ซึ่งเป็นภาคบังคับสำหรับประชาชนทุกคนตามสถานที่ทำงานต่างๆ<br /> <br /><b>ออร์เวล
ตายประมาณหนึ่งปีหลังจากที่เขาเขียนหนังสือ 1984
เขาเลยไม่มีโอกาสเห็นการลุกขึ้นสู้ของกรรมาชีพและผู้ถูกกดขี่ทั่วโลก
ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ การปฏิวัติอียิปต์
และการนัดหยุดงานต่อต้านแนวเสรีนิยมท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป
ทำให้ความเชื่อมั่นได้ว่า “ถ้ามีความหวัง... มันอยู่ที่ชนชั้นกรรมาชีพ” If
there is hope, it lies with the Proles.</b>กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-10009072277320199822014-03-03T21:41:00.003+07:002014-03-03T21:41:59.895+07:00วิสัยทัศน์ของปรีดี พนมยงค์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNT_1Uzaq4Y4-ZXMc1GGYRz2B1x9DKjp6nBP0hiPJxJwIfAMMA5UjAwU1VZTBg1bEgweqkiVqfq5vsgyRZ6EPeJf5tdat-HSDy6h0BGbIwXjZuWcCak7ciUiOsQj4c2mWDFQdmgh2KoF0/s1600/1307336507.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNT_1Uzaq4Y4-ZXMc1GGYRz2B1x9DKjp6nBP0hiPJxJwIfAMMA5UjAwU1VZTBg1bEgweqkiVqfq5vsgyRZ6EPeJf5tdat-HSDy6h0BGbIwXjZuWcCak7ciUiOsQj4c2mWDFQdmgh2KoF0/s1600/1307336507.jpg" height="320" width="224" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
<b>: รัฐธรรมนูญนิยมและสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย</b><br />การเมืองไทยในช่วงปี 2475 จนถึงปี 2490 บทบาทอันสำคัญยิ่งของนายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำฝ่ายพลเรือนในคณะราษฎร เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แม้บุคคลผู้นี้จะมีวิถีชีวิตอันเรียบง่าย แต่ในทางการเมืองนั้นกลับตกเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์ และเป็นไปได้ด้วยว่า ในระหว่างฝักฝ่ายที่มุ่งวิพากษ์วิจารณ์บุคคลผู้นี้นั้น แต่ละฝ่ายอาจมิได้มีความเข้าใจอันถ่องแท้เกี่ยวกับความคิดที่ตนได้หยิบยกขึ้นวิพากษ์วิจารณ์นั้นเลย</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
เช่นเดียวกับเด็กอื่นโดยทั่วไปในประเทศสยามตอนกลางพุทธศตวรรษที่ 25 ที่ส่วนใหญ่ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางชีวิตในชนบทและภายใต้ร่มแห่งศรัทธาที่มีต่อพระพุทธศาสนา ปรีดี พนมยงค์ เกิด ณ จังหวัดอยุธยา หลังจากที่ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนกฎหมายเป็นเวลาสองปีและกลับไปประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมในครอบครัว ปรีดี พนมยงค์ ได้เดินทางไปศึกษาต่อทางกฎหมายในประเทศฝรั่งเศสระหว่างปี 2463 จนถึงปี 2469 ในขณะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกทางกฎหมาย ความสนใจของปรีดีที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ ได้ผลักดันให้ปรีดีเข้าศึกษาจนสำเร็จและได้รับประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองด้วยอีกสาขาหนึ่ง เมื่อกลับสู่ประเทศสยามปรีดีได้เข้ารับตำแหน่งที่สำคัญต่าง ๆ เช่น ผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรม ผู้สอนในโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย เป็นต้น</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ในปี 2471 ปรีดีได้รับแต่งตั้งให้เป็น “หลวงประดิษฐ์มนูธรรม” ซึ่งนามดังกล่าวนี้ทำให้เรานึกถึงเรื่องราวอันเป็นตำนานทางกฎหมายที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “พระมนู” ซึ่งถือกันว่า เป็นผู้เปิดเผยและแสดงธรรมะให้ปรากฏต่อโลก กล่าวโดยสรุป นามนี้จึงมีความหมายถึง “ผู้สร้างสรรค์หลักธรรมของพระมนู” ดังนี้เอง ย่อมทำให้เรานึกถึง “พระมนู” ซึ่งเป็นบุรุษคนสำคัญในตำนานทางนิติศาสตร์ของประเทศอินเดีย</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ด้วยเหตุที่พระมนู (หรือมโนสาราจารย์ ในตำนานกฎหมายของสยาม) เป็นผู้ประกาศหลักธรรม โลกโบราณจึงได้รู้จักกับกฎเกณฑ์อันเป็นพื้นฐานของจักรวาล อีกทั้งกฎเกณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่มาแต่เดิมในธรรมชาติและในสังคมมนุษย์ทั้งปวง อันได้แก่สิ่งที่เรียกว่า “ธรรมะ” หากว่าโดยทางตำนาน ทิพยภาวะอันควรแก่การเคารพนบไหว้จะได้มีอยู่แก่พระมนู ผู้เป็นต้นบัญญัติแห่งบทกฎหมายทั้งหลายแต่เพียงผู้เดียวแล้ว นั่นย่อมหมายถึงว่า นามของพระมนูได้เป็นสัญลักษณ์สำคัญซึ่งบรรดาอำนาจทั้งปวงในโลกจะต้องอ้างอิงถึง กล่าวคือ เป็นสัญลักษณ์แห่งหลักธรรมะในฐานะที่เป็นหลักแห่งความยุติธรรมนั่นเอง</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
การประกาศหลักธรรมะของพระมนู อันเป็นที่มาแห่งบรรดากฎเกณฑ์ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ได้รับการรวบรวมขึ้นเป็นวิทยาการอันหนึ่งซึ่งควรแก่การเคารพสักการะในนาม “ธรรมศาสตร์หรือศาสตร์แห่งธรรมะ” อันมีนัยเดียวกับคำว่า “นิติศาสตร์” ในปัจจุบัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ธรรมศาสตร์ซึ่งได้รับการประกาศและให้อรรถาธิบายโดยพระมนูย่อมเป็นที่รู้จักกันในนาม “ธรรมะแห่งพระมนูหรือมนูธรรม” นั่นเอง</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ในแง่นี้ นามของปรีดีอันเป็นสัญลักษณ์แห่งบุรุษผู้ซึ่ง “ประดิษฐ์มนูธรรม” จึงมีนัยสำคัญยิ่ง ด้วยเหตุว่า ปรีดีได้เข้าร่วมกับคณะราษฎรนำประเทศสยามเข้าสู่ยุคใหม่โดยการอภิวัฒน์ในเดือนมิถุนายน 2475 จึงนับได้ว่า เป็นการรังสรรค์ขึ้นใหม่ซึ่ง “หลักธรรมแห่งพระมนู” ในที่นี้ หมายถึงหลักการอันว่าด้วยรัฐธรรมนูญนิยมและสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย หรืออีกนัยหนึ่ง เมื่อกล่าวโดยทางสัญลักษณ์ หากพระมนู (หรือมโนสาราจารย์ตามพระธรรมสาตรของสยาม) เป็นผู้ประกาศซึ่งหลักธรรมอันเป็นอุดมคติแห่งระบอบรัฐราชาธิราชในสมัยโบราณ ปรีดีย่อมนับเป็นผู้วางรากฐานของหลักการอันว่าด้วยรัฐธรรมนูญนิยมและสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยในฐานะที่เป็นหลักธรรมใหม่ของพระมนู กล่าวคือ เป็นหลักการพื้นฐานทางการเมืองในระบอบใหม่ของประเทศสยามนับแต่ปี 2475 เป็นต้นมา</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
หลังจากเหตุการณ์การอภิวัฒน์ในเดือนมิถุนายน 2475 ปรีดีได้มีบทบาทและเข้าดำรงตำแหน่งที่สำคัญหลายตำแหน่งจนถึงในปี 2490 ได้แก่ เป็นผู้ร่างธรรมนูญการปกครองฉบับแรก ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่บทบาททางการเมืองของปรีดีจะได้สิ้นสุดลง กล่าวโดยสรุปก็คือ หากยกกรณีการอภิวัฒน์ในปี 2475 และเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ เพื่อเราจะได้กล่าวเป็นการเฉพาะในภายหลังแล้ว งานในหน้าที่ต่าง ๆ เหล่านี้ ย่อมเป็นการวางรากฐานด้านการปกครองในยุคใหม่ของประเทศนั่นเอง</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
วิถีทางในการดำเนินงานทางการเมืองในปี 2475 แสดงให้เห็นขั้นตอนที่สำคัญเป็นลำดับ 2 ประการอันได้แก่ การเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองการปกครองให้เป็นไปตามหลักการว่าด้วยรัฐธรรมนูญนิยมเป็นประการแรก ประการต่อมาได้แก่ การทำให้ระบอบการเมืองการปกครองที่สถาปนาขึ้นใหม่นั้นให้มีเสถียรภาพ โดยพยายามที่จะแก้ไขระบบเศรษฐกิจภายใต้หลักการอันว่าด้วยสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย จริงอยู่ว่า ตามความเห็นของปรีดีแล้ว หลักการที่ว่ามาข้างต้นทั้งสองประการนั้น ย่อมเป็นส่วนเสริมซึ่งกันและกันให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่ก็หาได้มีความสำคัญเท่าเทียมกันไม่ ทั้งนี้ ปรีดีเห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยที่ได้ก่อตั้งขึ้นแล้วนั้นจะต้องเป็นเครื่องมือนำไปสู่ความสุขสมบูรณ์ของราษฎรเป็นประการสำคัญ ดังนั้น ปรีดีจึงมิได้ถือเอารัฐธรรมนูญนิยมเป็นเป้าหมายสุดท้ายในตัวเอง แต่รัฐธรรมนูญนิยมนั้นจะต้องนำไปสู่การบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรอย่างเป็นรูปธรรม อันเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นของอิสรภาพและความไพบูลย์แห่งชาติ</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ก. รัฐธรรมนูญนิยม : หลักพื้นฐานประการแรก</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
คำนิยาม</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
เมื่อเราพิจารณาจากหลักเกณฑ์สากลซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป หลักการว่าด้วยรัฐธรรมนูญนิยมของปรีดีย่อมเป็นไปตามตรรกะทางทฤษฎีการเมืองของตะวันตก รัฐธรรมนูญนิยมจึงหมายถึงหลักการทางการเมืองซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายพื้นฐานอันมิอาจล่วงละเมิดได้ เป็นกฎเกณฑ์ที่ได้วางระเบียบต่าง ๆ เกี่ยวกับความชอบธรรมของการใช้อำนาจรัฐต่อพลเมือง คงไม่เป็นการจำเป็นในที่นี้ที่จะต้องให้อรรถาธิบายในรายละเอียดถึงหลักการดังกล่าว ตามความคิดของปรีดี สิ่งสำคัญที่สุดซึ่งเราน่าจะให้ความสนใจได้แก่ การตัดสินใจทางการเมืองที่สำคัญของปรีดี เพื่อที่จะให้การอภิวัฒน์ประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นนั้นเกิดผลสมบูรณ์ครบถ้วน</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
หลักการที่สำคัญ</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
หากกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของคณะราษฎร การเปลี่ยนแปลงระบอบสมบูรณญาสิทธิราชไปเป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ นับเป็นวัตถุประสงค์สำคัญมาตั้งแต่การประชุมผู้ร่วมก่อการในครั้งแรกเมื่อปี 2470 แม้ว่าประกาศของคณะราษฎรซึ่งเผยแพร่ในวันที่ 24 มิถุนายนนั้นจะระบุถึงความเป็นไปได้ในการก่อตั้งระบอบสาธารณรัฐ หากได้รับการปฏิเสธจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ แต่นั่นก็เป็นเพียงยุทธศาสตร์ที่ปรีดีเองให้เหตุผลว่า “มีวัตถุประสงค์มุ่งต่อผลสำเร็จโดยพลัน” </div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ในความเป็นจริงภายใต้บริบทของสังคมและวัฒนธรรมไทย ปรีดีหรือแม้แต่คณะราษฎรเองก็ตาม หาได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันสำคัญที่มีมาแต่เดิมไม่ ในทางตรงกันข้าม เจตจำนงของคณะผู้ก่อการที่จะธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันอันสำคัญนี้ภายใต้ระบอบการปกครองที่ได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่นั้น แสดงให้ปรากฏหลายครั้งหลายครา อาทิเช่น คำกราบบังคมทูลของคณะราษฎรต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ เพื่ออัญเชิญให้ทรงคืนสู่ราชบัลลังก์เป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกในระบอบใหม่ หรือการอัญเชิญพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ในปี 2478 หรือการอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ในปี 2489</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
เมื่อกล่าวถึงหลักการที่สำคัญของระบอบที่ได้สถาปนาขึ้นใหม่ ย่อมเห็นได้ชัดจากหลักการที่ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎร” ดังที่ปรีดีได้นำมาบัญญัติไว้ในบทกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับแรกนั่นเอง</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
การแปรไปสู่การปฏิบัติ</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ความพยายามของปรีดีในอันที่จะนำประเทศสยามไปสู่ระบอบประชาธิปไตย อาจสรุปขั้นตอนที่สำคัญได้ดังต่อไปนี้</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
- เตรียมพื้นฐาน : คำอธิบายกฎหมายปกครอง</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ในปี 2474 การที่ปรีดีได้รับเป็นผู้บรรยายในวิชากฎหมายปกครอง ณ โรงเรียนกฎหมายนั้นนับได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่ง กล่าวคือ วิชากฎหมายปกครองเป็นวิชาใหม่ซึ่งนักกฎหมายในสมัยนั้นจะต้องเล่าเรียน ปรีดีได้บรรยายวิชาดังกล่าวโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำนักกฎหมายรุ่นใหม่หรือแม้แต่สาธารณชนโดยทั่วไปเข้าทำความรู้จักกับทฤษฎีการเมืองแบบใหม่ ในวิชาดังกล่าว ปรีดีได้บรรยายถึงหลักการที่สำคัญทางการเมืองประการต่าง ๆ ได้แก่ ลักษณะทางทฤษฎีของรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นกฎหมายพื้นฐาน หลักการอันว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ในฐานะที่เป็นหลักทั่วไปของกฎหมาย จำแนกได้เป็น 3 ประการ กล่าวคือ เสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ รูปแบบต่าง ๆ ของรัฐ ภารกิจแห่งรัฐ เป็นต้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปรีดีประสงค์ให้ประเทศสยามได้ทำความรู้จักกับหลักและทฤษฎีประชาธิปไตย เพื่อเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
- วางรากฐานสังคมใหม่ : การอภิวัฒน์ในปี 2475</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ในเดือนมิถุนายน 2475 เวลาอันสำคัญได้มาถึงเพื่อเปลี่ยนจากสิ่งซึ่งเป็นเพียง “วิชาที่บรรยายในชั้นเรียน” ไปสู่การอภิวัฒน์ระบอบการเมืองการปกครอง ในที่นี้ เราจะลองพิจารณาในเบื้องต้นถึงคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
คณะผู้ก่อการประกอบด้วยบุคคลฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร โดยส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาจากประเทศยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศฝรั่งเศส ในการประชุมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์เมื่อปี 2470 ณ อาคารหอพักแห่งหนึ่งในกรุงปารีส คณะผู้ก่อการได้กำหนดให้มีผู้ดำเนินการทางการเมืองขึ้นคณะหนึ่ง ซึ่งในช่วงเวลา 5 วันของการประชุมในครั้งนี้ ด้วยเหตุที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ร่วมก่อการ ปรีดีจึงได้แสดงบทบาทการเป็นผู้นำกลุ่มนับแต่เวลานั้นเป็นต้นมา</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
จากการดำเนินงานทางการเมืองของคณะผู้ก่อการกลุ่มนี้ ในเวลาเช้าตรู่ของวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2475 ราษฎรชาวสยามทั้งหลายได้ตื่นขึ้นพร้อมกันกับความคาดหวังที่ว่า นับแต่วันนี้ทุกสิ่งจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป อีกนัยหนึ่ง ยุคใหม่ทางการเมืองได้เริ่มขึ้นแล้วพร้อมกับการอภิวัฒน์</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ยุทธศาสตร์ในการดำเนินการของคณะราษฎรมีดังนี้ กล่าวคือ กระจายกำลังทหารเข้าควบคุมสถานที่ที่สำคัญ การเข้าจับกุมเจ้านายและพระราชวงศ์ระดับสูงซึ่งดำรงตำแหน่งการบริหารในรัฐบาลของระบอบเก่าเป็นตัวประกัน การประกาศวัตถุประสงค์การอภิวัฒน์ของคณะราษฎร กราบบังคมทูลเชิญพระสมเด็จพระปกเกล้า ฯ ให้ทรงยอมรับการเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งให้มีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน เราควรหันมาพิจารณาปฏิกิริยาที่สำคัญของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ ซึ่งได้แก่ การให้การรับรองความชอบธรรมของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง การเสด็จคืนสู่ราชบัลลังก์ในฐานะพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของระบอบประชาธิปไตย ทรงให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งกับคณะผู้ก่อการเพื่อให้มีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองฉบับวันที่ 27 มิถุนายน 2475 และฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2475</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงเลยว่า ด้วยคุณูปการที่สำคัญยิ่งของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ ในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จึงส่งผลให้การอภิวัฒน์ประชาธิปไตยในประเทศสยามประสบผลสำเร็จโดยกระบวนการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
- หว่านเมล็ดพันธุ์ทางปัญญาแห่งระบอบใหม่</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
: มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ในบรรดาการริเริ่มอย่างใหม่ ๆ ที่ปรีดีดำริให้มีขึ้นระหว่างระยะการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองนั้น การก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองในปี 2477 และการดำรงตำแหน่งผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยแห่งนี้ด้วยตนเองระหว่างปี 2477 จนถึง 2495 นับเป็นผลงานที่ทรงคุณค่ายิ่งและเห็นผลเป็นประจักษ์แม้ในปัจจุบัน กล่าวคือ สถาบันที่ได้รับการก่อตั้งขึ้นนี้นับเป็นสถาบันการศึกษาแห่งเดียวที่เป็นผลโดยตรงจากการอภิวัฒน์ในเดือนมิถุนายน 2475 ภารกิจแห่งสถาบันทางวิชาการแห่งใหม่นี้ย่อมคาดหมายได้จากนามของสถาบันนั้นเอง กล่าวคือ เป็นศูนย์กลางทางปัญญาว่าด้วยธรรมศาสตร์และว่าด้วยการเมือง</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
กล่าวในทางภาษา หากเราเว้นที่จะอธิบายคำว่า “การเมือง” และอาศัยความหมายโดยทั่วไปซึ่งเป็นที่เข้าใจกันแล้ว ในส่วนถ้อยคำที่เอ่ยถึง “ Sciences morales ” นั้นเป็นคำที่ใช้แทนคำเดิมในภาษาไทยว่า “ธรรมศาสตร์” ซึ่งปัจจุบันได้มีการแปลคำนี้อย่างเป็นทางการว่า “Thammasat” ซึ่งน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่า มิได้สื่อสาระแต่อย่างใดเลย จะเป็นก็แต่เพียงคำแปลตามการออกและสะกดเสียงเท่านั้น คำว่า “ธรรมศาสตร์” นั้นเป็นที่รับรู้กันในสมัยของปรีดี ในความหมายที่เป็น “ความรู้โดยทั่วไปในทางนิติศาสตร์” ซึ่งแต่เดิมเป็นที่รู้จักกันในนามว่า “Dharmasastra” จากแง่มุมที่ว่านี้ คำสำคัญ 2 คำซึ่งได้นำมารวมกันเพื่อตั้งเป็นนามแห่งสถาบันการศึกษา ย่อมสื่อนัยและสนองต่อเจตนารมณ์แห่งการอภิวัฒน์ที่ได้มีขึ้นในเดือนมิถุนายน 2475 ได้เป็นอย่างดียิ่ง กล่าวคือ นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป วิชาธรรมศาสตร์และวิชาการเมืองย่อมนับเป็นฐานทางปัญญาอันสำคัญยิ่งต่อระบอบการเมืองที่ได้สถาปนาขึ้นใหม่</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ข. สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
: วัตถุที่ประสงค์อันแท้จริงแห่งการอภิวัฒน์</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ลักษณะโดยทั่วไป</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
การนำประเทศสยามเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยหาใช่เป็นวัตถุประสงค์สุดท้ายในตัวเองไม่ ปรีดีคงถือแต่เพียงว่า หลักรัฐธรรมนูญนิยมเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองในอันที่จะแปรเจตจำนงแห่งราษฎรทั้งปวงให้มีผลในทางปฏิบัติเท่านั้น ด้วยความเชื่อเช่นว่านี้ การอภิวัฒน์ดังกล่าวทำให้ปรีดีประสงค์ที่จะดำเนินการให้ยิ่งขึ้นไปกว่าขั้นตอนแรกที่ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ด้วยเหตุที่ได้มีส่วนเข้าร่วมในบรรยากาศใหม่ทางการเมืองของประเทศในปี 2475 ปรีดีจึงได้นำเสนอโครงการดำเนินงานต่อเนื่องทั้งในทางสังคมและเศรษฐกิจที่ได้ถูกขนานนามในภายหลังว่า “สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย” ในการให้สัมภาษณ์ต่อนิตยสาร Asiaweek (ฉบับวันที่ 24 ธันวาคม 2522 - 4 มกราคม 2523) ปรีดีให้สัมภาษณ์ดังนี้</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
“ ถาม : ท่านจะบรรยายลักษณะปรัชญาทางการเมืองของท่านสักหน่อยจะได้ไหม ?<br />ตอบ : ปรัชญาทางการเมืองของข้าพเจ้าคือ สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย เพราะว่า ประชาธิปไตยและสังคมนิยมควรมีพื้นฐานเป็นวิทยาศาสตร์ ... ”</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ปรีดีได้นิยามหลักการของสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยด้วยว่า</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
“ ... ข้าพเจ้าจะตอบคำถามของท่านจากจุดยืนของผู้รักชาติตามหลัก 5 ประการของสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย กล่าวคือ เอกราชของชาติ อธิปไตยของชาติ สันติภาพ ความเป็นกลาง ความไพบูลย์ของประชาชน พร้อมด้วยประชาธิปไตยของประชาชน ... ”</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
และเมื่อปรีดีระบุว่า</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
“ ความคิดในทางอภิวัฒน์ของข้าพเจ้ามีพื้นฐานอยู่บนเศรษฐกิจ”</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
หลักประการที่ 5 กล่าวคือ ความไพบูลย์ของประชาชน พร้อมด้วยประชาธิปไตยของประชาชนจึงเป็นประเด็นความสนใจของเราในที่นี้</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
จุดกำเนิดแห่งแรงบันดาลใจทางเศรษฐกิจ</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
หากพลังทางปัญญาอันลึกซึ้งใด ๆ มักพบจุดกำเนิดแห่งตนในสิ่งที่ “ประทับรอยลึกไว้ในใจ” ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยคงต้องมีที่มาจากสิ่งที่ประทับรอยลึกในใจของปรีดี ซึ่งเราควรใส่ใจในที่นี้</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
หากเราติดตามชีวิตของบุรุษผู้นี้จนถึงเวลาที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็น “หลวงประดิษฐ์มนูธรรม” ในปี 2471 เราอาจคิดไปได้ว่า เส้นทางชีวิตแห่งบุรุษผู้นี้คงไม่พ้นไปจากความเป็นชนชั้นนำในสังคม จากสามัญชนที่ค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่โครงสร้างดั้งเดิมของระบบราชการ นับเป็นการเตรียมเส้นทางแห่งการทำงานและการไต่เต้าเข้าสู่ฐานะและความสำเร็จที่บุรุษสามัญชน ผู้ดำรงชีวิตอยู่ชายขอบสังคมทั้งหลายคาดหวังมิใช่หรือ เราจะถือเอาเหตุผลในเรื่องนี้มาอธิบายได้หรือว่า เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปรีดีมีเจตจำนง ที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองอันศักดิ์สิทธ์ของสยามก็เพื่อที่จะสถาปนาระบบเศรษฐกิจการเมืองที่อาจก่อภยันตรายในประเทศ ซึ่งยังมีลักษณะความเป็นอนุรักษ์นิยมสูงอยู่</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
แน่นอนว่า ปรีดีในวัยหนุ่มย่อมได้รับรู้และสังเกตสภาวการณ์ที่เป็นปัญหาสำคัญยิ่งในเขตชนบท ซึ่งได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อยจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก กล่าวคือ เป็นปัญหาที่มิได้มีสาเหตุมาจากสภาวะทางธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลมาจากความฉ้อฉลอันเกิดจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเองและเงื่อนไขทางการเมืองการปกครองอีกด้วย เมื่อต้องประสบกับปัญหาดังกล่าวด้วยตนเอง และกลายมาเป็นสิ่งที่ประทับลงในความทรงจำและปัญญาความคิด ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นแรงบันดาลใจอันสูงยิ่งให้แก่ปรีดีในวัยหนุ่ม ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงและเข้าแก้ไขเปลี่ยนแปลงสภาวการณ์ที่เป็นอยู่ ซึ่งต้องนับว่า แรงบันดาลใจที่ว่านี้ได้มีขึ้นก่อนเวลาที่จะได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศในปี 2463 ด้วยซ้ำ</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ควรกล่าวด้วยว่า วิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองที่มีการศึกษากันอยู่ในมหาวิทยาลัยปารีสนั้นได้สร้างความสนใจเป็นอย่างยิ่งแก่ปรีดี ด้วยเหตุที่เป็นความรู้ที่อาจตอบสนองแก่แรงบันดาลใจอันเกิดมาจากปัญหาเศรษฐกิจในแผ่นดินเกิดของตน ด้วยเหตุนี้ เมื่อเดินทางกลับมายังประเทศพร้อมด้วยจิตสำนึกที่ก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว ปรีดีจึงเป็นผู้ที่พร้อมแล้วต่อการลงมืออภิวัฒน์ เป็นการอภิวัฒน์ที่จะนำเพื่อนร่วมชาติทั้งหลายทั้งปวงออกจากความทุกข์ยาก อันเกิดแต่สภาพเศรษฐกิจ ไม่น้อยไปกว่าการกู้สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศให้พ้นจากวิกฤตในช่วงเวลานั้น</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
คำนิยามและหลักการพื้นฐาน</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ผู้นำการอภิวัฒน์ในปี 2475 ได้นิยามหลักสังคมนิยมว่าเป็น</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
“ลัทธิซึ่งสังคมเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต (Means of Production) และอำนวยให้สมาชิกของสังคมร่วมมือกันในการผลิต โดยได้รับปันผลและสวัสดิการอย่างเป็นธรรม”</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
คำอธิบายดังกล่าวดูเป็นลักษณะโดยทั่วไปและมิได้ให้ความกระจ่างต่อหลักสังคมนิยมของปรีดีที่อาจสืบย้อนไปได้จนถึงในปี 2475 เท่าใดนัก พอ ๆ กับความแตกต่างหลากหลายที่มีอยู่ในระหว่างแนวคิดสังคมนิยม - แม้ในประเทศตะวันตก - ด้วยกันเอง ก็เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหามิใช่น้อยทีเดียว ความคิดของปรีดีดังที่กล่าวนี้ ตกเป็นเป้าแห่งการโจมตีและการกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ขณะที่ให้สัมภาษณ์ถึงแนวโน้มที่อาจนำไปสู่หลักทฤษฎีมาร์กซิสต์ ปรีดีตอบด้วยถ้อยคำที่ชัดเจนและหนักแน่นว่า</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
“ ไม่ ไม่ ไม่ ข้าพเจ้าได้บอกแล้วว่า ปรัชญาของข้าพเจ้าคือ 'สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย' ถึงแม้ว่าถามมาร์กซ์ พูดอย่างนี้หรืออย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ต้องพิจารณาว่าเป็นจริง หรือเป็นไปตามสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยหรือไม่ สังคมนิยมมีอยู่หลายชนิด แม้ลัทธิมาร์กซ์ก็มีชนิดต่าง ๆ ... ข้าพเจ้ามีอิสระที่จะเลือกทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งที่สอดคล้องกับหลัก 5 ประการของเรา อย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงมาแล้ว”</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
เมื่อทฤษฎีมาร์กซิสต์ถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงแล้ว ความคิดทางเศรษฐกิจของปรีดีจึงอาจค้นพบร่องรอยที่สำคัญได้ก็แต่ในเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติและคำอธิบายต่าง ๆ ที่ปรีดีได้ให้ไว้ ในขณะที่นำเสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณา ปรีดีให้คำอธิบายโครงการดังกล่าวอย่างชัดเจนดังนี้ </div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
“ตามหลักของข้าพเจ้านั้น เป็นลัทธิหลายอย่างที่ได้คัดเลือกเอาที่ดีมาปรับปรุงให้สมกับฐานะของประเทศสยาม แต่เหตุสำคัญอาศัยหลักโซเซียลิสม์ ไม่ใช่คอมมูนิสต์ คือถือว่า มนุษย์ที่เกิดมาย่อมต้องเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่อกัน เช่นคนจนนั้น เพราะฝูงชนทำให้จนก็ได้ ... หรือคนที่รวยเวลานี้ ไม่ใช่รวยเพราะแรงงานของตนเลย ... ฉะนั้น จึงถือว่ามนุษย์ต่างมีหนี้ตามธรรมจริยาต่อกัน จึงต้องร่วมประกันภัยต่อกัน และร่วมกันในการประกอบเศรษฐกิจ”</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
หลักฐานหลายประการแสดงให้เห็นว่า ความคิดทางเศรษฐกิจของปรีดีนั้นอาจสืบค้นร่องรอยได้ในหลักทฤษฎีสังคมนิยมในแนวความคิดแบบ “โซลิดาริสม์” ซึ่งปรากฏอยู่ในเนื้อหาวิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองซึ่งบรรยายระหว่างปี 2465 - 2469 โดยศาสตราจารย์ โอกุส เดส์ช็องร์ ณ มหาวิทยาลัยปารีส เราคงจะต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักเศรษฐศาสตร์การเมืองในอันที่จะประเมินอิทธิพลของหลักการ “โซลิดาริสม์” แบบตะวันตกที่มีอยู่ในความคิดของผู้นำเสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ อย่างไรก็ดี ด้วยการตระหนักถึงเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติที่ว่านี้นั่นเองที่เราอาจติดตามร่องรอยทางความคิดว่าด้วยสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย และพิจารณาในขณะเดียวกันว่า การเมืองในประเทศสยามในสมัยของปรีดีนั้น ได้ตอบรับการนำเสนอเค้าโครง ฯ ที่ว่านี้เช่นไร</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
การผลักดันให้เค้าโครง ฯ เกิดผลในทางปฏิบัติ</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ในปี 2476 กล่าวคือ ปีต่อมาภายหลังการอภิวัฒน์ประชาธิปไตย ปรีดีได้นำเสนอโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศในรูปแบบใหม่ไว้ในเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ที่จะนำเสนอต่อรัฐบาล เค้าโครง ฯ ฉบับนี้เป็นการผสานรูปแบบต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจที่สำคัญเข้าไว้ด้วยกัน อันจะส่งผลที่พึงประสงค์ทั้งในด้านการเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมของประเทศ เจตนารมณ์ของปรีดีจึงแสวงหาการก้าวข้ามระบบที่เคยเป็นมาแต่เดิม และไปพ้นจากข้อจำกัดที่อาจมีอยู่ในโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจแบบเดิม</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
“ ... ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะเราไม่ทำสาระสำคัญ คือแก้ความฝืดเคืองของราษฎร แบบที่เราต้องเดินนั้น ต้องเดินอย่างอาศัยหลักวิชา อาศัยแผน อาศัยโครงการวิธีโซเชียลลิสม์ เป็นวิธีวิทยาศาสตร์โดยแท้ รับรองความเห็นหม่อมเจ้าสกลว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ ไม่ใช่ Coup d’État เป็น Revolution ในทางเศรษฐกิจ ...”</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
แนวคิดที่ว่านี้ประสงค์จะให้รัฐเข้าจัดการกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ หากพิจารณาเค้าโครง ฯ ในเบื้องต้น แม้จะดูเสมือนเป็นการให้รัฐมีบทบาทในการวางแผนทางเศรษฐกิจในทำนองเดียวกับประเทศโซเวียต แต่ความเข้าใจเช่นว่านี้หาใช่ความมุ่งหมายของปรีดีแต่อย่างใดไม่ ปรีดีได้ย้ำหลายครั้งหลายคราในเรื่องการสร้างสมดุล ระหว่างเศรษฐกิจในแบบทุนนิยมและในแบบสังคมนิยม อีกทั้งประสงค์ที่จะให้รัฐมีบทบาทประการสำคัญในอันที่จะส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจของราษฎรในรูปของการจัดตั้ง</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
“สหกรณ์” ซึ่งปรีดีเรียกในเวลาต่อมาว่า “สหกรณ์สังคมนิยม”</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
ความก้าวหน้าอย่างมากของความคิดทางเศรษฐกิจในเค้าโครง ฯ ในสายตาของชนชั้นปกครอง - ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ในรัฐบาล - ในขณะนั้น อีกทั้งข้อกล่าวหาในเรื่องการพยายามนำระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์มาใช้ เค้าโครง ฯ ซึ่งบัดนี้กลายมาเป็นประเด็นเร่งเร้าของฝ่ายปฏิกิริยาได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างสูงในทางการเมืองอันเป็นเหตุให้ผู้เสนอเค้าโครงจำต้องเดินทางออกนอกประเทศ ภายใต้เงื่อนไขและสภาวการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาตอบโต้การอภิวัฒน์ที่ได้ปรากฎขึ้นเป็นครั้งแรก</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
เมื่อฝ่ายทหารของคณะราษฎรประสบผลสำเร็จในการทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลเดิม แม้จะได้มีโอกาสกลับเข้าประเทศ ปรีดีก็ยังคงตกเป็นเป้าหมายที่สำคัญของฝ่ายอนุรักษ์นิยมซึ่งวางแผนเพื่อชิงอำนาจกลับคืนมา ในการนี้ มีความพยายามที่จะกระทำรัฐประหารแต่ถูกปราบปรามลงภายในเวลาอันรวดเร็ว นับได้ว่า เป็นความปราชัยครั้งที่สองของฝ่ายตอบโต้การอภิวัฒน์ จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ปรีดีและเค้าโครง ฯ ที่ได้นำเสนอต่างต้องพบชะตากรรมที่แตกต่างกันไป กล่าวคือ ปรีดียังคงอยู่ ในขณะที่เค้าโครง ฯ ต้องปลาสนาการออกไปจากสังคมไทย</div>
<div style="background-color: #f2f2f2; font-family: Tahoma; font-size: 13px; line-height: 20px;">
หลังจากความปราชัยทั้งสองครั้ง ปฏิกิริยาและความเคลื่อนไหวของฝ่ายตอบโต้การอภิวัฒน์ดูเหมือนจะมิได้อยู่ในความทรงจำของชาวไทยแต่อย่างใด แต่สำหรับปรีดี กรณีย่อมต่างออกไป กล่าวคือเป็นความจริงที่ว่า หลังจากที่ได้เผชิญกับบททดสอบทางการเมืองที่มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งทางความคิด แม้ปรีดีจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม แต่ถึงกระนั้น ความทรงจำที่ได้รับจากบททดสอบดังกล่าวนี้หาได้ลบเลือนไปจากจิตสำนึก พอ ๆ กันกับที่ได้เพิ่มพูนประสบการณ์ในแง่ปัญญาและความคิดทางการเมืองให้แก่ปรีดีไม่น้อยเลย กล่าวคือ ปรีดีได้ตระหนักเป็นอย่างดีว่า สภาวการณ์ในขณะนั้น เพื่อนร่วมชาติทั้งหลายยังไม่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะมีขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยมาเป็นเวลาอันยาวนาน หากกล่าวถึงเค้าโครง ฯ คงมิได้มีผู้ใดแม้แต่ปรีดีเองก็ตาม ที่จะคาดเดาอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้แม้ว่าภายหลังปี 2476 เป็นต้นมานั้น สิ่งที่เคยนำเสนอไว้ในเค้าโครงจะได้รับการนำมาปฏิบัติในบางส่วนก็ตาม คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินความจริงว่า เค้าโครง ฯ และหลักทางทฤษฎีของเค้าโครง ฯ ดังกล่าว ย่อมเป็นเสมือนมรดกทางภูมิปัญญาที่สำคัญอันควรแก่ความใส่ใจและการศึกษาอย่างรอบคอบ</div>
กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-12835002449814100852014-03-01T13:38:00.001+07:002014-03-01T13:38:04.331+07:00ชาย vs หญิง<br />
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name" style="background-color: white; color: #ee0dbd; font-family: Georgia, Utopia, 'Palatino Linotype', Palatino, serif; font-size: 30px; font-weight: normal; margin: 0px; position: relative;">
ทฤษฏีการเมือง แนวความคิดมาร์คซิสม์ (Marxism)</h3>
<div class="post-header" style="background-color: white; color: #e92687; font-family: Consolas; font-size: 14px; line-height: 1.6; margin: 0px 0px 1.5em;">
<div class="post-header-line-1">
</div>
</div>
<div class="post-body entry-content" id="post-body-5769542778024634511" itemprop="description articleBody" style="background-color: white; color: #ee0dbd; font-family: Consolas; font-size: 15px; line-height: 1.4; position: relative; width: 578px;">
<div style="font-family: tahoma;">
<span style="color: purple;"> สำหรับการการวิเคราะห์เรื่องของการกดขี่ทางเพศนั้น แนวมาร์คซิสต์มองว่าเราไม่สามารถแยกเรื่องการกดขี่ทางเพศออกจากปัญหาที่มาจากสังคมชนชั้นได้ เพราะพัฒนาการของสังคมมนุษย์ที่ผ่านมา ในแต่ละระบบหลังยุคบุพการ ล้วนแต่เป็นสังคมแห่งความขัดแย้งทางชนชั้นที่มีพลังผลักดันทางด้านเศรษฐกิจและสังคม มวลชนคนส่วนใหญ่ของโลกถูกคนจำนวนน้อยที่ครอบครองส่วนเกินจากการผลิต กดขี่ขูดรีด ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย และในขณะเดียวกันมีการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง ที่นำไปสู่การกดขี่ทางเพศ</span></div>
<div style="font-family: tahoma;">
<span style="color: purple;">แนว มาร์คซิสต์ มองว่าการกดขี่ทางเพศที่ทำให้หญิงเป็นพลเมืองชั้นสอง ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ และไม่ใช่นิสัยใจคอแท้ของชายอีกด้วย การกดขี่ทางเพศเกี่ยวข้องกับการครอบครองทรัพย์สิน และการถ่ายทอดมรดกของชนชั้นปกครอง และเกี่ยวกับการทำให้ภาระงานบ้านเป็นภาระปัจเจกภายในครอบครัว เครื่องมือสำคัญของชนชั้นปกครองคือความคิดจารีตเกี่ยวกับเพศและครอบครัว แนวคิดเกี่ยวกับครอบครัว<b> "ชาย - หญิง"</b> นี้เอง เน้นว่าบทบาทหลักของหญิงอยู่ในบ้าน และยังเป็นผลให้คนรักเพศเดียวกันกลายเป็นพลเมืองชั้นสามอีกด้วย ดังนั้นการแก้ปัญหา ต้องอาศัยทั้งการรณรงค์เพื่อเปลี่ยนค่านิยมคับแคบ และการต่อสู้กับโครงสร้างอำนาจในสังคม ซึ่งรวมทั้งรัฐ ระบบชนชั้น และสถาบันครอบครัว</span></div>
<div style="font-family: tahoma;">
<img align="right" border="1" height="257" hspace="9" src="http://www.thaingo.org/images3/lady11.jpg" vspace="9" width="150" /><span style="color: purple;"> ในหนังสือ <b>"กำเนิดครอบครอบครัว ทรัพย์สินส่วนตัว และรัฐ"</b> ของ เองเกิลส์ (กุหลาบ สายประดิษฐ์ (๒๕๒๔) "กำเนิดครอบครัวของมนุษยชาติ ระเบียบสังคมของมนุษย์" สำนักพิมพ์ก่อไผ่ กรุงเทพฯ Frederick Engels (1978) The Origin of the Family Private Property and the State. Foreign Language Press, Peking) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1884 มีการอาศัยการค้นคว้าข้อมูลจากการศึกษาของนักมานุษวิทยาเช่น มอร์แกน มีการเสนอว่าฐานะของสตรีนั้นมีจุดตั้งต้นและคลี่คลายออกมาจากระบบการผลิตและฐานะทางครอบครัว ในยุคแรกๆ มนุษย์อยู่กันเป็นเผ่าพันธุ์ ไม่มีทรัพย์สินส่วนตัวและไม่มีคู่สมรสถาวรแบบผัวเดียวเมียเดียว บุตรในเผ่าเป็นบุตรของทั้งเผ่าที่ไม่มีวันทราบว่าใครเป็นพ่อ จึงต้องสืบทอดสายเลือดทางแม่ แต่ที่สำคัญคือการสืบทอดสายเลือดทางแม่กระทำไปเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกจากแม่เดียวกันมีเพศสัมพันธ์กันเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อกำหนดฐานะทางเศรษฐกิจหรืออำนาจในสังคมแต่อย่างใด</span></div>
<div style="font-family: tahoma;">
<span style="color: purple;"> เมื่อมนุษย์พัฒนาการเลี้ยงชีพ ค้นพบวิธีการเกษตร แทนการเก็บของป่า จึงเกิด <b>"ส่วนเกิน"</b> จากความต้องการวันต่อวัน ทรัพย์สินส่วนตัวก็เกิดขึ้นได้ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะการที่ชายถืออาวุธในการล่าสัตว์อยู่ในมือ มีกำลังทางกายเหนือหญิง และมีบทบาทในการรวบรวมส่วนเกิน โดยเฉพาะจากการเลี้ยงสัตว์ในยุคแรกๆ ทำให้ชายบางคนตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นในสังคมได้ ซึ่งนำไปสู่กำเนิดสังคมชนชั้น การปกป้องมรดก และการใช้สถาบันครอบรัวและรัฐในการรองรับอำนาจใหม่ดังกล่าว</span></div>
<div style="font-family: tahoma;">
<span style="color: purple;">ข้อเสนอของเองเกิลส์เป็นสาเหตุที่ชาว มาร์คซิสต์ มองว่าการกดขี่ทางเพศ สังคมชนชั้น ระบบครอบครัว และรัฐ แยกออกจากกันไม่ได้ และเราพอจะสรุปหลักการใหญ่ๆ ได้ดังนี้<br />1) การกดขี่ทางเพศไม่ใช่เรื่องธรรมชาติที่มาจากสรีระ<br />2) การกดขี่ทางเพศเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการแบ่งมนุษย์ทั้งชายและหญิงออกเป็นชนชั้น ภายใต้การปกครองของคนส่วนน้อย<br />3) ครอบครัวคือสถาบันสำคัญในการกำหนดและกล่อมเกลาความคิดแบบกดขี่ทางเพศที่เกิดขึ้นในสังคม แต่รูปแบบครอบครัวปัจจุบันไม่ใช่รูปแบบที่มาจากธรรมชาติ รูปแบบครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลงเสมอตามยุคของระบบการผลิต<br />4) วิธีแก้ปัญหาการกดขี่ทางเพศในระยะยาวต้องประกอบไปด้วยการจัดการเปลี่ยนสังคมไม่ให้มีชนชั้น และการเปลี่ยนรูปแบบของครอบครัวจากที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพื่อให้สตรีมั่นใจในสิทธิ์ของตนเองมากขึ้น พร้อมๆ กับการรณรงค์แก้ไขความคิดอีกด้วย</span></div>
<div style="font-family: tahoma;">
<span style="color: purple;">การปลดแอกผู้หญิง จะเริ่มเป็นไปได้ ในขั้นตอนแรกก็ต่อเมื่อผู้หญิงได้รับโอกาสเข้าไปมีส่วนในการผลิต และมีรายได้ของตนเอง ดั้งนั้นต้องหาทางที่จะแปรเปลี่ยนงานบ้านต่างๆ ให้เป็นงานสาธารณะ ซึ่งหมายถึงการสร้างรัฐสวัสดิการเต็มรูปแบบ<br /><br /> ภาวะเศรษฐกิจของระบบทุนนิยมปัจจุบัน มีการดึงสตรีเข้ามามีส่วนในการทำงานมากขึ้น ซึ่งสร้างความอิสระให้สตรีระดับหนึ่ง และส่งเสริมให้เกิดขบวนการเรียกร้องสิทธิสตรีมากขึ้น แต่ในมุมกลับ ชนชั้นนายทุนไม่พร้อมและไม่สามารถจะสละกำไรเพื่อสร้างระบบสังคมที่ <b>"ภาระบ้าน"</b> ทั้งหมดกลายเป็นภาระของสังคมโดยรวม ดังนั้นจึงมีการรณรงค์จากรัฐในกระแสความคิดที่เชิดชูสถาบันครอบครัวและค่านิยมอนุรักษ์เกี่ยวกับบทบาทสตรี สิ่งนี้ทำให้มีความขัดแย้งดำรงอยู่ในสังคมสมัยใหม่ตลอดเวลา ( Lindsey German (1989) Sex class and socialism. Bookmarks, London. Celia Petty, Deborah Roberts & Sharon Smith (1987) Women's liberation and socialism. Bookmarks, London & Chicago. Lindsey German (2007) Material Girls. Women, men and work. Bookmarks, London.)</span></div>
<div style="font-family: tahoma;">
<span style="color: purple;"><b> Tony Cliff</b> (Tony Cliff(1984) Class Struggle and Women's Liberation. Bookmarks, London) นักมาร์คซิสต์อังกฤษ เคยอธิบายว่าขบวนการสิทธิสตรีในรอบร้อยกว่าปีที่ผ่านมา มีสองแนวคือ เฟมินิสต์ กับมาร์คซิสต์ และสองแนวนี้ถึงแม้ว่ามีเป้าหมายร่วมเพื่อปลดแอกสตรี แต่จะมีความขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง แนวเฟมินิสต์ เป็นแนวคิดของชนชั้นกลาง ที่มองว่าปัญหาการกดขี่ทางเพศมาจากสังคมชายเป็นใหญ่ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับปัญหาชนชั้น ดังนั้นผู้หญิงทุกชนชั้นต้องรวมตัวกันต่อสู้กับอิทธิพลชาย แต่แนว มาร์คซิสต์ ซึ่งเป็นแนวของชนชั้นกรรมาชีพ (ดู ใจ อึ๊งภากรณ์และคณะ (๒๕๔๙) "ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในไทย" สำนักพิมพ์ประชาธิปไตยแรงงาน บทที่ 3, 4 และ 5) มองว่าการกดขี่ทางเพศแยกออกจากเรื่องชนชั้นและการขูดรีดแรงงานไม่ได้ และไม่มีเรื่องใดที่สำคัญมากน้อยกว่ากัน นักมาร์คซิสต์อย่าง Alexandra Kollontai ซึ่งเป็นผู้นำ บอลเชวิค ในการปฏิวัติรัสเซีย 1917 มองว่าหญิงกรรมาชีพได้ประโยชน์จากการเข้าใจว่าสังคมชนชั้นเป็นแหล่งกำเนิดของการกดขี่ทางเพศ และหญิงกรรมาชีพจะได้ประโยชน์จากการร่วมต่อสู้กับชายในการล้มล้างสังคมดังกล่าว และในการยกเลิกสถาบันครอบครัวแบบจารีต (Alexandra Kollontai เขียนบทความสำคัญเช่น The social basis of the woman question (1909), Sexual relations and the class struggle (1911) และ Communism and the family (1918) อ่านได้ใน Alexandra Kollontai (1998) On Women's Liberation. Chanie Rosenberg (Ed.) Bookmarks, London. หรือใน ใจ อึ๊งภากรณ์และคณะ (๒๕๔๕) อ้างแล้ว)</span></div>
<div style="font-family: tahoma;">
<span style="color: purple;">ในประเทศไทย การรณรงค์เพื่อให้เกิดสิทธิลาคลอด เป็นผลงานที่สำคัญของสตรีในขบวนการแรงงานไทย ที่จัดตั้งในองค์กร <b>"กลุ่มบูรณการสตรี" </b>และการรณรงค์รอบต่อไปของขบวนการแรงงานในปัจจุบัน คือการต่อสู้เพื่อสิทธิทำแท้ง ซึ่งมีสหพันธ์แรงงานสิ่งทอเป็นหัวหอก</span></div>
<div style="clear: both;">
</div>
</div>
<div class="post-footer" style="background-color: white; color: #e92687; font-family: Consolas; font-size: 14px; line-height: 1.6; margin: 0.5em 0px 0px;">
<div class="post-footer-line post-footer-line-1">
<span class="post-author vcard" style="margin-left: 0px; margin-right: 1em;">เขียนโดย <span class="fn" itemprop="author" itemscope="itemscope" itemtype="http://schema.org/Person"><a class="g-profile" data-gapiattached="true" data-gapiscan="true" data-onload="true" href="http://www.blogger.com/profile/12030271583766635934" rel="author" style="color: #d58283; text-decoration: none;" title="author profile"><span itemprop="name">Phattarawadee_Jekita</span></a></span></span></div>
</div>
กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-6945490542816886572014-02-15T07:02:00.001+07:002014-02-15T07:02:35.148+07:00เมื่อ 'รธน.' ขัดต่อ 'กฎมณเฑียรบาล' ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5F96GguVuz1BLbe93iJ5dG_rXeH1288gh43Aip2L8efNBJBw1qO5MiD5u6XC1UQE1aE4FBq957G0eYnI8m0roaqL6cyYHKu7FJtjkDaNv2lqKc2m6Wa_SvRRGhNIWlKS1r3Br2Q_tM3s/s1600/montien1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5F96GguVuz1BLbe93iJ5dG_rXeH1288gh43Aip2L8efNBJBw1qO5MiD5u6XC1UQE1aE4FBq957G0eYnI8m0roaqL6cyYHKu7FJtjkDaNv2lqKc2m6Wa_SvRRGhNIWlKS1r3Br2Q_tM3s/s1600/montien1.jpg" height="320" width="228" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin-bottom: 1.5em; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
เมื่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2550 หมวด 2 ขัดต่อกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ประการที่หนึ่ง</strong></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หมวด 2 พระมหากษัตริย์ มาตรา 23 วรรคแรก บัญญัติว่า</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; color: mediumblue; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตาม กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ”</em></span></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
หมายความว่า แม้พระมหากษัตริย์จะได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้แล้ว พระรัชทายาทก็ยังไม่อาจขึ้นทรงราชย์ได้ทันที จะต้องรอกระบวนการทางคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาเสียก่อน</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
หลังจากจบกระบวนการดังกล่าวแล้วยังจะต้องมีการประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาท หรือองค์ผู้สืบราชสันติวงศ์ชึ้นทรงราชย์อีกด้วย โดยมาตรา 24 วรรคแรก บัญญัติให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ยิ่งกว่านั้นรัฐธรรมนูญ มาตรา 23 มาตรา 24 ก็ยังหาได้กำหนดระยะเวลาในการประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาท ไว้ว่าจะต้องกระทำการในกำหนดระยะเวลากี่วัน กี่เดือน กี่ปี</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
บทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 23 และ 24 นี้ จะขัดกับกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช 2467 มาตรา 6 ซึ่งบัญญัติว่า</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; color: mediumblue; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสมมุติท่านพระองค์ใดให้เป็นพระรัชทายาทแล้ว และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศข้อความให้ปรากฏแก่พระบรมวงศานุวงศ์ เสนามาตย์ ราชเสวกบริพารและอาณาประชาชน ให้ทราบทั่วกันแล้ว ท่านว่า ให้ถือว่าท่านพระองค์นั้นเป็นพระรัชทายาทโดยแน่นอนปราศจากปัญหาใด ๆ และเมื่อใดถึงกาลอันจำเป็น ก็ให้พระรัชทายาทพระองค์นั้นเสด็จขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์สนองพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกษโดยทันที ให้สมดังพระบรมราชประสงค์ที่ได้ทรงประกาศไว้นั้น”</em></span></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
บทบัญญัติของกฎมณเฑียรบาลฯ มาตรา 6 ดังกล่าวนี้จึงขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 23 มาตรา 24 คือให้องค์รัชทายาทขึ้นทรงราชย์สันตติวงศ์ทันทีไม่ต้องมีประกาศอัญเชิญพระรัชทายาทจึงไม่มีขั้นตอนที่ประธานองคมนตรีจะต้องเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อนแต่อย่างใด</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ประการที่สอง</strong></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
รัฐธรรมนูญ มาตรา 20 วรรคแรก วรรคสอง บัญญัติว่า</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; color: mediumblue; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“ในระหว่างไม่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามบัญญัติไว้ในมาตรา 18 (เมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม) หรือมาตรา 19 (พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา 18 หรือในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพราะยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะหรือเพราะเหตุอื่น) ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน...</em></span></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; color: mediumblue; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในกรณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา 18 หรือ มาตรา 19 ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ ให้ประธานองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน...”</em></span></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
กรณีตามมาตรา 19 มาตรา 20 จะต้องมีกระบวนการโดยคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ทั้งยังกำหนดให้ประธานรัฐสภาประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยมิได้กำหนดระยะเวลาไว้เป็นที่แน่นอนว่าจะต้องกระทำภายในกำหนด กี่วัน กี่เดือน กี่ปี</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ในกรณีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยเฉพาะในกรณีที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยังทรงพระเยาว์ นั้น ตามกฎหมายมณเฑียรบาลฯ มาตรา 15 บัญญัติไว้ว่า “ถ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระเยาว์ดังกล่าวมาแล้วในมาตรา 14 (พระชนมายุยังไม่ครบ 20 พรรษาบริบูรณ์) แห่งกฎมณเฑียรบาลนี้ ท่านว่าให้ท่านเสนาบดีพร้อมกันเลือก เจ้านายเชื้อพระบรมราชวงศ์พระองค์หนึ่งขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ต่างพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจนกว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระชนมายุครบ 20 พรรษาบริบูรณ์ จึงให้ท่านผู้สำเร็จราชการต่างพระองค์นั้นพ้นจากหน้าที่”</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ผู้ที่จะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในกรณีนี้ตามกฎมณเฑียรบาลฯ ได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่าต้องเป็นเจ้านายเชื้อพระบรมราชวงศ์ และมาตรา 17 และมาตรา 18 ให้เสนาบดีผู้มีอาวุโสมากที่สุดในราชการสองท่านเป็นที่ปรึกษาของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เรียกว่า “สภาสำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" หรือเรียกโดยย่อว่า “สภาสำเร็จราชการแผ่นดิน”</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ประการที่สาม</strong></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 23 วรรคสอง บัญญัติว่า</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; color: mediumblue; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบสันตติวงศ์ตามมาตรา ๒๒ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบในการนี้ จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธาน รัฐสภาอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหา กษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ"</em></span></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ตามรัฐธรรมนูญมาตรานี้ หมายความว่า คณะองคมนตรีเป็นผู้เสนอพระนามของผู้สืบราชสันตติวงศ์ ซึ่งจะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้ส่วนกฎหมายมณเฑียรบาลฯ มาตรา 17 บัญญัติว่า<span style="border: 0px; color: mediumblue; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> “ในกาลสมัยนี้ยังไม่ถึงเวลาอันควรที่ราชนารีจะได้เสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นสมเด็จพระแม่อยู่หัวบรมราชินีนาถ ผู้ทรงสำเร็จราชการสิทธิ์ขาดอย่างพระเจ้าแผ่นดินโดยลำพังแห่งกรุงสยาม ฉะนั้นท่านห้ามมิให้จัดเอาราชนารีพระองค์ใด ๆ เข้าไว้ในลำดับสืบราชสันตติวงศ์เป็นอันขาด"</em></span></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ถ้าจะถามคนทั่วไปว่า เมื่อบทบัญญัติของกฎหมายอื่นขัดกับรัฐธรรมนูญ ก็จะต้องถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติกฎหมายอื่นที่ขัดกันก็ต้องถือว่าถูกยกเลิกแก้ไขไป</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แต่สำหรับกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ เป็นกฎหมายซึ่งตราขึ้นไนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นกฎหมายสำคัญเพราะเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพสูงสุดของปวงชนชาวไทย</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
และกฎมณเฑียรบาลฯนี้ใช่จะห้ามการแก้ไขเปลี่ยนแปลง แต่การแก้ไขต้องทำตามหมวดที่ 7 ว่าด้วยการแก้กฎมณเฑียรบาล ดังนี้</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
มาตรา 19 บัญญัติว่า<span style="border: 0px; color: mediumblue; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> "พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตรากฎมณเฑียรบาลนี้ไว้ให้เป็นราชนิติธรรมอันมั่นคง เพื่อดำรงพระบรมราชจักรีวงศ์ไว้ชั่วกาลนาน และได้ทรงใช้พระวิจารณญาณโดยสุขุม ประชุมทั้งโบราณราชประเพณีแห่งกรุงสยามตามที่ได้เคยมีปรากฏมาในโบราณราชประวัติ ทั้งประเพณีตามที่โลกนิยมในสมัยนี้เข้าไว้พร้อมแล้วฉะนั้นหากว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใดในอนาคตสมัยทรงพระราชดำริจะแก้ไขหรือเพิกถอนข้อหนึ่งข้อใดแห่งกฎมณเฑียรบาลนี้ ก็ให้ทรงคำนึงถึงพระอุปการะคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ผู้ทรงตรากฎมณเฑียรบาลนี้ขึ้นไว้ แล้วและทรงปฏิบัติตามข้อความในมาตรา 20 แห่งกฎมณเฑียรบาลนี้เถิด"</em></span></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
มาตรา 20 บัญญัติว่า<span style="border: 0px; color: mediumblue; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> “ถ้าแม้เมื่อใดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่ามีเหตุจำเป็นที่จะต้องแก้ไขหรือเพิกถอนข้อความใด ๆ แม้แต่ส่วนน้อยหนึ่งในกฎมณเฑียรบาลนี้ไซร้ ท่านว่าให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนัดประชุมองคมนตรีสภา ให้มีองคมนตรีมาในที่ประชุมนั้นไม่น้อยกว่า 2 ส่วนใน 3 แห่งจำนวนองคมนตรีทั้งหมด แล้วและพระราชทานข้อความอันมีพระราชประสงค์จะให้แก้ไขหรือเพิกถอนนั้นให้สภาปรึกษากันและถวายความเห็นด้วยความจงรักภักดีซื่อสัตย์สุจริต”</em></span></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ในมาตรา 20 วรรคสอง ตอนท้ายยังบัญญัติว่า<span style="border: 0px; color: mediumblue; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> “....ถ้าและองคมนตรีมีองคมนตรีที่มาประชุมนั้น มีผู้เห็นควรให้แก้ไขหรือเพิกถอนเป็นจำนวนไม่ถึง 2 ใน 3 แล้ว ก็ขอให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระขันติระงับพระราชดำริที่จะทรงแก้ไขหรือเพิกถอนนั้นไว้เถิด”</em></span></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ส่วนรัฐธรรมนูญ 2550 บัญญัติถึงเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ไว้ตามมาตรา 22 วรรคสอง ซึ่งต่างกับที่บัญญัติไว้ในกฎหมายมณเฑียรบาลฯ</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; text-align: center; vertical-align: baseline;">
<img alt="" src="http://www.isranews.org/images/stories/2013/03/montien1.jpg" style="border: 0px; height: 617px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline; width: 440px;" /></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ข้อสังเกตของผู้เขียน</strong></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
1) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 โดยเฉพาะหมวด 2 พระมหากษัตริย์มีบทบัญญัติขัดกับกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช 2467 อยู่หลายเรื่องซึ่งล้วนแต่เป็นสาระสำคัญอันเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น แม้รัฐธรรมนูญจะเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ แต่ก็ร่างขึ้นภายหลัง กฎมณเฑียรบาลฯ ควรจะหลีกเลี่ยงการขัดกันกับกฎหมายสำคัญ เช่นนี้</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
2) หากจะคิดว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ประสงค์จะแก้ไขบทบัญญัติของกฎมณเฑียรบาลก็ควรจะดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักการแก้ไขกฎหมาย</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
3) ตามกฎมณเฑียรบาล หมวดที่ 7 บัญญัติไว้ชัดเจนว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นที่จะมีพระดำริว่ามีเหตุจำเป็นต้องแก้ไขหรือเพิกถอนข้อความใด ๆ แม้แต่ส่วนน้อยหนึ่งในกฎมณเฑียรบาล</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
4) สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงนัดประชุมองคมนตรี และต้องมีองคมนตรีมา ประชุมไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 แห่งจำนวนองคมนตรีและองคมนตรีจำนวนดังกล่าวเห็นควรแก้ไขเพิกถอนตามพระราชประสงค์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงค่อยมีพระบรมราชโองการให้แก้ไขหรือเพิกถอน</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
5) ถ้าองคมนตรีที่มาประชุมนั้นมีผู้เห็นควรให้แก้ไขหรือเพิกถอนมีจำนวนไม่ถึง 2 ใน 3 แล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระขันติระงับพระราชดำริที่จะทรงแก้ไขหรือเพิกถอนนั้นเสีย (คือไม่ทรงแก้ไข)</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
6) ได้ตรวจดูรายงานการประชุมของ สสร. ผู้ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 23 มาตรา 24 หมวดพระมหากษัตริย์แล้ว มีบันทึกเจตนารมณ์ของผู้ร่างไว้แต่เพียงว่า “คงเดิมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540" และยังบันทึกไว้ด้วยว่า “หลักการดังกล่าวนี้มีบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 เป็นครั้งแรก” การบันทึกเหตุผลไว้แต่เพียงสั้นๆ เช่นนี้ อาจเป็นเหตุให้ประชาชนเกิดความคลางแคลงใจได้ จึงสมควรแสดงเหตุผลในการแก้ไขไว้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 หมวด 2 ในอนาคต</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
7) หากมีการพิจารณาหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 หมวด 2 อย่างไรแล้วน่าจะต้องตรวจดูประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ 1 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร มาตรา 107 ถึงมาตรา 112 เพราะอาจจะมีบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ดังกล่าวข้างต้น</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
8) การแสดงความคิดเห็นขอแก้ไขบทกฎหมายในเรื่องเหล่านี้โดยเปิดเผยไม่ควรถูกมองว่ามีเจตนาล้มล้างสถาบันแต่ประการใด เพราะเป็นการกระทำในวิถีทางของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยแท้ ผู้คิดล้มล้างสถาบันนั้นคงไม่เสนอขอแก้ไขกฎหมายที่บกพร่อง แต่น่าจะเป็นผู้ซึ่งคิดดำเนินการซ่องสุมผู้คนและซ่องสุมอาวุธเพื่อกระทำการดังกล่าวในทางลับ ๆ มากกว่า</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ผู้เขียนมีโอกาสทราบทางสื่อว่ามีนักการเมืองและบุคคลบางกลุ่มออกมาคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ หมวด 2 พระมหากษัตริย์เป็นจำนวนไม่น้อย</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่านักการเมืองหรือบุคคลเหล่านั้นได้ทราบความจริงในเรื่องนี้บ้างหรือไม่ ถ้าไม่ทราบคิดผิดแล้วคิดใหม่ได้</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แต่ถ้าทราบมาก่อนแล้ว ยังคิดคัดค้านการแก้ไขอยู่อีก ท่านก็ต้องตั้งคำถามตัวท่านเองว่าการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดนี้ กระทำเพราะท่านจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยใจจริง หรือ ว่าทำไปเพียงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น.</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หมายเหตุ : </strong>น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล เป็นอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ปัจจุบันอาจารย์พิเศษ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ </div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-72058480341606773572014-02-14T08:59:00.002+07:002014-02-14T09:00:10.802+07:00ญ. “หญิง” <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpLjj-B0WkD09WAMY8XziivCQRhz1UjvTg2pZfxUSVqw3cF22NXjebu4mPucLiATT01eY8Np183TOPYZHuUOGlDP6_tFlv5Eg0jKL0myfANgyMmbXn-455SBq2_Lvlr6Ike_Qe5Z8CHbY/s1600/550000004011406.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpLjj-B0WkD09WAMY8XziivCQRhz1UjvTg2pZfxUSVqw3cF22NXjebu4mPucLiATT01eY8Np183TOPYZHuUOGlDP6_tFlv5Eg0jKL0myfANgyMmbXn-455SBq2_Lvlr6Ike_Qe5Z8CHbY/s1600/550000004011406.jpg" height="207" width="320" /></a></div>
<blockquote class="tr_bq">
<span style="color: red;">ภายใต้ระบบการปกครองทางชนชั้น
ทรัพย์สินทั้งหมดของชุมชนที่เคยเป็นของส่วนรวม ถูกแบ่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
ซึ่งส่วนใหญ่ตกในมือของผู้ปกครอง
ผู้หญิงถูกบังคับให้อยู่ในระบบครอบครัวที่ชัดเจน
เพื่อให้ชายผู้เป็นเจ้าสามารถให้มรดกกับลูกตนเองเท่านั้น</span></blockquote>
<br />
<i>โดย ลั่นทมขาว</i><br />
<br />
เราไม่สามารถสร้างสังคมใหม่แห่งสังคมนิยมได้
ถ้ากรรมาชีพชายและหญิงไม่สามัคคีกัน และถ้าจะเกิดความสามัคคีดังกล่าว
ทั้งชายและหญิง แต่โดยเฉพาะผู้ชาย
ต้องสลัดความคิดกดขี่หรือดูถูกผู้หญิงออกจากหัว
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความดีความชั่วของปัจเจก
แต่เป็นเรื่องโครงสร้างสังคม และการต่อสู้ทางชนชั้น<br />
<br />
มันไม่ใช่เรื่อง “ธรรมชาติ” ที่มนุษย์จะมากดขี่กัน
แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์บางคนสร้างขึ้นมาภายใต้เงื่อนไขสังคมชนชั้นในอดีต
เพื่อประโยชน์ของชนชั้นปกครอง<br />
<br />
นักมาร์คซิสต์คนสำคัญ ชื่อ เฟรดเดอริค เองเกิลส์
เป็นคนที่ริเริ่มการศึกษาปัญหาการกดขี่ทางเพศอย่างเป็นระบบ ในหนังสือ
“กำเนิดครอบครัว ทรัพย์สินเอกชน และรัฐ” เองเกิลส์
อธิบายว่าแรกเริ่มมนุษย์บุพกาลไม่มีชนชั้น ไม่มีรัฐ และไม่มีครอบครัว
คือหญิงชายมีความสัมพันธ์อย่างเสรีตามรสนิยมของแต่ละคน ไม่มีคู่ถาวร
ตอนนั้นมนุษย์ไม่มีครอบครัวแต่มีเผ่า และลูกที่เกิดมาจะทราบว่าใครเป็นแม่
แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นพ่อ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่สำคัญเพราะเด็กๆ
ทุกคนถือว่าเป็นลูกของชุมชน และทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของส่วนรวม
แบ่งกันอย่างเสมอภาคเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม<br />
<br />
ในยุคบุพกาลจะมีการเก็บของป่าและล่าสัตว์ สังคมไม่มีส่วนเกินหรือคลังอาหาร
วันไหนได้อะไรก็มาแบ่งกันกิน
แต่เมื่อมนุษย์รู้จักการเกษตรและเริ่มมีส่วนเกิน
จะมีผู้ชายคนหนึ่งตั้งตัวเป็นใหญ่หรือตั้งตัวเป็น “พระ”
และจ้างอันธพาลติดอาวุธมาเป็นลูกน้องของตน
ประชาชนที่เหลือจะตกเป็นทาสและถูกบังคับให้ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์เพื่อส่งส่วย
ให้ผู้ปกครอง แต่ในขณะเดียวกัน การจัดระเบียบสังคมใหม่แบบนี้
ให้ประโยชน์กับคนธรรมดาบ้าง
เพราะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจากในสมัยบุพกาลเดิม<br />
<br />
ภายใต้ระบบการปกครองทางชนชั้น
ทรัพย์สินทั้งหมดของชุมชนที่เคยเป็นของส่วนรวม ถูกแบ่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
ซึ่งส่วนใหญ่ตกในมือของผู้ปกครอง
ผู้หญิงถูกบังคับให้อยู่ในระบบครอบครัวที่ชัดเจน
เพื่อให้ชายผู้เป็นเจ้าสามารถให้มรดกกับลูกตนเองเท่านั้น
จะเห็นว่าเริ่มมีการสร้างระเบียบครอบครัวที่ระบุว่าหญิงต้องเลี้ยงลูกเป็น
หลักในขณะที่ชายมีบทบาทสาธารณะ
และชนชั้นปกครองมักกล่อมเกลาให้ทั้งชายและหญิงยอมรับว่าผู้ชายสำคัญกว่า
ผู้หญิง และผู้หญิงต้องไม่นอกใจผู้ชาย<br />
<br />
นี่คือที่มาของการกดขี่สตรีในสังคมชนชั้น ซึ่งเกิดพร้อมกับระบบการปกครอง
กองกำลังอันธพาล และกฎระเบียบหรือกฎหมายที่ใช้รองรับ “รัฐ”
ซึ่งแปลว่าถ้าเราจะจัดการกับความไม่เท่าเทียมทางเพศ
เราต้องจัดการกับสังคมชนชั้น และรัฐนายทุนปัจจุบัน<br />
<br />
แต่เนื่องจากระบบทุนนิยมต้องการให้ผู้หญิงออกไปทำงานในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
ทุกวัน และไม่พร้อมจะจ่ายเงินเดือนกับผู้ชายในระดับที่จะเลี้ยงลูกเมียได้
ผู้หญิงจึงได้รับการศึกษามากขึ้น และมีความมั่นใจซึ่งมาจากการที่ออกไปทำงาน
มีรายได้ของตนเอง และไม่ต้องพึ่งผู้ชาย
ซึ่งมีผลในการพัฒนาความคิดของสตรีเพื่อต่อสู้กับการกดขี่
ดังนั้นระบบทุนนิยมได้สร้างเงื่อนไขให้สตรีออกมาสู้เพื่อปลดแอกตนเองด้วย
แต่พร้อมกันนั้นมักมีการเน้นหรือเสริมคุณค่าของ “ครอบครัวจารีต”
เพื่อให้ชายกับหญิงสามัคคีกันยาก และเพื่อบังคับให้งานบ้าน
และงานเลี้ยงลูกหรือคนชรา ตกอยู่กับผู้หญิง แทนที่จะเป็นภาระของส่วนรวม
สรุปแล้วมันเป็นวิธีประหยัดค่าใช้จ่ายของรัฐนายทุน
และลดภาษีที่เก็บจากกลุ่มทุน เพื่อเพิ่มกำไร<br />
<br />
จะเห็นว่าทุนนิยมเป็นระบบที่ขัดแย้งในตัว เกี่ยวกับสภาพสตรี ทั้งกดขี่และสร้างเงื่อนไขในการต่อสู้พร้อมกัน<br />
<br />
เราชาวมาร์คซิสต์จะต้องอาศัยการเพิ่มขึ้นของความมั่นใจในหมู่สตรี
เพื่อช่วยกันผลักดันการต่อสู้ทางชนชั้น
องค์กรจัดตั้งหรือพรรคสังคมนิยมของเรา
จะต้องขยันต่อสู้ทางความคิดกับลัทธิศีลธรรมจารีตแบบคับแคบเสมอ
เราต้องรณรงค์ให้กรรมาชีพเข้าใจลักษณะการกดขี่ทางเพศ
และให้หญิงกับชายสามัคคีกัน พร้อมกันนั้นเราจะต้องต่อสู้เพื่อชัยชนะเล็กๆ
น้อยๆ เช่นสิทธิในการทำแท้งเสรี
สิทธิที่จะได้เงินเดือนเท่าเทียมกันระหว่างเพศ หรือสิทธิลาคลอด ฯลฯ
ซึ่งแยกไม่ออกจากการต่อสู้เพื่อรัฐสวัสดิการ
แต่ในระยะยาวเราต้องการสลายสถาบันครอบครัวที่กดขี่ผู้หญิง
เราต้องการสลายระบบชนชั้น และเราต้องการล้มรัฐนายทุน มนุษย์ทุกคน
ไม่ว่าจะเพศใด จะได้มีเสรีภาพที่จะเลือกวิถีชีวิตตามรสนิยม
มีเสรีภาพที่จะรักเพื่อนมนุษย์คนใดก็ได้ตามรสนิยม
และมีเสรีภาพที่จะรักและดูแลเด็กๆ ของสังคมทุกคนอย่างอบอุ่น<br />
<div>
</div>
<span class="post-timestamp">
ที่
<a class="timestamp-link" href="http://turnleftthai.blogspot.com/2013/09/blog-post_13.html" rel="bookmark" title="permanent link"><abbr class="published" itemprop="datePublished" title="2013-09-13T22:08:00+07:00">22:08</abbr></a>
</span>
<span class="post-icons">
<span class="item-action">
<a href="http://www.blogger.com/email-post.g?blogID=2229107628430844446&postID=1933347491926018009" title="อีเมลบทความ">
<img alt="" class="icon-action" src="http://img1.blogblog.com/img/icon18_email.gif" height="13" width="18" />
</a>
</span>
</span>กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-49392927565654662912014-02-10T14:28:00.002+07:002014-02-10T14:28:33.427+07:00สังคมนิยมประชาธิปไตย ทางออก หรือ ทางเลือก<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjYkzR37CXlHqCCncRldrIhaCa906DZe7nPRnnPoEVl41LDvo3OULZ_jtnqx7ZsNgqTdftW1_AgGzQQnLb4Rk8ThSw12nhn-IokHeRCbwxNc2wX0a8nspE2-QDN5iu_6-vTBXq-Z4bgk7A/s1600/rally.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjYkzR37CXlHqCCncRldrIhaCa906DZe7nPRnnPoEVl41LDvo3OULZ_jtnqx7ZsNgqTdftW1_AgGzQQnLb4Rk8ThSw12nhn-IokHeRCbwxNc2wX0a8nspE2-QDN5iu_6-vTBXq-Z4bgk7A/s1600/rally.jpg" height="244" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
สังคมนิยมประชาธิปไตย คือรูปแบบการปกครอง ทางการเมืองในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ สามารถคิดค้นด้านการมีส่วนร่วมในหลายรูปแบบ ในส่วนที่เรียนรู้ปฏิบัติตาม หรือ ลอกเรียนแบบตามกันมาคือให้มีการเลือกตั้งโดยใช้ระบบเลือกตัวแทนเข้ามาบริหารประเทศ ส่วนรายละเอียดนั้นก็จะแตกต่างกันไป ในเงื่อนไขของการพัฒนาที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศให้มากที่สุด หลายประเทศคิดถึงระบบการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นดูแลจัดการตนเอง</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />ส่วนทางด้านเศรษฐกิจนั้น ใช้รูปแบบสังคมนิยม ระบบสังคมนิยมในจินตนาการตั้งอยู่บนความคิดที่ต้องการให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยุติธรรม ทุกคนร่วมกันทำงานเพื่อสร้างผลผลิตส่วนรวม และได้รับ สวัสดิการ พยายามกระจายรายได้โดยรัฐให้ประชาชนให้ทั่วถึงทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีรัฐสวัสดิการที่ควรมีอยู่พอสมควร ระบบสังคมนิยมไม่จำเป็นที่จะอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบเผด็จการหรือระบอบใดระบอบหนึ่งแต่สามารถอยู่ได้ทุกระบอบเพราะเป็นเพียงระบบเศรษฐกิจเท่านั้นไม่ใช่ระบอบการปกครอง<br />ความหมาย ธัมมิกสังคมนิยม (พุทธทาสภิกขุ)</div>
<blockquote style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px 2em 0px 3em; quotes: none; vertical-align: baseline;">
<div style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />“...โลกจะต้องมีระบบการปกครองที่ไม่เห็นแก่ตัวคน และให้ประกอบไปด้วยธรรมะ. ระบอบการปกครองในโลกที่ไม่เห็นแก่ตัวคนตัวบุคคลคือมือใครยาวสาวได้สาวเอานี้ จะเปิดโอกาสให้ระบบการปกครองนั้นประกอบอยู่ด้วยพระธรรม หรือพระเจ้า แล้วแต่จะเรียก ไม่มีชื่อเรียกอย่างอื่น ก็เรียกไว้ทีก่อนว่า ระบบธัมมิกสังคมนิยม"</div>
</blockquote>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />สังคมนิยม ก็แปลว่า เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ ไม่เห็นแก่ตัวเอง, ไม่เห็นแก่ตัวกูคนเดียว เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ จึงจะเรียกว่าสังคมนิยม แล้วการเห็นแก่สังคมนั้นต้องถูกต้องด้วย ; เพราะว่าผิดก็ได้เหมือนกัน. การเห็นแก่สังคมผิด ๆ ก็คุมพวกไปปล้นคนอื่น หาประโยชน์มาให้แก่พวกตัวนี้ มันก็ผิด ก็เลยต้องใช้คำว่า “ธัมมิก” ประกอบอยู่ด้วยธรรมนี้ เข้ามานำหน้าไว้ว่า ธัมมิกสังคมนิยม-ระบอบที่ถือเอาประโยชน์ของสังคมเป็นหลัก และประกอบไปด้วยธรรม</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />ตัวอย่างประเทศที่สามารถเรียนรู้ ที่มีการจัดรูปแบบ การปกครองที่เรียกว่า “สังคมนิยม ประชาธิปไตย” โดยรูปแบบการจัดการ “รัฐสวัสดิการ”</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />ประเทศสวีเดนคือประเทศหนึ่งของหลายประเทศ รูปแบบการปกครอง เป็นรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยทางอ้อม โดยใช้วิธีการเลือกตั้งตัวแทนไปนั่งในสภา เป็นแบบสภาเดียว แต่ยังมีพระมหากษัตริย์ เป็นองค์พระประมุขที่อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ลักษณะหลักคิดวิธีการคล้ายประเทศไทย ความแตกต่างคือทุกอย่างที่เป็นกฎหมายการวางกฎเกณฑ์ร่วมกัน ที่นำไปสู่การปฏิบัติมีการกระทำอย่างเคารพ และยอมรับในกติกา ไม่มีการละเมิด ในทุกส่วน แม้กระทั่งระดับสูงสุดคือสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะที่นี่เขามีกติการ่วมกันว่า กฎหมายคืออำนาจสูงสุดของประเทศที่พลเมืองพึงปฏิบัติตาม เป็นสิทธิและหน้าที่ หัวใจของการปกครองโดยวิธีนี้ ผมวิเคราะห์ว่า ถ้าจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อคนในสังคม ต้องมีคุณภาพ มีวินัย มีศีลธรรมจริยาธรรม ให้เกียรติผู้คนอื่นๆ ที่สำคัญคือต้องรู้หน้าที่ เคารพกติกาที่ได้ถูกสร้างมาร่วมกัน</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />อำนาจที่นี่ไม่ถูกกระจุกไว้กับคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะความที่คนที่นี่มีกลุ่มคนที่หลากหลาย กลุ่มความคิดที่หลากหลาย กฎหมายของเขาไม่มีเลยที่จะปิดกั้นไม่ให้คนรวมกลุ่ม แม้แต่กลุ่มความคิดนั้นจะไม่เห็นด้วยกับภาครัฐ ไม่ห้ามตามกฎหมายแล้ว ยังแถมมีกฎหมายให้งบประมาณการรวมกลุ่มชนด้วย เพราะเขาถือว่าการรวมกลุ่มขึ้นมาก็เพื่อการสร้างสรรค์ สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นในสังคม การรวมกลุ่มที่จะถูกยกเว้น คือกลุ่มองค์กรที่มีเจตนาร้าย และ กระทำการล้มล้างผู้อื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคมเท่านั้น การปกครองภายใต้กฎหมายของเขานี้เมื่อเขาว่ามันคืออำนาจสูงสุดมันก็สูงสุดจริงๆ ไม่มีใครแม้แต่จะกล้าคิดมาทำลายล้าง ความมั่นคงของสังคมเขาจึงมี และ ก้าวไปข้างหน้าเพื่อการสร้างสรรค์ตลอดเวลา</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />ประเทศสวีเดนเป็นประเทศที่ถูกปกครองด้วยระบบการเมืองหลายพรรค หลายอุดมการณ์ การจะให้อุดมการณ์แนวไหนเข้ามาปกครองประเทศก็ยู่ที่ประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจ ฉะนั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนที่นี่ มีค่อนข้างมาก ที่เป็นเช่นนี้ได้ดังที่กล่าวมาแล้วว่าสังคมที่นี่เป็นสังคมเปิด การรวมหมู่ รวมกลุ่ม จัดตั้งองค์กรเป็นไปอย่างหลากหลาย ตามความสนใจ ตามกลุ่มผลประโยชน์ ตามแนวคิด พรรคการเมืองที่มีอยู่ก็หลากหลาย มีทางเลือกให้กับผู้คนในสังคม</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />พรรคการเมืองที่มีอยู่ในประเทศสวีเดน แยกพรรคที่มีแนวความคิดที่แตกต่างกันได้ประมาณ 4-5 แนวคิดคล้ายกันบ้าง แตกต่างกันอย่างสุดขั้วบ้าง แนวทางของพรรคการเมืองที่เด่นชัดคือ</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />1. แนวทางสังคมนิยม ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกเลือกเข้ามาบริหารประเทศมากที่สุด มีอยู่สองพรรคการเมืองหลักที่อยู่ในแนวทางนี้ คือ พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social Democrat) ที่มีเสียงรองรับโดยมาตรฐานอยู่ที่ 29-32เปอร์เซ็นต์ และ พรรคฝ่ายซ้าย (Vanster) ก่อนที่ประเทศโซเวียติ ที่เป็นคอมมิวนิสต์จะล่มสลายคือพรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศสวีเดน และ เป็นพรรคการเมืองที่แยกตัวออกมาจากพรรค สังคมนิยมประชาธิปไตย หลังจากการร่วมกันต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมในประเทศ พรรคนี้ได้รับคะแนนเสียง อยู่ในระดับ 4-5 เปอร์เซ็นต์ พรรคแนวทางนี้ คะแนนเสียงที่ได้รับเป็นกรอบเป็นกำ จะมาจากองค์กรกรรมกร ซึ่งมีสมาชิกอยู่กว่าสามล้านกว่าคน จากประชากรประมาณ เก้าล้านคน</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />2. สายอนุรักษ์ธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อม เพิ่งก่อเกิดขึ้นมาได้ไม่ถึงยี่สิบปี เป็นพรรคการเมืองที่คนหนุ่มคนสาวให้ความสนใจเข้าร่วมมาก นโยบายของพรรคนี้คือ การอนุรักษ์ทรัพยากร และ สิ่งแวดล้อม ชื่อพรรคก็ชื่อนี้ หรือคนต่างชาติมักจะเรียกชื่อว่าพรรค กรีน (Green)หรือพรรค เขียว ซึ่งพรรคการเมืองนี้จะจริงจังเรื่องสิ่งแวดล้อม และ การบริโภคมาก เขาเป็นหูเป็นตาในเรื่องนี้แทนประชาชนทั้งประเทศได้ พรรคนี้กำลังมาแรง คะแนนเสียงอยู่ในระดับ 5-10 เปอร์เซ็นต์ เวลาต้องเลือกลงคะแนนจัดตั้งรัฐบาล พรรคนี้มักให้คะแนนเสียงไปทางด้าน แนวทางสังคมนิยม</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />3. แนวเสรีนิยม คือพรรคประชาชน (Flock Party) คะแนนเสียงที่ได้รับส่วนใหญ่ คือผู้ประกอบการรายย่อย และคนทำงานในสำนักงาน หรือระดับผู้บริหาร องค์กรจัดตั้งที่เป็นส่วนงานบริหาร ที่แยกออกมาจากกรรมกร คะแนนเสียงจะไม่แน่นอน บางครั้งเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ บางครั้งเกือบไม่ได้เข้าไปนั่งในสภา ที่มีเกณฑ์ต่ำสุดไว้ 4 เปอร์เซ็นต์ พรรคนี้เป็นที่รู้จักกันเชิงแนวคิดฝ่ายขวา คือเรามักเข้าใจแบบชาวบ้านคือแนวทางทุนนิยม พรรคนี้จะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับฝ่ายขวา คือพรรคที่มีแนวทางทุนนิยม และ อนุรักษ์นิยม (คำว่าเข้าร่วม กับ คำว่าสนับสนุน ผู้เขียนหมายความว่า ถ้าเข้าร่วมคือเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล คำว่าสนับสนุนคือลงคะแนนเสียงให้ แต่ไม่เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล)</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />4. แนวทางทุนนิยม ได้แก่พรรค โมเดอร์ลาสต์ เป็นพรรคฝ่ายขวาที่มีคะแนนเสียงสนับสนุนมากที่สุด สิบปลายๆ ถึงยี่สิบ เปอร์เซ็นต์ต้นๆ แนวคิดทางระบบทุนนิยม เสียงสนับสนุนส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการ รายละเอียดของผู้มาลงคะแนนเสียงให้กับแต่ละพรรคก็น่าสนใจ มักเป็นไปตามนโยบายผลประโยชน์ และ แนวคิด</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />5. พรรคสนับสนุนเกษตรกร คือพรรค เซ็นเตอร์(Center) เสียงสนับสนุน ที่ได้รับคือผู้ประกอบการทางการเกษตร ผู้เข้าร่วมในพรรคเขาก็มีฐานทางการผลิต ประเทศนี้ที่น่าสนใจของพรรคการเมืองคือ เขาจะมีกิจกรรม ให้กับกลุ่มองค์กรของเขา และ การมีส่วนร่วมในการรักษาผลประโยชน์ พรรคการเมืองนี้เช่นเดียวกัน จะมีการบริการ ความรู้ ร้านค้า ซึ่งเป็นลักษณะการสร้างเป็นองค์กรบริการประชาชน คะแนนเสียงพรรคนี้จะไม่มาก ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ พรรคนี้ถ้าฝ่ายขวาได้คะแนนเสียวข้างมาก ก็จะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />6. พรรคทางด้านศาสนา คริสต์เตียนดีโมแครสต์ (Christian Democrat) หลักคิดเป็นไปตามชื่อที่เรียก มีแนวทางอนุรักษ์นิยม ใช้ศาสนาเป็นแนวทาง คะแนนเสียงสนับสนุน ส่วนใหญ่คือผู้ที่เคร่งศาสนา และ ผู้ที่เชื่อแนวทางแก้ปัญหาสังคมโดยแนวทางนี้ มีคะแนนเสียงมากเกือบเป็นลำดับหนึ่งของฝ่ายขวา ประมาณ สิบเปอร์เซ็นต์ขึ้น</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />7. ระยะหลังๆมีพรรคการเมือง ประเภทขวาจัดเกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่รู้กันภายในประเทศ คือพรรคการเมืองประเภทต่อต้านสีผิว พรรคนี้ระยะหลังได้เข้าไปนั่งในสภาด้วย แต่พรรคการเมืองทั่วไปจะไม่สนใจให้เข้าร่วมกำหนดนโยบาย<br />จากข้อมูลระบบพรรคการเมืองการเลือกตั้ง เราจะได้เห็นพรรคการเมืองที่หลากหลายมาก ถ้าลงรายละเอียดของหลักคิดความเชื่อวิธีการจะแตกต่างกัน อย่างทุนนิยม และ เสรีนิยม หรือ สังคมนิยมกับพรรคฝ่ายซ้าย ซึ่งการมีพรรคการเมืองที่หลากหลาย สังคมผู้คนที่หลากหลาย มีความคิดความเชื่อที่แตกต่าง แต่ละคนที่มีสิทธิ์มีเสียงในการเลือกตั้ง เขาก็จะคิดเลือกผู้แทน แน่นอน 1. กลุ่มก้อนที่เขาร่วมอยู่ 2. หลักคิดวิธีการการแก้ปัญหา ในแต่ละช่วง (โอกาสพลิกโผมักจะมีให้เห็นเสมอ)</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />จึงไม่เป็นเรื่องยากที่ประชาชนสวีเดน จะเลือกผู้แทนของเขา เขามักจะไม่สนใจว่ารัฐบาลจะต้องมีเสียงข้างมากหรือน้อย เมื่อพวกเขาตัดสินใจเลือกแล้ว นักการเมืองต้องไปทำหน้าที่ให้ประชาชนที่เลือกเขามาให้ได้ ฉะนั้นในประเทศสวีเดน จึงมีการปกครองระบบหลายพรรคการเมือง และ รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศ ก็คือเสียงส่วนน้อยในสภา บางครั้งก็เป็นรัฐบาลร่วมหลายพรรค บางครั้งก็เป็นรัฐบาลเสียงส่วนน้อยเพียงพรรคเดียว แต่การเมืองในระบบรัฐสภาของเขาก็ไม่เคยที่จะสร้างปัญหาให้คนในสังคม</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />คนสวีเดนถูกฝึกฝนให้เคารพกติกา และ เคารพในหน้าที่ระบบการทำงานจึงไม่สับสน แถมไม่วุ่นวาย ผู้บริหารระดับสูงมีหน้าที่อยู่ตรงไหนก็ทำตรงนั้น ทำให้ดีทำตามหน้าที่ เคารพสิทธิของผู้อื่น</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />ระบบสังคมนิยมประชาธิปไตย รูปแบบรัฐสวัสดิการคือทางเลือกในการปกครองของประเทศนี้ การใช้เงินมากมายเพื่อนำมาดูแลคนในสังคม คนในสังคมจึงต้องมีจิตใจที่พร้อมจะเสียสละไม่คิดเล็กคิดน้อย ต้องยินดีให้รัฐจัดเก็บภาษี อย่างหนักเมื่อทำงาน นอกจากภาษีของบุคคลที่มีรายได้ทั่วไปที่เก็บกว่า ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วการเก็บภาษีประเภทก้าวหน้าเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำทางสังคม คนในสังคมเขาก็ยินดีจะจ่ายให้ การจัดเก็บภาษีจึงเป็นหัวใจของการจัดระเบียบสังคม ขจัดความอยากมีอยากได้ความเห็นแก่ตัว บางคนอาจจะไม่พอใจ แต่เมื่อคนส่วนใหญ่ของสังคมเห็นด้วย ก็ต้องยอมจำนน การจัดเก็บภาษีของเขานอกจากเป็นภาษีรายได้ปกติแล้ว ภาษีสมบัติ ภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือน แม้แต่ภาษีเงินที่สะสม จากระบบการเก็บภาษี ในทุกเรื่องการสะสมสมบัติของคนที่นี่จึงมีน้อยมาก ฉะนั้นการเงินในประเทศนี้จึงหมุนเวียนคล่องตัว การสะสมเงินเพื่ออนาคตจึงมีน้อยมาก เขาคงไม่ต้องเป็นกังวลชีวิตอนาคต เพราะรัฐสวัสดิการดูแลให้ทุกเรื่องตั้งแต่เกิดจนตาย การดูแลของรัฐสวัสดิการ เขาใช้วิชาการในการศึกษา มีตัวชี้วัดความสุขของคน เมื่อมนุษย์มีความมั่นคงในชีวิต มนุษย์ก็ไม่ต้องสะสม ไม่กังวลทำเพื่อตัวเอง สมองก็ปลอดโปร่งที่จะได้คิดสร้างสรรค์ เมื่อคนในสังคมมีกินไม่อดอยากการก่ออาชญากรรมก็จะมีน้อย</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />นอกจากการเงินของรัฐที่ได้จากการเก็บภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว รัฐยังมีรายได้จากกิจกรรมของรัฐเองด้วย การจะจัดการเรื่องสวัสดิการให้ได้ดี รัฐจะต้องมีเงิน ฉะนั้นรัฐจึงต้องมีกิจการเป็นของรัฐ ในระบบการค้าเสรีรัฐไม่ได้หวงห้าม แต่รัฐก็เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อการหารายได้เข้ารัฐด้วย บริษัทใหญ่ๆ และ เกี่ยวกับความมั่นคงในประเทศรัฐจะเป็นผู้เข้าดูแลจัดการ และพร้อมที่จะแข่งขันกับภาคเอกชน หรือ เข้าถือหุ้นเพื่อการดูแลแรงงาน ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเรื่องที่ศึกษาได้ จะเอาแบบอย่างหรือไม่เอา เราก็สามารถเรียนรู้นำมาเผยแพร่เพื่อให้คนในสังคมเรียนรู้ได้ เพื่อการตัดสินใจ หรือจะนำมาประยุค เพื่อนำทางสู่สังคมไทย</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />รัฐสวัสดิการ หัวใจของแนวคิดคือการขจัดความเหลื่อมลำทางสังคม สร้างความเสมอภาคให้เกิดขึ้นในสังคม ระบบการแข่งขัน มีกฎกติกาที่ให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน เริ่มต้นอย่างไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ทุกครัวเรือนจะได้รับการดูแลเริ่มต้นจากครรภ์มารดา โอกาสทางการศึกษา ที่พักอาศัย อาชีพการงาน ระบบสาธารณูประโภคที่ดี ไม่ต้องหาเงินมาต่อเสริมเติมแต่งให้เกิดความสะดวกสบายกว่าผู้อื่น แม้วัยบั้นปลายของชีวิตรัฐก็จัดการเลี้ยงดูให้</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br />ในประเทศสวีเดน ที่มีการวางระบบให้กับคนในสังคมอย่าง คิดว่าคนคือคน ทุกคนมีสิทธิที่จะได้อยู่ ได้รับอย่างเท่าเทียมกันตามกฎหมาย ความเชื่อของระบบ คือมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคมจะต้องได้รับการบริการทางสังคมขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน ประเทศสวีเดนมีการปกครองรูปแบบสังคมประชาธิปไตย โดยการปกครองดูแลได้รับฉันทามติจากประชาชนที่คัดเลือกตัวแทนมาสู่การบริหารประเทศ ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบ สังคมนิยมในรูปแบบรัฐสวัสดิการ ที่รัฐต้องดูแลประชาชนให้มีความมั่นคงในชีวิต ซึ่งเป็นทั้งศาสตร์ และ ศิลป์ที่ต้องผ่านประสบการ และ การเรียนรู้ หัวใจของการปกครองในระบอบนี้คือ ผู้นำต้องมีความเชื่อมั่น และ ศรัทธาในประชาชน เห็นคนเป็นเป็นคน ทุกคนในสังคมมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ไม่ปล่อยปละละเลยดูดาย ทำเพื่อความสุขแห่งตนเพียงผู้เดียว</div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="color: #ea5d2e; font-weight: bold;">สุทธิธรรม เลขวิวัฒน์</span></div>
<div style="border: 0px; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 21px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
</div>
<br />กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-35982841558462381372014-02-03T09:42:00.003+07:002014-02-03T09:42:52.565+07:00แนะนำ “สังคมนิยม” และความคิด “มาร์คซิสต์ เบื้องต้น<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgMcXElRWnMsW1lJr0PmQdO546Bs5b4to0JwkRS9phCZye8b3kfSawqihdKTi3rdrmcO8yYFqKZLPpd5K1h11E0m1YPKz0-DWS_FajFoEIvUjSidz9QUm6v80UdXL6z-fwRqrVSzKob4nU/s1600/download.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgMcXElRWnMsW1lJr0PmQdO546Bs5b4to0JwkRS9phCZye8b3kfSawqihdKTi3rdrmcO8yYFqKZLPpd5K1h11E0m1YPKz0-DWS_FajFoEIvUjSidz9QUm6v80UdXL6z-fwRqrVSzKob4nU/s1600/download.jpg" /></a></div>
<br />
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: x-small;"><b>สังคมนิยมคืออะไร</b></span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">“สังคมนิยม” เป็นระบบที่มนุษย์ฝันถึงมานาน ตั้งแต่เกิดสังคมชนชั้นที่ไร้ความเสมอภาคและความยุติธรรม ในสมัยก่อนเขาอาจไม่เรียกว่า “สังคมนิยม” แต่มันมีความหมายเดียวกัน นักสังคมนิยมที่ทำความเข้าใจกับระบบเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันอย่างเป็นระบบ เพื่อหาทางปฏิวัติไปสู่สังคมนิยม คือ คาร์ล มาร์คซ์ และเพื่อนเขาชื่อ เฟรดเดอริค เองเกิลส์</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">พวกเราชาว “มาร์คซิสต์” เชื่อว่าสังคมนิยมต้องมาจากการกระทำของชนชั้นกรรมาชีพส่วนใหญ่เอง ไม่ใช่มาจากการวางแผนโดยคนคนเดียว หรือกลุ่มคนชั้นสูงในวงแคบๆ หรือผู้นำพรรค หรือกองทัพปลดแอก ดังนั้นสังคมนิยมจะมีลักษณะตามที่กรรมาชีพและพลเมืองส่วนใหญ่พึงปรารถนา อย่างไรก็ตาม ถ้าเราจะสร้างสังคมใหม่ที่เป็นสังคมนิยม มันน่าจะมีคุณสมบัติพื้นฐานดังนี้คือ</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">1.เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ ไม่ใช่ประชาธิปไตยครึ่งใบอย่างทุนนิยมซึ่งอำนาจควบคุมการผลิตเป็นของนายทุน ทั้งนี้เพราะในระบบสังคมนิยมระบบเศรษฐกิจการผลิตจะถูกควบคุมโดยพลเมืองทุกคน ดังนั้นสังคมนิยมจะเป็นระบบก้าวหน้า ที่ปลดแอกมนุษย์อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">2.ในระบบสังคมนิยมจะมีการวางแผนการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่เพื่อสะสมอาวุธ หรือเพื่อการหวังกำไรของคนส่วนน้อย จะเป็นระบบที่มีความเสมอภาคเต็มที่ ไม่มีคนรวย ไม่มีคนจน ไม่มีการกดขี่ทางเพศหรือเชื้อชาติ</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">3.ในระบบสังคมนิยมจะยกเลิกการขูดรีดของนายทุน โดยการยกเลิกสิทธิ์อันไร้ความชอบธรรมของคนบางคน ที่จะควบคุมปัจจัยการผลิตอย่างผูกขาดแล้วนำกำไรเข้ากระเป๋าตนเองหรือลงทุน เพื่อหากำไรเพิ่ม ทุกสถานที่ทำงานจึงต้องเป็นของคนงานเอง ของสังคมโดยรวม ไม่มีเจ้านาย ไม่มีชนชั้น บริหารกันเอง ทรัพยากรของโลกจะเป็นของส่วนรวม ดังนั้นการกดขี่แย่งชิงกันระหว่างชาติก็จะหมดไป</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">4.มนุษย์จะสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มที่ ไม่ใช่ว่าบางคนมีงานทำที่น่าสนใจ และคนอื่นต้องทำงานซ้ำซาก การทำงานของพลเมืองควรจะเป็นเรื่องที่สร้างความภาคภูมิใจ และสนับสนุนความสร้างสรรค์ของเราทุกคน พลเมืองทั้งสังคมจะได้มีศักดิ์ศรีและได้รับความเคารพรักซึ่งกันและกัน</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><b style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">สังคมนิยมสองรูปแบบ</b><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เมื่อเราพูดถึงสังคมนิยม มักจะมีคนนึกถึงระบบเผด็จการในรัสเซียหรือจีน หรือบางครั้งอาจนึกถึงระบบพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยภายใต้ทุนนิยมในประเทศ สแกนดิเนเวีย อังกฤษ หรือออสเตรเลีย แต่แนวคิดสังคมนิยมมีสองรูปแบบที่แตกต่างกันคือ</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">1.สังคมนิยมจากบนสู่ล่าง ซึ่งประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการสร้างหรือบริหาร เช่นสังคมนิยมที่มาจากการสร้างเผด็จการของกลุ่มข้าราชการพรรคคอมมิวนิสต์ใน จีน ลาว คิวบา เกาหลีเหนือ หรือรัสเซีย(ภายใต้สตาลิน) หรือสังคมนิยมปฏิรูปที่มาจากการกระทำของ ส.ส. พรรคสังคมนิยมในรัฐสภา สังคมนิยมดังกล่าวเป็นสังคมนิยมประเภท “ท่านให้” ซึ่งเป็นสังคมนิยมจอมปลอม เป็นการประนีประนอมกับระบบกลไกตลาดเสรีของทุนนิยมและอำนาจนายทุน หรือไม่ก็เป็นเผด็จการข้าราชการแดงของพรรคคอมมิวนิสต์ที่กดขี่ขูดรีดประชาชน</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">2.สังคมนิยมจากล่างสู่บน เป็นสังคมนิยมที่สร้างโดยมวลชนกรรมาชีพเอง ร่วมกับชาวนาระดับยากจน โดยอาศัยการปฏิวัติล้มระบบทุนนิยมเพื่อสถาปนารัฐกรรมาชีพ และรัฐกรรมาชีพดังกล่าวต้องมีกลไกในการควบคุมรัฐตามแนวประชาธิปไตยอย่างชัดเจน เช่นต้องมีสภาคนงานในรูปแบบคอมมูนปารีส หรือสภาโซเวียตหลังการปฏิวัติรัสเซีย 1917 สมัย เลนิน สังคมนิยมประเภทนี้คือสังคมนิยมแบบ “มาร์คซิสต์” เพราะสังคมนิยมเหมือนกับประชาธิปไตยหรือสิทธิเสรีภาพอื่นๆ ไม่มีใครยกให้ได้ ต้องมาจากการต่อสู้เรียกร้องของมวลชนเอง นี่คือสังคมนิยมที่เราชื่นชมและอยากได้</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">สังคมนิยมมาร์คซิสต์ แตกต่างจากเผด็จการคอมมิวนิสต์แบบ “สตาลิน-เหมา เจ๋อ ตุง” ที่พรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกนำมาใช้ใน รัสเซีย จีน ลาว เขมร เวียดนาม คิวบา หรือ เกาหลีเหนือ และที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเคยเสนอ </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เนปาล</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ถ้าเราไปดูประเทศเนปาล เราจะได้บทเรียนเพิ่มเติม ในเนปาลพรรคคอมมิวนิสต์สายเหมา เจ๋อ ตุง ใช้วิธีจับอาวุธสู้กับเผด็จการทุนนิยมของกษัตริย์เนปาล การต่อสู้นี้บวกกับการต่อสู้ของมวลชนในเมือง เช่นนักศึกษาและสหภาพแรงงาน ในที่สุดนำไปสู่ชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์ในการเลือกตั้ง มีการยกเลิกสถาบันกษัตริย์ แต่ระบบที่พรรคคอมมิวนิสต์เนปาลเสนอคืออะไร? พรรคคอมมิวนิสต์เนปาลต้องการกลไกตลาดเสรีของนายทุน!! และต้องการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ!! ซึ่งแปลว่าต้องคงไว้การขูดรีดกรรมกรและเกษตรกร เพียงแต่เปลี่ยนประเทศไปเป็นสาธารณะรัฐเท่านั้น</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">การจับอาวุธปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์เนปาล จึงเป็นการต่อสู้เพื่อประนีประนอมกับระบบทุนนิยม แต่ข้อแตกต่างกับไทยคือ ในเนปาลไม่มีนายทุนใหญ่อย่างทักษิณที่มีอิทธิพลต่อขบวนการและสามารถดึงการต่อสู้ไปเพื่อคงไว้ระบบเดิมที่มีระบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ประชาธิปไตยแท้จะเกิดจากการเปลี่ยนประมุขอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องมีการยึดอำนาจโดยประชาชนในทุกเรื่อง ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม แต่ถ้าเรายกอำนาจให้นายทุนดำรงอยู่และขูดรีดต่อไป และถ้าเราเกาะติดนายทุนใหญ่ในขณะที่เขาประนีประนอมกับอำมาตย์ทุนนิยม เราก็จะปลดแอกสังคมไม่ได้</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">การจับอาวุธหรือสร้างกองกำลัง เป็นการตัดขาดบทบาทมวลชนจำนวนมาก เป็นการผูกขาดสิทธิที่จะกำหนดแนวทางโดยแกนนำเผด็จการใต้ดิน ถ้ามีการถกเถียงเกิดขึ้นในแกนนำ จะใช้ปืนแทนปัญญาในการตัดสิน และเมื่อมีการลดบทบาทหรือสลายพลังมวลชน เราไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยแท้ที่พลเมืองนำตนเองและร่วมสร้างสังคมใหม่ได้</span><br />
<br />กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-46935854122386376432013-12-10T12:48:00.001+07:002013-12-10T12:48:01.680+07:00"การรื้อสร้าง ๒๔๗๕" ฝันจริงของนักอุดมคติ "น้ำเงินแท้"<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiW_4CJP1UvteIQNe5iq49gApyVna7jUXtK2gMRv7r9f3WPqH7eIdHRKCRDQcsJdeY9hayEtKm4gsywG7PVDnW4sXR_0JNUGWevzt9J36cbdHudj65xFRwlq6BVmdZBAJIdps0pA7cc1kA/s1600/19_153704_72.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="239" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiW_4CJP1UvteIQNe5iq49gApyVna7jUXtK2gMRv7r9f3WPqH7eIdHRKCRDQcsJdeY9hayEtKm4gsywG7PVDnW4sXR_0JNUGWevzt9J36cbdHudj65xFRwlq6BVmdZBAJIdps0pA7cc1kA/s320/19_153704_72.jpg" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ความรู้สึกแห่งยุคสมัยที่ราวกับมีคำตอบ ผู้เขียนขอยืมคำนำเรื่องจากชื่อหนังสือของชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ชื่อราวกับมีคำตอบ และของเกษียร เตชะพีระ ชื่อความรู้สึกแห่งยุคสมัย เพื่อใช้สื่อความหมายถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการไว้ที่ส่วนนำของบทความนี้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อย่างน้อยสำหรับข้าพเจ้าและอีกหลายท่านที่ฉงนฉงายต่อการหายไปของพลังของความหมายและความทรงจำที่เกี่ยวกับการปฏิวัติ ๒๔๗๕ พบว่า เป็นเรื่องประหลาดที่การปฏิวัติครั้งนั้นถูกทำให้เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าภูมิใจ ไม่น่าเกี่ยวข้องกับเรา หลายสิ่งหลายอย่างถูกเกลื่อนกลืน มีการโยกย้ายความหมายและความทรงจำ และมีการให้คำอธิบายว่า เกือบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ รวมทั้งอุดมการณ์ประชาธิปไตย สามารถสืบย้อนหลังไปได้ว่าล้วนมีผู้ทำไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นปกครองในอดีต</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สำหรับในอาณาจักรของชาว "น้ำเงินแท้" แล้ว ไม่มีอะไรในประเทศนี้ที่ไม่เคยถูกทำมาก่อน หรือเป็นสิ่งใหม่ แม้แต่สิ่งที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ในประเทศหรืออาจหมายรวมถึงในโลกนี้ คือการสร้างคำอธิบายว่าไทยมีรัฐธรรมนูญตั้งแต่สมัยสุโขทัย หรือว่าผู้ปกครองในระบอบเก่ามีพระราชประสงค์จะมอบ "เดโมคราซี" หรือ "คอนสติติวชั่น" ให้มหาชนชาวสยาม จนดูประหนึ่งว่าการวางหลักไมล์ของจุดเริ่มต้นมิอาจเกิดขึ้นจากบุคคลชั้นธรรมดาในประเทศของเรา</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ความฉงนฉงายเหล่านั้น ดลใจให้ข้าพเจ้าศึกษาและค้นคว้ามากขึ้น และพบว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงการสร้างคำอธิบายใหม่ที่ถอยลงไปในอดีตเพื่อสร้างความชอบธรรมบางอย่างที่สำคัญให้กับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่เป็นปรปักษ์กับการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ด้วย "การรื้อสร้าง" การปฏิวัติ และพร้อมกันนั้นก็สร้างคำอธิบายใหม่ให้กับระบอบเก่าที่สอดคล้องกับโครงเรื่องในมโนสำนึก</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สำหรับชาว "น้ำเงินแท้" แล้วอาจไม่มีปรากฏการณ์ใดที่จะ "เสียหน้า" และสูญเสียอำนาจ อันนำมาซึ่งความเจ็บช้ำ โหยหาวันก่อนคืนเก่าของพวกเขา ได้เท่ากับการเกิดขึ้นของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ความทรงจำที่ปวดร้าวมีผลให้การเล่าถึงการปฏิวัตินั้นว่า เต็มไปด้วยความขัดแย้งแตกแยกไม่เป็น "ประชาธิปไตย" ในความหมายของพวกเขา รวมตลอดจนการปฏิบัติของพวกเขาต่อสิ่งก่อสร้างเชิงสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ เช่น หมุดคณะราษฎรที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ก็ถูกมองในฐานะสิ่งแปลกปลอมและถูกปล่อยปละละเลยปราศจากการสงวนรักษา ในฐานะที่เป็นจุดประกาศการก้าวสู่ระบอบใหม่ การพยายามลดทอนความหมายของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยลงเป็นเพียงกองซีเมนต์ใหญ่ ที่กีดขวางถนนหนทาง ตลอดจนการสร้างคำอธิบายว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยและมีรัฐธรรมนูญมานาน ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเพื่อลบล้างพลังของการปฏิวัติ รวมถึงการผลิตซ้ำเรื่องเล่า เรื่องเล่านี้ถูกนำมาเล่าตอกย้ำ ว่ายวน โดยเฉพาะในประเด็นการ "ชิงสุกก่อนห่าม" ของการปฏิวัติครั้งนั้น<b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">คณะราษฎรบางคนเงียบนิ่งต่อพลังการรื้อสร้างที่ดำเนินไป แต่หลายคนยังคงยืนหยัดโต้การรื้อสร้างเหล่านั้น ท้ายสุดกระบวนการรื้อสร้างนี้ก็กลายเป็นอภิมหาอรรถกถาครอบจักรวาลที่ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปในอดีต</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หาก "อดีต" เป็นภาชนะที่ห่อหุ้ม "ปัจจุบัน" เอาไว้แล้วไซร้ กระบวนการอธิบายหรือให้ความหมายย้อนหลังก็คือการสร้าง "อดีต" ไว้ใน "ปัจจุบัน" นั่นเอง ปฏิบัติการของเขาเหล่านี้เปรียบประหนึ่งกับการ "รื้อ" ความหมายเก่า และ "สร้าง" ความหมายใหม่ โดยทำให้ความหมายเก่าอ่อนตัวลง หรือทำลายความชอบธรรมของปรากฏการณ์ คำ วัตถุ และความทรงจำ พร้อมๆ ไปกับการประกอบสร้างหรือสวมกลืนความหมายใหม่ที่ต้องการเข้าไปแทนที่</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>หากใครสามารถครอบครองความหมายในอดีตได้ฉันใด ผู้นั้นก็มีอำนาจยึดกุมปัจจุบันได้ฉันนั้น</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การศึกษาครั้งนี้ ผู้เขียนใช้หลักฐานจากงานเขียน บันทึกความทรงจำ ชีวประวัติ สารคดีการเมือง นิยายของบรรดาอดีตนักโทษทางการเมือง และกลุ่มพันธมิตรแนวร่วม เช่น นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ นักเขียน ที่เขียนเกี่ยวกับกรณีกบฏบวรเดชและการรัฐประหาร ๒๔๙๐ เพื่อพิจารณาถึงวิธีการเล่าเรื่อง ความรู้สึกนึกคิด ด้วยการเฝ้ามองและชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลกับปฏิบัติการ "รื้อสร้าง" ความหมายของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ผ่านงานเขียนของเขาเหล่านั้น รวมถึงปฏิบัติการลดทอนพลังความหมาย ตลอดจนการประกอบสร้างความหมายใหม่ที่ยังประโยชน์ให้กับกลุ่มของตน รวมทั้งผลกระทบของการรื้อสร้างจากงานเขียนของชาว "น้ำเงินแท้" ในอดีตว่ามีผลสืบเนื่องอย่างไรต่อความรู้สึกนึกคิด และระบอบการปกครองของไทยในระยะต่อมาจนปัจจุบัน</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หากการปฏิวัติ ๒๔๗๕ คือการรูดม่านระบอบเก่าแล้ว การรัฐประหาร ๒๔๙๐ นั้น ถือได้ว่าเป็น "อรุณรุ่งแห่งแสงเงินแสงทองของวันใหม่" สำหรับพวกเขา ซึ่งเป็นการบรรจบกันหรือการปรากฏตัวขึ้นใหม่ของอุดมการณ์ในระบอบเก่าที่สืบทอดมาตั้งแต่กบฏบวรเดช ๒๔๗๖ ที่เคยพ่ายแพ้ ถูกกักขัง จองจำ หลบซ่อน จนได้ออกมาเผยตัวอย่างแจ้งชัดในเวลาต่อมา</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ปฏิบัติการรื้อถอนความชอบธรรมของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ พร้อมๆ ไปกับการเชิดชูและสร้างความหมายใหม่ให้กับระบอบเก่าของกลุ่มคนเหล่านี้นำไป สู่การเข้าร่วมการรัฐประหารโค่นล้มคณะราษฎรเพื่อสานฝันของชาวคณะ "น้ำเงินแท้" ให้เป็นจริง การรัฐประหาร ๒๔๙๐ จึงเป็นจุดหมุนพลิกที่สำคัญในประเด็นอำนาจและอุดมการณ์</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>"ราชธรรมนูญ" กับ "ราษฎร์ธรรมนูญ"</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ปัญหากำเนิด "ระบอบรัฐธรรมนูญ" และความขัดแย้งของขนาดพระราชอำนาจหลังการปฏิวัติ</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ประเด็นหนึ่งในการรื้อสร้างการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ของ "การเมืองเรื่องเล่า" คือการกล่าวว่า การปฏิวัติของคณะราษฎรนั้นเป็นการ "ชิงสุกก่อนห่าม" โดยที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์พระราชทาน "รัฐธรรมนูญ" อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงก็คือ การร่าง "รัฐธรรมนูญ" นั้นเป็นการร่างลับตามพระราชประสงค์ของพระองค์ โดยมีน้อยคนที่รู้ นอกนั้นไม่เคยมีใครได้เห็นเอกสาร นอกจากพูดต่อกันมา มีขุนนางในระบอบเก่าคนหนึ่งนาม***พระยาศรีวิสารวาจา*** เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี</span>พระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล, ๒๔๓๙-๒๕๑๑) บัณฑิตเกียรตินิยมทางกฎหมายจากออกซฟอร์ด บาร์ริสเตอร์มิดเดิลเทมเปิล อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศในระบอบเก่า รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศสมัยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา (๒๔๙๕-๒๔๙๖) รัฐมนตรี (๒๔๘๙, ๒๔๙๐-๒๔๙๑) สมาชิกวุฒิสภา (๒๔๙๒-๒๔๙๔) องคมนตรี (๒๔๙๕-๒๕๐๕) ประธานที่ปรึกษาราชการของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (๒๕๐๕-๒๕๐๖) ชีวประวัติ พันเอก พระยาศรีวิสารวาจา, พิมพ์เป็นบรรณาการเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พันเอก พระยาศรีวิสารวาจา ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ๘ มิถุนายน ๒๕๑๑, พระนคร : โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เพราะเขามีส่วนร่วมในการร่าง และรู้ว่ามันมีสาระเช่นไร อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏหลักฐานถึงการบอกถึงสาระที่แท้จริงในฉบับร่างจากเขาตลอดช่วงชีวิต แม้ว่าเขาจะมีส่วนในการเป็นรัฐมนตรีหลังการปฏิวัติหลายครั้งจนกระทั่งถึง สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ตาม ในอีกแง่หนึ่งนี่อาจเป็นเรื่องปกติก็ได้หากมองจากจุดยืนทางการเมืองของเขา เพราะสำหรับพระยาศรีวิสารวาจาแล้วอาจเป็นการดีกว่า ถ้าจะปล่อยให้เรื่องเล่าการจะพระราชทานสิ่งที่เรียกว่า "รัฐธรรมนูญ" ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และการชิงสุกก่อนห่ามของคณะราษฎรนั้นให้คงอยู่ในสังคมต่อไป เพราะเรื่องเล่าแบบนี้มีผลบวกต่อสิ่งที่เขาชื่นชมและทำให้คนฟังเห็นถึงความไม่จำเป็นของการปฏิวัติ ๒๔๗๕<b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังการเปิดหอจดหมายเหตุแห่งชาติเมื่อปี ๒๕๑๘ ความกระจ่างแจ้งในสาระสำคัญของเอกสารที่ทรงให้ร่างขึ้น และถูกเรียกจากผู้ต่อต้านการปฏิวัติว่าเป็น "รัฐธรรมนูญ" อันจะพระราชทานให้กับปวงชนชาวสยามนั้นก็ได้ปรากฏขึ้น เมื่อมีการค้นพบเอกสารสำคัญ ๒ ชิ้น ชิ้นแรกคือ ร่างกฎหมาย ปี ๒๔๖๙ ฉบับพระยากัลยาณไมตรี <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(Francis B. Sayre) (ในต้นฉบับไม่ระบุชื่อกฎหมายและไม่ได้เรียกว่ารัฐธรรมนูญ) แถมสุข นุ่มนนท์. การเมืองและการต่างประเทศในประวัติศาสตร์ไทย.</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ซึ่งมีสาระสำคัญคือ สถาบันพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจสูงสุดในราชอาณาจักร ให้มีอภิรัฐมนตรีสภา และตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่เสนอนโยบายทั่วไปให้พระมหากษัตริย์ทรงตัดสินพระทัย และนายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้อำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ กล่าวโดยสรุปแล้วหมายความว่าพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจสูงสุดทาง การบริหาร นิติบัญญัติและการแก้ไขกฎหมาย หรือนัยหนึ่งก็คือทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยนั่นเอง</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เอกสารอีกชิ้นหนึ่งคือ สำหรับร่างกฎหมาย ปี ๒๔๗๔ ซึ่งเขียนโดยเรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจา เอกสารนี้ใช้ชื่อว่าเค้าโครงร่างการเปลี่ยนรูปรัฐบาล (An Outline of Changes in the Form of the Government) มิได้ใช้คำว่ารัฐธรรมนูญ ( หจช.ร.๗ ม.๑.๓/๑๔๒ "An Outline of Changes in the Form of the Government" )</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ร่างฉบับนี้มีสาระสำคัญคือ พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจสูงสุดทางการบริหารและการนิติบัญญัติ โดยมีพระราชอำนาจเหนือสภานิติบัญญัติ เหนือสภาอภิรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีกับคณะรัฐมนตรี พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจสูงสุดในการแต่งตั้ง และถอดถอนสภาอภิรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อพระมหากษัตริย์ ส่วนที่มาของสภานิติบัญญัตินั้น อาจมาจากการแต่งตั้งหรือเลือกตั้งก็ได้ แต่พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการยุบสภา โดยสรุปแล้วพระมหากษัตริย์คือผู้ทรงอำนาจอธิปไตยอีกเช่นกัน </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">( โปรดดูเปรียบเทียบ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินฉบับวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕ มาตรา ๑ ระบุว่า อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย )</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">จากหลักฐานเหล่านี้ยืนยันว่า เป็นความจริงที่พระองค์ทรงเตรียมร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปกครอง แต่จะเป็นประชาธิปไตยตามหลักประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยหรือไม่ ขอให้พิจารณาขนาดของพระราชอำนาจที่มีอย่างมากมายแล้วคงไม่ต้องเถียงกันอีกต่อไป</span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(สำหรับข้อกล่าวหาคณะราษฎรที่ชิงสุกก่อนห่ามในการนำการปฏิวัติทั้งๆ ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จะพระราชทาน "รัฐธรรมนูญ" นั้น เรื่องเล่าเหล่านี้ได้ผ่านไปสู่การตั้งคำถามต่อหลวงประดิษฐ์มนูธรรม แกนนำคนสำคัญของคณะราษฎรซึ่งเขาได้กล่าวว่า คณะราษฎรเพิ่งได้ทราบถึงสาระสำคัญในร่างกฎหมายหรือเค้าโครงร่างการเปลี่ยนรูปรัฐบาลจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ หลังการปฏิวัติไม่กี่วัน แต่อย่างไรก็ตามเขาเห็นเกี่ยวกับสาระสำคัญที่อยู่ภายในร่างว่า ปัญญาชนรับฟังสิ่งใดควรไตร่ตรองให้รอบคอบให้สามารถแยกแยะออกเป็นประเภทอย่างแจ่มชัดได้ เช่น "เมื่อจะรู้เรื่องปลาก็มิเพียงแต่เห็นว่าสัตว์น้ำนั้นมีเหงือกมีหางว่ายน้ำ ได้ก็เป็นปลาประเภทเดียวกัน คือ จะต้องรู้ว่า สัตว์น้ำนั้น เป็นปลาช่อน หรือปลาหมอ ฉันใดฉันนั้น เมื่อรับฟังว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จะพระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่แล้วก็ควรสอบถามผู้บอกเล่าว่า พระองค์จะพระราชทานรัฐธรรมนูญชนิดใด" (ปรีดี พนมยงค์. "บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎร และระบบประชาธิปไตย," ใน รัฐศาสตร์ ๑๔. ชมรมหนังสือยูงรำแพน, ๒๕๑๗, หน้า ๒๖๒-๒๖๓.)</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ดังนั้นหากปราศจากการปฏิวัติ ๒๔๗๕ และประชาชนเฝ้ารอคอยการพระราชทาน "ราชธรรมนูญ" นี้ ตามเรื่องเล่าแล้ว ที่สุดของความเป็นได้ของการปกครองของสยาม ก็น่าจะเป็นระบอบราชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรรมนูญ หรือรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์ทรงอำนาจอธิปไตย กล่าวให้ถึงที่สุดคือ "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันมีรัฐธรรมนูญรับรองความชอบธรรม" นั่นเอง</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างรวดเร็วในเช้าวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นั้นเป็นเสมือนหนึ่งการปิดฉากระบอบเก่าลง พร้อมกับการสถาปนา "ระบอบรัฐธรรมนูญ" ขึ้นมาได้ (ภายหลังเรียกระบอบประชาธิปไตย ) มีการถกเถียงกันในการตีความกำเนิดรัฐธรรมนูญสยามว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดจากการตกลงกันระหว่างราษฎรและผู้ปกครอง </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">( ในสายตานักกฎหมายและครูกฎหมายร่วมสมัยอย่างเดือน บุนนาค หลวงประเจิดอักษรลักษณ์ และไพโรจน์ ชัยนาม ต่างประเมินตรงกันว่า รัฐธรรมนูญสยามนั้นเกิดจากการตกลงกันระหว่างผู้ปกครองกับราษฎร หาใช่การพระราชทานไม่ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงสามารถอธิบายถึงความชอบธรรมของที่มาสมาชิกสภาผู้แทนประเภท ๒ ซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยคณะราษฎรได้ ในตำรากฎหมายขณะนั้นเห็นว่ากำเนิดรัฐธรรมนูญมี ๓ แบบ ดังนี้ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แบบแรก ผู้ปกครองรัฐเป็นผู้ให้ (charter) ซึ่งเกิดจากเจตนาของผู้ปกครองฝ่ายเดียว ดังนั้นการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างพระราชอำนาจของผู้ปกครองจะอยู่สูงสุด เหนือสถาบันการเมืองอื่นๆ เช่น รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นฉบับเมจิ ค.ศ. ๑๘๘๙ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แบบที่ ๒ ราษฎรเป็นผู้ร่างเองทั้งหมด หรือตั้งสภาราษฎรขึ้นเพื่อร่าง (convention) เช่น รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ค.ศ. ๑๗๘๗ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แบบสุดท้าย ผู้ปกครองกับราษฎรกัน (pact) เป็นการแสดงเจตนาร่วมกันหลังการปฏิวัติ เมื่อตกลงกันได้จึงจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้น เช่น รัฐธรรมนูญของอังกฤษ ค.ศ. ๑๖๘๘ รัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๘๓๐ และรัฐธรรมนูญสยามฉบับวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ และฉบับวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. ความคิด ความรู้และอำนาจการเมืองในการปฏิวัติสยาม ๒๔๗๕. กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, หน้า ๑๓-๑๕.)</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หรือเกิดจากการพระราชทาน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางการเมืองและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางการเมือง</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ฝ่ายสนับสนุนการปฏิวัติเห็นว่ากำเนิดรัฐธรรมนูญเป็นการตกลงกันระหว่าง ๒ ฝ่าย (มีเหตุแห่งการปฏิวัติ ฝ่ายปฏิวัติชนะ และตกลงกันได้) พระมหากษัตริย์ + คณะราษฎร รัฐธรรมนูญ = พระมหากษัตริย์ + สถาบันการเมือง (กรรมการคณะราษฎร-ต่อมาเรียกคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และศาล) + ประชาชน] พระมหากษัตริย์จึงทรงมีฐานะเป็นประมุขแห่งรัฐ ทรงอยู่เหนือการเมือง ตามหลักพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะที่ละเมิดมิได้เพื่อทรงจะไม่ถูกวิจารณ์ จากผลของการกระทำนั้นโดยตรง การกระทำใดๆ ของพระมหากษัตริย์จะต้องมีผู้สนองพระบรมราชโองการเสมอ ดังนั้นการแต่งตั้งสมาชิกสภาประเภท ๒ จึงเป็นอำนาจของสถาบันการเมืองเสนอให้ทรงแต่งตั้ง สำหรับสมาชิกประเภทแรกมาจากการเลือกตั้งของประชาชน</span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แต่สำหรับฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติ (หรือพวกที่เรียกกันในเวลานั้นว่าพวก "รอยัลลิสต์") กลับเห็นว่า รัฐธรรมนูญสยามกำเนิดจากการพระราชทานจากพระมหากษัตริย์แต่ฝ่ายเดียว [(ไม่สมควรมีเหตุแห่งการปฏิวัติ (แม้จริงๆ แล้วจะมีการปฏิวัติ) เพราะจะพระราชทานอยู่แล้ว) </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">โปรดดูสาระสำคัญในร่างกฎหมายและเค้าโครงร่างการเปลี่ยนรูปรัฐบาลที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จะพระราชทานฯ ข้างต้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">พระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ = พระมหากษัตริย์ + สถาบันการเมือง + ประชาชน] พระมหากษัตริย์ต้องมีพระราชอำนาจทางการเมืองมากในลักษณะที่เท่าๆ หรือเหนือกว่ารัฐธรรมนูญ เพราะพระองค์ทรงเป็นที่มาแห่งกำเนิดรัฐธรรมนูญ เป็นที่มาแห่งอำนาจอธิปไตย ดังนั้นย่อมนำไปสู่ความเห็นว่าการแต่งตั้งสมาชิกประเภท ๒ ต้องเป็นพระราชอำนาจของกษัตริย์อย่างสมบูรณ์ และสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องมิใช่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญแบบที่พวกแรกกำหนด</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ จึงนำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อต้านการปฏิวัติ และการรื้อสร้างการปฏิวัติ ซึ่งจะกลายเป็นกระบวนการที่ยาวนานกระบวนการหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทย</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ความไม่สบพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ทรงบันทึกความรู้สึกเมื่อแรกเห็น พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามว่า "หลักการของผู้ก่อการกับหลักการของข้าพเจ้านั้น ไม่พ้องกันเสียแล้ว...ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการฉุกเฉิน...ข้าพเจ้าจึงได้ยอม ผ่อนผันไปตามความประสงค์ของคณะผู้ก่อการในครั้งนั้นก่อน ทั้งนี้ ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับหลักการเหล่านั้นเลย"<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(แถลงการณ์เรื่องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละราชสมบัติ, ๒๔๗๘, หน้า ๘๙.) และทรงเติมคำว่า "ชั่วคราว" ลงไป</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ต่อพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕ (ฉบับหลังการปฏิวัติใหม่ๆ) ในประเด็นคำเรียกขาน และการบัญญัติให้สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีเท่าๆ กับสถาบันการเมืองอื่น เช่น กรรมการคณะราษฎร สภาผู้แทนราษฎร และศาล ตลอดจนประเด็นเรื่องพระราชอำนาจ นำมาสู่การที่ทรงต่อรองกับคณะราษฎรว่า ทรงจะขอแก้ไข "เรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง" ซึ่งคณะราษฎรยินยอม หลังจากนั้นทรงเติมพระอักษรลงไปในธรรมนูญการปกครองแผ่นดินว่า "ชั่วคราว" ก่อนจะทรงลงพระปรมาภิไธย </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ยาสุกิจิ ยาตาเบ อดีตอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำสยาม (๒๔๗๑-๒๔๗๙) ผู้มีสายตาที่ละเอียดอ่อนและได้มีส่วนรับรู้เหตุการณ์ในช่วงนี้ เขาเห็นว่า การเติมคำว่า "ชั่วคราว" ลงไปของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ นี้ เป็นการแก้ไขที่สำคัญอย่างยิ่ง หากเปรียบกับธรรมนูญการปกครองแผ่นดินชั่วคราวกับรัฐธรรมนูญฉบับ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ ในประเด็นเรื่องพระเกียรติยศและพระราชอำนาจ (นอกจากนี้เขาบันทึกเกี่ยวกับการรัฐประหารด้วยการปิดสภาผู้แทนฯ (๑ เมษายน ๒๔๗๖) ในสมัยพระยามโนปกรณ์ฯ ว่า เขาทราบว่ามีการเตรียมแผนการระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ กับพระยามโนปกรณ์ฯ ในการปิดสภาผู้แทนฯ อย่างน้อย ๑ สัปดาห์ เพื่อกำจัดหลวงประดิษฐ์ฯ และพรรคพวก และเขาเห็นว่ารัฐบาลขณะนั้นโฆษณาเกินความจริงเกี่ยวกับร่างเค้าโครงการ เศรษฐกิจฯ เพื่อมุ่งประหารชีวิตทางการเมืองของหลวงประดิษฐ์ฯ และเป็นการสร้างความชอบธรรมในการรัฐประหารร่วมของพระยามโนปกรณ์ฯ กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ โปรดดูเพิ่มเติมประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจในบันทึกความทรงจำของยาสุกิจิ ยาตาเบ (เขียน) เออิจิ มูราชิมา และนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ (แปล). การปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงในประเทศสยาม. หน้า ๒๐, ๔๔-๔๕.)</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ผลแห่งการแก้ไขเรื่อง "เล็กๆ" นี้นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ ฉบับ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นฉบับที่คณะผู้ร่างเกือบทั้งหมดมาจากขุนนางระบอบเก่า ประเด็นสำคัญที่มีการแก้ไขและเพิ่มเติมคือ การใช้คำว่าพระมหากษัตริย์ การใช้คำว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี การบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะที่เคารพสักการะผู้ใดละเมิดมิได้ พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าอยู่เหนือการเมือง เป็นต้น การร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ได้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวร อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา ประเด็นเรื่องที่มาของผู้แทนราษฎรประเภทที่ ๒ อันมาจากแต่งตั้งโดยคณะราษฎรแทนที่จะเป็นพระราชอำนาจนั้นนำมาซึ่งความไม่พอ ใจเป็นอันมากในหมู่พระราชวงศ์และพวก "รอยัลลิสต์" ทั้งๆ ที่คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญเกือบทั้งหมดล้วนมาจากขุนนางระบอบเก่า และการร่างอยู่ใต้การปรึกษาอย่างใกล้ชิดกับพระองค์ทั้งสิ้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สภาวะความหวาดระแวงระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ กับคณะราษฎรนั้นดำรงมาตลอดและปรากฏชัดเจนเมื่อพระองค์ให้เจ้าพระยาวรพงศ์ พิพัฒน์ เจ้ากรมสำนักพระราชวังจัดตั้งหน่วยราชการพิเศษขึ้น โดยเลือกพโยม โรจนวิภาต ข้าราชการสำนักพระราชวังซึ่งคลุกคลีกับวงการหนังสือพิมพ์เป็น "สายลับส่วนพระองค์" ในนาม "พ.๒๗" เพื่อทำหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวของคณะราษฎรและแวดวงหนังสือพิมพ์ให้พระองค์ทรงทราบเป็นการลับโดยตรง สำหรับ "พ.๒๗" เขาเห็นว่าวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็น "วันโลกาวินาศ" <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">("อ.ก.รุ่งแสง" (พโยม โรจนวิภาต). พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้าฯ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยเกษม, หน้า ๒๒๙. (งานชิ้นนี้ พโยมเขียนเป็นตอนๆ ลงพิมพ์ครั้งแรกในฟ้าเมืองไทย ในช่วงปี ๒๕๑๓)</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">"พ.๒๗" ได้ปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี จนได้รับคำชมจากพระองค์ว่ารายงานลับของเขานั้นรู้ดี แต่ยังไม่ลึกพอ รายงานฉบับสุดท้ายของ "พ.๒๗" ก่อนการลี้ภัยของเขาก็คือ การรายงานว่า เกิดการเคลื่อนไหวของทหารที่หัวเมืองเมื่อต้นเดือนตุลาคม ๒๔๗๖ โดยมีพระองค์เจ้าบวรเดชทรงเป็นต้นคิดแผนการครั้งนี้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>เจ้านายกับการโต้ "อภิวัฒน์"</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">มูลเหตุและเบื้องหลังความไม่พอใจจนเป็นเหตุให้นำทหารจากโคราช ราชบุรี เพชรบุรี ลงมาปราบปรามคณะราษฎรเมื่อปี ๒๔๗๖ หรือการโต้ "อภิวัฒน์" นั้น เราทราบจากบันทึกสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ของ ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ซึ่งทรงบันทึกจากมุมมองของ "คนใน" และในฐานะผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่พระราชวังไกลกังวลกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และพระราชวงศ์ ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน ๒๔๗๖ ก่อนเกิดกบฏบวรเดช (๑๑ ตุลาคม ๒๔๗๖) ว่า</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ที่พระราชวังไกลกังวลนั้น มีคนพลุกพล่านมาก และส่วนใหญ่เป็นพวกคณะชาติ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">คณะชาติเป็นการรวมตัวกันทางการเมือง เหล่าขุนนางในระบอบเก่า เช่น พระยาโทณวนิกมนตรี เป็นหัวหน้า พระยาเสนาสงคราม พระยาศราภัยพิพัฒ หลวงมหาสิทธิโวหาร ธรรมนูญ เทียนเงิน และหลุย คีรีวัต เป็นกรรมการ เพื่อจดทะเบียนจัดตั้งเป็นสมาคมการเมืองแข่งกับสมาคมคณะราษฎร ในช่วงแรกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ไม่ทรงเห็นด้วยกับการเมืองแบบมีพรรคทั้งคณะราษฎรและคณะชาติ แต่หลังเกิดความพ่ายแพ้ของกบฏบวรเดช พระองค์กลับมีพระราชประสงค์ให้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นอีก โดยคณะราษฎรปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่พระองค์ทรงไม่พอพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก อันเป็นมูลเหตุหนึ่งในการยื่นคำขาดในการสละราชสมบัติในเวลาต่อมา <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(ดูเพิ่มเติมการวิเคราะห์จากบันทึกโต้ตอบระหว่างรัฐบาลกับพระองค์ และดูวิธีการต่อรองของพระองค์ได้ในการวิเคราะห์ ใน สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง. หน้า ๙-๑๙.)</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ทรงจำได้ว่าเจ้านายพระองค์หนึ่ง คือ <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">( ต้นฉบับถูกตรวจแก้ โดย ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล แต่เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าเป็นใครจากบริบทดังที่ทรงบรรยายต่อไป )</span> ทรงขับรถมุ่งตรงไปยังพระราชวังไกลกังวล เพื่อขอเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เป็นการส่วนพระองค์ ม.จ.หญิงพูนพิศสมัย ดิศกุล ทรงให้รายละเอียดด้วยว่า เจ้านายพระองค์นี้ถูกบรรดาพระราชวงศ์กล่าวหาว่าทรงเป็นผู้สนับสนุนให้ทหาร กำเริบโลภจน "เป็นขบถ" เมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ และเจ้านายพระองค์นี้ได้ทรงกล่าวว่า "อย่างไรๆ ก็ต้องแก้มืออ้ายพวกขบถนี้ให้จงได้ แม้แต่พี่น้องก็ไม่มีใครเขาดูหน้าฉันหมดแล้ว" </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล. สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น : ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๔๓, หน้า ๑๒๖. และหลวงโหมรอนราญได้บันทึกความทรงจำไว้ในชีวประวัติของข้าพเจ้า. อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันตำรวจโท หลวงโหมรอนราญ, หน้า ๔๓ ว่า พระยาศรีสิทธิสงครามเคยเล่าให้เขาฟังว่า ก่อนการปฏิวัติ ๒๔๗๕ พระองค์เจ้าบวรเดชเคยเรียกพระยาพหลฯ พระยาทรงฯ และพระยาศรีฯ ไปพบเพื่อหยั่งท่าทีถึงความเหมาะสมและวิธีในการเปลี่ยนแปลงการปกครองบ้าน เมือง พระยาศรีฯ เสนอให้ทูลขอจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ พระยาทรงฯ เสนอให้ใช้กำลังทางการทหาร แต่พระองค์เจ้าบวรเดชเห็นว่าเป็นวิธีที่รุนแรงเกินไปจึงได้คัดค้าน ตกลงกันไม่ได้เรื่องจึงเงียบไป</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เจ้านายพระองค์นี้ได้มาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตในการเปลี่ยนแปลง "การปกครองใหม่" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จะทรงไม่เห็นด้วยกับการทำเช่นนี้ เพราะทรงเห็นว่าจะเกิดข้อสงสัยต่อบทบาทของพระมหากษัตริย์ว่าต้องการพระราชอำนาจกลับคืน แต่ท้ายที่สุดพระองค์ก็มิได้ทรงห้ามปรามอีกทั้งยังพระราชทานของบางอย่างให้ ซึ่ง ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงใช้คำว่า "ให้บริสุทธิ์" </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล, ๒๕๔๓, หน้า ๑๒๖-๑๒๗. และโปรดดูเพิ่มเติมใน คำพิพากษาศาลพิเศษ พ.ศ. ๒๔๘๒, พระนคร : กรมโฆษณาการ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">และทรงบันทึกต่อไปว่า ราชสำนักได้เขียนเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท จากพระคลังข้างที่ให้เจ้านายพระองค์ที่มาปรึกษาข้อราชการที่ไกลกังวลด้วย ต่อมาไม่นานเจ้านายพระองค์นั้นก็ทรงนำกองทัพจากทางเหนือลงมา</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การยกทหารลงมา โดยเรียกตนเองว่า "คณะกู้บ้านกู้เมือง" ครั้งนี้ เป็นความพยายามครั้งแรกในการต่อต้านการปฏิวัติ เพื่อฟื้นฟูพระเกียรติและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ตลอดจนปราบปรามคณะราษฎร</span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. แผนชิงชาติไทย. ๒๕๓๗, หน้า ๒๒๖.</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">และการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ (ดังที่ ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงบันทึกถึงความในใจของพระองค์เจ้าบวรเดช) ดังความรู้สึกของหลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เสถบุตร) หนึ่งในผู้เข้าร่วม ซึ่งเห็นว่าเขาไม่พอใจรัฐธรรมนูญของคณะราษฎรโดยเฉพาะอย่างยิ่งบทเฉพาะกาล ซึ่งเขาเห็นว่าไม่เป็นประชาธิปไตย </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลวงมหาสิทธิโวหาร <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(สอ เสถบุตร). "กบฏเพื่ออะไร" ใน "ไทยน้อย". ค่ายคุมขังนักโทษการเมือง. พระนคร : โรงพิมพ์ไทยพานิช. ๒๔๘๘, หน้า ๑๙๒-๑๙๓.</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">มีความคลุมเครือที่เกิดขึ้นจากบันทึกความทรงจำและเรื่องเล่าภายหลังเหตุการณ์ซึ่งมีลักษณะเป็นการสร้างคำอธิบายใหม่ว่า การยกกองทัพมาครั้งนี้เป็นการกระทำที่เปี่ยมไปด้วยหลักการประชาธิปไตย การที่จะมุ่งสร้างประชาธิปไตยหรือไม่นั้น เราจะเข้าใจกระจ่างขึ้นหากพิจารณาจากความรู้สึกของหลวงโหมรอนราญ <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(ตุ๊ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) หนึ่งในนายทหารผู้เข้าร่วม "คณะกู้บ้านกู้เมือง" ตามที่ได้เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขา บันทึกความทรงจำนั้นเขียนขึ้นภายหลังจากเหตุการณ์นั้นหลายปี (เขาเขียนในปี ๒๔๙๒) แต่เขายังคงยืนยันความรู้สึกเมื่อครั้งนั้นอย่างแจ่มชัดว่า "[การยกทหารจากหัวเมืองมาครั้งนี้-ผู้เขียนบทความ] จะได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เหมาะสมและถวายพระราชอำนาจแก่พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว"</span></span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> หลวงโหมรอนราญ. เมื่อข้าพเจ้าก่อกบฏ. หน้า ๖๑-๖๒. อ้างใน "ร.๗ สละราชย์ : ราชสำนัก การแอนตี้คอมมิวนิสต์ และ ๑๔ ตุลา," ใน สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง. หน้า ๑๔. </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b> "กบฏ" ที่ไม่ "ขบถ"!!?</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ความเข้าใจในตนเองของ "คณะกู้บ้านกู้เมือง"<b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การเข้าใจชุดกระบวนการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากการปฏิวัติ ๒๔๗๕ กับการเผชิญหน้ากันครั้งสำคัญระหว่างฝ่ายคณะราษฎรกับฝ่ายต่อต้านนั้น การให้ความสำคัญกับการพิจารณาความคิด ความหมาย จุดยืนทางอุดมการณ์เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้เกิดความกระจ่างขึ้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สำหรับงานเขียนที่นิยามความหมายของจุดยืนทางอุดมการณ์การเมืองในเวลาใกล้เคียงนั้น ทั้ง ม.ร.ว.ทรงสุจริต นวรัตน และ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน ให้ความหมายของคำว่า "อนุรักษ์นิยม หมายถึง พวกหัวเก่าเห็นว่าวิธีการเก่าๆ ที่ใช้นั้นดีอยู่แล้ว การแก้ไขเปลี่ยนแปลงมีแต่จะได้รับผลร้าย...พวกนี้ถือคติว่า ก่อนกระโดดจงมองดูให้ดี กล่าวโดยทั่วไปแล้ว พวกนับถือราชวงศ์คือ พวกรอยัลลิสม์ (Royalism) และโมนาคิสม์ (Monarchism) นับเป็นแขนงหนึ่งของพวกคอนเซอเวตีฟ หรือจะกล่าวว่า พวกคอนเซอเวตีฟพวกหนึ่งมาจากคตินับถือราชวงศ์ก็ได้" ทั้งนี้ "คอนเซอเวตีฟพวกนี้เห็นว่ากษัตริย์ทรงคุณแก่ประเทศ จึงสมควรสนับสนุนด้วยการถวายพระราชอำนาจ ความนับถือและเทิดทูนบูชา คติรอยัลลิสม์เห็นได้ชัดเจนในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ถึงแม้เลิกใช้ลัทธิสมบูรณาญาสิทธิราชแล้ว คติรอยัลลิสม์ก็ยังมีอยู่" </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ม.ร.ว.ทรงสุจริต นวรัตน และ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน. พรรคการเมืองสยามและต่างประเทศ. พระนคร : โรงพิมพ์เจตนาผล, ๒๔๘๑, หน้า ๒๐, ๒๘.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในงานบันทึกความทรงจำมากมายหลายชิ้นของเหล่าผู้เข้าร่วมกับ "คณะกู้บ้านกู้เมือง" ซึ่งนำโดยพระองค์เจ้าบวรเดช ปี ๒๔๗๖ นั้น ไม่มีงานชิ้นใดที่บอกว่า พวกตนเป็น "ขบถ" ซึ่งก็เป็นเรื่องแน่นอนว่า ไม่มีใครยอมรับว่า การกระทำของตนไม่ถูกต้อง แต่ประเด็นที่น่าสนใจกว่าก็คือ สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาให้ความหมายกับคำนี้อย่างไรต่างหาก การพิจารณาประเด็นดังกล่าวต้องการความละเอียดอ่อนพอที่จะเข้าใจความแตกต่าง ของการให้ความหมายของคำที่ "คณะกู้บ้านกู้เมือง" ใช้เพื่อสามารถเข้าใจฐานคิด จุดยืนของอุดมการณ์การเมือง และการกล่าวอ้างถึงความชอบธรรมของฝ่ายตน ซึ่งเป็นประเด็นที่โต้แย้งกันมาตลอด ตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และการกลับมาอีกครั้งของการยืนยันตัวเองในการเป็น "นักประชาธิปไตย" และการเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ของคนเหล่านี้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">คำว่า "ขบถ" ในอักขราภิธานศรับท์ ของหมอบรัดเลย์ (พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๖) ให้ความหมายว่า "คิดจะทำร้ายเจ้าชีวิต" แต่สำหรับปทานุกรมของกรมตำรากระทรวงธรรมการ พ.ศ. ๒๔๗๐ คำว่า กบฏ คือ ความคดโกง พยศร้าย ล่อลวง ส่วนพจนานุกรมสำหรับนักเรียน ฉบับแก้ไขปรับปรุงของกรมตำรา กระทรวงธรรมการ พ.ศ. ๒๔๗๒ คำว่า กบฏ คือ ความคด ความโกง ความทรยศ การประทุษร้ายต่ออาณาจักร</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">จากความหมายข้างต้น สามารถสรุปความหมายได้ ๒ ความหมาย คือ คำว่า "ขบถ" ที่เก่าที่สุดนั้นแนวคิดสำคัญคือ การต่อต้านกษัตริย์ การคิดทำร้ายกษัตริย์ การช่วงชิงพระราชอำนาจ ซึ่งให้ความสำคัญกับบุคคลมากกว่า แต่สำหรับอีกความหมายหนึ่งซึ่งใหม่ขึ้นมาอีกนั้น จะให้ความหมายของคำดังกล่าวในเชิงนามธรรมภายใต้แนวคิดสมัยใหม่ที่มองหรือให้ความสำคัญกับคำว่าอาณาบริเวณที่หมายรวมถึงสิ่งอื่นๆ ที่ประกอบกันขึ้นมาตามแนวคิดรัฐสมัยใหม่ควบคู่มากขึ้น เช่น ดินแดน และรัฐบาล ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า คำว่า "กบฏ" มีความหมายเกี่ยวกับ การคิดคด ความโกง ความทรยศ การต่อต้านศูนย์กลางอำนาจ/รัฐบาล</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เมื่อนำ "คำ" ดังกล่าวมาพิจารณาควบคู่กับบริบททางการเมืองหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ แล้วก็จะพบว่า รัฐบาลเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความเป็นรัฐสมัยใหม่ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และมีการแบ่งแยกอำนาจ ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงใช้อำนาจอธิปไตยการบริหารแทนประชาชนโดยรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นการต่อต้านรัฐบาลคือกบฏ แต่สำหรับ "คณะกู้บ้านกู้เมือง" แล้ว อย่างน้อยพวกเขาไม่เคยยอมรับว่าพวกเขาเป็น "ขบถ" ในความหมายที่คิดร้ายต่อกษัตริย์ หรือแย่งชิงพระราชอำนาจ แต่เป็น "การเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่"</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ความเข้าใจต่อตนของพวกเขาในการยกทหารลงมา "ปราบขบถ" นั้นเป็นการต่อต้านรัฐบาล (ศูนย์กลางอำนาจ) แต่ไม่ได้ทรยศต่อพระมหากษัตริย์ ดังจะเห็นถึงตัวอย่างความรู้สึกนึกคิดของหลวงโหมรอนราญ ที่ได้บันทึกไว้ว่า "สำคัญที่สุดอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้านั้น ซื่อสัตย์กตัญญูต่อพระมหากษัตริย์และพระบรมราชจักรีวงศ์อยู่ในสายเลือด จึงเกลียดชังผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินยิ่งนัก เพราะข้าพเจ้าถือว่านี้เป็นขบถ หมิ่นหยามและอกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ จึงตั้งใจว่าถ้ามีโอกาส จะลุกขึ้นต่อสู้และปราบปรามพวกขบถเหล่านี้ให้จงได้" </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลวงโหมรอนราญ. "ชีวประวัติของข้าพเจ้า". อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันตำรวจโท หลวงโหมรอนราญ, หน้า ๔๕-๔๖. ในขณะที่รัฐบาลและฝ่ายสนับสนุนระบอบรัฐธรรมนูญ อย่างกุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้สะท้อนทัศนะต่อเหตุการณ์นี้ ว่า "ทำไมยังไม่ถึงเวลาที่จะเรียกเจ้าบวรเดชว่าอ้ายพวกกบฏ เจ้าบวรเดชกบฏต่อรัฐบาล กบฏต่อรัฐธรรมนูญ กบฏต่อมติมหาชน นี่เรายังเรียกกบฏไม่ได้อีกหรือ" ("ลาก่อนรัฐธรรมนูญ," ใน เทอดรัฐธรรมนูญ. ๒๔๗๖, หน้า ๒๘๖.)</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แม้ว่าในช่วงปลายสงคราม รัฐบาลได้ประกาศพระราชกำหนดนิรโทษกรรมฯ แล้วก็ตาม แต่หลวงโหมรอนราญยังคงมีจุดยืนความคิดที่ไม่แตกต่างไปจากเดิมที่ว่าคณะราษฎร แย่งชิงพระราชสมบัติ เขายืนยันว่า "ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินยังมีอำนาจราชศักดิ์ เป็นคณะรัฐบาลอยู่หลายคน ข้าพเจ้าไม่อยากอยู่ร่วมแผ่นดินกับพวกขบถเหล่านี้ <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">[เน้นโดยผู้เขียนบทความ]"</span></span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลวงโหมรอนราญ. อ้างแล้ว. หน้า ๔๖.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การตระหนักรู้ตนเองในการเป็นพวก "รอยัลลิสต์" นี้ แกนนำอีกคนหนึ่งในการยกกองทัพจากหัวเมืองครั้งนี้ คือพระยาศราภัยพิพัฒ ได้เล่าถึงความรู้สึกของเขาหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ไม่นานว่า เขาไม่หวาดวิตกในการมีรายชื่อที่จะถูกปลดจากราชการในฐานเป็น "พวกเจ้า" เลย แต่เขากลับเห็นว่าเป็นเรื่องน่าภูมิใจว่าเป็น "พวกเจ้า" เขาเห็นว่า สำหรับเขาแล้ว เมื่อพวกเจ้าตกอับ เขาก็พร้อมที่จะตกเหวตามไปด้วย </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">พระยาศราภัยพิพัฒ. ฝันจริงของข้าพเจ้า. พระนคร : เดลิเมล์, ๒๔๗๖, หน้า ๒-๓.</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังการปฏิวัติไม่นาน เขาถูกปลดออกจากราชการ และได้ไปทำงานที่บริษัทสยามฟรีเพรสส์ ของหลุย คีรีวัต ต่อมาเขาได้เดินทางไปปีนังเข้าเฝ้าสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต เขาเล่าว่า เมื่อเขากลับมาได้ถูกจับจ้องจากคณะราษฎรมาก จนได้รับหนังสือตักเตือนจากหลวงพิบูลสงครามและหลวงศุภชลาศัย ไม่นานหลังจากนั้น เขาได้เดินทางไปท่องเที่ยวในจีนและญี่ปุ่นและได้เขียนสารคดีท่องเที่ยว ประกอบการวิจารณ์การเมือง ทำให้เราได้ทราบความคิดทางการเมือง หรือเค้าความคิดในรัฐธรรมนูญอุดมคติของพระยาศราภัยพิพัฒ คือ เขาชื่นชมกับรัฐธรรมนูญฉบับพระราชทานของจักรพรรดิเมจิของญี่ปุ่นที่บัญญัติให้พระองค์มีพระราชอำนาจมาก</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">และเขาเห็นว่าองค์จักรพรรดิมีการเตรียมการเป็นเวลานานเพื่อให้ประชาชนมีความพร้อม เขาประเมินว่าการที่องค์จักรพรรดิมีอำนาจสูงสุดแบบเอกาธิปไตยในรัฐธรรมนูญนั้นมีความเหมาะสม เพราะพระองค์จะชี้ขาดปัญหาทั้งมวล โดยประชาชนจะรอคอยพระบรมราชโองการอย่างจงรักภักดี </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">และพระยาศราภัยพิพัฒได้ประเมินสภาพการณ์หลังการปฏิวัติว่า การปฏิวัติเป็นการนำความเสื่อมมาสู่สังคม โดยเขากล่าวถึงความเสื่อมโทรมของศีลธรรมเยาวชนว่า "จะเห็นได้จากพฤติการณ์และนิสัยเด็กหนุ่มของเราได้เสื่อมลงไปในระหว่างปีกลาย [๒๔๗๕] กับปีนี้ [๒๔๗๖] เป็นอันมาก เพราะเสรีภาพปลุกให้เขาตื่นอย่างัวเงีย"</span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การจัดวางพระราชอำนาจในรัฐธรรมนูญที่ไม่เหมาะสมหลังการปฏิวัติให้สอดคล้องตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และเหล่าพระราชวงศ์ ทำให้เกิดการสนับสนุนงบประมาณจากพระคลังข้างที่ในการยกกองทัพจากหัวเมือง เป็นเหตุให้เกิด "คณะกู้บ้านกู้เมือง" เมื่อเดือนตุลาคม ๒๔๗๖ พร้อมกับการยื่นคำขาดต่อคณะราษฎร จากความพ่ายแพ้ของการโต้ "อภิวัฒน์" นี้ ทำให้พระองค์เจ้าบวรเดชและแกนนำต้องลี้ภัยไปยังเวียดนามและสิงคโปร์ ส่วนนายทหารระดับนำเสียชีวิตในที่รบ แนวร่วมจำนวนมากถูกจับขึ้นศาล และนำไปสู่การจับกุมผู้เกี่ยวข้อง ๖๐๐ คน โดยถูกส่งฟ้องศาลพิเศษ ๓๔๖ คน ถูกตัดสินลงโทษ ๒๕๐ คน ถูกปลดจากราชการ ๑๑๗ คน </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. แผนชิงชาติไทย. หน้า ๑๘-๑๙.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในระหว่างคุมขังนักโทษทางการเมืองเหล่านี้ พวกเขาได้บันทึกความทรงจำและแต่งนิยายขึ้นจำนวนมากที่เล่าในลักษณะกลับหัว กลับหาง และภายหลังถูกนำมาเผยแพร่เมื่อได้รับการปลดปล่อย อย่างไรก็ตามบันทึกความทรงจำและนิยายเหล่านี้ ทำให้เราได้ทราบความรู้สึกนึกคิด ความคิดทางการเมืองและความเคลื่อนไหวทางการเมืองของเขาในเวลาต่อมา</span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>"น้ำเงินแท้" (True Blue)</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หนังสือพิมพ์และการกู่ก้องร้องเพลงประกาศอุดมการณ์ในแดนหก</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในระหว่างที่พวกเขาถูกคุมขังเพื่อรอการพิจารณาตัดสินจากศาลพิเศษนั้น ด้วยศรัทธาแห่งอุดมการณ์อันแรงกล้าไม่อาจทำให้แนวหลักและแนวร่วมของ "คณะกู้บ้านกู้เมือง" นี้สิ้นหวัง แต่ยังคงเคลื่อนไหวต่อไปโดยผ่านการออกหนังสือพิมพ์แสดงอุดมการณ์ของกลุ่มตน ในนาม "น้ำเงินแท้" ในเรือนจำ ในนิยายกึ่งชีวประวัติของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ร.ท.ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน. (๒๔๕๑-๒๔๙๒) อดีตนายทหารอากาศ ถูกจับฐานร่วมมือกับกบฏบวรเดช ภายหลังได้รับการปล่อยตัวและถูกจับซ้ำอีกฐานสมคบกันโค่นล้มรัฐบาลเมื่อปี ๒๔๘๑ ถูกส่งตัวไปกักขังที่เกาะตะรุเตาและเกาะเต่า หลังสงครามได้รับการปลดปล่อย มีงานเขียนที่เกี่ยวกับนิยายชีวประวัติหลายเล่ม เช่น ฝันจริงของนักอุดมคติ และรอยร้าวของมรกต เล่มที่มีชื่อเสียงคือฝันจริงของนักอุดมคติ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองนิมิตร ถูกพิมพ์ซ้ำหลายครั้งและเขากลายเป็นวีรบุรุษเสรีนิยม นักต้านเผด็จการ และนักประชาธิปไตย ในสายตาของนักศึกษาในช่วงการโค่นล้มรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เรื่องเมืองนิมิตร ได้บันทึกถึงกำเนิดของหนังสือพิมพ์นี้ว่า ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ เป็นผู้เสนอทำหนังสือพิมพ์ขึ้นก่อนเพื่อเผยแพร่ข่าวสารให้พรรคพวกทราบ โดยหนังสือพิมพ์นี้เป็นหนังสือพิมพ์ที่เขียนด้วยมือของ ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ ลงบนกระดาษสมุด ภายหลัง ม.ร.ว.นิมิตรมงคลได้เปลี่ยนวัตถุประสงค์หนังสือพิมพ์เพื่อใช้เป็นตำราการเมือง เป็นหนังสือพิมพ์ชื่อ "น้ำเงินแท้" ขึ้นแทน มีลักษณะเป็นสมุดปกแข็ง หุ้มด้วยกระดาษแก้ว การผลิตหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้รับความร่วมมือร่วมใจจากเหล่านักโทษการเมืองมาก ตั้งแต่การเขียนภาพปก ภาพหัวเรื่อง โดย เพรา พวงนาค, เติม พลวิเศษ และแปลก ยุวนวรรธนะ สำหรับนักเขียนประจำใน "น้ำเงินแท้" มีเช่น หลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เสถบุตร), พระยาศราภัยพิพัฒ, พระศรีสุทัศน์, หลุย คีรีวัต, ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ และ "แม่น้ำโขง" (อ่ำ บุญไทย) เป็นต้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การเผยแพร่หนังสือพิมพ์นี้ ชาว "น้ำเงินแท้" ใช้วิธีการซุกซ่อนใต้กระถางต้นไม้ บนหลังคาห้องน้ำ บ่อขยะ เพื่อสื่อสารระหว่างกัน ทั้งที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่เรือนจำได้ตรวจตราเป็นอย่างมากก็ไม่อาจจับได้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ความมุ่งมั่นในการออก "น้ำเงินแท้" นี้ดำเนินต่อไปได้ถึง ๑๗ ฉบับ ความพยายามในการเผยแพร่อุดมการณ์ไม่จำกัดแต่เพียงในแดนหกเท่านั้น แต่ชาว "น้ำเงินแท้" ยังพยายามเผยแพร่หนังสือนี้ออกสู่ภายนอกด้วยวิธีการผูกสมุดแนบกับตัวหรือ ท่อนขาของญาติที่มาเยี่ยม หรือฝากให้เมื่อพบกันที่ศาล </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน. เมืองนิมิตรและชีวิตแห่งการกบฏสองครั้ง. พระนคร : อักษรสัมพันธ์, ๒๕๑๓, หน้า ๓๒๔-๓๓๐. และชุลี สารนุสิต. แดนหก. พระนคร : โรงพิมพ์สมรรถภาพ, ๒๔๘๘, หน้า ๒๖๗.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">บทความที่ลงใน "น้ำเงินแท้" นั้นในสายตาของชุลี สารนุสิต ชาว "น้ำเงินแท้" คนหนึ่งแล้ว เห็นว่าเป็นบทความที่ดุเดือดที่เขียนจาก "ปากกาที่เผาด้วยเพลิง" มีทั้งบทความที่วิพากษ์วิจารณ์แห่งรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๗๕ และของต่างประเทศ และความเห็นเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ การศึกษา เป็นต้น </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ชุลี สารนุสิต.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อย่างไรก็ตามหากลองพิจารณาบันทึกความทรงจำที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและอุดมการณ์ การเมืองของชาว "น้ำเงินแท้" ที่เผยแพร่ออกมาในช่วงบรรยากาศเปิดทางการเมืองหลัง ๒๔๘๘ แล้ว เราอาจจะเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของพวกเขา ดังนี้ ชุลี สารนุสิต ได้บันทึกความทรงจำถึงความหมายของ "น้ำเงินแท้" ในแดนหกว่า "น้ำเงินแท้" สามารถตีความได้ ๒ แบบ คือ สีของชุดนักโทษ หรือสีน้ำเงินในธงชาติ เขาเห็นว่าถูกทั้งสองความหมาย แต่เขาได้ย้ำเป็นพิเศษว่า สำหรับเขาแล้ว สีน้ำเงิน คือ "สีที่บริสุทธิ์ และเป็นธงชัยแห่งความหวัง"</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ไม่แต่เพียงความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักโทษทางการเมืองเหล่านี้ด้วยการออกหนังสือพิมพ์เท่านั้น แต่ยังมีการแต่งเพลงร้องปลุกใจในพวกพ้องด้วย โดย ม.จ.สิทธิพร กฤดากร ได้ทรงแต่งเพลง "น้ำเงินแท้" หรือ "True Blue" ขึ้น</span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หม่อมเจ้าสิทธิพรได้แต่งเป็นภาษาอังกฤษ โดยใช้ทำนองเพลง "You Too" ว่า</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">We"ve been in prison for over three years,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">But there"s no reason for living in fear,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">We"re bright and merry, "cause we"re</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Not very sad at being here for merely.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Doing our duty to Country and King,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">So let be cheery make the well kin"ring,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Long live the King, We say Hoo-ray and sing,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">We hope to go home pretty soon, Yes, we do.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">You too, You too.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Back to Wives and Sweethearts, also true, To you,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Let"s say that we vow all of us to remain,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">True Blue, And pray,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">That our King be with us all life through,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Chai-Yo, "True Blue".</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(ความทรงจำของชุลี, เพิ่งอ้าง, หน้า ๒๖๙-๒๗๐. เน้นโดยผู้เขียนบทความ)</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ชุลีเล่าเสริมว่าเพลงนี้ได้แพร่หลายไปในหมู่นักโทษการเมืองอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพรรคพวกที่เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษก็ยังร้องได้ เขาย้ำว่าเป็นเพราะว่าเพลง "True Blue" คือ "น้ำเงินแท้" นั่นเอง แม้ว่าภายหลังเจ้าหน้าที่เรือนจำเข้มงวดมากขึ้นจนทำให้ต้องยุติการออกหนังสือพิมพ์ แต่พลังของความหมายของ "น้ำเงินแท้" ไม่จบสิ้นลงในฐานะหนังสือพิมพ์เท่านั้น แต่บทเพลงแห่งอุดมการณ์ยังคงกึกก้องในหัวใจ ชุลีได้สรุปว่า "หนังสือน้ำเงินแท้ได้สิ้นลมปราณลงแล้ว เพราะความระมัดระวังตัวของพวกเรา แต่บทเพลงน้ำเงินแท้ยังคงชีพอยู่และก้องอยู่ในจิตต์ใจของนักโทษการเมืองทุกคน"</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังจากถูกตัดสินลงโทษแล้ว ทั้งนักโทษการเมืองในกรณีกบฏบวรเดช ๒๔๗๖ และนักโทษในกรณีอื่นๆ เช่น การลอบสังหารหลวงพิบูลสงครามและการโค่นล้มรัฐบาล ได้ถูกส่งตัวไปกักขังที่เกาะตะรุเตาและเกาะเต่า อันเป็นที่มาของประสบการณ์ที่ชาว "น้ำเงินแท้" และนักโทษการเมืองอื่นๆ ได้ใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนสารคดีการเมืองทยอยออกมาเป็นชุดหลังสงครามโลก ครั้งที่ ๒ ทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือในรูปหนังสือสารคดีการเมืองเล่มเล็กๆ ที่เป็นอันนิยมขณะนั้น โดยโครงเรื่องส่วนใหญ่เป็นการเล่าถึงความยากลำบาก ความทุกข์ทรมานในขณะถูกจำคุกด้วยน้ำมือของคณะราษฎรที่พวกเขากล่าวหาว่า "ไม่เป็นประชาธิปไตย" และ "เป็นคณาธิปไตย" ทางการปกครอง ตลอดจน "อยุติธรรม" ในการกวาดจับพวกเขา</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การฟื้นชีพของชาว "น้ำเงินแท้"</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">กับการเปิดกว้างทางการเมืองหลังสงคราม<b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในช่วงปี ๒๔๘๘ ปลายสงคราม โครงสร้างทางการเมืองของไทยเปิดเอื้อให้กับการกลับมาเคลื่อนไหวต่อต้านคณะราษฎรอีกครั้ง บรรยากาศในช่วงนั้นเป็นการพยายามประนีประนอมกับกลุ่มต่างๆ มากขึ้น รัฐบาลหลวงโกวิท อภัยวงศ์ (ควง อภัยวงศ์) ได้ประกาศพระราชกำหนดการนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดฐานกบฏและจลาจล ๒๔๘๘ ซึ่งมีสาระว่าผู้ที่ได้กระทำความผิดทางการเมือง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลพิเศษ ทั้ง ๓ ครั้ง เมื่อ ๒๔๗๖, ๒๔๗๘ และ ๒๔๘๑ ทั้งที่ได้รับการตัดสินแล้ว หรือหลบหนี ให้ได้รับการนิรโทษกรรมให้พ้นผิด พระราชกำหนดฉบับนี้ มีผลในการเปิดโอกาสให้ชาว "น้ำเงินแท้" และนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับคณะราษฎรสามารถกลับยังประเทศและเข้าสู่วงการเมืองได้อีกครั้ง การกลับมาครั้งนี้พวกเขาได้กลับเข้าเล่นบทปัญญาชน ในการพูด เขียน วิพากษ์วิจารณ์ ตลอดจนลงสมัครรับเลือกตั้ง </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">รายงานการวิจัยเรื่องแนวความคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี. ๒๕๔๔, หน้า ๑๒-๑๕.</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การได้รับการปลดปล่อย การได้รับคืนฐานันดร บรรดาศักดิ์ และยศ จากการนิรโทษกรรมของอดีตนักการเมืองชาว "น้ำเงินแท้" ที่เคยต่อต้านการปฏิวัติและคณะราษฎรในหลายกรณี ได้ทยอยกลับมาจากต่างประเทศ เช่น พลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา-อดีตแม่ทัพในระบอบเก่า), น.อ.พระยาศราภัยพิพัฒ (เลื่อน ศราภัยวานิช-อดีตนายเวรวิเศษ-เลขาประจำตัวของเสนาบดีกระทรวงทหารเรือในยุค สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต), พระยาสุรพันธเสนี (อิ้น บุนนาค-อดีตสมุหเทศาภิบาล เมืองเพชรบุรี ราชบุรี), หลุย คีรีวัต (เจ้าของบริษัท สยามฟรีเพรสส์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพเดลิเมล์), ร.อ.หลวงโหมรอนราญ (ตุ๊ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) บางส่วนได้รับการปลดปล่อย เช่น หลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เสถบุตร-อดีตเลขาธิการกรมราชเลขาธิการ), ร.ท.ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน, ร.ท.ขุนโรจนวิชัย (พายัพ โรจนวิภาต), ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์, ดร.โชติ คุ้มพันธุ์ และชุลี สารนุสิต เป็นต้น และที่ได้รับการคืนฐานันดร เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร, พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นต้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การกลับมาครั้งนี้ เหล่าชาว "น้ำเงินแท้" หลายคนได้เล่นบทเป็นนักคิดนักเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์การเมืองลงหนังสือพิมพ์ ต่อมางานเขียนเหล่านี้บางส่วนถูกรวมพิมพ์เป็นเล่มหรือรวมพิมพ์ประกอบกัน เช่น พระยาเทพหัสดิน เขียนจดหมายจากพลโท พระยาเทพหัสดิน (๒๔๘๘) หลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เสถบุตร) เขียนกบฏเพื่ออะไร (๒๔๘๘) ชุลี สารนุสิต เขียนแดนหก (๒๔๘๘) ดร.โชติ คุ้มพันธุ์ เขียน ๑๑ ปีในชีวิตการเมือง พายัพ โรจนวิภาต เขียนยุคทมิฬ (๒๔๘๙) ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน เขียนความฝันของนักอุดมคติ (๒๔๙๑) หลวงโหมรอนราญ (ตุ๊ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) เขียนเมื่อข้าพเจ้าก่อกบฏ (๒๔๙๑) หลุย คีรีวัต เขียนประชาธิปไตย ๑๗ ปี (๒๔๙๓) เป็นต้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ประวัติของหลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เสถบุตร, ๒๔๔๖-๒๕๑๓) นั้น เคยรับราชการเป็นเจ้ากรมกองเลขานุการองคมนตรี กรมราชเลขาธิการในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จนได้รับตำแหน่งเป็นเสวกโท หลวงมหาสิทธิโวหาร ต่อมาถูกจับในฐานร่วมกันกบฏในพระราชอาณาจักร เมื่อปี ๒๔๗๖ ภายหลังสงครามได้รับการปล่อยตัว งานเขียนจำนวนมากของเขาส่วนใหญ่เป็นการสอนภาษาอังกฤษ มีงานน้อยชิ้นที่เขาเขียนเกี่ยวกับการเมือง แต่สำหรับบทความเรื่อง "กบฏเพื่ออะไร" นี้ เขาได้ให้เหตุผลในการเข้าร่วมกับ "คณะกู้บ้านกู้เมือง" ว่า เขาไม่พอใจในรัฐธรรมนูญที่ "ไม่เป็นประชาธิปไตย" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทเฉพาะกาล เนื่องจากถวายพระราชอำนาจน้อยเกินไป ไม่เป็นประชาธิปไตยและรัฐบาลเป็น "คณาธิปไตย"</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดในบทบาทความร่วมมือของเขา นอกจากติดหลังแหจากกวาดจับโดยคณะราษฎร (สอ เสถบุตร. "กบฏเพื่ออะไร," ใน "ไทยน้อย". ค่ายคุมขังนักโทษการเมือง. พระนคร : โรงพิมพ์ไทยพานิช, ๒๔๘๘, หน้า ๑๙๑-๑๙๖.) แต่ในประวัติของเขา เขียนโดยพิมพ์วัลคุ์ ภรรยาของเขาที่เขียนขึ้นหลังจากนั้นหลายสิบปีว่า เหตุผลในการเข้าร่วมของสามี คือ เขาหวังว่าจะได้การแต่งตั้งเป็นพระยาศรีสุนทรโวหารในไม่ช้า แต่การปฏิวัติ ๒๔๗๕ ได้เกิดขึ้นก่อน อนาคตของเขาที่รุ่งโรจน์ดับวูบลง เขาจึงได้ร่วมมือกับพระองค์เจ้าบวรเดช ตามคำชักชวนของหลุย คีรีวัต อย่างไม่ลังเล ด้วยการแปลคำใบปลิวแถลงการณ์ข้อเรียกร้องของคณะกู้บ้านกู้เมืองเป็นภาษาอังกฤษและลงมือโรเนียวด้วยตนเองในเรือพร้อมหลุยและพระยาศราภัยพิพัฒ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังจากการพ้นโทษแล้ว เขามีแผนการรวมกลุ่มเป็นการเมืองกับชาว "น้ำเงินแท้" และเจ้านักการเมือง ต่อมาได้ตั้งพรรคก้าวหน้าร่วมกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และได้ผนวกรวมเป็นพรรคประชาธิปัตย์ในเวลาต่อมา<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> (พิมพ์วัลคุ์ เสถบุตร, ๒๕๓๗, หน้า ๑๑๗, ๑๘๕, ๑๙๖.)</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังการรัฐประหาร ๒๔๙๐ เขาเป็นหัวหอกผู้หนึ่งในการนำข้อเรียกร้องที่ล้มเหลวของ "คณะกู้บ้านกู้เมือง" -ชาว "น้ำเงินแท้" เมื่อปี ๒๔๗๖ กลับมาใหม่เพื่อสร้าง "ประชาธิปไตย" ตามแบบฉบับของพวกเขา ด้วยถวายพระราชอำนาจคืนพระมหากษัตริย์ <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(ดูบันทึกของเขาที่เขียนลงศรีกรุง ฉบับวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ สาระคือ เขาต้องการการเลือกสมาชิกวุฒิสภาเป็นพระราชอำนาจโดยสมบูรณ์ ปลอดจากการทัดทานจากสถาบันการเมืองอื่นตามรัฐธรรมนูญ) สำหรับ พิมพ์วัลคุ์ ภรรยาของเขาเป็นบุตรสาวของพโยม โรจนวิภาต อดีตสายลับส่วนพระองค์ รหัส พ.๒๗ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่ทรงใช้สืบข่าวความเคลื่อนไหวทางการเมืองของคณะราษฎรหลังการปฏิวัติ</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หน้ากระดาษอันเปิดกว้างที่สะดวกในการ "รื้อ" ความชอบธรรมของคณะราษฎรด้วยการโจมตีคณะราษฎรว่าไม่มีความเป็นธรรมในการจับกุม หรือจับกุมตัวผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง/"จับแพะ" นั้นแพร่หลายอย่างมากในวรรณกรรมลักษณะ "ร้องแรกแหกกระเชอ" ของชาว "น้ำเงินแท้" พร้อมการปฏิเสธเสียงแข็งถึงความเกี่ยวข้องกับการกบฏ อย่างไรก็ตามหากเราติดตามงานของชาว "น้ำเงินแท้" ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เมื่อสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป กล่าวคือ เมื่อคณะราษฎรสิ้นอำนาจในขณะที่พวก "รอยัลลิสต์" และทหารนิยมเถลิงอำนาจ เราจะพบว่า แกนนำเหล่านี้ล้วนยอมรับในภายหลังอย่างภาคภูมิว่า พวกเขาล้วนมีส่วนในความร่วมมือต่อต้านคณะราษฎรไม่มากก็น้อย</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การเคลื่อนพลลงสนามการเมืองของเหล่านักการเมือง "น้ำเงินแท้" อย่างเป็นทางการ เริ่มจากการลงสมัครรับเลือกตั้งปี ๒๔๘๘ และการจัดตั้งพรรคการเมืองปี ๒๔๘๙ โดยเริ่มต้นที่โชติ คุ้มพันธุ์ ที่ลงสมัครอิสระ (ภายหลังสังกัดพรรคประชาธิปไตย) ได้รับชัยชนะเหนือทองเปลว ชลภูมิ จากความช่วยเหลือของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (ต่อมาเป็นหัวหน้าพรรคก้าวหน้า ที่มีนโยบายสำคัญคือ นโยบายต่อต้านคณะราษฎร) และการผนวกตัวกันระหว่างกลุ่มหลวงโกวิทฯ อดีตนายกรัฐมนตรี กับกลุ่มพรรคประชาธิปไตย และพรรคก้าวหน้ากลายเป็นพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีหลวงโกวิทฯ ( ควง อภัยวงศ์ )เป็นหัวหน้าพรรค และ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นรองหัวหน้าพรรคนั้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายค้านขนาดใหญ่ต่อพรรคสหชีพและพรรคแนวรัฐธรรมนูญของรัฐบาลซึ่งขณะนั้นหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ในสมัยรัฐบาลหลวงประดิษฐ์ฯ ได้เสนอให้แก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญโดยให้คณะกรรมการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรได้ดำเนินการยกร่างแก้ไข และได้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๘๙ ในปีเดียวกันนั้นเอง ได้เกิดวิกฤตการณ์การเมือง เนื่องจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลด้วย "การต้องพระแสงปืน" นำไปสู่วิกฤตการณ์การเมือง รัฐบาลหลวงประดิษฐ์ฯ ขอลาออก รัฐบาลใหม่ของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ถูกโจมตีอย่างหนักจากนักการเมืองฝ่ายค้าน จนนำไปสู่การเผชิญมรสุมจากการรัฐประหาร เมื่อ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>กำเนิด "ระบอบสีน้ำเงิน"การรุกคืบทางรัฐธรรมนูญกับการรื้อฟื้นพระราชอำนาจหลัง ๒๔๙๐ </b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การเกาะกลุ่มของชาว "น้ำเงินแท้" กับพันธมิตรแนวร่วมนั้น มีผลกระทบอย่างมากต่อเสถียรภาพทางการเมืองที่เปิด ท่ามกลางความพยายามประนีประนอมของรัฐบาลหลังสงครามกับรอยฝังจำของเหล่านัก โทษการเมือง ความระส่ำระสายทางการเมืองจากการบริหารประเทศหลังภาวะสงครามและเหตุการณ์ไม่ คาดฝันจากกรณีสวรรคต นำไปสู่การรัฐประหารที่ได้รับความร่วมมือจากชาว "น้ำเงินแท้" ในการโค่นล้มรัฐบาลเสรีไทย และนำไปสู่การกวาดล้างกลุ่มหลวงประดิษฐ์ฯ พร้อมกับได้แขวนข้อกล่าวหาฝากติดตัวให้ด้วย ในระยะเวลานี้ เกิดการปรากฏตัวอย่างสำคัญของพวก "รอยัลลิสต์" ที่เข้มแข็งอย่างไม่เคยมีมาก่อนหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕<b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การผนึกกำลังร่วมกับคณะรัฐประหารในครั้งนี้มีผลสะท้อนให้สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๐ เปลี่ยนแปลงจากหลักการหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ กลายเป็นรัฐธรรมนูญที่ถวายพระราชอำนาจให้พระมหากษัตริย์เป็นอย่างมาก ดังมีลักษณะ [พระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ = พระมหากษัตริย์ + (สถาบันการเมือง) + ประชาชน] เช่น ถวายพระราชอำนาจให้พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหาร (มาตรา ๗๔, ๗๕, ๗๗) ซึ่งกำหนดให้พระองค์มีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และมีพระราชอำนาจในการปลดนายกรัฐมนตรี (มาตรา ๗๘) โดยให้ประธานอภิรัฐมนตรีเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ โดยอภิรัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งโดยพระราชอำนาจ (มาตรา ๙)</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อีกทั้งพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการเพิกถอนรัฐมนตรีได้ด้วยพระบรมราชโองการ (มาตรา ๗๙) และมีพระราชอำนาจในการเลือกวุฒิสภา (มาตรา ๓๓) พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการตราพระราชบัญญัติในกรณีฉุกเฉินและกรณีการเงิน (มาตรา ๘๐, ๘๑) เป็นต้น ดังนั้นในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ส่งผลให้ปราศจากผู้สนองพระบรมราชโองการ และขัดต่อหลักพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะที่ละเมิดมิได้ โดยสรุปแล้วรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถวายพระราชอำนาจให้พระมหากษัตริย์มากและมีการรื้อฟื้นองค์กรในระบอบเก่ากลับมา คือการรื้อฟื้นอภิรัฐมนตรีสภา เป็นต้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ด้วยสาระสำคัญของพระราชอำนาจ "ตาม" รัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๐ ของคณะรัฐประหารที่ปรากฏเช่นนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หนึ่งในผู้สำเร็จราชการแผ่นดินฯ ได้ทรงลงพระนามประกาศแต่เพียงคนเดียว ในขณะที่พระยามานวราชเสวี ไม่ยอมลงนาม อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกตีความให้มีผลทางกฎหมาย ทั้งนี้ บุคคลที่เชื่อมคณะรัฐประหารให้เข้าพบสมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร คือ ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ซึ่งต่อมาคณะรัฐประหารได้แต่งตั้งให้เป็นตัวแทนไปกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ณ เมืองโลซาน สวิตเซอร์แลนด์</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังการรัฐประหาร หลวงโกวิทฯ ( ควง อภัยวงศ์ ) ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี สำหรับคณะรัฐมนตรีชุดนี้ มีเหล่าเชื้อพระวงศ์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายคน เช่น หม่อมเจ้าวิวัฒน์ไชย ไชยันต์, ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และ ม.ล.เดช สนิทวงศ์ ส่วนขุนนางในระบอบเก่ามี เช่น พระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล) รวมทั้งอดีตนักโทษการเมือง เช่น ม.จ.สิทธิพร กฤดากร, พระยาศราภัยพิพัฒ (เลื่อน ศราภัยวานิช) เป็นต้น นับว่าคณะรัฐมนตรีชุดนี้ประกอบด้วยเชื้อพระวงศ์ ขุนนางระบอบเก่า และชาว "น้ำเงินแท้" มากอย่างไม่เคยมีปรากฏมาก่อน</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แม้ว่าชาว "น้ำเงินแท้" หลายคนได้ลงเล่นการเมือง แต่ส่วนที่เหลือยังคงดำเนินการทางการเมือง "รื้อ" คณะราษฎรลงหน้าหนังสือพิมพ์ในรูปสารคดีการเมือง บันทึกความทรงจำในเชิงลบต่อไปอีก ทั้งบางคนทำหน้าที่ทั้ง ๒ ด้านควบคู่กันไปใน "การรื้อสร้าง" พร้อมๆ กับสร้างการผนึกตัวระหว่างชาว "น้ำเงินแท้" กับนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้ นักการเมืองชาว "น้ำเงินแท้", เชื้อพระวงศ์ที่มาเป็นนักการเมือง นักการเมืองนิยมเจ้าได้เคลื่อนพลลงสนามการเมืองในช่วง ๒๔๘๙-๒๔๙๕ ดังปรากฏ เช่น ดร.โชติ คุ้มพันธุ์ (๒๔๘๙), ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (๒๔๘๙, ๒๔๙๑), ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (๒๔๘๙, ๒๔๙๑), พระยาศรีวิสารวาจา (๒๔๘๙), หลวงมหาสิทธิโวหาร (๒๔๘๙), พระยาศราภัยพิพัฒ (๒๔๘๙), ไถง สุวรรณทัต (๒๔๙๑, ๒๔๙๕), ม.จ.สิทธิพร กฤดากร (๒๔๙๑)๔๔ เป็นต้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นับแต่รัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๐ และ ๒๔๙๒ นั้น ได้มีการบัญญัติมาตราที่เกี่ยวกับอภิรัฐมนตรี ซึ่งต่อมากลายเป็นองคมนตรี โดยบัญญัติให้เป็นพระราชอำนาจในการเลือกและแต่งตั้งอย่างอิสระปลอดจากการทัดทานอำนาจของสถาบันการเมืองอื่นที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามหลักประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน เช่น ฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ สำหรับสาระสำคัญในรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๒ คือ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การกำหนดองคมนตรีแทนอภิรัฐมนตรี โดยมีพระราชอำนาจในการเลือกและแต่งตั้ง และให้พ้นตำแหน่งไปตามพระราชอัธยาศัย (มาตรา ๑๓, ๑๔) รัฐธรรมนูญฉบับนี้เนื่องจากผู้ร่างส่วนใหญ่มีแนวคิดอนุรักษนิยมจึงได้บัญญัติถวายพระราชอำนาจที่สำคัญหลายกรณี เช่น การเลือกและแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาโดยมีประธานองคมนตรีเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ (มาตรา ๘๒) เนื่องจากผู้ร่างต้องการให้วุฒิสภาเป็นตัวแทนพระมหากษัตริย์ การบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (มาตรา ๑๒) นอกจากนี้ผู้ร่างต้องการให้เป็นอำนาจ "ส่วนพระองค์โดยแท้" จึงบัญญัติให้ประธานองคมนตรีหรือองคมนตรีเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ เป็นต้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพระราชอำนาจที่ทรงมีเพิ่มขึ้นตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๐, ๒๔๙๒ หากเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๗๕, ๒๔๘๙ ในหลายกรณีเป็นประเด็นที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น บทบัญญัติที่ถวายพระราชอำนาจให้เพิ่มขึ้น การรื้อฟื้นอภิรัฐมนตรีซึ่งเคยถูกตั้งในสมัยระบอบเก่าและถูกเลิกไปเมื่อเกิด การปฏิวัติ ต่อมากลายเป็นองคมนตรีซึ่งเป็นพระราชอำนาจในการเลือก แต่งตั้ง และถอดถอนอย่างอิสระ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การบัญญัติให้เป็นพระราชอำนาจในการสถาปนาฐานันดรศักดิ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ การบัญญัติให้ทรงมีอำนาจในทางการเมือง เช่น การแต่งตั้ง ถอดถอนนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี การเลือก การแต่งตั้งวุฒิสภาโดยมีประธานองคมนตรีซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระราชอำนาจ เป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ เป็นต้น แม้หลายประเด็นในฉบับ ๒๔๙๐ จะถูกเลิกไป เนื่องจากพัฒนาการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่แล้วก็ตาม แต่หลายประเด็นจากฉบับ ๒๔๙๐ และ ๒๔๙๒ ยังได้รับการสืบต่อมา</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อย่างไรก็ตามยังมีความน่าสังเกตอีก หากเราตีความการพยายามกำจัด/ลดทอนพลังของคณะราษฎร เช่น บทบาทของกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ที่ทรงลงพระนามเพียงคนเดียวอย่างรวดเร็วเพื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๐ ทันทีที่คณะรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลหลวงธำรงฯ และกวาดล้างกลุ่มคณะราษฎรพลเรือนและกลุ่มหลวงประดิษฐ์ฯ ออกไปสำเร็จ แต่หลังจากได้มีการแต่งตั้งหลวงโกวิทฯ เป็นนายกฯ แล้ว ได้ปรากฏว่าพระยาศรีวิสารวาจาได้มาแจ้งกับจอมพล ป. ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร ว่า จอมพล ป. มีภาพลักษณ์ไม่ดี ดังนั้นต่างประเทศจึงไม่รับรองรัฐบาลหลวงโกวิทฯ เพื่อให้จอมพล ป. ลาออก แต่หลวงกาจสงครามไม่เห็นด้วยและขอร้องให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หากวิเคราะห์ในแง่หนึ่งพบว่าอาจเป็นการเดินเกมกำจัดจอมพล ป. สมาชิกคณะราษฎรที่มีอำนาจขณะนั้น ให้พ้นจากอำนาจ (คงเหลือแต่เพียงหลวงโกวิทฯ ที่โน้มเอียงมาทางพวก "รอยัลลิสต์") ในทางกลับกันประเด็นเกี่ยวกับขนาดของพระราชอำนาจที่ลดลงในรัฐธรรมนูญ ก็เป็นเหตุให้เกิดความยากในการลงพระนามของผู้สำเร็จราชการฯ ในการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ดังเช่น เมื่อจอมพล ป. พยายามนำรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๗๕ มาใช้เป็นรัฐธรรมนูญ ฉบับ ๒๔๙๔ แต่พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร (พระองค์เจ้าธานีนิวัต) ผู้สำเร็จราชการฯ ขณะนั้นกลับทรงไม่ยอมลงพระนาม</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อย่างไรก็ตามสำหรับในสายตาของกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ซึ่งต่อมาภายหลังได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรี ได้ทรงเปรียบเทียบเหตุการณ์การปฏิวัติ ๒๔๗๕ กับการรัฐประหาร ๒๔๙๐ ว่า เหตุการณ์แรกนำมาซึ่งความมืดมนอนธการ ในขณะที่เหตุการณ์หลังนั้นนำมาซึ่งรุ่งอรุณแห่ง "แสงเงินแสงทอง" และพระองค์ทรงเรียกขานสภาวะการเมืองหลังการรัฐประหาร ๒๔๙๐ โดยทรงใช้คำว่า "วันใหม่ของชาติ"</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>๒๔๙๐ "วันใหม่ของชาติ" เจตนารมณ์สืบเนื่องและพันธมิตรแนวร่วมชาว "น้ำเงินแท้" กับการรื้อสร้าง ๒๔๗๕</b><br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การพิจารณากลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองหลังสงครามโลกนี้ เราสามารถจำแนกแยกแยะกลุ่มพันธมิตรแนวร่วมชาว "น้ำเงินแท้" ได้เป็น ๓ กลุ่ม คือ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">กลุ่มแรก เป็นอดีตนักโทษทางการเมืองในกรณีกบฏบวรเดช ๒๔๗๖ และการพยายามโค่นล้มรัฐบาล ๒๔๘๑ ทั้งที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ข้าราชสำนัก ขุนนางในระบอบเก่า<br /><br />กลุ่มที่ ๒ คือ กลุ่มนักการเมืองฝ่ายนิยมระบอบเก่า ซึ่งเป็นกลุ่มที่อุบัติขึ้นหลังสงครามโลก เช่น หลวงโกวิทฯ (นายควง อภัยวงศ์), ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และต่อมาเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๘๙ ได้เปิดโอกาสให้เชื้อพระวงศ์ตั้งแต่หม่อมเจ้ามีตำแหน่งทางการเมืองได้ ทำให้เชื้อพระวงศ์หลายคนเข้ามาเป็นนักการเมืองและรัฐมนตรี เช่น ม.จ.วิวัฒน์ไชย ไชยันต์, ม.จ.สิทธิพร กฤดากร<br /><br />และกลุ่มที่ ๓ คือ กลุ่มนักหนังสือพิมพ์/นักเขียนสารคดีทางการเมือง เช่น "ไทยน้อย" (เสลา เรขะรุจิ), "เกียรติ" (สละ ลิขิตกุล-สังกัดค่ายสยามรัฐ) (๒๔๙๓), "ฟรีเพรสส์" (๒๔๙๓), จรูญ กุวานนท์ (๒๔๙๓), วิชัย ประสังสิต (๒๔๙๒) ทั้งนี้นักหนังสือพิมพ์บางคนมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับชาว "น้ำเงินแท้" เช่น "ไทยน้อย" และชาว "น้ำเงินแท้" บางคนเป็นนักหนังสือพิมพ์ด้วย เช่น พระยาศราภัยพิพัฒ, หลวงมหาสิทธิโวหาร และหลุย คีรีวัต เป็นต้น<br /><br />กลุ่มแรก คืออดีตนักโทษการเมือง ซึ่งเคยต่อต้านการปฏิวัติและคณะราษฎรนั้น ในช่วงเวลานี้แกนนำของพวกเขาได้มีบทบาทในทางการเมืองและเล่นบทปัญญาชนรื้อสร้างการปฏิวัติ ๒๔๗๕ เช่น น.อ.พระยาศราภัยพิพัฒ สำหรับงานชิ้นแรกของเขา คือชีวิตของประเทศ ตีพิมพ์หลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ (เป็นการรวมบทความที่เขียนลงในหนังสือพิมพ์ในช่วงระบอบเก่ามาพิมพ์ใหม่) ต่อมาเขียนสารคดีท่องเที่ยวผนวกวิจารณ์การเมือง ชื่อฝันจริงของข้าพเจ้า และถูกจับฐานก่อการกบฏเมื่อปี ๒๔๗๖ ต่อมาในปี ๒๔๘๘ หลังได้รับการนิรโทษกรรม เขาเดินทางกลับมาไทยทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักเขียนสารคดีและบทความทางการเมืองลงในหนังสือพิมพ์แนวหน้า และหนังสือพิมพ์อัจฉริยะ โดยลงพิมพ์เป็นตอนๆ ต่อมาได้มีการรวมพิมพ์ผลงานของเขาเป็นเล่มในปี ๒๔๙๑ ภายใต้ชื่อฝันร้ายของข้าพเจ้า และ ๑๐,๐๐๐ ไมล์ของข้าพเจ้า โดยสำนักงานไทยซึ่งเป็นของบุตรชายของเขา </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แบบแผนการเขียน "รื้อ" การปฏิวัติ ๒๔๗๕ ของพระยาศราภัยพิพัฒนั้น จะพบว่า เขาจะไม่เขียนวิจารณ์บุคคลในคณะราษฎรมากเท่ากับวิจารณ์คณะราษฎรทั้งคณะ โดยเขามองว่าการปฏิวัติเป็นผลจากการกระทำร่วมกัน (collective action) ซึ่งคณะราษฎรทุกคนต้องรับผิดชอบต่อปัญหาทางการเมืองที่ตามมา ดังที่เขาสรุปว่า "การปลูกต้นเสรีภาพของรัฐบาลคณะราษฎรมาตั้ง ๑๒ ปีนับว่ามิได้ผลิดอกออกผลสมใจนึก ดังที่พลเมืองโห่ร้องอวยชัยเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕" ความสามารถและลีลาในการเขียนนักหนังสือพิมพ์เก่าอย่างเขานั้นทำให้การวิจารณ์ความ "ไร้ความชอบธรรม" ของคณะราษฎร และการเล่าถึงการกลั่นแกล้งที่อยุติธรรม ซึ่งทำให้เขาต้องพบกับความยากลำบาก ตลอดจนการบรรยายฉากการพยายามหลบหนีจากค่ายคุมขังนักโทษ สร้างความน่าเห็นอกเห็นใจและชวนติดตามจากผู้อ่านอย่างมาก<br /><br />การสร้างคำอธิบายต่อตนเองของเขาได้ปรากฏในช่วงปี ๒๔๙๑ นั้น เขาเล่าว่า เขานั้นชื่นชมกับ "ประชาธิปไตย" มาตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติ เขาได้ยกข้อเขียนที่เสนอให้สยามมีการปรับปรุงการปกครองในช่วงระบอบเก่าให้มี สภา เป็นตัวอย่างความนิยมประชาธิปไตยของเขาก่อนการปฏิวัติ ๒๔๗๕<br /><br />วิธีการเล่าเรื่องในสารคดีการเมืองของชาว "น้ำเงินแท้" จากตัวอย่างงานของเขา จะเห็นว่าเป็นความพยายามสร้างคำอธิบายต่อกลุ่มของตนใหม่ในลักษณะว่าเป็น "นักประชาธิปไตย" ที่ต่อสู้กับความอยุติธรรมของคณาธิปไตยโดยคณะราษฎร และจะวิพากษ์วิจารณ์คณะราษฎรโดยตั้งประเด็น "ความไม่เป็นประชาธิปไตย" ของรัฐบาลคณะราษฎร และพวกเขานั้นเคยยกกำลังทางการทหารเข้าเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่เพื่อจะสร้าง "ประชาธิปไตยที่แท้จริง" ขึ้นมา ตลอดจนพรรณนาถึงความยากลำบาก ทนทุกข์ทรมาน และความไม่ยุติธรรม การถูกกดขี่ข่มเหงจากรัฐบาลคณะราษฎรจนทำให้พวกเขาต้องตกระกำลำบากที่ตะรุเตา ทั้งๆ ที่พวกเขาเป็น "นักประชาธิปไตย"<br /><br />อย่างไรก็ตามน่าสังเกตว่าคำอธิบายต่อตนเองในการเข้าร่วมกับกบฏบวรเดชในหนังสือของเขานั้น เขากลับอธิบายว่าเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับกบฏบวรเดช เช่น แม้เขาได้เคยจัดทำใบปลิวโจมตีคณะราษฎรในช่วงนั้นแต่ได้เปลี่ยนใจทำลายทิ้งเสียในเวลาต่อมา ในขณะที่กองทัพของพระองค์เจ้าบวรเดชยึดดอนเมืองได้ และต่อมาคณะราษฎรได้ปรักปรำเขา ทั้งนี้เขากล่าวหาว่าคณะราษฎรใช้เงินจ้างพยานเท็จให้ร้ายเขาจนทำให้เขาถูกลงโทษอย่างหนักและไม่เป็นธรรม</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>"การรื้อสร้าง ๒๔๗๕" คณะราษฎรในฐานะผู้ร้ายทางประวัติศาสตร์</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การกลับมามีบทบาททางการเมืองและการสร้างพันธมิตรทางการเมืองของชาว "น้ำเงินแท้" กับนักการเมืองฝ่ายค้านเพิ่มการโจมตีคณะราษฎรมากขึ้น สำหรับบทบาทการรื้อสร้างการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ของกลุ่มนักการเมืองฝ่ายนิยมระบอบเก่า ในช่วงปี ๒๔๙๑ นั้น ได้มีการรวบรวมบทความของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่รื้อสร้างความหมายของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ และบทบาทของคณะราษฎรซึ่งเขียนลงในหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย (ช่วงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๔๙๐) ในนาม "แมลงหวี่" เป็นเล่มชื่อเบื้องหลังประวัติศาสตร์ เล่ม ๑<br /><br />"แมลงหวี่" ได้เริ่มต้น "รื้อ" การปฏิวัติ ๒๔๗๕ ว่าเป็นการปฏิวัติที่ผู้ก่อการได้ใช้อำนาจเหนือกฎหมายเป็นขบถล้มอำนาจเจ้า ซึ่งคนไทยนั้นไม่พร้อม แต่สำหรับการ "ปฏิวัติ" ๒๔๙๐ นั้นที่ถือว่าเป็นการปฏิวัติที่เป็นไปตามมติมหาชน เขาเห็นว่าตั้งแต่หลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ มา "ประชาชนไทยได้ผ่านยุคทมิฬของคนพาลและยุคหินชาติของคนถ่อยที่สุดด้วยอภินิหารของสยามเทวาธิราช เราจึงได้ก้าวมาสู่ยุคแสงสว่างรำไร" </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เขาได้กล่าวย้ำถึงแนวคิดในเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เพื่อเปรียบเปรยถึงอิทธิพลทางการเมืองของหลวงประดิษฐ์ฯ กับกรณีสวรรคตอย่างลึกลับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลว่า เหมือนกับอิทธิพลของคอมมิวนิสต์กำลังแพร่เข้าไปในประเทศกรีกเป็นผลให้พระเจ้าแผ่นดินกรีกต้องสิ้นพระชนม์ลงด้วยพระอาการลึกลับเช่นกัน และเขาได้โจมตีหนังสือพิมพ์ที่วิจารณ์รัฐบาลของคณะรัฐประหารว่า เป็นพวก "เสียงท่าช้าง"<br /><br />สำหรับการสร้างความหมายใหม่ให้กับระบอบเก่าในอดีตนั้น แมลงหวี่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องถ้าประชาชนไปเข้าใจว่า การปฏิวัติของคณะราษฎรนั้นนำมาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๗๕ เพราะเขาเห็นว่า ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมานานตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว เขาเห็นว่า ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงนั้น คือรัฐธรรมนูญของไทย เป็นสิ่งมีสง่าราศีกว่าแมคนาคาตาของอังกฤษ เพราะมิได้มาจากการบังคับเช่นอังกฤษแต่มาจากความสมัครใจของกษัตริย์ไทย รวมความแล้ว เขาเห็นว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยมาช้านาน และเป็นก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติ ๒๔๗๕ เสียอีก ดังนั้นการปฏิวัติ ๒๔๗๕ จึงเป็นการทำลายประชาธิปไตยแบบไทย ด้วยเหตุนี้เขาจึงเห็นว่าที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๐ นั้น มีลักษณะที่แปลก กล่าวคือ เป็นการขอพระราชทาน แต่แทนที่จะกำจัดตัดตอนพระราชอำนาจ กลับแสดงการถวายพระราชอำนาจคืนพระมหากษัตริย์<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังจากวิพากษ์การปฏิวัติและคณะราษฎรแล้ว "แมลงหวี่" เปิดบทที่ชื่อว่าด้วยพระมหากษัตริย์ โดยได้ประเมินคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติของสิ่งที่คณะราษฎรทำกับพระมหากรุณาธิคุณของกษัตริย์แต่ปางก่อนในประวัติศาสตร์ไทยที่เขาเชื่อว่ามีมากว่า ๖๐๐ ปีนั้น ว่ามิอาจเปรียบเทียบกันได้ หากจะเปรียบก็เป็นได้แค่เพียง "พระชั้นโสดากับพระอรหันต์" และเขาเห็นว่า "พระปกเกล้าทรงเป็นกษัตริย์ที่มีหัวใจเป็นนักประชาธิปไตย...เป็นผู้ที่ดำริ ริเริ่มที่จะให้สยามได้ก้าวสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง...ทรงมีพระราช ดำริที่พระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ปวงชนชาวไทยมาก่อน...ด้วยหลักฐานเหล่านี้ จึงพอจะกล่าวยืนยันได้ว่า พระมหากษัตริย์ไทยเป็นประชาธิปไตยมาก่อนที่สยามจะได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นประชาธิปไตยด้วยซ้ำ"<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นอกจากนี้ "แมลงหวี่" ประเมินว่า ระบอบประชาธิปไตยไทยที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติของคณะราษฎรนั้นไม่เหมาะสมกับเมืองไทย ดังนี้ "ประชาธิปไตยนั้นไม่ได้หมายความว่าเป็นการปกครองที่ถือเอาข้างมากแต่เสียงเท่านั้น เพราะการเอาโจร ๕๐๐ มาประชุมกับพระ ๕ องค์...ลงมติกันทีไร โจร ๕๐๐ เอาชนะพระได้ทุกที" ดังนั้นสำหรับเขาผู้ที่ไม่ยอมรับผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งของประชาชนตาม หลักเสียงข้างมากว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว ความหมายของคำว่า "ประชาธิปไตย" แบบใดกันที่เขาต้องการ หรือเป็นประชาธิปไตยในความหมายที่อภิสิทธิ์ชนมีบทบาททางการเมือง "แมลงหวี่" ได้เฉลยคำตอบว่า "ประชาธิปไตย" ในความหมายในใจของเขา คือ <b>"การปกครองโดยเสียงข้างมากที่เรียกว่าประชาธิปไตยจะต้องไม่ถือเอาเกณฑ์เสียง ข้างมากเป็นสำคัญ"</b> (!!?) สุดท้าย เขาได้ประกาศจุดยืนทางอุดมการณ์การเมืองว่า เขาเป็น "คนมีหัวใจประชาธิปไตย แต่มีหัวใจนิยมพระมหากษัตริย์"<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สำหรับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ใช้นิยายเรื่องสี่แผ่นดินในการรื้อฟื้นอดีต และเพื่อชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมของสังคมหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เขาเริ่มเขียนนิยายเรื่องนี้เป็นตอนๆ ลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐของเขาในช่วงปี ๒๔๙๔-๒๔๙๕ นิยายเรื่องนี้ ดำเนินเรื่องผ่านชีวิตของหญิงชนชั้นสูงผู้หนึ่งนามว่า "พลอย" ที่เติบโตขึ้นท่ามกลางความงดงามในช่วงระบอบเก่า เขาให้ภาพชีวิตเจ้านายที่น่าพิสมัย แต่พลันทุกอย่างก็มลายสิ้นเมื่อเกิดการปฏิวัติ ๒๔๗๕ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ครอบครัวของพลอยที่เคยสงบสุขก็เผชิญกับปัญหา เกิดความสับสนวุ่นวาย ความขัดแย้งในการเมือง เกิดสงคราม เกิดการพลัดพราก ความโศกาอาดูรในนิยายขนาดยาวเล่มนี้สร้างความซาบซึ้งอย่างมากต่อผู้อ่าน และหลายครั้งที่ผู้เขียนใช้ปากของ "พลอย" แสดงความคิดเห็นทางการเมืองแทนผู้เขียนในลักษณะที่ว่า เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วทุกอย่างมีแต่เสื่อมลง ในท้ายที่สุด เรื่องปิดฉากลงเมื่อตัวละครเอกตายพร้อมกับการสูญเสียพระมหากษัตริย์ของไทย งานชิ้นนี้ของเขาได้รับการพิมพ์ซ้ำหลายครั้งมาก ตลอดจนถูกนำไปผลิตซ้ำในรูปของละครโทรทัศน์หลายครั้งในการครอบงำความรู้สึก นึกคิดของผู้คนจวบกระทั่งปัจจุบัน<b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การเมืองเรื่องเล่า ประชาธิปไตย ๑๗ ปี หาอะไรดีไม่ได้</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สำหรับกลุ่มสุดท้ายที่จัดได้ว่าเป็นพันธมิตรแนวร่วมกับชาว "น้ำเงินแท้" ในการรื้อสร้างการปฏิวัติ ๒๔๗๕ คือ กลุ่มนักหนังสือพิมพ์/นักเขียนสารคดีการเมือง ที่ผลิตงานเขียนเล่าเรื่องทางการเมืองในช่วงนี้จำนวนมาก เช่น เลือดหยดแรกของประชาธิปไตย ของจรูญ กุวานนท์ (๒๔๙๓), ละครการเมือง ของจำลอง อิทธะรงค์ (๒๔๙๒), นักการเมือง สามก๊ก เล่ม ๑-๔ ของ "ฟรีเพรสส์" (๒๔๙๓), พงษาวดารการเมือง ของ "เกียรติ" (สละ ลิขิตกุล) (๒๔๙๓), ปฏิวัติ รัฐประหารและกบฏจลาจลในสมัยประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ของวิชัย ประสังสิต (๒๔๙๒), แม่ทัพบวรเดช (๒๔๙๒) ค่ายคุมขังนักโทษการเมือง (๒๔๘๘) โศกนาฏกรรมแห่งเกาะเต่า (๒๔๘๙) ของ "ไทยน้อย" (เสลา เรขะรุจิ)๖๙ และ ประชาธิปไตย ๑๗ ปี (๒๔๙๓) ของหลุย คีรีวัต เป็นต้น<br /><br />งานชิ้นสำคัญของกลุ่มนี้ คืองานเขียนของหลุย คีรีวัต อดีตบรรณาการกรุงเทพเดลิเมล์และอดีตนักโทษการเมืองคดีกบฏบวรเดช ในหนังสือชื่อประชาธิปไตย ๑๗ ปี ที่มองย้อนและประเมินการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ที่ผ่านมา<br /><br />เขาเริ่มต้นโดยการออกตัวปฏิเสธว่าเขามิใช่นักการเมือง ไม่สังกัดพรรคใด การเขียนหนังสือเล่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นจุดหมุนการหันกลับไปมอง ประเมินอดีตที่ผ่านมา ๑๗ ปี ของประชาธิปไตยที่ประหนึ่งความเปรียบของเขาที่ว่า "ไม่มีอะไรใหม่ในโลกนี้" เขาเริ่มต้นด้วยการสร้างความเชื่อมต่อของระบอบเก่าและระบอบใหม่ ด้วยการเชิดชูประวัติศาสตร์ และสรรพสิ่งที่ระบอบเก่าได้ยกให้เป็นมรดกแก่ประชาธิปไตย โดยเขายืนยันว่า <b>"ในพิภพนี้ ไม่มีชาติใดประเทศใดที่รักษาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไว้ได้ยั่งยืนเท่ากับ ประเทศไทย และตลอดเวลาที่ประเทศไทยอยู่ระบอบนี้ ก็ได้รักษาความเป็นเอกราชสืบต่อมาไว้ให้เราตราบจนทุกวันนี้"</b> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เขาย้ำว่า ไม่มีอะไรใหม่ในพิภพนี้ เขาใช้หน้ากระดาษจำนวนมากในการพรรณนาถึงคุณูปการที่ในอดีตที่เหล่ากษัตริย์ได้พัฒนาประเทศ เช่น การเลิกทาส การรักษาเอกราช ตลอดจนแก้ต่างให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ว่า "พระมหากษัตริย์ทำอะไร คนภายนอกก็รู้เท่าไม่ถึงการ พากันเห็นไปว่าพระองค์ทรงทำเล่นๆ...ดุจเดียวกับที่พระองค์ทรงเล่นดุสิตธานี นั้น...เพราะมีจุดประสงค์จะสอนประชาธิปไตยให้ข้าราชบริพารต่างหาก" และในทัศนะของเขานั้น หนังสือพิมพ์ในระบอบเก่ามีเสรีภาพมากกว่าปัจจุบัน (หลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕) เพราะพระมหากษัตริย์ทรงรับฟังเสียงของหนังสือพิมพ์ ซึ่งเขาเรียกว่า "ประชามติ" เขาสรุปว่าเสรีภาพของหนังสือพิมพ์ในระบอบเก่ามีมากกว่าสมัยประชาธิปไตย </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นอกจากนี้เขาได้แก้ต่างให้ข้อครหาว่า การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ซื้อกรุงเทพเดลิเมล์ จำนวน ๔๐๐,๐๐๐ บาทนั้น หาได้เกิดจากความเกรงกลัวหนังสือพิมพ์ไม่ แต่ทรงซื้อเพราะเพื่อการตอบแทน เนื่องจากกรุงเทพเดลิเมล์ได้ช่วยลงข่าวต่อต้านเยอรมนีตามพระราชประสงค์จนหนังสือพิมพ์ขาดทุน พระคลังข้างที่จึงมาช่วยซื้อไว้ มิใช่พระองค์ทรงเกรงกลัวหนังสือพิมพ์ตามคำครหา<br /><br />หลุย คีรีวัต มีความภูมิใจในพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์มาก โดยเขายกพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ที่เคยดำรัสว่า <b>"พระเจ้าแผ่นดินไทยจะทรงบันดาลให้คนเป็นเทวดาก็ได้ จะบันดาลให้เป็นหมาก็ได้"</b> และเขาประเมินว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เป็นนักประชาธิปไตย เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ไม่นานก็จะพระราชทานระบอบประชาธิปไตยให้ ในทัศนะของเขานั้น การดำเนินการต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ในช่วงท้ายระบอบเก่าได้เคลือบประชาธิปไตยไว้จนหมดสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทำการปฏิวัติเลย แต่ควรปล่อยให้เป็นไปตามวิวัฒนาการ<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นอกจากนี้เขาได้ดำเนินการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของระบอบทั้งสองว่า รัฐบาลในระบอบเก่าสั่งการอะไรราษฎรก็ปฏิบัติตามอย่างไม่เคยต่อล้อต่อเถียงกับพระบรมราชโองการเลย และไม่มีการคอร์รัปชั่น โดยเขายกตัวอย่างการแก้ไขความขาดแคลนข้าวหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ กับการแก้ไขปัญหาความขาดแคลนข้าวในหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ของรัฐบาลสมัยหลวงประดิษฐ์ฯ และหลวงธำรงฯ ที่ไม่สำเร็จและจับคนทำผิดไม่ได้ เขาเปรียบเทียบว่า "นี่คือผลต่างระหว่างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กับประชาธิปไตยและผลที่ประชาชนได้รับจะเทียบเคียงกันได้ไฉน และที่อวดอ้างว่าเป็นความเลวทราม อ่อนแอของสมบูรณาญาสิทธิ์จึงปฏิวัติกันมานั้น เดี๋ยวนี้พอประจักษ์กันหรือยังว่า ระบอบไหนเลวทรามกว่ากันแน่?" </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เขาเรียกการปกครองหลังการปฏิวัติว่า เป็นสมัยประชาธิปไตยที่หาใช่ประชาธิปไตยไม่ และเป็นระบอบที่สถาปนาโดยพวกขบถ เป็นประชาธิปไตยจอมปลอม เขาเห็นว่าหลังการปฏิวัติ เสรีภาพจอมปลอมระบาดไปทั่ว ประชาชนพากันสำลักเสรีภาพที่ฟุ้งเฟ้อขึ้นมาอย่างฉับพลัน คณะราษฎรก็ไม่ระงับความเสื่อมโทรมของศีลธรรมที่เกิดจากเสรีภาพ แต่กลับเพิกเฉยดูดาย เขาเห็นว่าศีลธรรมหลังการปฏิวัติเหมือนกับที่รัสเซีย ซึ่งเลนินได้ทำทุกอย่างให้เป็นของกลาง แม้แต่ผู้หญิงก็ขายประเวณีได้ตามใจชอบ<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เขาชื่นชมกับพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ไม่มีความเป็นนักการเมือง สำหรับเขาแล้ว นักการเมืองนั้น หมายถึงคนที่ต้องหมุนรอบ ลิ้นตวัดถึงใบหู หรือเป็นลิ้นทอง ต้องเชิดความไม่จริงได้อย่างช่ำชอง สุดท้ายเขาสรุปว่า พระยามโนปกรณ์ฯ ต่างจากหลวงประดิษฐ์ฯ ซึ่งเป็นนักการเมืองเต็มตัว </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เขาประเมินว่าเป็นการโชคดีที่คณะร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๗๕ ส่วนใหญ่เห็นคล้อยตามพระยามโนปกรณ์ฯ มากกว่าพระยานิติศาสตร์ไพศาลซึ่งเป็นพวกหลวงประดิษฐ์ฯ ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จึงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ หาไม่แล้วคงเป็นเรื่องยุ่งอีกนาน เขาเห็นว่าการปกครองของคณะราษฎรไม่เป็นประชาธิปไตย ขัดกับเจตนาที่ทรงสละราชสมบัติฯ ที่ทรงหมายสละพระราชอำนาจให้ราษฎรทุกคน โดยเขาได้ใช้พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ในแถลงการณ์สละราชย์เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการวิพากษ์คณะราษฎรเป็นครั้งแรกว่า <b>"ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจของข้าพเจ้าที่มีอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎร โดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมยกอำนาจทั้งหลายให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาดและโดยไม่ฟังเสียงโดยแท้จริงของประชาราษฎร"</b> สรุปแล้ว เขาเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเป็นบิดาของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง<br /><br />เขาได้มองและประเมินผลงานของคณะราษฎรหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ว่า ได้สร้างแต่ปัญหาและไม่มีผลงานอะไรใหม่ เช่น เขาเห็นว่าการปรับปรุงระเบียบบริหารราชการหลังการปฏิวัติที่เปลี่ยนจากมณฑล เทศาภิบาลเป็นจังหวัดเป็นผลงานชิ้นโบว์ดำที่สร้างความโกลาหลในการปกครอง และทำให้โจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้น </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สำหรับนโยบายต่างประเทศนั้นเขาเห็นว่าหลังการปฏิวัติได้ดำเนินนโยบายต่างไปจากสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ทรงคบมิตรเก่าๆ อย่างชาติตะวันตก การหันเหไปนิยมญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกฯ และหลวงประดิษฐ์ฯ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศเป็นเหตุให้ประเทศเข้าสู่ "วงฉิบหายในเอเชียอาคเณย์" เขาเห็นว่าความเจริญของประเทศเกิดขึ้นจากความรู้ความสามารถของชาวตะวันตกที่ให้คำปรึกษา และตั้งแต่ไทยมีนโยบายต่างประเทศเข้าใกล้ญี่ปุ่นทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นมากและไทยก็ยอมเป็นลูกน้องญี่ปุ่นเพื่อขัดกับฝรั่งนั้น เขาสรุปว่าเป็นการดำเนินนโยบายที่เลวทรามที่สุดของประชาธิปไตย </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เขาเห็นว่าการเดินทางไปแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับชาติตะวันตกของหลวง ประดิษฐ์ฯ เป็นงานสามัญธรรมดาและเป็นการท่องเที่ยวเสียมากกว่า เพราะการแก้ไขเหล่านี้เริ่มตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ แล้ว อีกทั้งการร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นก็ทำมาตั้งแต่สมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ แล้วเช่นกัน เขาเห็นว่าไม่มีอะไรใหม่หลังการปฏิวัติ คณะราษฎรเป็นเพียงผู้สานต่อเท่านั้น เขาวิจารณ์ว่าการที่รัฐบาลฟ้องร้องพระคลังข้างที่และยึดพระราชทรัพย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ นั้นเป็นการทำลายหัวใจของคนทั้งชาติเป็นผลงานที่งามหน้าของพระยาพหลฯ และมันสมองอย่างหลวงประดิษฐ์ฯ ที่ได้รับการเทิดทูนว่าเป็นเชษฐบุรุษ และรัฐบุรษ<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เขาเห็นว่า หลังการปฏิวัติ คณะราษฎรพยายามทำทุกวิถีทางในการทำลายศีลธรรมจรรยาและประเพณีของพลเมืองด้วย การยุแยงตะแคงบอน โดยคณะราษฎรอ้างว่าเมื่อปฏิวัติการเมืองแล้วต้องปฏิวัติทางจิตใจด้วย แต่เขาเห็นว่าเป็นการทำเลียนแบบรัสเซียเพื่อให้ชนชั้นต่ำมาเป็นพวก การแต่งกายนุ่งผ้าม่วงถุงน่องรองเท้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อยและอันมีค่า คณะราษฎรก็หาว่าเอามาจากเขมรและอินเดีย แต่กลับอนุญาตให้นุ่งกางเกงจีนและกางเกงขาสั้นใส่รองเท้าแตะไปออฟฟิศกัน ตลอดจนการเปลี่ยนเครื่องแบบทหารที่เคยสง่าภูมิฐานก็ปลดบ่าอินทรธนูลง เป็นเหมือนทหารแดง สำหรับพวกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำก็แต่งกายสวมเสื้อคอปิดและนุ่งกางเกงขายาวสีขาวเหมือนบ๋อยไหหลำ เขาเห็นว่าหลังการปฏิวัติได้มีการทำลายความสง่างามของโบราณราชประเพณีที่เคย โอ่โถงมีพิธีรีตองถูกงดลงจนหมดสิ้น ช่วงชั้นของภาษาที่ปฏิบัติกันมานานในการเคารพผู้ใหญ่ก็กลายเป็นฉันและเธอ<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สำหรับการจัดตั้งมหาวิทยาลัยใหม่หลังการปฏิวัตินั้น เขาเห็นว่ามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเป็นเสมือนเครื่องจักรในการ ผลิตบัณฑิตเหมือนการผลิตเม็ดยา ไม่มีการกำหนดพื้นความรู้ของผู้เข้าเรียน ขอแต่เพียงมีเงินจ่ายก็สามารถเข้าเรียนได้ เพียงปีเดียวมหาวิทยาลัยก็มีนักศึกษานับหมื่นโดยใช้อาคารสถานที่ดัดแปลงให้ เป็นตึกโดมเหมือนกรุงมอสโก ผิดกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีกฎเกณฑ์เลือกเฟ้นผู้เข้าศึกษามากมาย<br /><br />นอกจากนี้เขาได้กล่าววิจารณ์เค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งแรกมีแต่ความเหลวแหลก ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลของการยกทหารหัวเมืองมา เขาเห็นว่าบทบาทของพวกเขานั้นเป็นการต่อสู้เพื่อ "ฝังหมุดประชาธิปไตย" ที่แท้จริงตามพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ในแถลงการณ์สละราชสมบัติ อันพวกสะเก็ดนักปฏิวัติทั้งโขยงจะหักล้างมิได้<br /><br />สำหรับเขาแล้ว เขาไม่พอใจกับอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญที่หลักสี่มาก เขาเห็นว่าเป็นอนุสาวรีย์แห่งแรกและแห่งเดียวที่ไม่มีความหมายอะไรที่จะไปจดจำ ซึ่งต่างไปจากอนุสาวรีย์ของกษัตริย์แห่งอื่นๆ เพราะมันเป็นความทรงจำของการรบของชนชาติเดียวกัน ทหารที่ตายก็มิได้แสดงความกล้าหาญแต่ประการใด ซึ่งไม่มีพลังความอันใดเลย นอกจากนี้เขาได้ลดทอนความหมายของอนุสาวรีย์แห่งนี้ด้วยการยกตัวอย่างการสร้างอนุสาวรีย์ย่าเหลขึ้นเพื่อเชิดชูความกตัญญูขึ้นเทียบเคียง แต่สำหรับอนุสาวรีย์ที่หลักสี่นี้มีความหมายเพียงหลักหมายของสัปปุรุษที่ไปงานวัด เขาเล่าว่าเขาพยายามคิดหาเหตุผลของการมีอยู่ของอนุสาวรีย์นี้หลายตลบก็หามีความหมายอันใดไม่ เขาท้าว่ามีใครบ้างที่ไปกราบไหว้นอกจากทหารที่ต้องวางพวงมาลาปีละครั้ง ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว อนุสาวรีย์แห่งนี้จึงเป็นเพียงการยืนยันถึงความเคียดแค้น และเป็นเพียงสถานที่ที่โจรผู้ร้ายใช้เป็นพื้นที่จี้ปล้นเท่านั้น<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นอกจากนี้สำหรับหมุดคณะราษฎรที่ตอกจารึก ณ ลานพระบรมรูปทรงม้านั้น เขาก็ไม่ชอบใจเช่นกัน เขาบันทึกล้อเลียนข้อความหมุดคณะราษฎรว่า "ในวันนั้นและที่นั้น พันเอก พระยาพหลฯ หัวหน้าขบถได้หลอกลวงทหารเหล่าต่างๆ ในกรุงเทพ ให้มารวมกันและได้ยืนขึ้นประกาศระบอบประชาธิปไตย" และสุดท้ายเขาได้ให้ฉายาหัวหน้าคณะราษฎร (พระยาพหลฯ) ว่า "หมูห่มหนังราชสีห์ออกนั่งแท่น"<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นอกจากนี้เขาพยายามแยกสลายการผูกความหมายของการปฏิวัติไทยกับฝรั่งเศสว่ามีความต่างกันและเขาพยายามจับคู่ความหมายให้ผิดแผกออกไป เขาเห็นว่า การปฏิวัติฝรั่งเศสนั้นเกิดจากเหล่าอำมาตย์ส่วนใหญ่ในยุคพระเจ้าหลุยส์ได้กดขี่ประชาชน แต่สำหรับสยามไม่มีอำมาตย์ที่กดขี่ประชาชน ประชาชนสยามอยู่ดีกินดี เคารพพระมหากษัตริย์ มีแต่อำมาตย์ส่วนน้อยเท่านั้นที่เนรคุณขบถต่อพระมหากษัตริย์ และเขาได้เชื่อมโยงอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญนี้ (ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการปราบปรามฝ่ายต่อต้านระบอบใหม่) เข้ากับการเรียกร้องสิทธิของประชาชน โดยเขาดำเนินการเปรียบว่าอนุสาวรีย์นี้เทียบไม่ได้กับอนุสาวรีย์ที่บาสติลหรือเลนินในความหมายของการเรียกร้องสิทธิของประชาชน<br /><br />อย่างไรก็ตามในหนังสือเล่มนี้หลุยปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับกบฏบวรเดชว่า คณะของเขา (ซึ่งมีพระยาศราภัยพิพัฒ หลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เสถบุตร) ไม่รู้จักกับพระองค์เจ้าบวรเดช ตราบเท่าทุกวันนี้ (๒๔๙๓) แต่พวกเขากลับถูกคณะราษฎรกล่าวหาว่าไปสมคบคิดกับพระองค์เจ้าบวรเดชนั้น ข้อความในลักษณะเช่นนี้ อาจสะท้อนให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและเจตนารมณ์ที่ซ่อนเร้นในการเคลื่อนไหว ทางการเมืองของชาว "น้ำเงินแท้" ที่เขียนสารคดี "รื้อ" การปฏิวัติ ๒๔๗๕ และคณะราษฎร พร้อมประกาศพวกตนเป็น "นักประชาธิปไตย" ที่ต่อสู้กับคณาธิปไตยนั้น เป็นความพยายามหนึ่งในการรื้อสร้างการปฏิวัติ พร้อมกับการสร้างความหมายใหม่ให้ชาว "น้ำเงินแท้" เป็น "นักประชาธิปไตย" ทั้งนี้การรื้อสร้างความหมายและพยายามอธิบายตนเองใหม่ของชาว "น้ำเงินแท้" เหล่านี้ซึ่งพบได้มากมายในงานของพวกเขา และต่อมาได้ถูกนำไปเป็นแนวทางในการรับรู้อดีตที่กลับหัวกลับหางของคนรุ่นหลังต่อ "วีรกรรม" ของกบฏบวรเดชและชาว "น้ำเงินแท้" เพื่อเปรียบเทียบ "ทุรกรรม" ของคณะราษฎร "เผด็จการคณาธิปไตย" ที่ช่วงชิงพระราชอำนาจไป</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>๒๔๗๕ กับแรงปฏิวัติที่อ่อนล้า</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อย่างไรก็ตามไม่ใช่แต่เพียงมีงานรื้อสร้างการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ของชาว "น้ำเงินแท้" แต่เพียงกลุ่มเดียว ในช่วงเวลานั้นยังมีงานเขียนประเภทบันทึกความทรงจำจากเหล่าคณะราษฎรจำนวนหนึ่งที่ได้เขียนหรือให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการปฏิวัติ เช่น เบื้องหลังการปฏิวัติ (มีนาคม ๒๔๙๐) ของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ที่สัมภาษณ์พระยาพหลฯ แผนการปฏิวัตรเล่าโดย พล.ต. พระประศาสน์พิทยายุทธ์ ของจำรัส สุขุมวัฒนะ (๒๔๙๑) ที่ได้สัมภาษณ์พระยาประศาสน์พิทยายุทธ์ และชีวิตปฏิวัติ ของขุนศรีศรากร (๒๔๙๓) บันทึกพระยาทรงสุรเดช (๒๔๙๐) ถูกพิมพ์เผยแพร่เช่นกัน<br /><br />สำหรับหลังปี ๒๕๐๐ แล้ว มีงานชีวิตและการต่อสู้ทางการเมืองพระยาฤทธิอาคเนย์ ของเสทื้อน ศุภโสภณ ที่ได้สัมภาษณ์พระยาฤทธิ์ฯ (๒๕๑๔) จอมพล ป. พิบูลสงคราม ของอนันต์ พิบูลสงคราม (๒๕๑๘-๑๙) ซึ่งเป็นงานเขียนของบุตรชายของเขา อย่างไรก็ตามสาระในงานความทรงจำเหล่านี้ส่วนมากเป็นการบันทึกเหตุการณ์ถึง ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ในการปฏิวัติ และหากจะมีการกล่าวถึง "กบฏบวรเดช" ก็เป็นการเล่าเหตุการณ์มากกว่าการประเมินหรือวิจารณ์อย่างรุนแรงหากเปรียบเทียบเท่ากับที่ชาว "น้ำเงินแท้" ปฏิบัติต่อการปฏิวัติ ๒๔๗๕<br /><br />อย่างไรก็ตามท่ามกลางการหมุนวนของข้อมูลและความหมายจากการรื้อสร้างการปฏิวัติ พร้อมกับขบวนการรื้อสร้างของชาว "น้ำเงินแท้" และพันธมิตรแนวร่วมทวีจำนวนมากขึ้น ในเชิงเปรียบเทียบแล้วงานเขียนรื้อสร้างจากเหล่าชาว "น้ำเงินแท้" นั้นมีลีลาซาบซึ้งกินใจ น่าเห็นอกเห็นใจและมีจำนวนมากกว่างานจากคณะราษฎรมาก แต่คณะราษฎรจำนวนมากที่ยังอยู่ในประเทศกลับเพิกเฉย และค่อยๆ ร่วงโรยจากไปทีละคน (อาจเป็นไปได้ที่พวกเขาสิ้นอำนาจและโครงสร้างและบริบททางการเมืองในขณะนั้น ไม่เอื้อให้พูดอีก) มีแต่เพียงงานเขียนของหลวงประดิษฐ์ฯ (ในขณะนั้นเขาอยู่ที่ฝรั่งเศส) เท่านั้นที่พยายามอธิบายถึงสาเหตุและความหมายของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ตลอดจนพยายามต่อสู้ในเชิงความหมายกับกระบวนการรื้อสร้างของชาว "น้ำเงินแท้" และกลุ่มพันธมิตรแนวร่วมตราบจนเขาสิ้นชีวิตเมื่อปี ๒๕๒๖<br /><br />ในช่วงหลังปี ๒๕๑๖ มีความพยายามในการรื้อฟื้นภาพลักษณ์ของคณะราษฎรผ่านหลวงประดิษฐ์ฯ จากนิสิตนักศึกษาและกลุ่มของสุพจน์ ด่านตระกูล แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ทุกอย่างก็ปิดฉากลง อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักวิชาการประวัติศาสตร์กลางทศวรรษ ๒๕๒๐ เป็นต้นมา ก็ได้เริ่มผลิตผลงานวิชาการทั้งตำรา วิทยานิพนธ์ และบทความในการประเมินภาพการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ในทางบวกมากขึ้น ตลอดจนการเปิดกว้างของวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยและวารสารกึ่งวิชาการที่ ให้ความสำคัญ กับการทบทวนภาพการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ใหม่ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การเคลื่อนไหวทางปัญญาเหล่านี้มีผลในการฟื้นพลังแห่งความหมายของการปฏิวัติ ที่เคยถูกทำลายอย่างมีกระบวนการโดยชาว "น้ำเงินแท้" และพันธมิตรแนวร่วม ให้กลับมีพลังขึ้นมาบ้าง ท่ามกลางความสับสนอลหม่านของระบอบการเมืองไทยในยุคปัจจุบันที่อ้างว่า "ไม่เหมือนใคร" ในระบอบประชาธิปไตยที่ยึดถือกันเป็นสากล แต่ระบอบการเมืองนี้มุ่งแต่จำกัดอำนาจและให้ความสำคัญต่ำกับสถาบันการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน แต่กลับพยายามเพิ่มอำนาจและเพิ่มความหมายให้กับสถาบันการเมืองอื่นที่มิได้มาจากการเลือกตั้งให้มากขึ้น จนกลายเป็นระบอบการเมืองกลายพันธุ์<b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ฝันจริงของชาว "น้ำเงินแท้" และฝันร้ายของคณะราษฎร</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">กระบวนการรื้อสร้าง ๒๔๗๕ ในงานเขียนของชาว "น้ำเงินแท้" และพันธมิตรแนวร่วมที่ทำดูเสมือน "เป็นเสรีนิยมและประชาธิปไตย" ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน อย่างน้อยเริ่มต้นตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อชาว "น้ำเงินแท้" ได้รับการนิรโทษกรรม เขาเหล่านั้นได้เข้ามามีบทบาททั้งทางการเมือง ปัญญาชน นักหนังสือพิมพ์ นักรัฐประหาร ผนวกกับกลุ่มอื่นๆ ในเวลาต่อมาจนนำไปสู่การพลิกความหมาย (คณะราษฎรกลายเป็นบรรพบุรุษของเผด็จการทหารที่ต้องโค่นล้มพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ความเป็นตัวแทนของความเป็นประชาธิปไตยและอุดมการณ์ของกบฏบวรเดช คือจุดเริ่มต้นของขบวนการประชาธิปไตยในการต่อสู้กับคณาธิปไตยเผด็จการที่นิสิตนักศึกษาใช้เป็นแบบอย่างและสืบทอดเจตนารมณ์) กลายเป็นพลังในการโค่นล้มรัฐบาลทหารในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ผลพวงจากปฏิบัติการเหล่านี้ได้ก่อตัวและคลี่คลายไปยังความรู้สึกนึกคิดของผู้คนที่มองการปฏิวัติและคณะราษฎรในเชิงลบมากขึ้นในเวลาต่อมา<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หากเราจะแบ่งกลุ่มการร่วมรื้อสร้างแล้ว สามารถแบ่งงานเขียนกว้างๆ ได้ ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มร่วมรื้อสร้างจากเคยได้รับผลร้ายโดยตรง เช่น พวก "รอยัลลิสต์" และพันธมิตรแนวร่วม อาทิ งานเขียนของชาว "น้ำเงินแท้" นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ นักเขียนสารคดี ที่ผลิตงานเขียนตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ และถูกผลิตซ้ำจำนวนมากในช่วงปี ๒๕๑๐ ส่วนกลุ่มที่ ๒ นั้นร่วมรื้อจากแง่มุมวิชาการ ตำรา และวิทยานิพนธ์ทางรัฐศาสตร์ในช่วงทฤษฎีการพัฒนาการเมืองเฟื่องฟู และวิทยานิพนธ์ที่ทำในช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐-๒๕๒๐ (ที่มองว่าบทบาทของทหารเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย และตีความว่าคณะราษฎรคือกำเนิดของพลังอำมาตยาธิปไตย) และตำราวิทยานิพนธ์ทางประวัติศาสตร์การเมืองที่ทำในช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐-๒๕๒๐ เป็นต้น </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ตลอดจนการปัดฝุ่นรื้อฟื้นงานเขียนเก่าๆ ทั้งนิยายและสารคดีการเมืองของเหล่าชาว "น้ำเงินแท้" ที่เคยพิมพ์เผยแพร่เมื่อครั้งปี ๒๔๙๐ นั้นออกมาผลิตพิมพ์ซ้ำโดยเฉพาะอย่างในช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐ อย่างมากมาย ตลอดจนงานเขียนทั้งความทรงจำและบทความทางการเมือง นิยาย อีกทั้งงานวิจัย วิทยานิพนธ์จำนวนมากมายมหาศาลที่ล้วนมองและประเมินการปฏิวัติและบทบาทของคณะ ราษฎรในแง่ลบและเป็นผู้ทำลายประชาธิปไตย<br /><br />นอกจากนี้ความไม่ตระหนักในการรื้อสร้าง ๒๔๗๕ จากชาว "น้ำเงินแท้" ของคณะราษฎร ตลอดจนการหมดสิ้นอำนาจของคณะราษฎร มีผลให้กระบวนการบ่อนเซาะความชอบธรรมของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ จากชาว "น้ำเงินแท้" ได้วางรากฐานให้กับระบอบการเมืองกลายพันธุ์ในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามกว่าจะมีการตระหนักรู้ถึงกระบวนการรื้อสร้างนั้น อาการหมดสิ้นความหมายก็เข้ารุมเร้าการปฏิวัติ ๒๔๗๕ และคณะราษฎรจนแทบกู้เกียรติและกู้ระบอบไม่ขึ้น การรื้อสร้างจากการเมืองเรื่องเล่าเหล่านี้ได้รื้อสร้างความหมายเดิมและ สร้างความหมายใหม่ในลักษณะกลับหัวกลับหาง อันเป็นรากฐานของความคิดในการร่างรัฐธรรมนูญและความรู้สึกนึกคิดของผู้คนที่นำไปสู่ระบอบการเมืองกลายพันธุ์<br /><br />ตลอดจนการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ได้สูญเสียสถานะ ความหมาย และความชอบธรรมในความรับรู้และความทรงจำของผู้คนอันนำไปสู่เรื่องเล่าอื่น ที่เป็นอภิมหาอรรถกถาครอบจักรวาลที่ทำให้สรรพสิ่งในระบอบนี้ล้วนมีผู้ครอบครองมาก่อน ซึ่งหาใช่โลกของคนสามัญธรรมดาตามระบอบประชาธิปไตยไม่<br /><br />ขอบคุณ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ครูที่สอนให้ข้าพเจ้ารู้ว่าการได้คิดเป็นภาวะบรรเจิดเพียงใด ผศ.ดร.พิษณุ สุนทรารักษ์ ที่ให้ความกรุณาทุกครั้งกับศิษย์คนนี้ และ ศ.ดร.อนุสรณ์ ลิ่มมณี ผู้ที่ทำให้ห้องเรียนกลายเป็นที่คุ้นเคยอีกครั้ง ขอบคุณสำหรับคำพร่ำสอนที่ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยที่ให้กับข้าพเจ้าของ ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ และอาจารย์ศิวะพล ละอองสกุล ตลอดจนกับ ผศ.ร.ท.เทอดสกุล ยุญชานนท์ และ รศ.วีณา เอี่ยมประไพ ที่ให้ความเมตตาข้าพเจ้าเสมอมา ขอบคุณคุณสุพจน์ แจ้งเร็ว ที่กระตุ้นให้ข้าพเจ้าล้วงลงไปควานหาความรู้สึกที่มีต่อระบอบการปกครองร่วม สมัย ขอบคุณนักวิชาการและผู้รักในความรู้ทุกคนที่บุกเบิกให้การปฏิวัติ ๒๔๗๕ เปล่งประกายความหมายอีกครั้ง และมิตรภาพของจีรพล เกตุจุมพล ทวีศักดิ์ เผือกสม และธนาพล อิ๋วสกุล ที่มอบให้ข้าพเจ้า ขอบคุณแม่ของข้าพเจ้าที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่ารักของแม่ยิ่งใหญ่เสมอ และสุดท้าย พีรญา มานะสมบูรณ์ ผู้ที่เป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้า หากบทความนี้มีประโยชน์อยู่บ้างขอเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำที่มีถึงจิตใจที่ กล้าหาญของคณะราษฎรที่หาญกล้านำการปฏิวัติในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เพื่อนำแสงสว่างแห่งระบอบใหม่มาให้คนไทยทุกคน แม้ว่าชื่อและวีรกรรมของพวกเขาจะถูกลบเลือนไปกับมรสุมการเมือง<br /><b> </b></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>คัดลอกจากที่มา http://www.vcharkarn.com/vcafe/149473 </b></span></div>
<b style="color: #474534; font-family: 'Helvetica Neue', Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หมายเหตุ เชิงอรรถอาจไม่ครบถ้วนเพราะลิ้งค์ต้นฉบับโดนลบไปแล้ว</span></span></b>กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-59756876472806052802013-12-10T12:47:00.009+07:002013-12-10T12:47:53.792+07:00"การรื้อสร้าง ๒๔๗๕" ฝันจริงของนักอุดมคติ "น้ำเงินแท้"<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiW_4CJP1UvteIQNe5iq49gApyVna7jUXtK2gMRv7r9f3WPqH7eIdHRKCRDQcsJdeY9hayEtKm4gsywG7PVDnW4sXR_0JNUGWevzt9J36cbdHudj65xFRwlq6BVmdZBAJIdps0pA7cc1kA/s1600/19_153704_72.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="239" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiW_4CJP1UvteIQNe5iq49gApyVna7jUXtK2gMRv7r9f3WPqH7eIdHRKCRDQcsJdeY9hayEtKm4gsywG7PVDnW4sXR_0JNUGWevzt9J36cbdHudj65xFRwlq6BVmdZBAJIdps0pA7cc1kA/s320/19_153704_72.jpg" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ความรู้สึกแห่งยุคสมัยที่ราวกับมีคำตอบ ผู้เขียนขอยืมคำนำเรื่องจากชื่อหนังสือของชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ชื่อราวกับมีคำตอบ และของเกษียร เตชะพีระ ชื่อความรู้สึกแห่งยุคสมัย เพื่อใช้สื่อความหมายถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการไว้ที่ส่วนนำของบทความนี้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อย่างน้อยสำหรับข้าพเจ้าและอีกหลายท่านที่ฉงนฉงายต่อการหายไปของพลังของความหมายและความทรงจำที่เกี่ยวกับการปฏิวัติ ๒๔๗๕ พบว่า เป็นเรื่องประหลาดที่การปฏิวัติครั้งนั้นถูกทำให้เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าภูมิใจ ไม่น่าเกี่ยวข้องกับเรา หลายสิ่งหลายอย่างถูกเกลื่อนกลืน มีการโยกย้ายความหมายและความทรงจำ และมีการให้คำอธิบายว่า เกือบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ รวมทั้งอุดมการณ์ประชาธิปไตย สามารถสืบย้อนหลังไปได้ว่าล้วนมีผู้ทำไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นปกครองในอดีต</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สำหรับในอาณาจักรของชาว "น้ำเงินแท้" แล้ว ไม่มีอะไรในประเทศนี้ที่ไม่เคยถูกทำมาก่อน หรือเป็นสิ่งใหม่ แม้แต่สิ่งที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ในประเทศหรืออาจหมายรวมถึงในโลกนี้ คือการสร้างคำอธิบายว่าไทยมีรัฐธรรมนูญตั้งแต่สมัยสุโขทัย หรือว่าผู้ปกครองในระบอบเก่ามีพระราชประสงค์จะมอบ "เดโมคราซี" หรือ "คอนสติติวชั่น" ให้มหาชนชาวสยาม จนดูประหนึ่งว่าการวางหลักไมล์ของจุดเริ่มต้นมิอาจเกิดขึ้นจากบุคคลชั้นธรรมดาในประเทศของเรา</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ความฉงนฉงายเหล่านั้น ดลใจให้ข้าพเจ้าศึกษาและค้นคว้ามากขึ้น และพบว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงการสร้างคำอธิบายใหม่ที่ถอยลงไปในอดีตเพื่อสร้างความชอบธรรมบางอย่างที่สำคัญให้กับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่เป็นปรปักษ์กับการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ด้วย "การรื้อสร้าง" การปฏิวัติ และพร้อมกันนั้นก็สร้างคำอธิบายใหม่ให้กับระบอบเก่าที่สอดคล้องกับโครงเรื่องในมโนสำนึก</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สำหรับชาว "น้ำเงินแท้" แล้วอาจไม่มีปรากฏการณ์ใดที่จะ "เสียหน้า" และสูญเสียอำนาจ อันนำมาซึ่งความเจ็บช้ำ โหยหาวันก่อนคืนเก่าของพวกเขา ได้เท่ากับการเกิดขึ้นของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ความทรงจำที่ปวดร้าวมีผลให้การเล่าถึงการปฏิวัตินั้นว่า เต็มไปด้วยความขัดแย้งแตกแยกไม่เป็น "ประชาธิปไตย" ในความหมายของพวกเขา รวมตลอดจนการปฏิบัติของพวกเขาต่อสิ่งก่อสร้างเชิงสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ เช่น หมุดคณะราษฎรที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ก็ถูกมองในฐานะสิ่งแปลกปลอมและถูกปล่อยปละละเลยปราศจากการสงวนรักษา ในฐานะที่เป็นจุดประกาศการก้าวสู่ระบอบใหม่ การพยายามลดทอนความหมายของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยลงเป็นเพียงกองซีเมนต์ใหญ่ ที่กีดขวางถนนหนทาง ตลอดจนการสร้างคำอธิบายว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยและมีรัฐธรรมนูญมานาน ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเพื่อลบล้างพลังของการปฏิวัติ รวมถึงการผลิตซ้ำเรื่องเล่า เรื่องเล่านี้ถูกนำมาเล่าตอกย้ำ ว่ายวน โดยเฉพาะในประเด็นการ "ชิงสุกก่อนห่าม" ของการปฏิวัติครั้งนั้น<b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">คณะราษฎรบางคนเงียบนิ่งต่อพลังการรื้อสร้างที่ดำเนินไป แต่หลายคนยังคงยืนหยัดโต้การรื้อสร้างเหล่านั้น ท้ายสุดกระบวนการรื้อสร้างนี้ก็กลายเป็นอภิมหาอรรถกถาครอบจักรวาลที่ดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปในอดีต</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หาก "อดีต" เป็นภาชนะที่ห่อหุ้ม "ปัจจุบัน" เอาไว้แล้วไซร้ กระบวนการอธิบายหรือให้ความหมายย้อนหลังก็คือการสร้าง "อดีต" ไว้ใน "ปัจจุบัน" นั่นเอง ปฏิบัติการของเขาเหล่านี้เปรียบประหนึ่งกับการ "รื้อ" ความหมายเก่า และ "สร้าง" ความหมายใหม่ โดยทำให้ความหมายเก่าอ่อนตัวลง หรือทำลายความชอบธรรมของปรากฏการณ์ คำ วัตถุ และความทรงจำ พร้อมๆ ไปกับการประกอบสร้างหรือสวมกลืนความหมายใหม่ที่ต้องการเข้าไปแทนที่</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>หากใครสามารถครอบครองความหมายในอดีตได้ฉันใด ผู้นั้นก็มีอำนาจยึดกุมปัจจุบันได้ฉันนั้น</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การศึกษาครั้งนี้ ผู้เขียนใช้หลักฐานจากงานเขียน บันทึกความทรงจำ ชีวประวัติ สารคดีการเมือง นิยายของบรรดาอดีตนักโทษทางการเมือง และกลุ่มพันธมิตรแนวร่วม เช่น นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ นักเขียน ที่เขียนเกี่ยวกับกรณีกบฏบวรเดชและการรัฐประหาร ๒๔๙๐ เพื่อพิจารณาถึงวิธีการเล่าเรื่อง ความรู้สึกนึกคิด ด้วยการเฝ้ามองและชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลกับปฏิบัติการ "รื้อสร้าง" ความหมายของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ผ่านงานเขียนของเขาเหล่านั้น รวมถึงปฏิบัติการลดทอนพลังความหมาย ตลอดจนการประกอบสร้างความหมายใหม่ที่ยังประโยชน์ให้กับกลุ่มของตน รวมทั้งผลกระทบของการรื้อสร้างจากงานเขียนของชาว "น้ำเงินแท้" ในอดีตว่ามีผลสืบเนื่องอย่างไรต่อความรู้สึกนึกคิด และระบอบการปกครองของไทยในระยะต่อมาจนปัจจุบัน</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หากการปฏิวัติ ๒๔๗๕ คือการรูดม่านระบอบเก่าแล้ว การรัฐประหาร ๒๔๙๐ นั้น ถือได้ว่าเป็น "อรุณรุ่งแห่งแสงเงินแสงทองของวันใหม่" สำหรับพวกเขา ซึ่งเป็นการบรรจบกันหรือการปรากฏตัวขึ้นใหม่ของอุดมการณ์ในระบอบเก่าที่สืบทอดมาตั้งแต่กบฏบวรเดช ๒๔๗๖ ที่เคยพ่ายแพ้ ถูกกักขัง จองจำ หลบซ่อน จนได้ออกมาเผยตัวอย่างแจ้งชัดในเวลาต่อมา</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ปฏิบัติการรื้อถอนความชอบธรรมของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ พร้อมๆ ไปกับการเชิดชูและสร้างความหมายใหม่ให้กับระบอบเก่าของกลุ่มคนเหล่านี้นำไป สู่การเข้าร่วมการรัฐประหารโค่นล้มคณะราษฎรเพื่อสานฝันของชาวคณะ "น้ำเงินแท้" ให้เป็นจริง การรัฐประหาร ๒๔๙๐ จึงเป็นจุดหมุนพลิกที่สำคัญในประเด็นอำนาจและอุดมการณ์</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>"ราชธรรมนูญ" กับ "ราษฎร์ธรรมนูญ"</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ปัญหากำเนิด "ระบอบรัฐธรรมนูญ" และความขัดแย้งของขนาดพระราชอำนาจหลังการปฏิวัติ</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ประเด็นหนึ่งในการรื้อสร้างการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ของ "การเมืองเรื่องเล่า" คือการกล่าวว่า การปฏิวัติของคณะราษฎรนั้นเป็นการ "ชิงสุกก่อนห่าม" โดยที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์พระราชทาน "รัฐธรรมนูญ" อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงก็คือ การร่าง "รัฐธรรมนูญ" นั้นเป็นการร่างลับตามพระราชประสงค์ของพระองค์ โดยมีน้อยคนที่รู้ นอกนั้นไม่เคยมีใครได้เห็นเอกสาร นอกจากพูดต่อกันมา มีขุนนางในระบอบเก่าคนหนึ่งนาม***พระยาศรีวิสารวาจา*** เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี</span>พระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล, ๒๔๓๙-๒๕๑๑) บัณฑิตเกียรตินิยมทางกฎหมายจากออกซฟอร์ด บาร์ริสเตอร์มิดเดิลเทมเปิล อดีตปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศในระบอบเก่า รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศสมัยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา (๒๔๙๕-๒๔๙๖) รัฐมนตรี (๒๔๘๙, ๒๔๙๐-๒๔๙๑) สมาชิกวุฒิสภา (๒๔๙๒-๒๔๙๔) องคมนตรี (๒๔๙๕-๒๕๐๕) ประธานที่ปรึกษาราชการของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (๒๕๐๕-๒๕๐๖) ชีวประวัติ พันเอก พระยาศรีวิสารวาจา, พิมพ์เป็นบรรณาการเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พันเอก พระยาศรีวิสารวาจา ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ๘ มิถุนายน ๒๕๑๑, พระนคร : โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เพราะเขามีส่วนร่วมในการร่าง และรู้ว่ามันมีสาระเช่นไร อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏหลักฐานถึงการบอกถึงสาระที่แท้จริงในฉบับร่างจากเขาตลอดช่วงชีวิต แม้ว่าเขาจะมีส่วนในการเป็นรัฐมนตรีหลังการปฏิวัติหลายครั้งจนกระทั่งถึง สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ตาม ในอีกแง่หนึ่งนี่อาจเป็นเรื่องปกติก็ได้หากมองจากจุดยืนทางการเมืองของเขา เพราะสำหรับพระยาศรีวิสารวาจาแล้วอาจเป็นการดีกว่า ถ้าจะปล่อยให้เรื่องเล่าการจะพระราชทานสิ่งที่เรียกว่า "รัฐธรรมนูญ" ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และการชิงสุกก่อนห่ามของคณะราษฎรนั้นให้คงอยู่ในสังคมต่อไป เพราะเรื่องเล่าแบบนี้มีผลบวกต่อสิ่งที่เขาชื่นชมและทำให้คนฟังเห็นถึงความไม่จำเป็นของการปฏิวัติ ๒๔๗๕<b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังการเปิดหอจดหมายเหตุแห่งชาติเมื่อปี ๒๕๑๘ ความกระจ่างแจ้งในสาระสำคัญของเอกสารที่ทรงให้ร่างขึ้น และถูกเรียกจากผู้ต่อต้านการปฏิวัติว่าเป็น "รัฐธรรมนูญ" อันจะพระราชทานให้กับปวงชนชาวสยามนั้นก็ได้ปรากฏขึ้น เมื่อมีการค้นพบเอกสารสำคัญ ๒ ชิ้น ชิ้นแรกคือ ร่างกฎหมาย ปี ๒๔๖๙ ฉบับพระยากัลยาณไมตรี <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(Francis B. Sayre) (ในต้นฉบับไม่ระบุชื่อกฎหมายและไม่ได้เรียกว่ารัฐธรรมนูญ) แถมสุข นุ่มนนท์. การเมืองและการต่างประเทศในประวัติศาสตร์ไทย.</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ซึ่งมีสาระสำคัญคือ สถาบันพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจสูงสุดในราชอาณาจักร ให้มีอภิรัฐมนตรีสภา และตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่เสนอนโยบายทั่วไปให้พระมหากษัตริย์ทรงตัดสินพระทัย และนายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้อำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ กล่าวโดยสรุปแล้วหมายความว่าพระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจสูงสุดทาง การบริหาร นิติบัญญัติและการแก้ไขกฎหมาย หรือนัยหนึ่งก็คือทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยนั่นเอง</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เอกสารอีกชิ้นหนึ่งคือ สำหรับร่างกฎหมาย ปี ๒๔๗๔ ซึ่งเขียนโดยเรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจา เอกสารนี้ใช้ชื่อว่าเค้าโครงร่างการเปลี่ยนรูปรัฐบาล (An Outline of Changes in the Form of the Government) มิได้ใช้คำว่ารัฐธรรมนูญ ( หจช.ร.๗ ม.๑.๓/๑๔๒ "An Outline of Changes in the Form of the Government" )</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ร่างฉบับนี้มีสาระสำคัญคือ พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจสูงสุดทางการบริหารและการนิติบัญญัติ โดยมีพระราชอำนาจเหนือสภานิติบัญญัติ เหนือสภาอภิรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีกับคณะรัฐมนตรี พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจสูงสุดในการแต่งตั้ง และถอดถอนสภาอภิรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อพระมหากษัตริย์ ส่วนที่มาของสภานิติบัญญัตินั้น อาจมาจากการแต่งตั้งหรือเลือกตั้งก็ได้ แต่พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการยุบสภา โดยสรุปแล้วพระมหากษัตริย์คือผู้ทรงอำนาจอธิปไตยอีกเช่นกัน </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">( โปรดดูเปรียบเทียบ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินฉบับวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕ มาตรา ๑ ระบุว่า อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย )</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">จากหลักฐานเหล่านี้ยืนยันว่า เป็นความจริงที่พระองค์ทรงเตรียมร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปกครอง แต่จะเป็นประชาธิปไตยตามหลักประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยหรือไม่ ขอให้พิจารณาขนาดของพระราชอำนาจที่มีอย่างมากมายแล้วคงไม่ต้องเถียงกันอีกต่อไป</span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(สำหรับข้อกล่าวหาคณะราษฎรที่ชิงสุกก่อนห่ามในการนำการปฏิวัติทั้งๆ ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จะพระราชทาน "รัฐธรรมนูญ" นั้น เรื่องเล่าเหล่านี้ได้ผ่านไปสู่การตั้งคำถามต่อหลวงประดิษฐ์มนูธรรม แกนนำคนสำคัญของคณะราษฎรซึ่งเขาได้กล่าวว่า คณะราษฎรเพิ่งได้ทราบถึงสาระสำคัญในร่างกฎหมายหรือเค้าโครงร่างการเปลี่ยนรูปรัฐบาลจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ หลังการปฏิวัติไม่กี่วัน แต่อย่างไรก็ตามเขาเห็นเกี่ยวกับสาระสำคัญที่อยู่ภายในร่างว่า ปัญญาชนรับฟังสิ่งใดควรไตร่ตรองให้รอบคอบให้สามารถแยกแยะออกเป็นประเภทอย่างแจ่มชัดได้ เช่น "เมื่อจะรู้เรื่องปลาก็มิเพียงแต่เห็นว่าสัตว์น้ำนั้นมีเหงือกมีหางว่ายน้ำ ได้ก็เป็นปลาประเภทเดียวกัน คือ จะต้องรู้ว่า สัตว์น้ำนั้น เป็นปลาช่อน หรือปลาหมอ ฉันใดฉันนั้น เมื่อรับฟังว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จะพระราชทานรัฐธรรมนูญอยู่แล้วก็ควรสอบถามผู้บอกเล่าว่า พระองค์จะพระราชทานรัฐธรรมนูญชนิดใด" (ปรีดี พนมยงค์. "บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎร และระบบประชาธิปไตย," ใน รัฐศาสตร์ ๑๔. ชมรมหนังสือยูงรำแพน, ๒๕๑๗, หน้า ๒๖๒-๒๖๓.)</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ดังนั้นหากปราศจากการปฏิวัติ ๒๔๗๕ และประชาชนเฝ้ารอคอยการพระราชทาน "ราชธรรมนูญ" นี้ ตามเรื่องเล่าแล้ว ที่สุดของความเป็นได้ของการปกครองของสยาม ก็น่าจะเป็นระบอบราชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่เหนือรัฐธรรรมนูญ หรือรัฐธรรมนูญที่มีพระมหากษัตริย์ทรงอำนาจอธิปไตย กล่าวให้ถึงที่สุดคือ "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันมีรัฐธรรมนูญรับรองความชอบธรรม" นั่นเอง</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างรวดเร็วในเช้าวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นั้นเป็นเสมือนหนึ่งการปิดฉากระบอบเก่าลง พร้อมกับการสถาปนา "ระบอบรัฐธรรมนูญ" ขึ้นมาได้ (ภายหลังเรียกระบอบประชาธิปไตย ) มีการถกเถียงกันในการตีความกำเนิดรัฐธรรมนูญสยามว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดจากการตกลงกันระหว่างราษฎรและผู้ปกครอง </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">( ในสายตานักกฎหมายและครูกฎหมายร่วมสมัยอย่างเดือน บุนนาค หลวงประเจิดอักษรลักษณ์ และไพโรจน์ ชัยนาม ต่างประเมินตรงกันว่า รัฐธรรมนูญสยามนั้นเกิดจากการตกลงกันระหว่างผู้ปกครองกับราษฎร หาใช่การพระราชทานไม่ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงสามารถอธิบายถึงความชอบธรรมของที่มาสมาชิกสภาผู้แทนประเภท ๒ ซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยคณะราษฎรได้ ในตำรากฎหมายขณะนั้นเห็นว่ากำเนิดรัฐธรรมนูญมี ๓ แบบ ดังนี้ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แบบแรก ผู้ปกครองรัฐเป็นผู้ให้ (charter) ซึ่งเกิดจากเจตนาของผู้ปกครองฝ่ายเดียว ดังนั้นการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างพระราชอำนาจของผู้ปกครองจะอยู่สูงสุด เหนือสถาบันการเมืองอื่นๆ เช่น รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นฉบับเมจิ ค.ศ. ๑๘๘๙ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แบบที่ ๒ ราษฎรเป็นผู้ร่างเองทั้งหมด หรือตั้งสภาราษฎรขึ้นเพื่อร่าง (convention) เช่น รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ค.ศ. ๑๗๘๗ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แบบสุดท้าย ผู้ปกครองกับราษฎรกัน (pact) เป็นการแสดงเจตนาร่วมกันหลังการปฏิวัติ เมื่อตกลงกันได้จึงจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้น เช่น รัฐธรรมนูญของอังกฤษ ค.ศ. ๑๖๘๘ รัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๘๓๐ และรัฐธรรมนูญสยามฉบับวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ และฉบับวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. ความคิด ความรู้และอำนาจการเมืองในการปฏิวัติสยาม ๒๔๗๕. กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, หน้า ๑๓-๑๕.)</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หรือเกิดจากการพระราชทาน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางการเมืองและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางการเมือง</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ฝ่ายสนับสนุนการปฏิวัติเห็นว่ากำเนิดรัฐธรรมนูญเป็นการตกลงกันระหว่าง ๒ ฝ่าย (มีเหตุแห่งการปฏิวัติ ฝ่ายปฏิวัติชนะ และตกลงกันได้) พระมหากษัตริย์ + คณะราษฎร รัฐธรรมนูญ = พระมหากษัตริย์ + สถาบันการเมือง (กรรมการคณะราษฎร-ต่อมาเรียกคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และศาล) + ประชาชน] พระมหากษัตริย์จึงทรงมีฐานะเป็นประมุขแห่งรัฐ ทรงอยู่เหนือการเมือง ตามหลักพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะที่ละเมิดมิได้เพื่อทรงจะไม่ถูกวิจารณ์ จากผลของการกระทำนั้นโดยตรง การกระทำใดๆ ของพระมหากษัตริย์จะต้องมีผู้สนองพระบรมราชโองการเสมอ ดังนั้นการแต่งตั้งสมาชิกสภาประเภท ๒ จึงเป็นอำนาจของสถาบันการเมืองเสนอให้ทรงแต่งตั้ง สำหรับสมาชิกประเภทแรกมาจากการเลือกตั้งของประชาชน</span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แต่สำหรับฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติ (หรือพวกที่เรียกกันในเวลานั้นว่าพวก "รอยัลลิสต์") กลับเห็นว่า รัฐธรรมนูญสยามกำเนิดจากการพระราชทานจากพระมหากษัตริย์แต่ฝ่ายเดียว [(ไม่สมควรมีเหตุแห่งการปฏิวัติ (แม้จริงๆ แล้วจะมีการปฏิวัติ) เพราะจะพระราชทานอยู่แล้ว) </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">โปรดดูสาระสำคัญในร่างกฎหมายและเค้าโครงร่างการเปลี่ยนรูปรัฐบาลที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จะพระราชทานฯ ข้างต้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">พระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ = พระมหากษัตริย์ + สถาบันการเมือง + ประชาชน] พระมหากษัตริย์ต้องมีพระราชอำนาจทางการเมืองมากในลักษณะที่เท่าๆ หรือเหนือกว่ารัฐธรรมนูญ เพราะพระองค์ทรงเป็นที่มาแห่งกำเนิดรัฐธรรมนูญ เป็นที่มาแห่งอำนาจอธิปไตย ดังนั้นย่อมนำไปสู่ความเห็นว่าการแต่งตั้งสมาชิกประเภท ๒ ต้องเป็นพระราชอำนาจของกษัตริย์อย่างสมบูรณ์ และสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องมิใช่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญแบบที่พวกแรกกำหนด</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ จึงนำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อต้านการปฏิวัติ และการรื้อสร้างการปฏิวัติ ซึ่งจะกลายเป็นกระบวนการที่ยาวนานกระบวนการหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทย</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ความไม่สบพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ทรงบันทึกความรู้สึกเมื่อแรกเห็น พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามว่า "หลักการของผู้ก่อการกับหลักการของข้าพเจ้านั้น ไม่พ้องกันเสียแล้ว...ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการฉุกเฉิน...ข้าพเจ้าจึงได้ยอม ผ่อนผันไปตามความประสงค์ของคณะผู้ก่อการในครั้งนั้นก่อน ทั้งนี้ ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับหลักการเหล่านั้นเลย"<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(แถลงการณ์เรื่องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละราชสมบัติ, ๒๔๗๘, หน้า ๘๙.) และทรงเติมคำว่า "ชั่วคราว" ลงไป</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ต่อพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕ (ฉบับหลังการปฏิวัติใหม่ๆ) ในประเด็นคำเรียกขาน และการบัญญัติให้สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีเท่าๆ กับสถาบันการเมืองอื่น เช่น กรรมการคณะราษฎร สภาผู้แทนราษฎร และศาล ตลอดจนประเด็นเรื่องพระราชอำนาจ นำมาสู่การที่ทรงต่อรองกับคณะราษฎรว่า ทรงจะขอแก้ไข "เรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง" ซึ่งคณะราษฎรยินยอม หลังจากนั้นทรงเติมพระอักษรลงไปในธรรมนูญการปกครองแผ่นดินว่า "ชั่วคราว" ก่อนจะทรงลงพระปรมาภิไธย </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ยาสุกิจิ ยาตาเบ อดีตอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำสยาม (๒๔๗๑-๒๔๗๙) ผู้มีสายตาที่ละเอียดอ่อนและได้มีส่วนรับรู้เหตุการณ์ในช่วงนี้ เขาเห็นว่า การเติมคำว่า "ชั่วคราว" ลงไปของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ นี้ เป็นการแก้ไขที่สำคัญอย่างยิ่ง หากเปรียบกับธรรมนูญการปกครองแผ่นดินชั่วคราวกับรัฐธรรมนูญฉบับ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ ในประเด็นเรื่องพระเกียรติยศและพระราชอำนาจ (นอกจากนี้เขาบันทึกเกี่ยวกับการรัฐประหารด้วยการปิดสภาผู้แทนฯ (๑ เมษายน ๒๔๗๖) ในสมัยพระยามโนปกรณ์ฯ ว่า เขาทราบว่ามีการเตรียมแผนการระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ กับพระยามโนปกรณ์ฯ ในการปิดสภาผู้แทนฯ อย่างน้อย ๑ สัปดาห์ เพื่อกำจัดหลวงประดิษฐ์ฯ และพรรคพวก และเขาเห็นว่ารัฐบาลขณะนั้นโฆษณาเกินความจริงเกี่ยวกับร่างเค้าโครงการ เศรษฐกิจฯ เพื่อมุ่งประหารชีวิตทางการเมืองของหลวงประดิษฐ์ฯ และเป็นการสร้างความชอบธรรมในการรัฐประหารร่วมของพระยามโนปกรณ์ฯ กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ โปรดดูเพิ่มเติมประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจในบันทึกความทรงจำของยาสุกิจิ ยาตาเบ (เขียน) เออิจิ มูราชิมา และนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ (แปล). การปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงในประเทศสยาม. หน้า ๒๐, ๔๔-๔๕.)</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ผลแห่งการแก้ไขเรื่อง "เล็กๆ" นี้นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ ฉบับ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นฉบับที่คณะผู้ร่างเกือบทั้งหมดมาจากขุนนางระบอบเก่า ประเด็นสำคัญที่มีการแก้ไขและเพิ่มเติมคือ การใช้คำว่าพระมหากษัตริย์ การใช้คำว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี การบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะที่เคารพสักการะผู้ใดละเมิดมิได้ พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าอยู่เหนือการเมือง เป็นต้น การร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ได้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวร อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา ประเด็นเรื่องที่มาของผู้แทนราษฎรประเภทที่ ๒ อันมาจากแต่งตั้งโดยคณะราษฎรแทนที่จะเป็นพระราชอำนาจนั้นนำมาซึ่งความไม่พอ ใจเป็นอันมากในหมู่พระราชวงศ์และพวก "รอยัลลิสต์" ทั้งๆ ที่คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญเกือบทั้งหมดล้วนมาจากขุนนางระบอบเก่า และการร่างอยู่ใต้การปรึกษาอย่างใกล้ชิดกับพระองค์ทั้งสิ้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สภาวะความหวาดระแวงระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ กับคณะราษฎรนั้นดำรงมาตลอดและปรากฏชัดเจนเมื่อพระองค์ให้เจ้าพระยาวรพงศ์ พิพัฒน์ เจ้ากรมสำนักพระราชวังจัดตั้งหน่วยราชการพิเศษขึ้น โดยเลือกพโยม โรจนวิภาต ข้าราชการสำนักพระราชวังซึ่งคลุกคลีกับวงการหนังสือพิมพ์เป็น "สายลับส่วนพระองค์" ในนาม "พ.๒๗" เพื่อทำหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวของคณะราษฎรและแวดวงหนังสือพิมพ์ให้พระองค์ทรงทราบเป็นการลับโดยตรง สำหรับ "พ.๒๗" เขาเห็นว่าวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็น "วันโลกาวินาศ" <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">("อ.ก.รุ่งแสง" (พโยม โรจนวิภาต). พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้าฯ เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยเกษม, หน้า ๒๒๙. (งานชิ้นนี้ พโยมเขียนเป็นตอนๆ ลงพิมพ์ครั้งแรกในฟ้าเมืองไทย ในช่วงปี ๒๕๑๓)</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">"พ.๒๗" ได้ปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี จนได้รับคำชมจากพระองค์ว่ารายงานลับของเขานั้นรู้ดี แต่ยังไม่ลึกพอ รายงานฉบับสุดท้ายของ "พ.๒๗" ก่อนการลี้ภัยของเขาก็คือ การรายงานว่า เกิดการเคลื่อนไหวของทหารที่หัวเมืองเมื่อต้นเดือนตุลาคม ๒๔๗๖ โดยมีพระองค์เจ้าบวรเดชทรงเป็นต้นคิดแผนการครั้งนี้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>เจ้านายกับการโต้ "อภิวัฒน์"</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">มูลเหตุและเบื้องหลังความไม่พอใจจนเป็นเหตุให้นำทหารจากโคราช ราชบุรี เพชรบุรี ลงมาปราบปรามคณะราษฎรเมื่อปี ๒๔๗๖ หรือการโต้ "อภิวัฒน์" นั้น เราทราบจากบันทึกสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ของ ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ซึ่งทรงบันทึกจากมุมมองของ "คนใน" และในฐานะผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่พระราชวังไกลกังวลกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และพระราชวงศ์ ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน ๒๔๗๖ ก่อนเกิดกบฏบวรเดช (๑๑ ตุลาคม ๒๔๗๖) ว่า</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ที่พระราชวังไกลกังวลนั้น มีคนพลุกพล่านมาก และส่วนใหญ่เป็นพวกคณะชาติ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">คณะชาติเป็นการรวมตัวกันทางการเมือง เหล่าขุนนางในระบอบเก่า เช่น พระยาโทณวนิกมนตรี เป็นหัวหน้า พระยาเสนาสงคราม พระยาศราภัยพิพัฒ หลวงมหาสิทธิโวหาร ธรรมนูญ เทียนเงิน และหลุย คีรีวัต เป็นกรรมการ เพื่อจดทะเบียนจัดตั้งเป็นสมาคมการเมืองแข่งกับสมาคมคณะราษฎร ในช่วงแรกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ไม่ทรงเห็นด้วยกับการเมืองแบบมีพรรคทั้งคณะราษฎรและคณะชาติ แต่หลังเกิดความพ่ายแพ้ของกบฏบวรเดช พระองค์กลับมีพระราชประสงค์ให้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นอีก โดยคณะราษฎรปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่พระองค์ทรงไม่พอพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก อันเป็นมูลเหตุหนึ่งในการยื่นคำขาดในการสละราชสมบัติในเวลาต่อมา <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(ดูเพิ่มเติมการวิเคราะห์จากบันทึกโต้ตอบระหว่างรัฐบาลกับพระองค์ และดูวิธีการต่อรองของพระองค์ได้ในการวิเคราะห์ ใน สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง. หน้า ๙-๑๙.)</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ทรงจำได้ว่าเจ้านายพระองค์หนึ่ง คือ <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">( ต้นฉบับถูกตรวจแก้ โดย ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล แต่เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าเป็นใครจากบริบทดังที่ทรงบรรยายต่อไป )</span> ทรงขับรถมุ่งตรงไปยังพระราชวังไกลกังวล เพื่อขอเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เป็นการส่วนพระองค์ ม.จ.หญิงพูนพิศสมัย ดิศกุล ทรงให้รายละเอียดด้วยว่า เจ้านายพระองค์นี้ถูกบรรดาพระราชวงศ์กล่าวหาว่าทรงเป็นผู้สนับสนุนให้ทหาร กำเริบโลภจน "เป็นขบถ" เมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ และเจ้านายพระองค์นี้ได้ทรงกล่าวว่า "อย่างไรๆ ก็ต้องแก้มืออ้ายพวกขบถนี้ให้จงได้ แม้แต่พี่น้องก็ไม่มีใครเขาดูหน้าฉันหมดแล้ว" </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล. สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น : ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕. กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๔๓, หน้า ๑๒๖. และหลวงโหมรอนราญได้บันทึกความทรงจำไว้ในชีวประวัติของข้าพเจ้า. อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันตำรวจโท หลวงโหมรอนราญ, หน้า ๔๓ ว่า พระยาศรีสิทธิสงครามเคยเล่าให้เขาฟังว่า ก่อนการปฏิวัติ ๒๔๗๕ พระองค์เจ้าบวรเดชเคยเรียกพระยาพหลฯ พระยาทรงฯ และพระยาศรีฯ ไปพบเพื่อหยั่งท่าทีถึงความเหมาะสมและวิธีในการเปลี่ยนแปลงการปกครองบ้าน เมือง พระยาศรีฯ เสนอให้ทูลขอจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ พระยาทรงฯ เสนอให้ใช้กำลังทางการทหาร แต่พระองค์เจ้าบวรเดชเห็นว่าเป็นวิธีที่รุนแรงเกินไปจึงได้คัดค้าน ตกลงกันไม่ได้เรื่องจึงเงียบไป</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เจ้านายพระองค์นี้ได้มาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตในการเปลี่ยนแปลง "การปกครองใหม่" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จะทรงไม่เห็นด้วยกับการทำเช่นนี้ เพราะทรงเห็นว่าจะเกิดข้อสงสัยต่อบทบาทของพระมหากษัตริย์ว่าต้องการพระราชอำนาจกลับคืน แต่ท้ายที่สุดพระองค์ก็มิได้ทรงห้ามปรามอีกทั้งยังพระราชทานของบางอย่างให้ ซึ่ง ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงใช้คำว่า "ให้บริสุทธิ์" </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล, ๒๕๔๓, หน้า ๑๒๖-๑๒๗. และโปรดดูเพิ่มเติมใน คำพิพากษาศาลพิเศษ พ.ศ. ๒๔๘๒, พระนคร : กรมโฆษณาการ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">และทรงบันทึกต่อไปว่า ราชสำนักได้เขียนเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท จากพระคลังข้างที่ให้เจ้านายพระองค์ที่มาปรึกษาข้อราชการที่ไกลกังวลด้วย ต่อมาไม่นานเจ้านายพระองค์นั้นก็ทรงนำกองทัพจากทางเหนือลงมา</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การยกทหารลงมา โดยเรียกตนเองว่า "คณะกู้บ้านกู้เมือง" ครั้งนี้ เป็นความพยายามครั้งแรกในการต่อต้านการปฏิวัติ เพื่อฟื้นฟูพระเกียรติและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ตลอดจนปราบปรามคณะราษฎร</span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. แผนชิงชาติไทย. ๒๕๓๗, หน้า ๒๒๖.</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">และการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ (ดังที่ ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงบันทึกถึงความในใจของพระองค์เจ้าบวรเดช) ดังความรู้สึกของหลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เสถบุตร) หนึ่งในผู้เข้าร่วม ซึ่งเห็นว่าเขาไม่พอใจรัฐธรรมนูญของคณะราษฎรโดยเฉพาะอย่างยิ่งบทเฉพาะกาล ซึ่งเขาเห็นว่าไม่เป็นประชาธิปไตย </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลวงมหาสิทธิโวหาร <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(สอ เสถบุตร). "กบฏเพื่ออะไร" ใน "ไทยน้อย". ค่ายคุมขังนักโทษการเมือง. พระนคร : โรงพิมพ์ไทยพานิช. ๒๔๘๘, หน้า ๑๙๒-๑๙๓.</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">มีความคลุมเครือที่เกิดขึ้นจากบันทึกความทรงจำและเรื่องเล่าภายหลังเหตุการณ์ซึ่งมีลักษณะเป็นการสร้างคำอธิบายใหม่ว่า การยกกองทัพมาครั้งนี้เป็นการกระทำที่เปี่ยมไปด้วยหลักการประชาธิปไตย การที่จะมุ่งสร้างประชาธิปไตยหรือไม่นั้น เราจะเข้าใจกระจ่างขึ้นหากพิจารณาจากความรู้สึกของหลวงโหมรอนราญ <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(ตุ๊ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) หนึ่งในนายทหารผู้เข้าร่วม "คณะกู้บ้านกู้เมือง" ตามที่ได้เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขา บันทึกความทรงจำนั้นเขียนขึ้นภายหลังจากเหตุการณ์นั้นหลายปี (เขาเขียนในปี ๒๔๙๒) แต่เขายังคงยืนยันความรู้สึกเมื่อครั้งนั้นอย่างแจ่มชัดว่า "[การยกทหารจากหัวเมืองมาครั้งนี้-ผู้เขียนบทความ] จะได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เหมาะสมและถวายพระราชอำนาจแก่พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว"</span></span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> หลวงโหมรอนราญ. เมื่อข้าพเจ้าก่อกบฏ. หน้า ๖๑-๖๒. อ้างใน "ร.๗ สละราชย์ : ราชสำนัก การแอนตี้คอมมิวนิสต์ และ ๑๔ ตุลา," ใน สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง. หน้า ๑๔. </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b> "กบฏ" ที่ไม่ "ขบถ"!!?</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ความเข้าใจในตนเองของ "คณะกู้บ้านกู้เมือง"<b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การเข้าใจชุดกระบวนการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากการปฏิวัติ ๒๔๗๕ กับการเผชิญหน้ากันครั้งสำคัญระหว่างฝ่ายคณะราษฎรกับฝ่ายต่อต้านนั้น การให้ความสำคัญกับการพิจารณาความคิด ความหมาย จุดยืนทางอุดมการณ์เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้เกิดความกระจ่างขึ้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สำหรับงานเขียนที่นิยามความหมายของจุดยืนทางอุดมการณ์การเมืองในเวลาใกล้เคียงนั้น ทั้ง ม.ร.ว.ทรงสุจริต นวรัตน และ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน ให้ความหมายของคำว่า "อนุรักษ์นิยม หมายถึง พวกหัวเก่าเห็นว่าวิธีการเก่าๆ ที่ใช้นั้นดีอยู่แล้ว การแก้ไขเปลี่ยนแปลงมีแต่จะได้รับผลร้าย...พวกนี้ถือคติว่า ก่อนกระโดดจงมองดูให้ดี กล่าวโดยทั่วไปแล้ว พวกนับถือราชวงศ์คือ พวกรอยัลลิสม์ (Royalism) และโมนาคิสม์ (Monarchism) นับเป็นแขนงหนึ่งของพวกคอนเซอเวตีฟ หรือจะกล่าวว่า พวกคอนเซอเวตีฟพวกหนึ่งมาจากคตินับถือราชวงศ์ก็ได้" ทั้งนี้ "คอนเซอเวตีฟพวกนี้เห็นว่ากษัตริย์ทรงคุณแก่ประเทศ จึงสมควรสนับสนุนด้วยการถวายพระราชอำนาจ ความนับถือและเทิดทูนบูชา คติรอยัลลิสม์เห็นได้ชัดเจนในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ถึงแม้เลิกใช้ลัทธิสมบูรณาญาสิทธิราชแล้ว คติรอยัลลิสม์ก็ยังมีอยู่" </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ม.ร.ว.ทรงสุจริต นวรัตน และ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน. พรรคการเมืองสยามและต่างประเทศ. พระนคร : โรงพิมพ์เจตนาผล, ๒๔๘๑, หน้า ๒๐, ๒๘.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในงานบันทึกความทรงจำมากมายหลายชิ้นของเหล่าผู้เข้าร่วมกับ "คณะกู้บ้านกู้เมือง" ซึ่งนำโดยพระองค์เจ้าบวรเดช ปี ๒๔๗๖ นั้น ไม่มีงานชิ้นใดที่บอกว่า พวกตนเป็น "ขบถ" ซึ่งก็เป็นเรื่องแน่นอนว่า ไม่มีใครยอมรับว่า การกระทำของตนไม่ถูกต้อง แต่ประเด็นที่น่าสนใจกว่าก็คือ สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาให้ความหมายกับคำนี้อย่างไรต่างหาก การพิจารณาประเด็นดังกล่าวต้องการความละเอียดอ่อนพอที่จะเข้าใจความแตกต่าง ของการให้ความหมายของคำที่ "คณะกู้บ้านกู้เมือง" ใช้เพื่อสามารถเข้าใจฐานคิด จุดยืนของอุดมการณ์การเมือง และการกล่าวอ้างถึงความชอบธรรมของฝ่ายตน ซึ่งเป็นประเด็นที่โต้แย้งกันมาตลอด ตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และการกลับมาอีกครั้งของการยืนยันตัวเองในการเป็น "นักประชาธิปไตย" และการเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ของคนเหล่านี้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">คำว่า "ขบถ" ในอักขราภิธานศรับท์ ของหมอบรัดเลย์ (พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๖) ให้ความหมายว่า "คิดจะทำร้ายเจ้าชีวิต" แต่สำหรับปทานุกรมของกรมตำรากระทรวงธรรมการ พ.ศ. ๒๔๗๐ คำว่า กบฏ คือ ความคดโกง พยศร้าย ล่อลวง ส่วนพจนานุกรมสำหรับนักเรียน ฉบับแก้ไขปรับปรุงของกรมตำรา กระทรวงธรรมการ พ.ศ. ๒๔๗๒ คำว่า กบฏ คือ ความคด ความโกง ความทรยศ การประทุษร้ายต่ออาณาจักร</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">จากความหมายข้างต้น สามารถสรุปความหมายได้ ๒ ความหมาย คือ คำว่า "ขบถ" ที่เก่าที่สุดนั้นแนวคิดสำคัญคือ การต่อต้านกษัตริย์ การคิดทำร้ายกษัตริย์ การช่วงชิงพระราชอำนาจ ซึ่งให้ความสำคัญกับบุคคลมากกว่า แต่สำหรับอีกความหมายหนึ่งซึ่งใหม่ขึ้นมาอีกนั้น จะให้ความหมายของคำดังกล่าวในเชิงนามธรรมภายใต้แนวคิดสมัยใหม่ที่มองหรือให้ความสำคัญกับคำว่าอาณาบริเวณที่หมายรวมถึงสิ่งอื่นๆ ที่ประกอบกันขึ้นมาตามแนวคิดรัฐสมัยใหม่ควบคู่มากขึ้น เช่น ดินแดน และรัฐบาล ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า คำว่า "กบฏ" มีความหมายเกี่ยวกับ การคิดคด ความโกง ความทรยศ การต่อต้านศูนย์กลางอำนาจ/รัฐบาล</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เมื่อนำ "คำ" ดังกล่าวมาพิจารณาควบคู่กับบริบททางการเมืองหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ แล้วก็จะพบว่า รัฐบาลเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความเป็นรัฐสมัยใหม่ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และมีการแบ่งแยกอำนาจ ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงใช้อำนาจอธิปไตยการบริหารแทนประชาชนโดยรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นการต่อต้านรัฐบาลคือกบฏ แต่สำหรับ "คณะกู้บ้านกู้เมือง" แล้ว อย่างน้อยพวกเขาไม่เคยยอมรับว่าพวกเขาเป็น "ขบถ" ในความหมายที่คิดร้ายต่อกษัตริย์ หรือแย่งชิงพระราชอำนาจ แต่เป็น "การเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่"</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ความเข้าใจต่อตนของพวกเขาในการยกทหารลงมา "ปราบขบถ" นั้นเป็นการต่อต้านรัฐบาล (ศูนย์กลางอำนาจ) แต่ไม่ได้ทรยศต่อพระมหากษัตริย์ ดังจะเห็นถึงตัวอย่างความรู้สึกนึกคิดของหลวงโหมรอนราญ ที่ได้บันทึกไว้ว่า "สำคัญที่สุดอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้านั้น ซื่อสัตย์กตัญญูต่อพระมหากษัตริย์และพระบรมราชจักรีวงศ์อยู่ในสายเลือด จึงเกลียดชังผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินยิ่งนัก เพราะข้าพเจ้าถือว่านี้เป็นขบถ หมิ่นหยามและอกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ จึงตั้งใจว่าถ้ามีโอกาส จะลุกขึ้นต่อสู้และปราบปรามพวกขบถเหล่านี้ให้จงได้" </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลวงโหมรอนราญ. "ชีวประวัติของข้าพเจ้า". อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันตำรวจโท หลวงโหมรอนราญ, หน้า ๔๕-๔๖. ในขณะที่รัฐบาลและฝ่ายสนับสนุนระบอบรัฐธรรมนูญ อย่างกุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้สะท้อนทัศนะต่อเหตุการณ์นี้ ว่า "ทำไมยังไม่ถึงเวลาที่จะเรียกเจ้าบวรเดชว่าอ้ายพวกกบฏ เจ้าบวรเดชกบฏต่อรัฐบาล กบฏต่อรัฐธรรมนูญ กบฏต่อมติมหาชน นี่เรายังเรียกกบฏไม่ได้อีกหรือ" ("ลาก่อนรัฐธรรมนูญ," ใน เทอดรัฐธรรมนูญ. ๒๔๗๖, หน้า ๒๘๖.)</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แม้ว่าในช่วงปลายสงคราม รัฐบาลได้ประกาศพระราชกำหนดนิรโทษกรรมฯ แล้วก็ตาม แต่หลวงโหมรอนราญยังคงมีจุดยืนความคิดที่ไม่แตกต่างไปจากเดิมที่ว่าคณะราษฎร แย่งชิงพระราชสมบัติ เขายืนยันว่า "ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินยังมีอำนาจราชศักดิ์ เป็นคณะรัฐบาลอยู่หลายคน ข้าพเจ้าไม่อยากอยู่ร่วมแผ่นดินกับพวกขบถเหล่านี้ <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">[เน้นโดยผู้เขียนบทความ]"</span></span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลวงโหมรอนราญ. อ้างแล้ว. หน้า ๔๖.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การตระหนักรู้ตนเองในการเป็นพวก "รอยัลลิสต์" นี้ แกนนำอีกคนหนึ่งในการยกกองทัพจากหัวเมืองครั้งนี้ คือพระยาศราภัยพิพัฒ ได้เล่าถึงความรู้สึกของเขาหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ไม่นานว่า เขาไม่หวาดวิตกในการมีรายชื่อที่จะถูกปลดจากราชการในฐานเป็น "พวกเจ้า" เลย แต่เขากลับเห็นว่าเป็นเรื่องน่าภูมิใจว่าเป็น "พวกเจ้า" เขาเห็นว่า สำหรับเขาแล้ว เมื่อพวกเจ้าตกอับ เขาก็พร้อมที่จะตกเหวตามไปด้วย </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">พระยาศราภัยพิพัฒ. ฝันจริงของข้าพเจ้า. พระนคร : เดลิเมล์, ๒๔๗๖, หน้า ๒-๓.</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังการปฏิวัติไม่นาน เขาถูกปลดออกจากราชการ และได้ไปทำงานที่บริษัทสยามฟรีเพรสส์ ของหลุย คีรีวัต ต่อมาเขาได้เดินทางไปปีนังเข้าเฝ้าสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต เขาเล่าว่า เมื่อเขากลับมาได้ถูกจับจ้องจากคณะราษฎรมาก จนได้รับหนังสือตักเตือนจากหลวงพิบูลสงครามและหลวงศุภชลาศัย ไม่นานหลังจากนั้น เขาได้เดินทางไปท่องเที่ยวในจีนและญี่ปุ่นและได้เขียนสารคดีท่องเที่ยว ประกอบการวิจารณ์การเมือง ทำให้เราได้ทราบความคิดทางการเมือง หรือเค้าความคิดในรัฐธรรมนูญอุดมคติของพระยาศราภัยพิพัฒ คือ เขาชื่นชมกับรัฐธรรมนูญฉบับพระราชทานของจักรพรรดิเมจิของญี่ปุ่นที่บัญญัติให้พระองค์มีพระราชอำนาจมาก</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">และเขาเห็นว่าองค์จักรพรรดิมีการเตรียมการเป็นเวลานานเพื่อให้ประชาชนมีความพร้อม เขาประเมินว่าการที่องค์จักรพรรดิมีอำนาจสูงสุดแบบเอกาธิปไตยในรัฐธรรมนูญนั้นมีความเหมาะสม เพราะพระองค์จะชี้ขาดปัญหาทั้งมวล โดยประชาชนจะรอคอยพระบรมราชโองการอย่างจงรักภักดี </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">และพระยาศราภัยพิพัฒได้ประเมินสภาพการณ์หลังการปฏิวัติว่า การปฏิวัติเป็นการนำความเสื่อมมาสู่สังคม โดยเขากล่าวถึงความเสื่อมโทรมของศีลธรรมเยาวชนว่า "จะเห็นได้จากพฤติการณ์และนิสัยเด็กหนุ่มของเราได้เสื่อมลงไปในระหว่างปีกลาย [๒๔๗๕] กับปีนี้ [๒๔๗๖] เป็นอันมาก เพราะเสรีภาพปลุกให้เขาตื่นอย่างัวเงีย"</span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การจัดวางพระราชอำนาจในรัฐธรรมนูญที่ไม่เหมาะสมหลังการปฏิวัติให้สอดคล้องตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ และเหล่าพระราชวงศ์ ทำให้เกิดการสนับสนุนงบประมาณจากพระคลังข้างที่ในการยกกองทัพจากหัวเมือง เป็นเหตุให้เกิด "คณะกู้บ้านกู้เมือง" เมื่อเดือนตุลาคม ๒๔๗๖ พร้อมกับการยื่นคำขาดต่อคณะราษฎร จากความพ่ายแพ้ของการโต้ "อภิวัฒน์" นี้ ทำให้พระองค์เจ้าบวรเดชและแกนนำต้องลี้ภัยไปยังเวียดนามและสิงคโปร์ ส่วนนายทหารระดับนำเสียชีวิตในที่รบ แนวร่วมจำนวนมากถูกจับขึ้นศาล และนำไปสู่การจับกุมผู้เกี่ยวข้อง ๖๐๐ คน โดยถูกส่งฟ้องศาลพิเศษ ๓๔๖ คน ถูกตัดสินลงโทษ ๒๕๐ คน ถูกปลดจากราชการ ๑๑๗ คน </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. แผนชิงชาติไทย. หน้า ๑๘-๑๙.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในระหว่างคุมขังนักโทษทางการเมืองเหล่านี้ พวกเขาได้บันทึกความทรงจำและแต่งนิยายขึ้นจำนวนมากที่เล่าในลักษณะกลับหัว กลับหาง และภายหลังถูกนำมาเผยแพร่เมื่อได้รับการปลดปล่อย อย่างไรก็ตามบันทึกความทรงจำและนิยายเหล่านี้ ทำให้เราได้ทราบความรู้สึกนึกคิด ความคิดทางการเมืองและความเคลื่อนไหวทางการเมืองของเขาในเวลาต่อมา</span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>"น้ำเงินแท้" (True Blue)</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หนังสือพิมพ์และการกู่ก้องร้องเพลงประกาศอุดมการณ์ในแดนหก</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในระหว่างที่พวกเขาถูกคุมขังเพื่อรอการพิจารณาตัดสินจากศาลพิเศษนั้น ด้วยศรัทธาแห่งอุดมการณ์อันแรงกล้าไม่อาจทำให้แนวหลักและแนวร่วมของ "คณะกู้บ้านกู้เมือง" นี้สิ้นหวัง แต่ยังคงเคลื่อนไหวต่อไปโดยผ่านการออกหนังสือพิมพ์แสดงอุดมการณ์ของกลุ่มตน ในนาม "น้ำเงินแท้" ในเรือนจำ ในนิยายกึ่งชีวประวัติของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ร.ท.ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน. (๒๔๕๑-๒๔๙๒) อดีตนายทหารอากาศ ถูกจับฐานร่วมมือกับกบฏบวรเดช ภายหลังได้รับการปล่อยตัวและถูกจับซ้ำอีกฐานสมคบกันโค่นล้มรัฐบาลเมื่อปี ๒๔๘๑ ถูกส่งตัวไปกักขังที่เกาะตะรุเตาและเกาะเต่า หลังสงครามได้รับการปลดปล่อย มีงานเขียนที่เกี่ยวกับนิยายชีวประวัติหลายเล่ม เช่น ฝันจริงของนักอุดมคติ และรอยร้าวของมรกต เล่มที่มีชื่อเสียงคือฝันจริงของนักอุดมคติ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองนิมิตร ถูกพิมพ์ซ้ำหลายครั้งและเขากลายเป็นวีรบุรุษเสรีนิยม นักต้านเผด็จการ และนักประชาธิปไตย ในสายตาของนักศึกษาในช่วงการโค่นล้มรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เรื่องเมืองนิมิตร ได้บันทึกถึงกำเนิดของหนังสือพิมพ์นี้ว่า ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ เป็นผู้เสนอทำหนังสือพิมพ์ขึ้นก่อนเพื่อเผยแพร่ข่าวสารให้พรรคพวกทราบ โดยหนังสือพิมพ์นี้เป็นหนังสือพิมพ์ที่เขียนด้วยมือของ ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ ลงบนกระดาษสมุด ภายหลัง ม.ร.ว.นิมิตรมงคลได้เปลี่ยนวัตถุประสงค์หนังสือพิมพ์เพื่อใช้เป็นตำราการเมือง เป็นหนังสือพิมพ์ชื่อ "น้ำเงินแท้" ขึ้นแทน มีลักษณะเป็นสมุดปกแข็ง หุ้มด้วยกระดาษแก้ว การผลิตหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้รับความร่วมมือร่วมใจจากเหล่านักโทษการเมืองมาก ตั้งแต่การเขียนภาพปก ภาพหัวเรื่อง โดย เพรา พวงนาค, เติม พลวิเศษ และแปลก ยุวนวรรธนะ สำหรับนักเขียนประจำใน "น้ำเงินแท้" มีเช่น หลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เสถบุตร), พระยาศราภัยพิพัฒ, พระศรีสุทัศน์, หลุย คีรีวัต, ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์ และ "แม่น้ำโขง" (อ่ำ บุญไทย) เป็นต้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การเผยแพร่หนังสือพิมพ์นี้ ชาว "น้ำเงินแท้" ใช้วิธีการซุกซ่อนใต้กระถางต้นไม้ บนหลังคาห้องน้ำ บ่อขยะ เพื่อสื่อสารระหว่างกัน ทั้งที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่เรือนจำได้ตรวจตราเป็นอย่างมากก็ไม่อาจจับได้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ความมุ่งมั่นในการออก "น้ำเงินแท้" นี้ดำเนินต่อไปได้ถึง ๑๗ ฉบับ ความพยายามในการเผยแพร่อุดมการณ์ไม่จำกัดแต่เพียงในแดนหกเท่านั้น แต่ชาว "น้ำเงินแท้" ยังพยายามเผยแพร่หนังสือนี้ออกสู่ภายนอกด้วยวิธีการผูกสมุดแนบกับตัวหรือ ท่อนขาของญาติที่มาเยี่ยม หรือฝากให้เมื่อพบกันที่ศาล </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน. เมืองนิมิตรและชีวิตแห่งการกบฏสองครั้ง. พระนคร : อักษรสัมพันธ์, ๒๕๑๓, หน้า ๓๒๔-๓๓๐. และชุลี สารนุสิต. แดนหก. พระนคร : โรงพิมพ์สมรรถภาพ, ๒๔๘๘, หน้า ๒๖๗.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">บทความที่ลงใน "น้ำเงินแท้" นั้นในสายตาของชุลี สารนุสิต ชาว "น้ำเงินแท้" คนหนึ่งแล้ว เห็นว่าเป็นบทความที่ดุเดือดที่เขียนจาก "ปากกาที่เผาด้วยเพลิง" มีทั้งบทความที่วิพากษ์วิจารณ์แห่งรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๗๕ และของต่างประเทศ และความเห็นเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ การศึกษา เป็นต้น </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ชุลี สารนุสิต.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อย่างไรก็ตามหากลองพิจารณาบันทึกความทรงจำที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและอุดมการณ์ การเมืองของชาว "น้ำเงินแท้" ที่เผยแพร่ออกมาในช่วงบรรยากาศเปิดทางการเมืองหลัง ๒๔๘๘ แล้ว เราอาจจะเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของพวกเขา ดังนี้ ชุลี สารนุสิต ได้บันทึกความทรงจำถึงความหมายของ "น้ำเงินแท้" ในแดนหกว่า "น้ำเงินแท้" สามารถตีความได้ ๒ แบบ คือ สีของชุดนักโทษ หรือสีน้ำเงินในธงชาติ เขาเห็นว่าถูกทั้งสองความหมาย แต่เขาได้ย้ำเป็นพิเศษว่า สำหรับเขาแล้ว สีน้ำเงิน คือ "สีที่บริสุทธิ์ และเป็นธงชัยแห่งความหวัง"</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ไม่แต่เพียงความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักโทษทางการเมืองเหล่านี้ด้วยการออกหนังสือพิมพ์เท่านั้น แต่ยังมีการแต่งเพลงร้องปลุกใจในพวกพ้องด้วย โดย ม.จ.สิทธิพร กฤดากร ได้ทรงแต่งเพลง "น้ำเงินแท้" หรือ "True Blue" ขึ้น</span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หม่อมเจ้าสิทธิพรได้แต่งเป็นภาษาอังกฤษ โดยใช้ทำนองเพลง "You Too" ว่า</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">We"ve been in prison for over three years,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">But there"s no reason for living in fear,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">We"re bright and merry, "cause we"re</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Not very sad at being here for merely.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Doing our duty to Country and King,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">So let be cheery make the well kin"ring,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Long live the King, We say Hoo-ray and sing,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">We hope to go home pretty soon, Yes, we do.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">You too, You too.</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Back to Wives and Sweethearts, also true, To you,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Let"s say that we vow all of us to remain,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">True Blue, And pray,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">That our King be with us all life through,</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Chai-Yo, "True Blue".</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(ความทรงจำของชุลี, เพิ่งอ้าง, หน้า ๒๖๙-๒๗๐. เน้นโดยผู้เขียนบทความ)</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ชุลีเล่าเสริมว่าเพลงนี้ได้แพร่หลายไปในหมู่นักโทษการเมืองอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพรรคพวกที่เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษก็ยังร้องได้ เขาย้ำว่าเป็นเพราะว่าเพลง "True Blue" คือ "น้ำเงินแท้" นั่นเอง แม้ว่าภายหลังเจ้าหน้าที่เรือนจำเข้มงวดมากขึ้นจนทำให้ต้องยุติการออกหนังสือพิมพ์ แต่พลังของความหมายของ "น้ำเงินแท้" ไม่จบสิ้นลงในฐานะหนังสือพิมพ์เท่านั้น แต่บทเพลงแห่งอุดมการณ์ยังคงกึกก้องในหัวใจ ชุลีได้สรุปว่า "หนังสือน้ำเงินแท้ได้สิ้นลมปราณลงแล้ว เพราะความระมัดระวังตัวของพวกเรา แต่บทเพลงน้ำเงินแท้ยังคงชีพอยู่และก้องอยู่ในจิตต์ใจของนักโทษการเมืองทุกคน"</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังจากถูกตัดสินลงโทษแล้ว ทั้งนักโทษการเมืองในกรณีกบฏบวรเดช ๒๔๗๖ และนักโทษในกรณีอื่นๆ เช่น การลอบสังหารหลวงพิบูลสงครามและการโค่นล้มรัฐบาล ได้ถูกส่งตัวไปกักขังที่เกาะตะรุเตาและเกาะเต่า อันเป็นที่มาของประสบการณ์ที่ชาว "น้ำเงินแท้" และนักโทษการเมืองอื่นๆ ได้ใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนสารคดีการเมืองทยอยออกมาเป็นชุดหลังสงครามโลก ครั้งที่ ๒ ทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือในรูปหนังสือสารคดีการเมืองเล่มเล็กๆ ที่เป็นอันนิยมขณะนั้น โดยโครงเรื่องส่วนใหญ่เป็นการเล่าถึงความยากลำบาก ความทุกข์ทรมานในขณะถูกจำคุกด้วยน้ำมือของคณะราษฎรที่พวกเขากล่าวหาว่า "ไม่เป็นประชาธิปไตย" และ "เป็นคณาธิปไตย" ทางการปกครอง ตลอดจน "อยุติธรรม" ในการกวาดจับพวกเขา</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การฟื้นชีพของชาว "น้ำเงินแท้"</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">กับการเปิดกว้างทางการเมืองหลังสงคราม<b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในช่วงปี ๒๔๘๘ ปลายสงคราม โครงสร้างทางการเมืองของไทยเปิดเอื้อให้กับการกลับมาเคลื่อนไหวต่อต้านคณะราษฎรอีกครั้ง บรรยากาศในช่วงนั้นเป็นการพยายามประนีประนอมกับกลุ่มต่างๆ มากขึ้น รัฐบาลหลวงโกวิท อภัยวงศ์ (ควง อภัยวงศ์) ได้ประกาศพระราชกำหนดการนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดฐานกบฏและจลาจล ๒๔๘๘ ซึ่งมีสาระว่าผู้ที่ได้กระทำความผิดทางการเมือง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลพิเศษ ทั้ง ๓ ครั้ง เมื่อ ๒๔๗๖, ๒๔๗๘ และ ๒๔๘๑ ทั้งที่ได้รับการตัดสินแล้ว หรือหลบหนี ให้ได้รับการนิรโทษกรรมให้พ้นผิด พระราชกำหนดฉบับนี้ มีผลในการเปิดโอกาสให้ชาว "น้ำเงินแท้" และนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับคณะราษฎรสามารถกลับยังประเทศและเข้าสู่วงการเมืองได้อีกครั้ง การกลับมาครั้งนี้พวกเขาได้กลับเข้าเล่นบทปัญญาชน ในการพูด เขียน วิพากษ์วิจารณ์ ตลอดจนลงสมัครรับเลือกตั้ง </span><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">รายงานการวิจัยเรื่องแนวความคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี. ๒๕๔๔, หน้า ๑๒-๑๕.</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การได้รับการปลดปล่อย การได้รับคืนฐานันดร บรรดาศักดิ์ และยศ จากการนิรโทษกรรมของอดีตนักการเมืองชาว "น้ำเงินแท้" ที่เคยต่อต้านการปฏิวัติและคณะราษฎรในหลายกรณี ได้ทยอยกลับมาจากต่างประเทศ เช่น พลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา-อดีตแม่ทัพในระบอบเก่า), น.อ.พระยาศราภัยพิพัฒ (เลื่อน ศราภัยวานิช-อดีตนายเวรวิเศษ-เลขาประจำตัวของเสนาบดีกระทรวงทหารเรือในยุค สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต), พระยาสุรพันธเสนี (อิ้น บุนนาค-อดีตสมุหเทศาภิบาล เมืองเพชรบุรี ราชบุรี), หลุย คีรีวัต (เจ้าของบริษัท สยามฟรีเพรสส์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพเดลิเมล์), ร.อ.หลวงโหมรอนราญ (ตุ๊ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) บางส่วนได้รับการปลดปล่อย เช่น หลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เสถบุตร-อดีตเลขาธิการกรมราชเลขาธิการ), ร.ท.ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน, ร.ท.ขุนโรจนวิชัย (พายัพ โรจนวิภาต), ร.ท.จงกล ไกรฤกษ์, ดร.โชติ คุ้มพันธุ์ และชุลี สารนุสิต เป็นต้น และที่ได้รับการคืนฐานันดร เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร, พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นต้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การกลับมาครั้งนี้ เหล่าชาว "น้ำเงินแท้" หลายคนได้เล่นบทเป็นนักคิดนักเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์การเมืองลงหนังสือพิมพ์ ต่อมางานเขียนเหล่านี้บางส่วนถูกรวมพิมพ์เป็นเล่มหรือรวมพิมพ์ประกอบกัน เช่น พระยาเทพหัสดิน เขียนจดหมายจากพลโท พระยาเทพหัสดิน (๒๔๘๘) หลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เสถบุตร) เขียนกบฏเพื่ออะไร (๒๔๘๘) ชุลี สารนุสิต เขียนแดนหก (๒๔๘๘) ดร.โชติ คุ้มพันธุ์ เขียน ๑๑ ปีในชีวิตการเมือง พายัพ โรจนวิภาต เขียนยุคทมิฬ (๒๔๘๙) ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน เขียนความฝันของนักอุดมคติ (๒๔๙๑) หลวงโหมรอนราญ (ตุ๊ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) เขียนเมื่อข้าพเจ้าก่อกบฏ (๒๔๙๑) หลุย คีรีวัต เขียนประชาธิปไตย ๑๗ ปี (๒๔๙๓) เป็นต้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ประวัติของหลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เสถบุตร, ๒๔๔๖-๒๕๑๓) นั้น เคยรับราชการเป็นเจ้ากรมกองเลขานุการองคมนตรี กรมราชเลขาธิการในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จนได้รับตำแหน่งเป็นเสวกโท หลวงมหาสิทธิโวหาร ต่อมาถูกจับในฐานร่วมกันกบฏในพระราชอาณาจักร เมื่อปี ๒๔๗๖ ภายหลังสงครามได้รับการปล่อยตัว งานเขียนจำนวนมากของเขาส่วนใหญ่เป็นการสอนภาษาอังกฤษ มีงานน้อยชิ้นที่เขาเขียนเกี่ยวกับการเมือง แต่สำหรับบทความเรื่อง "กบฏเพื่ออะไร" นี้ เขาได้ให้เหตุผลในการเข้าร่วมกับ "คณะกู้บ้านกู้เมือง" ว่า เขาไม่พอใจในรัฐธรรมนูญที่ "ไม่เป็นประชาธิปไตย" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทเฉพาะกาล เนื่องจากถวายพระราชอำนาจน้อยเกินไป ไม่เป็นประชาธิปไตยและรัฐบาลเป็น "คณาธิปไตย"</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดในบทบาทความร่วมมือของเขา นอกจากติดหลังแหจากกวาดจับโดยคณะราษฎร (สอ เสถบุตร. "กบฏเพื่ออะไร," ใน "ไทยน้อย". ค่ายคุมขังนักโทษการเมือง. พระนคร : โรงพิมพ์ไทยพานิช, ๒๔๘๘, หน้า ๑๙๑-๑๙๖.) แต่ในประวัติของเขา เขียนโดยพิมพ์วัลคุ์ ภรรยาของเขาที่เขียนขึ้นหลังจากนั้นหลายสิบปีว่า เหตุผลในการเข้าร่วมของสามี คือ เขาหวังว่าจะได้การแต่งตั้งเป็นพระยาศรีสุนทรโวหารในไม่ช้า แต่การปฏิวัติ ๒๔๗๕ ได้เกิดขึ้นก่อน อนาคตของเขาที่รุ่งโรจน์ดับวูบลง เขาจึงได้ร่วมมือกับพระองค์เจ้าบวรเดช ตามคำชักชวนของหลุย คีรีวัต อย่างไม่ลังเล ด้วยการแปลคำใบปลิวแถลงการณ์ข้อเรียกร้องของคณะกู้บ้านกู้เมืองเป็นภาษาอังกฤษและลงมือโรเนียวด้วยตนเองในเรือพร้อมหลุยและพระยาศราภัยพิพัฒ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังจากการพ้นโทษแล้ว เขามีแผนการรวมกลุ่มเป็นการเมืองกับชาว "น้ำเงินแท้" และเจ้านักการเมือง ต่อมาได้ตั้งพรรคก้าวหน้าร่วมกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และได้ผนวกรวมเป็นพรรคประชาธิปัตย์ในเวลาต่อมา<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"> (พิมพ์วัลคุ์ เสถบุตร, ๒๕๓๗, หน้า ๑๑๗, ๑๘๕, ๑๙๖.)</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังการรัฐประหาร ๒๔๙๐ เขาเป็นหัวหอกผู้หนึ่งในการนำข้อเรียกร้องที่ล้มเหลวของ "คณะกู้บ้านกู้เมือง" -ชาว "น้ำเงินแท้" เมื่อปี ๒๔๗๖ กลับมาใหม่เพื่อสร้าง "ประชาธิปไตย" ตามแบบฉบับของพวกเขา ด้วยถวายพระราชอำนาจคืนพระมหากษัตริย์ <span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: x-small; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(ดูบันทึกของเขาที่เขียนลงศรีกรุง ฉบับวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ สาระคือ เขาต้องการการเลือกสมาชิกวุฒิสภาเป็นพระราชอำนาจโดยสมบูรณ์ ปลอดจากการทัดทานจากสถาบันการเมืองอื่นตามรัฐธรรมนูญ) สำหรับ พิมพ์วัลคุ์ ภรรยาของเขาเป็นบุตรสาวของพโยม โรจนวิภาต อดีตสายลับส่วนพระองค์ รหัส พ.๒๗ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่ทรงใช้สืบข่าวความเคลื่อนไหวทางการเมืองของคณะราษฎรหลังการปฏิวัติ</span></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หน้ากระดาษอันเปิดกว้างที่สะดวกในการ "รื้อ" ความชอบธรรมของคณะราษฎรด้วยการโจมตีคณะราษฎรว่าไม่มีความเป็นธรรมในการจับกุม หรือจับกุมตัวผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง/"จับแพะ" นั้นแพร่หลายอย่างมากในวรรณกรรมลักษณะ "ร้องแรกแหกกระเชอ" ของชาว "น้ำเงินแท้" พร้อมการปฏิเสธเสียงแข็งถึงความเกี่ยวข้องกับการกบฏ อย่างไรก็ตามหากเราติดตามงานของชาว "น้ำเงินแท้" ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เมื่อสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป กล่าวคือ เมื่อคณะราษฎรสิ้นอำนาจในขณะที่พวก "รอยัลลิสต์" และทหารนิยมเถลิงอำนาจ เราจะพบว่า แกนนำเหล่านี้ล้วนยอมรับในภายหลังอย่างภาคภูมิว่า พวกเขาล้วนมีส่วนในความร่วมมือต่อต้านคณะราษฎรไม่มากก็น้อย</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การเคลื่อนพลลงสนามการเมืองของเหล่านักการเมือง "น้ำเงินแท้" อย่างเป็นทางการ เริ่มจากการลงสมัครรับเลือกตั้งปี ๒๔๘๘ และการจัดตั้งพรรคการเมืองปี ๒๔๘๙ โดยเริ่มต้นที่โชติ คุ้มพันธุ์ ที่ลงสมัครอิสระ (ภายหลังสังกัดพรรคประชาธิปไตย) ได้รับชัยชนะเหนือทองเปลว ชลภูมิ จากความช่วยเหลือของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (ต่อมาเป็นหัวหน้าพรรคก้าวหน้า ที่มีนโยบายสำคัญคือ นโยบายต่อต้านคณะราษฎร) และการผนวกตัวกันระหว่างกลุ่มหลวงโกวิทฯ อดีตนายกรัฐมนตรี กับกลุ่มพรรคประชาธิปไตย และพรรคก้าวหน้ากลายเป็นพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีหลวงโกวิทฯ ( ควง อภัยวงศ์ )เป็นหัวหน้าพรรค และ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นรองหัวหน้าพรรคนั้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายค้านขนาดใหญ่ต่อพรรคสหชีพและพรรคแนวรัฐธรรมนูญของรัฐบาลซึ่งขณะนั้นหลวงประดิษฐ์มนูธรรมเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ในสมัยรัฐบาลหลวงประดิษฐ์ฯ ได้เสนอให้แก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญโดยให้คณะกรรมการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรได้ดำเนินการยกร่างแก้ไข และได้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๘๙ ในปีเดียวกันนั้นเอง ได้เกิดวิกฤตการณ์การเมือง เนื่องจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลด้วย "การต้องพระแสงปืน" นำไปสู่วิกฤตการณ์การเมือง รัฐบาลหลวงประดิษฐ์ฯ ขอลาออก รัฐบาลใหม่ของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ถูกโจมตีอย่างหนักจากนักการเมืองฝ่ายค้าน จนนำไปสู่การเผชิญมรสุมจากการรัฐประหาร เมื่อ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>กำเนิด "ระบอบสีน้ำเงิน"การรุกคืบทางรัฐธรรมนูญกับการรื้อฟื้นพระราชอำนาจหลัง ๒๔๙๐ </b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การเกาะกลุ่มของชาว "น้ำเงินแท้" กับพันธมิตรแนวร่วมนั้น มีผลกระทบอย่างมากต่อเสถียรภาพทางการเมืองที่เปิด ท่ามกลางความพยายามประนีประนอมของรัฐบาลหลังสงครามกับรอยฝังจำของเหล่านัก โทษการเมือง ความระส่ำระสายทางการเมืองจากการบริหารประเทศหลังภาวะสงครามและเหตุการณ์ไม่ คาดฝันจากกรณีสวรรคต นำไปสู่การรัฐประหารที่ได้รับความร่วมมือจากชาว "น้ำเงินแท้" ในการโค่นล้มรัฐบาลเสรีไทย และนำไปสู่การกวาดล้างกลุ่มหลวงประดิษฐ์ฯ พร้อมกับได้แขวนข้อกล่าวหาฝากติดตัวให้ด้วย ในระยะเวลานี้ เกิดการปรากฏตัวอย่างสำคัญของพวก "รอยัลลิสต์" ที่เข้มแข็งอย่างไม่เคยมีมาก่อนหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕<b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การผนึกกำลังร่วมกับคณะรัฐประหารในครั้งนี้มีผลสะท้อนให้สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๐ เปลี่ยนแปลงจากหลักการหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ กลายเป็นรัฐธรรมนูญที่ถวายพระราชอำนาจให้พระมหากษัตริย์เป็นอย่างมาก ดังมีลักษณะ [พระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ = พระมหากษัตริย์ + (สถาบันการเมือง) + ประชาชน] เช่น ถวายพระราชอำนาจให้พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหาร (มาตรา ๗๔, ๗๕, ๗๗) ซึ่งกำหนดให้พระองค์มีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และมีพระราชอำนาจในการปลดนายกรัฐมนตรี (มาตรา ๗๘) โดยให้ประธานอภิรัฐมนตรีเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ โดยอภิรัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งโดยพระราชอำนาจ (มาตรา ๙)</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อีกทั้งพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการเพิกถอนรัฐมนตรีได้ด้วยพระบรมราชโองการ (มาตรา ๗๙) และมีพระราชอำนาจในการเลือกวุฒิสภา (มาตรา ๓๓) พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการตราพระราชบัญญัติในกรณีฉุกเฉินและกรณีการเงิน (มาตรา ๘๐, ๘๑) เป็นต้น ดังนั้นในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ส่งผลให้ปราศจากผู้สนองพระบรมราชโองการ และขัดต่อหลักพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะที่ละเมิดมิได้ โดยสรุปแล้วรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถวายพระราชอำนาจให้พระมหากษัตริย์มากและมีการรื้อฟื้นองค์กรในระบอบเก่ากลับมา คือการรื้อฟื้นอภิรัฐมนตรีสภา เป็นต้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ด้วยสาระสำคัญของพระราชอำนาจ "ตาม" รัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๐ ของคณะรัฐประหารที่ปรากฏเช่นนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หนึ่งในผู้สำเร็จราชการแผ่นดินฯ ได้ทรงลงพระนามประกาศแต่เพียงคนเดียว ในขณะที่พระยามานวราชเสวี ไม่ยอมลงนาม อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกตีความให้มีผลทางกฎหมาย ทั้งนี้ บุคคลที่เชื่อมคณะรัฐประหารให้เข้าพบสมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร คือ ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ซึ่งต่อมาคณะรัฐประหารได้แต่งตั้งให้เป็นตัวแทนไปกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ณ เมืองโลซาน สวิตเซอร์แลนด์</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังการรัฐประหาร หลวงโกวิทฯ ( ควง อภัยวงศ์ ) ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี สำหรับคณะรัฐมนตรีชุดนี้ มีเหล่าเชื้อพระวงศ์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายคน เช่น หม่อมเจ้าวิวัฒน์ไชย ไชยันต์, ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และ ม.ล.เดช สนิทวงศ์ ส่วนขุนนางในระบอบเก่ามี เช่น พระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล) รวมทั้งอดีตนักโทษการเมือง เช่น ม.จ.สิทธิพร กฤดากร, พระยาศราภัยพิพัฒ (เลื่อน ศราภัยวานิช) เป็นต้น นับว่าคณะรัฐมนตรีชุดนี้ประกอบด้วยเชื้อพระวงศ์ ขุนนางระบอบเก่า และชาว "น้ำเงินแท้" มากอย่างไม่เคยมีปรากฏมาก่อน</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แม้ว่าชาว "น้ำเงินแท้" หลายคนได้ลงเล่นการเมือง แต่ส่วนที่เหลือยังคงดำเนินการทางการเมือง "รื้อ" คณะราษฎรลงหน้าหนังสือพิมพ์ในรูปสารคดีการเมือง บันทึกความทรงจำในเชิงลบต่อไปอีก ทั้งบางคนทำหน้าที่ทั้ง ๒ ด้านควบคู่กันไปใน "การรื้อสร้าง" พร้อมๆ กับสร้างการผนึกตัวระหว่างชาว "น้ำเงินแท้" กับนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้ นักการเมืองชาว "น้ำเงินแท้", เชื้อพระวงศ์ที่มาเป็นนักการเมือง นักการเมืองนิยมเจ้าได้เคลื่อนพลลงสนามการเมืองในช่วง ๒๔๘๙-๒๔๙๕ ดังปรากฏ เช่น ดร.โชติ คุ้มพันธุ์ (๒๔๘๙), ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (๒๔๘๙, ๒๔๙๑), ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (๒๔๘๙, ๒๔๙๑), พระยาศรีวิสารวาจา (๒๔๘๙), หลวงมหาสิทธิโวหาร (๒๔๘๙), พระยาศราภัยพิพัฒ (๒๔๘๙), ไถง สุวรรณทัต (๒๔๙๑, ๒๔๙๕), ม.จ.สิทธิพร กฤดากร (๒๔๙๑)๔๔ เป็นต้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นับแต่รัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๐ และ ๒๔๙๒ นั้น ได้มีการบัญญัติมาตราที่เกี่ยวกับอภิรัฐมนตรี ซึ่งต่อมากลายเป็นองคมนตรี โดยบัญญัติให้เป็นพระราชอำนาจในการเลือกและแต่งตั้งอย่างอิสระปลอดจากการทัดทานอำนาจของสถาบันการเมืองอื่นที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามหลักประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน เช่น ฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ สำหรับสาระสำคัญในรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๒ คือ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การกำหนดองคมนตรีแทนอภิรัฐมนตรี โดยมีพระราชอำนาจในการเลือกและแต่งตั้ง และให้พ้นตำแหน่งไปตามพระราชอัธยาศัย (มาตรา ๑๓, ๑๔) รัฐธรรมนูญฉบับนี้เนื่องจากผู้ร่างส่วนใหญ่มีแนวคิดอนุรักษนิยมจึงได้บัญญัติถวายพระราชอำนาจที่สำคัญหลายกรณี เช่น การเลือกและแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาโดยมีประธานองคมนตรีเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ (มาตรา ๘๒) เนื่องจากผู้ร่างต้องการให้วุฒิสภาเป็นตัวแทนพระมหากษัตริย์ การบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (มาตรา ๑๒) นอกจากนี้ผู้ร่างต้องการให้เป็นอำนาจ "ส่วนพระองค์โดยแท้" จึงบัญญัติให้ประธานองคมนตรีหรือองคมนตรีเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ เป็นต้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพระราชอำนาจที่ทรงมีเพิ่มขึ้นตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๐, ๒๔๙๒ หากเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๗๕, ๒๔๘๙ ในหลายกรณีเป็นประเด็นที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น บทบัญญัติที่ถวายพระราชอำนาจให้เพิ่มขึ้น การรื้อฟื้นอภิรัฐมนตรีซึ่งเคยถูกตั้งในสมัยระบอบเก่าและถูกเลิกไปเมื่อเกิด การปฏิวัติ ต่อมากลายเป็นองคมนตรีซึ่งเป็นพระราชอำนาจในการเลือก แต่งตั้ง และถอดถอนอย่างอิสระ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การบัญญัติให้เป็นพระราชอำนาจในการสถาปนาฐานันดรศักดิ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ การบัญญัติให้ทรงมีอำนาจในทางการเมือง เช่น การแต่งตั้ง ถอดถอนนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี การเลือก การแต่งตั้งวุฒิสภาโดยมีประธานองคมนตรีซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระราชอำนาจ เป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ เป็นต้น แม้หลายประเด็นในฉบับ ๒๔๙๐ จะถูกเลิกไป เนื่องจากพัฒนาการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่แล้วก็ตาม แต่หลายประเด็นจากฉบับ ๒๔๙๐ และ ๒๔๙๒ ยังได้รับการสืบต่อมา</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อย่างไรก็ตามยังมีความน่าสังเกตอีก หากเราตีความการพยายามกำจัด/ลดทอนพลังของคณะราษฎร เช่น บทบาทของกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ที่ทรงลงพระนามเพียงคนเดียวอย่างรวดเร็วเพื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๐ ทันทีที่คณะรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลหลวงธำรงฯ และกวาดล้างกลุ่มคณะราษฎรพลเรือนและกลุ่มหลวงประดิษฐ์ฯ ออกไปสำเร็จ แต่หลังจากได้มีการแต่งตั้งหลวงโกวิทฯ เป็นนายกฯ แล้ว ได้ปรากฏว่าพระยาศรีวิสารวาจาได้มาแจ้งกับจอมพล ป. ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร ว่า จอมพล ป. มีภาพลักษณ์ไม่ดี ดังนั้นต่างประเทศจึงไม่รับรองรัฐบาลหลวงโกวิทฯ เพื่อให้จอมพล ป. ลาออก แต่หลวงกาจสงครามไม่เห็นด้วยและขอร้องให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หากวิเคราะห์ในแง่หนึ่งพบว่าอาจเป็นการเดินเกมกำจัดจอมพล ป. สมาชิกคณะราษฎรที่มีอำนาจขณะนั้น ให้พ้นจากอำนาจ (คงเหลือแต่เพียงหลวงโกวิทฯ ที่โน้มเอียงมาทางพวก "รอยัลลิสต์") ในทางกลับกันประเด็นเกี่ยวกับขนาดของพระราชอำนาจที่ลดลงในรัฐธรรมนูญ ก็เป็นเหตุให้เกิดความยากในการลงพระนามของผู้สำเร็จราชการฯ ในการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ดังเช่น เมื่อจอมพล ป. พยายามนำรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๗๕ มาใช้เป็นรัฐธรรมนูญ ฉบับ ๒๔๙๔ แต่พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร (พระองค์เจ้าธานีนิวัต) ผู้สำเร็จราชการฯ ขณะนั้นกลับทรงไม่ยอมลงพระนาม</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อย่างไรก็ตามสำหรับในสายตาของกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ซึ่งต่อมาภายหลังได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรี ได้ทรงเปรียบเทียบเหตุการณ์การปฏิวัติ ๒๔๗๕ กับการรัฐประหาร ๒๔๙๐ ว่า เหตุการณ์แรกนำมาซึ่งความมืดมนอนธการ ในขณะที่เหตุการณ์หลังนั้นนำมาซึ่งรุ่งอรุณแห่ง "แสงเงินแสงทอง" และพระองค์ทรงเรียกขานสภาวะการเมืองหลังการรัฐประหาร ๒๔๙๐ โดยทรงใช้คำว่า "วันใหม่ของชาติ"</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>๒๔๙๐ "วันใหม่ของชาติ" เจตนารมณ์สืบเนื่องและพันธมิตรแนวร่วมชาว "น้ำเงินแท้" กับการรื้อสร้าง ๒๔๗๕</b><br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การพิจารณากลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองหลังสงครามโลกนี้ เราสามารถจำแนกแยกแยะกลุ่มพันธมิตรแนวร่วมชาว "น้ำเงินแท้" ได้เป็น ๓ กลุ่ม คือ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">กลุ่มแรก เป็นอดีตนักโทษทางการเมืองในกรณีกบฏบวรเดช ๒๔๗๖ และการพยายามโค่นล้มรัฐบาล ๒๔๘๑ ทั้งที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ข้าราชสำนัก ขุนนางในระบอบเก่า<br /><br />กลุ่มที่ ๒ คือ กลุ่มนักการเมืองฝ่ายนิยมระบอบเก่า ซึ่งเป็นกลุ่มที่อุบัติขึ้นหลังสงครามโลก เช่น หลวงโกวิทฯ (นายควง อภัยวงศ์), ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และต่อมาเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๘๙ ได้เปิดโอกาสให้เชื้อพระวงศ์ตั้งแต่หม่อมเจ้ามีตำแหน่งทางการเมืองได้ ทำให้เชื้อพระวงศ์หลายคนเข้ามาเป็นนักการเมืองและรัฐมนตรี เช่น ม.จ.วิวัฒน์ไชย ไชยันต์, ม.จ.สิทธิพร กฤดากร<br /><br />และกลุ่มที่ ๓ คือ กลุ่มนักหนังสือพิมพ์/นักเขียนสารคดีทางการเมือง เช่น "ไทยน้อย" (เสลา เรขะรุจิ), "เกียรติ" (สละ ลิขิตกุล-สังกัดค่ายสยามรัฐ) (๒๔๙๓), "ฟรีเพรสส์" (๒๔๙๓), จรูญ กุวานนท์ (๒๔๙๓), วิชัย ประสังสิต (๒๔๙๒) ทั้งนี้นักหนังสือพิมพ์บางคนมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับชาว "น้ำเงินแท้" เช่น "ไทยน้อย" และชาว "น้ำเงินแท้" บางคนเป็นนักหนังสือพิมพ์ด้วย เช่น พระยาศราภัยพิพัฒ, หลวงมหาสิทธิโวหาร และหลุย คีรีวัต เป็นต้น<br /><br />กลุ่มแรก คืออดีตนักโทษการเมือง ซึ่งเคยต่อต้านการปฏิวัติและคณะราษฎรนั้น ในช่วงเวลานี้แกนนำของพวกเขาได้มีบทบาทในทางการเมืองและเล่นบทปัญญาชนรื้อสร้างการปฏิวัติ ๒๔๗๕ เช่น น.อ.พระยาศราภัยพิพัฒ สำหรับงานชิ้นแรกของเขา คือชีวิตของประเทศ ตีพิมพ์หลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ (เป็นการรวมบทความที่เขียนลงในหนังสือพิมพ์ในช่วงระบอบเก่ามาพิมพ์ใหม่) ต่อมาเขียนสารคดีท่องเที่ยวผนวกวิจารณ์การเมือง ชื่อฝันจริงของข้าพเจ้า และถูกจับฐานก่อการกบฏเมื่อปี ๒๔๗๖ ต่อมาในปี ๒๔๘๘ หลังได้รับการนิรโทษกรรม เขาเดินทางกลับมาไทยทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักเขียนสารคดีและบทความทางการเมืองลงในหนังสือพิมพ์แนวหน้า และหนังสือพิมพ์อัจฉริยะ โดยลงพิมพ์เป็นตอนๆ ต่อมาได้มีการรวมพิมพ์ผลงานของเขาเป็นเล่มในปี ๒๔๙๑ ภายใต้ชื่อฝันร้ายของข้าพเจ้า และ ๑๐,๐๐๐ ไมล์ของข้าพเจ้า โดยสำนักงานไทยซึ่งเป็นของบุตรชายของเขา </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แบบแผนการเขียน "รื้อ" การปฏิวัติ ๒๔๗๕ ของพระยาศราภัยพิพัฒนั้น จะพบว่า เขาจะไม่เขียนวิจารณ์บุคคลในคณะราษฎรมากเท่ากับวิจารณ์คณะราษฎรทั้งคณะ โดยเขามองว่าการปฏิวัติเป็นผลจากการกระทำร่วมกัน (collective action) ซึ่งคณะราษฎรทุกคนต้องรับผิดชอบต่อปัญหาทางการเมืองที่ตามมา ดังที่เขาสรุปว่า "การปลูกต้นเสรีภาพของรัฐบาลคณะราษฎรมาตั้ง ๑๒ ปีนับว่ามิได้ผลิดอกออกผลสมใจนึก ดังที่พลเมืองโห่ร้องอวยชัยเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕" ความสามารถและลีลาในการเขียนนักหนังสือพิมพ์เก่าอย่างเขานั้นทำให้การวิจารณ์ความ "ไร้ความชอบธรรม" ของคณะราษฎร และการเล่าถึงการกลั่นแกล้งที่อยุติธรรม ซึ่งทำให้เขาต้องพบกับความยากลำบาก ตลอดจนการบรรยายฉากการพยายามหลบหนีจากค่ายคุมขังนักโทษ สร้างความน่าเห็นอกเห็นใจและชวนติดตามจากผู้อ่านอย่างมาก<br /><br />การสร้างคำอธิบายต่อตนเองของเขาได้ปรากฏในช่วงปี ๒๔๙๑ นั้น เขาเล่าว่า เขานั้นชื่นชมกับ "ประชาธิปไตย" มาตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติ เขาได้ยกข้อเขียนที่เสนอให้สยามมีการปรับปรุงการปกครองในช่วงระบอบเก่าให้มี สภา เป็นตัวอย่างความนิยมประชาธิปไตยของเขาก่อนการปฏิวัติ ๒๔๗๕<br /><br />วิธีการเล่าเรื่องในสารคดีการเมืองของชาว "น้ำเงินแท้" จากตัวอย่างงานของเขา จะเห็นว่าเป็นความพยายามสร้างคำอธิบายต่อกลุ่มของตนใหม่ในลักษณะว่าเป็น "นักประชาธิปไตย" ที่ต่อสู้กับความอยุติธรรมของคณาธิปไตยโดยคณะราษฎร และจะวิพากษ์วิจารณ์คณะราษฎรโดยตั้งประเด็น "ความไม่เป็นประชาธิปไตย" ของรัฐบาลคณะราษฎร และพวกเขานั้นเคยยกกำลังทางการทหารเข้าเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่เพื่อจะสร้าง "ประชาธิปไตยที่แท้จริง" ขึ้นมา ตลอดจนพรรณนาถึงความยากลำบาก ทนทุกข์ทรมาน และความไม่ยุติธรรม การถูกกดขี่ข่มเหงจากรัฐบาลคณะราษฎรจนทำให้พวกเขาต้องตกระกำลำบากที่ตะรุเตา ทั้งๆ ที่พวกเขาเป็น "นักประชาธิปไตย"<br /><br />อย่างไรก็ตามน่าสังเกตว่าคำอธิบายต่อตนเองในการเข้าร่วมกับกบฏบวรเดชในหนังสือของเขานั้น เขากลับอธิบายว่าเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับกบฏบวรเดช เช่น แม้เขาได้เคยจัดทำใบปลิวโจมตีคณะราษฎรในช่วงนั้นแต่ได้เปลี่ยนใจทำลายทิ้งเสียในเวลาต่อมา ในขณะที่กองทัพของพระองค์เจ้าบวรเดชยึดดอนเมืองได้ และต่อมาคณะราษฎรได้ปรักปรำเขา ทั้งนี้เขากล่าวหาว่าคณะราษฎรใช้เงินจ้างพยานเท็จให้ร้ายเขาจนทำให้เขาถูกลงโทษอย่างหนักและไม่เป็นธรรม</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>"การรื้อสร้าง ๒๔๗๕" คณะราษฎรในฐานะผู้ร้ายทางประวัติศาสตร์</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การกลับมามีบทบาททางการเมืองและการสร้างพันธมิตรทางการเมืองของชาว "น้ำเงินแท้" กับนักการเมืองฝ่ายค้านเพิ่มการโจมตีคณะราษฎรมากขึ้น สำหรับบทบาทการรื้อสร้างการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ของกลุ่มนักการเมืองฝ่ายนิยมระบอบเก่า ในช่วงปี ๒๔๙๑ นั้น ได้มีการรวบรวมบทความของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่รื้อสร้างความหมายของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ และบทบาทของคณะราษฎรซึ่งเขียนลงในหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย (ช่วงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๔๙๐) ในนาม "แมลงหวี่" เป็นเล่มชื่อเบื้องหลังประวัติศาสตร์ เล่ม ๑<br /><br />"แมลงหวี่" ได้เริ่มต้น "รื้อ" การปฏิวัติ ๒๔๗๕ ว่าเป็นการปฏิวัติที่ผู้ก่อการได้ใช้อำนาจเหนือกฎหมายเป็นขบถล้มอำนาจเจ้า ซึ่งคนไทยนั้นไม่พร้อม แต่สำหรับการ "ปฏิวัติ" ๒๔๙๐ นั้นที่ถือว่าเป็นการปฏิวัติที่เป็นไปตามมติมหาชน เขาเห็นว่าตั้งแต่หลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ มา "ประชาชนไทยได้ผ่านยุคทมิฬของคนพาลและยุคหินชาติของคนถ่อยที่สุดด้วยอภินิหารของสยามเทวาธิราช เราจึงได้ก้าวมาสู่ยุคแสงสว่างรำไร" </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เขาได้กล่าวย้ำถึงแนวคิดในเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เพื่อเปรียบเปรยถึงอิทธิพลทางการเมืองของหลวงประดิษฐ์ฯ กับกรณีสวรรคตอย่างลึกลับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลว่า เหมือนกับอิทธิพลของคอมมิวนิสต์กำลังแพร่เข้าไปในประเทศกรีกเป็นผลให้พระเจ้าแผ่นดินกรีกต้องสิ้นพระชนม์ลงด้วยพระอาการลึกลับเช่นกัน และเขาได้โจมตีหนังสือพิมพ์ที่วิจารณ์รัฐบาลของคณะรัฐประหารว่า เป็นพวก "เสียงท่าช้าง"<br /><br />สำหรับการสร้างความหมายใหม่ให้กับระบอบเก่าในอดีตนั้น แมลงหวี่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องถ้าประชาชนไปเข้าใจว่า การปฏิวัติของคณะราษฎรนั้นนำมาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๗๕ เพราะเขาเห็นว่า ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมานานตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว เขาเห็นว่า ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงนั้น คือรัฐธรรมนูญของไทย เป็นสิ่งมีสง่าราศีกว่าแมคนาคาตาของอังกฤษ เพราะมิได้มาจากการบังคับเช่นอังกฤษแต่มาจากความสมัครใจของกษัตริย์ไทย รวมความแล้ว เขาเห็นว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยมาช้านาน และเป็นก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติ ๒๔๗๕ เสียอีก ดังนั้นการปฏิวัติ ๒๔๗๕ จึงเป็นการทำลายประชาธิปไตยแบบไทย ด้วยเหตุนี้เขาจึงเห็นว่าที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๐ นั้น มีลักษณะที่แปลก กล่าวคือ เป็นการขอพระราชทาน แต่แทนที่จะกำจัดตัดตอนพระราชอำนาจ กลับแสดงการถวายพระราชอำนาจคืนพระมหากษัตริย์<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังจากวิพากษ์การปฏิวัติและคณะราษฎรแล้ว "แมลงหวี่" เปิดบทที่ชื่อว่าด้วยพระมหากษัตริย์ โดยได้ประเมินคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติของสิ่งที่คณะราษฎรทำกับพระมหากรุณาธิคุณของกษัตริย์แต่ปางก่อนในประวัติศาสตร์ไทยที่เขาเชื่อว่ามีมากว่า ๖๐๐ ปีนั้น ว่ามิอาจเปรียบเทียบกันได้ หากจะเปรียบก็เป็นได้แค่เพียง "พระชั้นโสดากับพระอรหันต์" และเขาเห็นว่า "พระปกเกล้าทรงเป็นกษัตริย์ที่มีหัวใจเป็นนักประชาธิปไตย...เป็นผู้ที่ดำริ ริเริ่มที่จะให้สยามได้ก้าวสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง...ทรงมีพระราช ดำริที่พระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ปวงชนชาวไทยมาก่อน...ด้วยหลักฐานเหล่านี้ จึงพอจะกล่าวยืนยันได้ว่า พระมหากษัตริย์ไทยเป็นประชาธิปไตยมาก่อนที่สยามจะได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นประชาธิปไตยด้วยซ้ำ"<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นอกจากนี้ "แมลงหวี่" ประเมินว่า ระบอบประชาธิปไตยไทยที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติของคณะราษฎรนั้นไม่เหมาะสมกับเมืองไทย ดังนี้ "ประชาธิปไตยนั้นไม่ได้หมายความว่าเป็นการปกครองที่ถือเอาข้างมากแต่เสียงเท่านั้น เพราะการเอาโจร ๕๐๐ มาประชุมกับพระ ๕ องค์...ลงมติกันทีไร โจร ๕๐๐ เอาชนะพระได้ทุกที" ดังนั้นสำหรับเขาผู้ที่ไม่ยอมรับผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งของประชาชนตาม หลักเสียงข้างมากว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว ความหมายของคำว่า "ประชาธิปไตย" แบบใดกันที่เขาต้องการ หรือเป็นประชาธิปไตยในความหมายที่อภิสิทธิ์ชนมีบทบาททางการเมือง "แมลงหวี่" ได้เฉลยคำตอบว่า "ประชาธิปไตย" ในความหมายในใจของเขา คือ <b>"การปกครองโดยเสียงข้างมากที่เรียกว่าประชาธิปไตยจะต้องไม่ถือเอาเกณฑ์เสียง ข้างมากเป็นสำคัญ"</b> (!!?) สุดท้าย เขาได้ประกาศจุดยืนทางอุดมการณ์การเมืองว่า เขาเป็น "คนมีหัวใจประชาธิปไตย แต่มีหัวใจนิยมพระมหากษัตริย์"<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สำหรับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ใช้นิยายเรื่องสี่แผ่นดินในการรื้อฟื้นอดีต และเพื่อชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมของสังคมหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เขาเริ่มเขียนนิยายเรื่องนี้เป็นตอนๆ ลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐของเขาในช่วงปี ๒๔๙๔-๒๔๙๕ นิยายเรื่องนี้ ดำเนินเรื่องผ่านชีวิตของหญิงชนชั้นสูงผู้หนึ่งนามว่า "พลอย" ที่เติบโตขึ้นท่ามกลางความงดงามในช่วงระบอบเก่า เขาให้ภาพชีวิตเจ้านายที่น่าพิสมัย แต่พลันทุกอย่างก็มลายสิ้นเมื่อเกิดการปฏิวัติ ๒๔๗๕ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ครอบครัวของพลอยที่เคยสงบสุขก็เผชิญกับปัญหา เกิดความสับสนวุ่นวาย ความขัดแย้งในการเมือง เกิดสงคราม เกิดการพลัดพราก ความโศกาอาดูรในนิยายขนาดยาวเล่มนี้สร้างความซาบซึ้งอย่างมากต่อผู้อ่าน และหลายครั้งที่ผู้เขียนใช้ปากของ "พลอย" แสดงความคิดเห็นทางการเมืองแทนผู้เขียนในลักษณะที่ว่า เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วทุกอย่างมีแต่เสื่อมลง ในท้ายที่สุด เรื่องปิดฉากลงเมื่อตัวละครเอกตายพร้อมกับการสูญเสียพระมหากษัตริย์ของไทย งานชิ้นนี้ของเขาได้รับการพิมพ์ซ้ำหลายครั้งมาก ตลอดจนถูกนำไปผลิตซ้ำในรูปของละครโทรทัศน์หลายครั้งในการครอบงำความรู้สึก นึกคิดของผู้คนจวบกระทั่งปัจจุบัน<b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การเมืองเรื่องเล่า ประชาธิปไตย ๑๗ ปี หาอะไรดีไม่ได้</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สำหรับกลุ่มสุดท้ายที่จัดได้ว่าเป็นพันธมิตรแนวร่วมกับชาว "น้ำเงินแท้" ในการรื้อสร้างการปฏิวัติ ๒๔๗๕ คือ กลุ่มนักหนังสือพิมพ์/นักเขียนสารคดีการเมือง ที่ผลิตงานเขียนเล่าเรื่องทางการเมืองในช่วงนี้จำนวนมาก เช่น เลือดหยดแรกของประชาธิปไตย ของจรูญ กุวานนท์ (๒๔๙๓), ละครการเมือง ของจำลอง อิทธะรงค์ (๒๔๙๒), นักการเมือง สามก๊ก เล่ม ๑-๔ ของ "ฟรีเพรสส์" (๒๔๙๓), พงษาวดารการเมือง ของ "เกียรติ" (สละ ลิขิตกุล) (๒๔๙๓), ปฏิวัติ รัฐประหารและกบฏจลาจลในสมัยประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ของวิชัย ประสังสิต (๒๔๙๒), แม่ทัพบวรเดช (๒๔๙๒) ค่ายคุมขังนักโทษการเมือง (๒๔๘๘) โศกนาฏกรรมแห่งเกาะเต่า (๒๔๘๙) ของ "ไทยน้อย" (เสลา เรขะรุจิ)๖๙ และ ประชาธิปไตย ๑๗ ปี (๒๔๙๓) ของหลุย คีรีวัต เป็นต้น<br /><br />งานชิ้นสำคัญของกลุ่มนี้ คืองานเขียนของหลุย คีรีวัต อดีตบรรณาการกรุงเทพเดลิเมล์และอดีตนักโทษการเมืองคดีกบฏบวรเดช ในหนังสือชื่อประชาธิปไตย ๑๗ ปี ที่มองย้อนและประเมินการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ที่ผ่านมา<br /><br />เขาเริ่มต้นโดยการออกตัวปฏิเสธว่าเขามิใช่นักการเมือง ไม่สังกัดพรรคใด การเขียนหนังสือเล่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นจุดหมุนการหันกลับไปมอง ประเมินอดีตที่ผ่านมา ๑๗ ปี ของประชาธิปไตยที่ประหนึ่งความเปรียบของเขาที่ว่า "ไม่มีอะไรใหม่ในโลกนี้" เขาเริ่มต้นด้วยการสร้างความเชื่อมต่อของระบอบเก่าและระบอบใหม่ ด้วยการเชิดชูประวัติศาสตร์ และสรรพสิ่งที่ระบอบเก่าได้ยกให้เป็นมรดกแก่ประชาธิปไตย โดยเขายืนยันว่า <b>"ในพิภพนี้ ไม่มีชาติใดประเทศใดที่รักษาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไว้ได้ยั่งยืนเท่ากับ ประเทศไทย และตลอดเวลาที่ประเทศไทยอยู่ระบอบนี้ ก็ได้รักษาความเป็นเอกราชสืบต่อมาไว้ให้เราตราบจนทุกวันนี้"</b> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เขาย้ำว่า ไม่มีอะไรใหม่ในพิภพนี้ เขาใช้หน้ากระดาษจำนวนมากในการพรรณนาถึงคุณูปการที่ในอดีตที่เหล่ากษัตริย์ได้พัฒนาประเทศ เช่น การเลิกทาส การรักษาเอกราช ตลอดจนแก้ต่างให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ว่า "พระมหากษัตริย์ทำอะไร คนภายนอกก็รู้เท่าไม่ถึงการ พากันเห็นไปว่าพระองค์ทรงทำเล่นๆ...ดุจเดียวกับที่พระองค์ทรงเล่นดุสิตธานี นั้น...เพราะมีจุดประสงค์จะสอนประชาธิปไตยให้ข้าราชบริพารต่างหาก" และในทัศนะของเขานั้น หนังสือพิมพ์ในระบอบเก่ามีเสรีภาพมากกว่าปัจจุบัน (หลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕) เพราะพระมหากษัตริย์ทรงรับฟังเสียงของหนังสือพิมพ์ ซึ่งเขาเรียกว่า "ประชามติ" เขาสรุปว่าเสรีภาพของหนังสือพิมพ์ในระบอบเก่ามีมากกว่าสมัยประชาธิปไตย </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นอกจากนี้เขาได้แก้ต่างให้ข้อครหาว่า การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ซื้อกรุงเทพเดลิเมล์ จำนวน ๔๐๐,๐๐๐ บาทนั้น หาได้เกิดจากความเกรงกลัวหนังสือพิมพ์ไม่ แต่ทรงซื้อเพราะเพื่อการตอบแทน เนื่องจากกรุงเทพเดลิเมล์ได้ช่วยลงข่าวต่อต้านเยอรมนีตามพระราชประสงค์จนหนังสือพิมพ์ขาดทุน พระคลังข้างที่จึงมาช่วยซื้อไว้ มิใช่พระองค์ทรงเกรงกลัวหนังสือพิมพ์ตามคำครหา<br /><br />หลุย คีรีวัต มีความภูมิใจในพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์มาก โดยเขายกพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ที่เคยดำรัสว่า <b>"พระเจ้าแผ่นดินไทยจะทรงบันดาลให้คนเป็นเทวดาก็ได้ จะบันดาลให้เป็นหมาก็ได้"</b> และเขาประเมินว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เป็นนักประชาธิปไตย เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ไม่นานก็จะพระราชทานระบอบประชาธิปไตยให้ ในทัศนะของเขานั้น การดำเนินการต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ในช่วงท้ายระบอบเก่าได้เคลือบประชาธิปไตยไว้จนหมดสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทำการปฏิวัติเลย แต่ควรปล่อยให้เป็นไปตามวิวัฒนาการ<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นอกจากนี้เขาได้ดำเนินการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของระบอบทั้งสองว่า รัฐบาลในระบอบเก่าสั่งการอะไรราษฎรก็ปฏิบัติตามอย่างไม่เคยต่อล้อต่อเถียงกับพระบรมราชโองการเลย และไม่มีการคอร์รัปชั่น โดยเขายกตัวอย่างการแก้ไขความขาดแคลนข้าวหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ กับการแก้ไขปัญหาความขาดแคลนข้าวในหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ของรัฐบาลสมัยหลวงประดิษฐ์ฯ และหลวงธำรงฯ ที่ไม่สำเร็จและจับคนทำผิดไม่ได้ เขาเปรียบเทียบว่า "นี่คือผลต่างระหว่างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กับประชาธิปไตยและผลที่ประชาชนได้รับจะเทียบเคียงกันได้ไฉน และที่อวดอ้างว่าเป็นความเลวทราม อ่อนแอของสมบูรณาญาสิทธิ์จึงปฏิวัติกันมานั้น เดี๋ยวนี้พอประจักษ์กันหรือยังว่า ระบอบไหนเลวทรามกว่ากันแน่?" </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เขาเรียกการปกครองหลังการปฏิวัติว่า เป็นสมัยประชาธิปไตยที่หาใช่ประชาธิปไตยไม่ และเป็นระบอบที่สถาปนาโดยพวกขบถ เป็นประชาธิปไตยจอมปลอม เขาเห็นว่าหลังการปฏิวัติ เสรีภาพจอมปลอมระบาดไปทั่ว ประชาชนพากันสำลักเสรีภาพที่ฟุ้งเฟ้อขึ้นมาอย่างฉับพลัน คณะราษฎรก็ไม่ระงับความเสื่อมโทรมของศีลธรรมที่เกิดจากเสรีภาพ แต่กลับเพิกเฉยดูดาย เขาเห็นว่าศีลธรรมหลังการปฏิวัติเหมือนกับที่รัสเซีย ซึ่งเลนินได้ทำทุกอย่างให้เป็นของกลาง แม้แต่ผู้หญิงก็ขายประเวณีได้ตามใจชอบ<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เขาชื่นชมกับพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ไม่มีความเป็นนักการเมือง สำหรับเขาแล้ว นักการเมืองนั้น หมายถึงคนที่ต้องหมุนรอบ ลิ้นตวัดถึงใบหู หรือเป็นลิ้นทอง ต้องเชิดความไม่จริงได้อย่างช่ำชอง สุดท้ายเขาสรุปว่า พระยามโนปกรณ์ฯ ต่างจากหลวงประดิษฐ์ฯ ซึ่งเป็นนักการเมืองเต็มตัว </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เขาประเมินว่าเป็นการโชคดีที่คณะร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๗๕ ส่วนใหญ่เห็นคล้อยตามพระยามโนปกรณ์ฯ มากกว่าพระยานิติศาสตร์ไพศาลซึ่งเป็นพวกหลวงประดิษฐ์ฯ ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ จึงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ หาไม่แล้วคงเป็นเรื่องยุ่งอีกนาน เขาเห็นว่าการปกครองของคณะราษฎรไม่เป็นประชาธิปไตย ขัดกับเจตนาที่ทรงสละราชสมบัติฯ ที่ทรงหมายสละพระราชอำนาจให้ราษฎรทุกคน โดยเขาได้ใช้พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ในแถลงการณ์สละราชย์เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการวิพากษ์คณะราษฎรเป็นครั้งแรกว่า <b>"ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจของข้าพเจ้าที่มีอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎร โดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมยกอำนาจทั้งหลายให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาดและโดยไม่ฟังเสียงโดยแท้จริงของประชาราษฎร"</b> สรุปแล้ว เขาเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเป็นบิดาของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง<br /><br />เขาได้มองและประเมินผลงานของคณะราษฎรหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ว่า ได้สร้างแต่ปัญหาและไม่มีผลงานอะไรใหม่ เช่น เขาเห็นว่าการปรับปรุงระเบียบบริหารราชการหลังการปฏิวัติที่เปลี่ยนจากมณฑล เทศาภิบาลเป็นจังหวัดเป็นผลงานชิ้นโบว์ดำที่สร้างความโกลาหลในการปกครอง และทำให้โจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้น </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สำหรับนโยบายต่างประเทศนั้นเขาเห็นว่าหลังการปฏิวัติได้ดำเนินนโยบายต่างไปจากสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ทรงคบมิตรเก่าๆ อย่างชาติตะวันตก การหันเหไปนิยมญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกฯ และหลวงประดิษฐ์ฯ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศเป็นเหตุให้ประเทศเข้าสู่ "วงฉิบหายในเอเชียอาคเณย์" เขาเห็นว่าความเจริญของประเทศเกิดขึ้นจากความรู้ความสามารถของชาวตะวันตกที่ให้คำปรึกษา และตั้งแต่ไทยมีนโยบายต่างประเทศเข้าใกล้ญี่ปุ่นทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นมากและไทยก็ยอมเป็นลูกน้องญี่ปุ่นเพื่อขัดกับฝรั่งนั้น เขาสรุปว่าเป็นการดำเนินนโยบายที่เลวทรามที่สุดของประชาธิปไตย </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เขาเห็นว่าการเดินทางไปแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับชาติตะวันตกของหลวง ประดิษฐ์ฯ เป็นงานสามัญธรรมดาและเป็นการท่องเที่ยวเสียมากกว่า เพราะการแก้ไขเหล่านี้เริ่มตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ แล้ว อีกทั้งการร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นก็ทำมาตั้งแต่สมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ แล้วเช่นกัน เขาเห็นว่าไม่มีอะไรใหม่หลังการปฏิวัติ คณะราษฎรเป็นเพียงผู้สานต่อเท่านั้น เขาวิจารณ์ว่าการที่รัฐบาลฟ้องร้องพระคลังข้างที่และยึดพระราชทรัพย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ นั้นเป็นการทำลายหัวใจของคนทั้งชาติเป็นผลงานที่งามหน้าของพระยาพหลฯ และมันสมองอย่างหลวงประดิษฐ์ฯ ที่ได้รับการเทิดทูนว่าเป็นเชษฐบุรุษ และรัฐบุรษ<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เขาเห็นว่า หลังการปฏิวัติ คณะราษฎรพยายามทำทุกวิถีทางในการทำลายศีลธรรมจรรยาและประเพณีของพลเมืองด้วย การยุแยงตะแคงบอน โดยคณะราษฎรอ้างว่าเมื่อปฏิวัติการเมืองแล้วต้องปฏิวัติทางจิตใจด้วย แต่เขาเห็นว่าเป็นการทำเลียนแบบรัสเซียเพื่อให้ชนชั้นต่ำมาเป็นพวก การแต่งกายนุ่งผ้าม่วงถุงน่องรองเท้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อยและอันมีค่า คณะราษฎรก็หาว่าเอามาจากเขมรและอินเดีย แต่กลับอนุญาตให้นุ่งกางเกงจีนและกางเกงขาสั้นใส่รองเท้าแตะไปออฟฟิศกัน ตลอดจนการเปลี่ยนเครื่องแบบทหารที่เคยสง่าภูมิฐานก็ปลดบ่าอินทรธนูลง เป็นเหมือนทหารแดง สำหรับพวกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำก็แต่งกายสวมเสื้อคอปิดและนุ่งกางเกงขายาวสีขาวเหมือนบ๋อยไหหลำ เขาเห็นว่าหลังการปฏิวัติได้มีการทำลายความสง่างามของโบราณราชประเพณีที่เคย โอ่โถงมีพิธีรีตองถูกงดลงจนหมดสิ้น ช่วงชั้นของภาษาที่ปฏิบัติกันมานานในการเคารพผู้ใหญ่ก็กลายเป็นฉันและเธอ<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สำหรับการจัดตั้งมหาวิทยาลัยใหม่หลังการปฏิวัตินั้น เขาเห็นว่ามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเป็นเสมือนเครื่องจักรในการ ผลิตบัณฑิตเหมือนการผลิตเม็ดยา ไม่มีการกำหนดพื้นความรู้ของผู้เข้าเรียน ขอแต่เพียงมีเงินจ่ายก็สามารถเข้าเรียนได้ เพียงปีเดียวมหาวิทยาลัยก็มีนักศึกษานับหมื่นโดยใช้อาคารสถานที่ดัดแปลงให้ เป็นตึกโดมเหมือนกรุงมอสโก ผิดกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีกฎเกณฑ์เลือกเฟ้นผู้เข้าศึกษามากมาย<br /><br />นอกจากนี้เขาได้กล่าววิจารณ์เค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งแรกมีแต่ความเหลวแหลก ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลของการยกทหารหัวเมืองมา เขาเห็นว่าบทบาทของพวกเขานั้นเป็นการต่อสู้เพื่อ "ฝังหมุดประชาธิปไตย" ที่แท้จริงตามพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ในแถลงการณ์สละราชสมบัติ อันพวกสะเก็ดนักปฏิวัติทั้งโขยงจะหักล้างมิได้<br /><br />สำหรับเขาแล้ว เขาไม่พอใจกับอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญที่หลักสี่มาก เขาเห็นว่าเป็นอนุสาวรีย์แห่งแรกและแห่งเดียวที่ไม่มีความหมายอะไรที่จะไปจดจำ ซึ่งต่างไปจากอนุสาวรีย์ของกษัตริย์แห่งอื่นๆ เพราะมันเป็นความทรงจำของการรบของชนชาติเดียวกัน ทหารที่ตายก็มิได้แสดงความกล้าหาญแต่ประการใด ซึ่งไม่มีพลังความอันใดเลย นอกจากนี้เขาได้ลดทอนความหมายของอนุสาวรีย์แห่งนี้ด้วยการยกตัวอย่างการสร้างอนุสาวรีย์ย่าเหลขึ้นเพื่อเชิดชูความกตัญญูขึ้นเทียบเคียง แต่สำหรับอนุสาวรีย์ที่หลักสี่นี้มีความหมายเพียงหลักหมายของสัปปุรุษที่ไปงานวัด เขาเล่าว่าเขาพยายามคิดหาเหตุผลของการมีอยู่ของอนุสาวรีย์นี้หลายตลบก็หามีความหมายอันใดไม่ เขาท้าว่ามีใครบ้างที่ไปกราบไหว้นอกจากทหารที่ต้องวางพวงมาลาปีละครั้ง ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว อนุสาวรีย์แห่งนี้จึงเป็นเพียงการยืนยันถึงความเคียดแค้น และเป็นเพียงสถานที่ที่โจรผู้ร้ายใช้เป็นพื้นที่จี้ปล้นเท่านั้น<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นอกจากนี้สำหรับหมุดคณะราษฎรที่ตอกจารึก ณ ลานพระบรมรูปทรงม้านั้น เขาก็ไม่ชอบใจเช่นกัน เขาบันทึกล้อเลียนข้อความหมุดคณะราษฎรว่า "ในวันนั้นและที่นั้น พันเอก พระยาพหลฯ หัวหน้าขบถได้หลอกลวงทหารเหล่าต่างๆ ในกรุงเทพ ให้มารวมกันและได้ยืนขึ้นประกาศระบอบประชาธิปไตย" และสุดท้ายเขาได้ให้ฉายาหัวหน้าคณะราษฎร (พระยาพหลฯ) ว่า "หมูห่มหนังราชสีห์ออกนั่งแท่น"<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นอกจากนี้เขาพยายามแยกสลายการผูกความหมายของการปฏิวัติไทยกับฝรั่งเศสว่ามีความต่างกันและเขาพยายามจับคู่ความหมายให้ผิดแผกออกไป เขาเห็นว่า การปฏิวัติฝรั่งเศสนั้นเกิดจากเหล่าอำมาตย์ส่วนใหญ่ในยุคพระเจ้าหลุยส์ได้กดขี่ประชาชน แต่สำหรับสยามไม่มีอำมาตย์ที่กดขี่ประชาชน ประชาชนสยามอยู่ดีกินดี เคารพพระมหากษัตริย์ มีแต่อำมาตย์ส่วนน้อยเท่านั้นที่เนรคุณขบถต่อพระมหากษัตริย์ และเขาได้เชื่อมโยงอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญนี้ (ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการปราบปรามฝ่ายต่อต้านระบอบใหม่) เข้ากับการเรียกร้องสิทธิของประชาชน โดยเขาดำเนินการเปรียบว่าอนุสาวรีย์นี้เทียบไม่ได้กับอนุสาวรีย์ที่บาสติลหรือเลนินในความหมายของการเรียกร้องสิทธิของประชาชน<br /><br />อย่างไรก็ตามในหนังสือเล่มนี้หลุยปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับกบฏบวรเดชว่า คณะของเขา (ซึ่งมีพระยาศราภัยพิพัฒ หลวงมหาสิทธิโวหาร (สอ เสถบุตร) ไม่รู้จักกับพระองค์เจ้าบวรเดช ตราบเท่าทุกวันนี้ (๒๔๙๓) แต่พวกเขากลับถูกคณะราษฎรกล่าวหาว่าไปสมคบคิดกับพระองค์เจ้าบวรเดชนั้น ข้อความในลักษณะเช่นนี้ อาจสะท้อนให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและเจตนารมณ์ที่ซ่อนเร้นในการเคลื่อนไหว ทางการเมืองของชาว "น้ำเงินแท้" ที่เขียนสารคดี "รื้อ" การปฏิวัติ ๒๔๗๕ และคณะราษฎร พร้อมประกาศพวกตนเป็น "นักประชาธิปไตย" ที่ต่อสู้กับคณาธิปไตยนั้น เป็นความพยายามหนึ่งในการรื้อสร้างการปฏิวัติ พร้อมกับการสร้างความหมายใหม่ให้ชาว "น้ำเงินแท้" เป็น "นักประชาธิปไตย" ทั้งนี้การรื้อสร้างความหมายและพยายามอธิบายตนเองใหม่ของชาว "น้ำเงินแท้" เหล่านี้ซึ่งพบได้มากมายในงานของพวกเขา และต่อมาได้ถูกนำไปเป็นแนวทางในการรับรู้อดีตที่กลับหัวกลับหางของคนรุ่นหลังต่อ "วีรกรรม" ของกบฏบวรเดชและชาว "น้ำเงินแท้" เพื่อเปรียบเทียบ "ทุรกรรม" ของคณะราษฎร "เผด็จการคณาธิปไตย" ที่ช่วงชิงพระราชอำนาจไป</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>๒๔๗๕ กับแรงปฏิวัติที่อ่อนล้า</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อย่างไรก็ตามไม่ใช่แต่เพียงมีงานรื้อสร้างการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ของชาว "น้ำเงินแท้" แต่เพียงกลุ่มเดียว ในช่วงเวลานั้นยังมีงานเขียนประเภทบันทึกความทรงจำจากเหล่าคณะราษฎรจำนวนหนึ่งที่ได้เขียนหรือให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการปฏิวัติ เช่น เบื้องหลังการปฏิวัติ (มีนาคม ๒๔๙๐) ของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ที่สัมภาษณ์พระยาพหลฯ แผนการปฏิวัตรเล่าโดย พล.ต. พระประศาสน์พิทยายุทธ์ ของจำรัส สุขุมวัฒนะ (๒๔๙๑) ที่ได้สัมภาษณ์พระยาประศาสน์พิทยายุทธ์ และชีวิตปฏิวัติ ของขุนศรีศรากร (๒๔๙๓) บันทึกพระยาทรงสุรเดช (๒๔๙๐) ถูกพิมพ์เผยแพร่เช่นกัน<br /><br />สำหรับหลังปี ๒๕๐๐ แล้ว มีงานชีวิตและการต่อสู้ทางการเมืองพระยาฤทธิอาคเนย์ ของเสทื้อน ศุภโสภณ ที่ได้สัมภาษณ์พระยาฤทธิ์ฯ (๒๕๑๔) จอมพล ป. พิบูลสงคราม ของอนันต์ พิบูลสงคราม (๒๕๑๘-๑๙) ซึ่งเป็นงานเขียนของบุตรชายของเขา อย่างไรก็ตามสาระในงานความทรงจำเหล่านี้ส่วนมากเป็นการบันทึกเหตุการณ์ถึง ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ในการปฏิวัติ และหากจะมีการกล่าวถึง "กบฏบวรเดช" ก็เป็นการเล่าเหตุการณ์มากกว่าการประเมินหรือวิจารณ์อย่างรุนแรงหากเปรียบเทียบเท่ากับที่ชาว "น้ำเงินแท้" ปฏิบัติต่อการปฏิวัติ ๒๔๗๕<br /><br />อย่างไรก็ตามท่ามกลางการหมุนวนของข้อมูลและความหมายจากการรื้อสร้างการปฏิวัติ พร้อมกับขบวนการรื้อสร้างของชาว "น้ำเงินแท้" และพันธมิตรแนวร่วมทวีจำนวนมากขึ้น ในเชิงเปรียบเทียบแล้วงานเขียนรื้อสร้างจากเหล่าชาว "น้ำเงินแท้" นั้นมีลีลาซาบซึ้งกินใจ น่าเห็นอกเห็นใจและมีจำนวนมากกว่างานจากคณะราษฎรมาก แต่คณะราษฎรจำนวนมากที่ยังอยู่ในประเทศกลับเพิกเฉย และค่อยๆ ร่วงโรยจากไปทีละคน (อาจเป็นไปได้ที่พวกเขาสิ้นอำนาจและโครงสร้างและบริบททางการเมืองในขณะนั้น ไม่เอื้อให้พูดอีก) มีแต่เพียงงานเขียนของหลวงประดิษฐ์ฯ (ในขณะนั้นเขาอยู่ที่ฝรั่งเศส) เท่านั้นที่พยายามอธิบายถึงสาเหตุและความหมายของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ตลอดจนพยายามต่อสู้ในเชิงความหมายกับกระบวนการรื้อสร้างของชาว "น้ำเงินแท้" และกลุ่มพันธมิตรแนวร่วมตราบจนเขาสิ้นชีวิตเมื่อปี ๒๕๒๖<br /><br />ในช่วงหลังปี ๒๕๑๖ มีความพยายามในการรื้อฟื้นภาพลักษณ์ของคณะราษฎรผ่านหลวงประดิษฐ์ฯ จากนิสิตนักศึกษาและกลุ่มของสุพจน์ ด่านตระกูล แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ทุกอย่างก็ปิดฉากลง อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักวิชาการประวัติศาสตร์กลางทศวรรษ ๒๕๒๐ เป็นต้นมา ก็ได้เริ่มผลิตผลงานวิชาการทั้งตำรา วิทยานิพนธ์ และบทความในการประเมินภาพการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ในทางบวกมากขึ้น ตลอดจนการเปิดกว้างของวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยและวารสารกึ่งวิชาการที่ ให้ความสำคัญ กับการทบทวนภาพการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ใหม่ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การเคลื่อนไหวทางปัญญาเหล่านี้มีผลในการฟื้นพลังแห่งความหมายของการปฏิวัติ ที่เคยถูกทำลายอย่างมีกระบวนการโดยชาว "น้ำเงินแท้" และพันธมิตรแนวร่วม ให้กลับมีพลังขึ้นมาบ้าง ท่ามกลางความสับสนอลหม่านของระบอบการเมืองไทยในยุคปัจจุบันที่อ้างว่า "ไม่เหมือนใคร" ในระบอบประชาธิปไตยที่ยึดถือกันเป็นสากล แต่ระบอบการเมืองนี้มุ่งแต่จำกัดอำนาจและให้ความสำคัญต่ำกับสถาบันการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน แต่กลับพยายามเพิ่มอำนาจและเพิ่มความหมายให้กับสถาบันการเมืองอื่นที่มิได้มาจากการเลือกตั้งให้มากขึ้น จนกลายเป็นระบอบการเมืองกลายพันธุ์<b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ฝันจริงของชาว "น้ำเงินแท้" และฝันร้ายของคณะราษฎร</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">กระบวนการรื้อสร้าง ๒๔๗๕ ในงานเขียนของชาว "น้ำเงินแท้" และพันธมิตรแนวร่วมที่ทำดูเสมือน "เป็นเสรีนิยมและประชาธิปไตย" ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน อย่างน้อยเริ่มต้นตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อชาว "น้ำเงินแท้" ได้รับการนิรโทษกรรม เขาเหล่านั้นได้เข้ามามีบทบาททั้งทางการเมือง ปัญญาชน นักหนังสือพิมพ์ นักรัฐประหาร ผนวกกับกลุ่มอื่นๆ ในเวลาต่อมาจนนำไปสู่การพลิกความหมาย (คณะราษฎรกลายเป็นบรรพบุรุษของเผด็จการทหารที่ต้องโค่นล้มพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ความเป็นตัวแทนของความเป็นประชาธิปไตยและอุดมการณ์ของกบฏบวรเดช คือจุดเริ่มต้นของขบวนการประชาธิปไตยในการต่อสู้กับคณาธิปไตยเผด็จการที่นิสิตนักศึกษาใช้เป็นแบบอย่างและสืบทอดเจตนารมณ์) กลายเป็นพลังในการโค่นล้มรัฐบาลทหารในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ผลพวงจากปฏิบัติการเหล่านี้ได้ก่อตัวและคลี่คลายไปยังความรู้สึกนึกคิดของผู้คนที่มองการปฏิวัติและคณะราษฎรในเชิงลบมากขึ้นในเวลาต่อมา<br /> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หากเราจะแบ่งกลุ่มการร่วมรื้อสร้างแล้ว สามารถแบ่งงานเขียนกว้างๆ ได้ ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มร่วมรื้อสร้างจากเคยได้รับผลร้ายโดยตรง เช่น พวก "รอยัลลิสต์" และพันธมิตรแนวร่วม อาทิ งานเขียนของชาว "น้ำเงินแท้" นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ นักเขียนสารคดี ที่ผลิตงานเขียนตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ และถูกผลิตซ้ำจำนวนมากในช่วงปี ๒๕๑๐ ส่วนกลุ่มที่ ๒ นั้นร่วมรื้อจากแง่มุมวิชาการ ตำรา และวิทยานิพนธ์ทางรัฐศาสตร์ในช่วงทฤษฎีการพัฒนาการเมืองเฟื่องฟู และวิทยานิพนธ์ที่ทำในช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐-๒๕๒๐ (ที่มองว่าบทบาทของทหารเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย และตีความว่าคณะราษฎรคือกำเนิดของพลังอำมาตยาธิปไตย) และตำราวิทยานิพนธ์ทางประวัติศาสตร์การเมืองที่ทำในช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐-๒๕๒๐ เป็นต้น </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ตลอดจนการปัดฝุ่นรื้อฟื้นงานเขียนเก่าๆ ทั้งนิยายและสารคดีการเมืองของเหล่าชาว "น้ำเงินแท้" ที่เคยพิมพ์เผยแพร่เมื่อครั้งปี ๒๔๙๐ นั้นออกมาผลิตพิมพ์ซ้ำโดยเฉพาะอย่างในช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐ อย่างมากมาย ตลอดจนงานเขียนทั้งความทรงจำและบทความทางการเมือง นิยาย อีกทั้งงานวิจัย วิทยานิพนธ์จำนวนมากมายมหาศาลที่ล้วนมองและประเมินการปฏิวัติและบทบาทของคณะ ราษฎรในแง่ลบและเป็นผู้ทำลายประชาธิปไตย<br /><br />นอกจากนี้ความไม่ตระหนักในการรื้อสร้าง ๒๔๗๕ จากชาว "น้ำเงินแท้" ของคณะราษฎร ตลอดจนการหมดสิ้นอำนาจของคณะราษฎร มีผลให้กระบวนการบ่อนเซาะความชอบธรรมของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ จากชาว "น้ำเงินแท้" ได้วางรากฐานให้กับระบอบการเมืองกลายพันธุ์ในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามกว่าจะมีการตระหนักรู้ถึงกระบวนการรื้อสร้างนั้น อาการหมดสิ้นความหมายก็เข้ารุมเร้าการปฏิวัติ ๒๔๗๕ และคณะราษฎรจนแทบกู้เกียรติและกู้ระบอบไม่ขึ้น การรื้อสร้างจากการเมืองเรื่องเล่าเหล่านี้ได้รื้อสร้างความหมายเดิมและ สร้างความหมายใหม่ในลักษณะกลับหัวกลับหาง อันเป็นรากฐานของความคิดในการร่างรัฐธรรมนูญและความรู้สึกนึกคิดของผู้คนที่นำไปสู่ระบอบการเมืองกลายพันธุ์<br /><br />ตลอดจนการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ได้สูญเสียสถานะ ความหมาย และความชอบธรรมในความรับรู้และความทรงจำของผู้คนอันนำไปสู่เรื่องเล่าอื่น ที่เป็นอภิมหาอรรถกถาครอบจักรวาลที่ทำให้สรรพสิ่งในระบอบนี้ล้วนมีผู้ครอบครองมาก่อน ซึ่งหาใช่โลกของคนสามัญธรรมดาตามระบอบประชาธิปไตยไม่<br /><br />ขอบคุณ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ครูที่สอนให้ข้าพเจ้ารู้ว่าการได้คิดเป็นภาวะบรรเจิดเพียงใด ผศ.ดร.พิษณุ สุนทรารักษ์ ที่ให้ความกรุณาทุกครั้งกับศิษย์คนนี้ และ ศ.ดร.อนุสรณ์ ลิ่มมณี ผู้ที่ทำให้ห้องเรียนกลายเป็นที่คุ้นเคยอีกครั้ง ขอบคุณสำหรับคำพร่ำสอนที่ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยที่ให้กับข้าพเจ้าของ ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ และอาจารย์ศิวะพล ละอองสกุล ตลอดจนกับ ผศ.ร.ท.เทอดสกุล ยุญชานนท์ และ รศ.วีณา เอี่ยมประไพ ที่ให้ความเมตตาข้าพเจ้าเสมอมา ขอบคุณคุณสุพจน์ แจ้งเร็ว ที่กระตุ้นให้ข้าพเจ้าล้วงลงไปควานหาความรู้สึกที่มีต่อระบอบการปกครองร่วม สมัย ขอบคุณนักวิชาการและผู้รักในความรู้ทุกคนที่บุกเบิกให้การปฏิวัติ ๒๔๗๕ เปล่งประกายความหมายอีกครั้ง และมิตรภาพของจีรพล เกตุจุมพล ทวีศักดิ์ เผือกสม และธนาพล อิ๋วสกุล ที่มอบให้ข้าพเจ้า ขอบคุณแม่ของข้าพเจ้าที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่ารักของแม่ยิ่งใหญ่เสมอ และสุดท้าย พีรญา มานะสมบูรณ์ ผู้ที่เป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้า หากบทความนี้มีประโยชน์อยู่บ้างขอเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำที่มีถึงจิตใจที่ กล้าหาญของคณะราษฎรที่หาญกล้านำการปฏิวัติในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เพื่อนำแสงสว่างแห่งระบอบใหม่มาให้คนไทยทุกคน แม้ว่าชื่อและวีรกรรมของพวกเขาจะถูกลบเลือนไปกับมรสุมการเมือง<br /><b> </b></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>คัดลอกจากที่มา http://www.vcharkarn.com/vcafe/149473 </b></span></div>
<b style="color: #474534; font-family: 'Helvetica Neue', Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หมายเหตุ เชิงอรรถอาจไม่ครบถ้วนเพราะลิ้งค์ต้นฉบับโดนลบไปแล้ว</span></span></b>กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-74838938203719555842013-12-10T12:27:00.001+07:002013-12-10T12:27:01.562+07:00ต้นกำเนิดรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: 'Helvetica Neue', Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiM81T3mK1L0dzB10eafT_su54PJ1vIq0Q22sVDeRrJirIc2P-Zj9h24wZu5fojYrhp0fPhzY5nImSlT2r089-xdxeLw5ueSQJ1mFselSXrIB94TyKp7ZuxYz73of0YaUEf0EKoQHWHrUeg/s1600/5.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiM81T3mK1L0dzB10eafT_su54PJ1vIq0Q22sVDeRrJirIc2P-Zj9h24wZu5fojYrhp0fPhzY5nImSlT2r089-xdxeLw5ueSQJ1mFselSXrIB94TyKp7ZuxYz73of0YaUEf0EKoQHWHrUeg/s320/5.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="265" /></a></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">รัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา (The Constitution)</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ความนำ</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในการปกครองประเทศต่างๆนั้น ย่อมมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการจัดสังคมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายแม่บทเพื่อเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายในการจัดระเบียบของสังคมให้มีความสันติสุข กฎหมายแม่บทซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศเรียกว่า <b>“กฎหมายรัฐธรรมนูญ”</b> ซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญอาจมีสาระสำคัญแตกต่างกันไปตามลัทธิการปกครองของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างหลักของรัฐธรรมนูญจะระบุเกี่ยวกับการใช้อำนาจในการปกครอง ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ รวมทั้งบทบัญญัติอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของการปกครองแต่ละสังคมด้วย ในปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่าทุกประเทศมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ แต่ลักษณะของรัฐธรรมนูญอาจแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับระบอบการปกครองหรือประเพณีการปกครองที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ประเทศสหรัฐอเมริกาก็เช่นกัน ได้กำหนดให้รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศและเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกครองประเทศซึ่งก่อให้เกิดความเจริญมั่นคงทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและเป็นต้นแบบของรัฐธรรมนูญในประเทศต่างๆ จำนวนมาก การที่รัฐธรรมนูญมีอายุยืนยาวกว่า 200 ปี นั้นเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกามีจุดเริ่มต้นจากคำประกาศอิสรภาพของ โธมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากนักปรัชญาเมธี จอห์น ล็อค (John Lock) </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgY_s_QGI4jrg8I4P9PkNAZ9uy91KD1vwxvKbY_H8Bk0jPFMpxlF3_u9W71yzRBAmUDEAUf_RGVdZPldFyPWy-bAfbtGTKbwUrhz-4CtLc6t1Bsnjc5Hs6izMOfBGPSb_uI7i_rOS6cClOg/s1600/6.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgY_s_QGI4jrg8I4P9PkNAZ9uy91KD1vwxvKbY_H8Bk0jPFMpxlF3_u9W71yzRBAmUDEAUf_RGVdZPldFyPWy-bAfbtGTKbwUrhz-4CtLc6t1Bsnjc5Hs6izMOfBGPSb_uI7i_rOS6cClOg/s1600/6.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">จอห์น ล็อค (John Lock)</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นอกจากนี้คำประกาศอิสรภาพยังมีรากฐานมาจากอิทธิพลดั้งเดิมของสหราชอาณาจักร คือการที่ว่าสหรัฐอเมริกาเป็นเมืองขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกถึงการกีดกันสิทธิและการไม่ได้เป็นพลเมืองของสหราชอาณาจักรสิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานในการนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกามีการผสมผสานความคิดต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและสถานการณ์ในขณะนั้น รัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกามีลักษณะชัดเจนไม่สลับซับซ้อนสามารถปรับใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยโดยกำหนดให้มีการแก้ไขได้ ทั้งนี้เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการนำไปใช้ในโลกของความเป็นจริง เพื่อให้การบริหารประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การศึกษาเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยได้กล่าวถึงเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาซึ่งครอบคลุมสาระสำคัญต่างๆ ได้แก่ ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญ หลักการแห่งรัฐธรรมนูญ โครงสร้างรัฐธรรมนูญ และกระบวนการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ความขัดแย้งระหว่างสหราชอาณาจักรซึ่งเป็นเมืองเก่ากับอาณานิคมทั้ง 13 แห่งในอเมริกาได้เริ่มต้นมานานแล้ว เนื่องมาจากนโยบายของสหราชอาณาจักรในเรื่องการค้า และการจัดเก็บภาษีได้ส่งผลกระทบต่อความคิดของชาวอาณานิคมเป็นอย่างมาก และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังจากที่บทความเรื่อง “สามัญสำนึก” (Common Sense) ของ โธมัส เพน (Thomas Paine) ได้พิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ.1776 ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia) ซึ่งกล่าวถึงการประกาศอิสรภาพของชาวอาณานิคม และมีการเผยแพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว จนกระทั่งนำไปสู่การรวมตัวเพื่อประกาศอิสรภาพจากสหราชอาณาจักรในปี ค.ศ. 1776</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgucA7DZqxEEgqXUuLs89TwQ61lIsKYsz1-LjfHeId0qiaaZHATiqcORex1ia_yCEi25FoOeG_9u7jTvoTAE0jI92ueWoc931JfQwc4YF-tC1b-atGezJKVm1ykR1Snb7BnktmLkGbO_Bhk/s1600/8.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgucA7DZqxEEgqXUuLs89TwQ61lIsKYsz1-LjfHeId0qiaaZHATiqcORex1ia_yCEi25FoOeG_9u7jTvoTAE0jI92ueWoc931JfQwc4YF-tC1b-atGezJKVm1ykR1Snb7BnktmLkGbO_Bhk/s320/8.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="245" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">โธมัส เพน (Thomas Paine)</span></td></tr>
</tbody></table>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgyu7ib7IdyBCFiIE8PO-EeNKgpdMMIwMZb7Azee3kqlHpzjbabcnxZUbb-F5zsZcCUnHnVj2uvKWYs-MLcmtJXEVGDsAarwvaoLKIH570rd5cWv5Gy4wt_NzZHedYsx_xxGvHbtKwM5N5x/s1600/7.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgyu7ib7IdyBCFiIE8PO-EeNKgpdMMIwMZb7Azee3kqlHpzjbabcnxZUbb-F5zsZcCUnHnVj2uvKWYs-MLcmtJXEVGDsAarwvaoLKIH570rd5cWv5Gy4wt_NzZHedYsx_xxGvHbtKwM5N5x/s320/7.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="204" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สามัญสำนึก (Common Sense)</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">โดยผู้นำจาก 13 มลรัฐได้ประชุมร่วมกัน เรียกว่า “Continental Congress” และที่ประชุมได้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการพิเศษขึ้นในเดือนมิถุนายนเพื่อร่างคำประกาศอิสรภาพ ผู้ที่ถูกคัดเลือกให้เป็นผู้เขียนคำประกาศดังกล่าว คือ โธมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) จากมลรัฐเวอร์จิเนีย (Virginia) ต่อมาได้มีการแก้ไขจนเสร็จสมบูรณ์ ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 โดยมีผู้แทนลงนามให้สัตยาบันทั้งสิ้น 56 คน </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh0kfuWu4h0K1Mk5iHQbRQGx_FBgCNejpB-WJ2y8EsuvwxvNTgSzIFu5h8O8e9B8mqqF7dJ5WDdwvdrzUUm_zEi7NOYmGlaulIGMO3rqLzaad0O0Sz4an82-tg_7z1JCC9v1DbwWDHhUrrG/s1600/9.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" height="212" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh0kfuWu4h0K1Mk5iHQbRQGx_FBgCNejpB-WJ2y8EsuvwxvNTgSzIFu5h8O8e9B8mqqF7dJ5WDdwvdrzUUm_zEi7NOYmGlaulIGMO3rqLzaad0O0Sz4an82-tg_7z1JCC9v1DbwWDHhUrrG/s320/9.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="320" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การประชุม Continental Congress</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">หลังจากคำประกาศอิสรภาพได้ไม่นานจึงมีการร่างบทบัญญัติแห่งสมาพันธรัฐขึ้น (Article of Confederation) ซึ่งนับได้ว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของสหรัฐอเมริกา บทบัญญัตินี้มิได้รับการยอมรับจากมลรัฐสมาชิก จนกระทั่งในปี ค.ศ.1781 การให้สัตยาบันจึงครบสมบูรณ์ สาเหตุที่ต้องใช้ระยะเวลานานเนื่องจากมลรัฐอิสระต่างๆ มีความต้องการที่จะรักษาอธิปไตย และอำนาจของมลรัฐของตนไว้ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOGOLnLeEfkFfUCEUtpKhyFkvBQ2AzGRSvdU0Ot2ZWIjhgPuECFWEmy2CYZWOvqv2jKdapLk2wfcYZsBOtb_vCcrILOR2bLNUfMZGkB-Z49LEnlw_WY-CwMuB4TD8psP_eat-0-XuC0R3Z/s1600/articles-of-confederation.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOGOLnLeEfkFfUCEUtpKhyFkvBQ2AzGRSvdU0Ot2ZWIjhgPuECFWEmy2CYZWOvqv2jKdapLk2wfcYZsBOtb_vCcrILOR2bLNUfMZGkB-Z49LEnlw_WY-CwMuB4TD8psP_eat-0-XuC0R3Z/s320/articles-of-confederation.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="175" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">บทบัญญัติแห่งสมาพันธรัฐขึ้น (Article of Confederation)</span></td><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"></td></tr>
</tbody></table>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">บทบัญญัติของสมาพันธรัฐเกิดขึ้นหลังจากการประกาศอิสรภาพเป็นลักษณะการรวมตัวกันอย่างหลวมๆ ของมลรัฐต่างๆ การตัดสินใจในหัวข้อต่างๆ จะกระทำกันในสภานิติบัญญัติของมลรัฐ ซึ่งอำนาจส่วนใหญ่จะไปตกอยู่ที่สภานิติบัญญัติของมลรัฐ ในขณะที่รัฐบาลกลางของสมาพันธ์มีอำนาจจำกัด อาทิ รัฐบาลกลางไม่มีอำนาจในการที่จะเรียกเก็บภาษี ไม่มีอำนาจในการวางกฎเกณฑ์ทางการค้าระหว่างมลรัฐหรือยับยั้งการเก็บภาษีของมลรัฐต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาได้แก่ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ประการแรก</b> ปัญหาหนี้สินของสมาพันธรัฐ เนื่องจากรัฐบาลกลางต้องพึ่งพามลรัฐต่างๆ ในการจัดส่งภาษีประจำปีให้ แต่มลรัฐต่างๆ ไม่ให้ความร่วมมือในการจัดส่งภาษี จึงก่อให้เกิดปัญหาแก่รัฐบาลกลางในการชำระหนี้และขาดงบประมาณในการปฏิบัติงาน</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ประการที่สอง</b> รัฐบาลกลางไม่มีอำนาจในการติดต่อกิจการระหว่างประเทศ รวมทั้งการไม่มีกองทัพ จึงก่อให้เกิดปัญหาภายนอกอาณาเขตที่มีผลกระทบต่อสมาพันธรัฐ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในที่สุดปัญหาต่างๆ ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ก่อให้เกิดความเป็นศัตรูทางการค้าระหว่างมลรัฐต่างๆ เนื่องจากแต่ละมลรัฐต่างมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ของตน เช่น มลรัฐนิวยอร์ค (New York) และมลรัฐนิวเจอร์ซี (New Jersey) มีการตั้งกำแพงภาษีสูงสุดสำหรับสินค้าจากภายนอก นอกจากนั้นในปี ค.ศ. 1784 เกิดสภาะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงขึ้นในสหรัฐอเมริกา ทำให้แต่ละมลรัฐพยายามกระทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตน โดยไม่คำนึงถึงอำนาจของสมาพันธรัฐ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ผลักดันการแก้บทบัญญัติสมาพันธรัฐ นั่นคือ การเกิด “จลาจลของเชส” (The Shay’ Rebellion) ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1786 โดยกลุ่มชาวไร่ชาวนาทางภาคตะวันตกของมลรัฐ แมสซาชูเสท (Massachusett) ประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ เกิดความไม่พอใจในเรื่องที่สภานิติบัญญัติของมลรัฐไม่ยอมทำตามคำเรียกร้องในการออกเงินตราและกฎหมายเพื่อยับยั้งการใช้หนี้การจลาจลครั้งนี้นำโดย แดเนียล เชส์ (Daniel Shsys) แต่ในที่สุดฝ่ายจราจลเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อรัฐบาลกลาง เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มลรัฐเกิดความรู้สึกที่จะสนับสนุนรัฐบาลกลางมากขึ้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDa3muma5Yw3NhCk3PzRiNDVZD08u9roDoXGhO_6kclIft8HRuTv1d8Emywl7NohdUSOMp1QBP-ku6O_FovmSCcqqCGz-P0xDcLXVUEbnSGKL1uZZGqAFsIKYnAJ5PNkPg7A_wH6F_xeC5/s1600/10.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" height="218" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDa3muma5Yw3NhCk3PzRiNDVZD08u9roDoXGhO_6kclIft8HRuTv1d8Emywl7NohdUSOMp1QBP-ku6O_FovmSCcqqCGz-P0xDcLXVUEbnSGKL1uZZGqAFsIKYnAJ5PNkPg7A_wH6F_xeC5/s320/10.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="320" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">จลาจลของเชส (The Shay’ Rebellion) 1786</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ดังนั้น ในปี ค.ศ. 1786 มลรัฐเวอร์จิเนีย (Virginia) ในฐานะสมาชิกของสมาพันธรัฐได้ออกคำเชิญให้มลรัฐอื่นๆ เข้าร่วมประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาการค้าและการพาณิชย์อันเกิดจากข้อจำกัดของมลรัฐต่างๆ ที่เมืองแอนนาโปลิส (Annapolis) มลรัฐแมรี่แลนด์ (Maryland) การประชุมในครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ในตอนท้ายของการประชุมได้มีมติให้ทุกมลรัฐแต่งตั้งผู้แทนของตนเข้าร่วมประชุมที่เมืองฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia) ในปี ค.ศ. 1787 ซึ่งในการประชุมที่ฟิลาเดเฟีย ได้รับความร่วมมือจากผู้แทนจากมลรัฐต่างๆ เข้าร่วมประชุม 55 คน จากทั้งหมด 74 คน ผลของการประชุมดังกล่าวนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของสหรัฐอเมริกาเพื่อแทนที่บทบัญญัติแห่งสมาพันธรัฐเดิม</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การประชุมร่างรัฐธรรมนูญ ( The Constitutionnal Convention )</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในปี ค.ศ.1787 ตัวแทนจากมลรัฐต่างๆ ได้เข้าร่วมประชุมที่เมืองฟิลาเดลเฟียเพื่อร่างรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา ผู้ที่เป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ประกอบด้วยบุคคลที่มีความมั่งคั่ง มีระดับการศึกษาสูง เป็นกลุ่มเจ้าของธุรกิจการค้าและเป็นผู้ที่มีผลประโยชน์ในที่ดิน ไม่มีสมาชิกที่มาจากกลุ่มของผู้ใช้แรงงานและชาวนา จำนวนผู้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้มีทั้งหมด 55 คน จากตัวแทน 74 คน (12 มลรัฐ) ยกเว้น โรดไอแลนด์ (Rhode Island) เท่านั้นที่ไม่มาเข้าร่วมประชุม เนื่องจากรัฐบาลของโรดไอแลนด์ขาดความเข็มแข็งและไร้เสถียรภาพ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในการร่างรัฐธรรมนูญคณะผู้เข้าร่วมประชุมได้มีความเห็นแตกแยกกันเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายหนึ่งต้องการรัฐบาลที่เข็มแข็งซึ่งเรียกตัวเองว่า ฝ่ายเฟดเดอรัลลิสต์ (Federalist ) และอีกฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาไว้ซึ่งอำนาจและสิทธิเสรีภาพของประชาชนและมลรัฐ โดยไม่เห็นด้วยกับการรวมอำนาจของรัฐบาลกลาง เรียกตัวเองว่า ฝ่ายแอนติเฟดเดอรัลลิสต์ ( Anti- Federalist ) ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีแนวความคิดแตกต่างกันอย่างชัดเจน </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เมื่อการประชุมร่างรัฐธรรมนูญเริ่มขึ้น ผู้แทนที่เข้าร่วมประชุมรัฐธรรมนูญได้ยอมรับแผนการเวอร์จิเนีย ( Virginai Plan ) ซึ่ง เอ็ดมันด์ แรนดอล์ฟ ( Edmund Randolph ) เป็นผู้เสนอโดยแผนการเวอร์จิเนีย มีวัตถุประสงค์สำคัญคือการเรียกร้องให้เพิ่มอำนาจรัฐบาลกลางโดยระบุให้รัฐบาลปกป้องเสรีภาพ และความเป็นอยู่ของประชาชน และยังกล่าวถึงอำนาจหน้าที่ของผู้นำฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ซึ่งในบทบัญญัติแห่งสมาพันธรัฐมิได้บัญญัติไว้ ดังนั้น จึงพบว่าแผนการเวอร์จิเนีย มีวัตถุประสงค์ที่จะร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่มากกว่าเป็นเพียงแค่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเดิมที่เรียกว่า อาร์ติเคิลออฟคอนเฟดเดอเรชั่น ( Articles of Confederation ) ที่ประกาศใช้มาก่อนหน้านี้ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2yO-pmJyTH-Q-3APMeRXWRzaoNjaBXwBdblWuuIEWhhpXlPFCOrQVD4-qMbrnsKMXlMGDBRCGHoQWiR3lD2J0RXcCNydkfmm3-jIchc1_nfbxoyQENW2NsZv-JgZIC2qgWo0gOl-BUeZN/s1600/11.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2yO-pmJyTH-Q-3APMeRXWRzaoNjaBXwBdblWuuIEWhhpXlPFCOrQVD4-qMbrnsKMXlMGDBRCGHoQWiR3lD2J0RXcCNydkfmm3-jIchc1_nfbxoyQENW2NsZv-JgZIC2qgWo0gOl-BUeZN/s320/11.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="204" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แผนการเวอร์จิเนีย ( Virginai Plan )</span></td></tr>
</tbody></table>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjmc_2GrFQDyHLuTtDDJ10B5pAgpHm5O3AzWhOeqPiwvTEfC10-96bgdhWQ9UhGj6pCk3Q0hUvMZZw93TIpTqOxhNLB7167sV6_Fwsotb32M1iCuPB5QZijNOfY-tkVXvf3SMm-IsIVugay/s1600/12.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjmc_2GrFQDyHLuTtDDJ10B5pAgpHm5O3AzWhOeqPiwvTEfC10-96bgdhWQ9UhGj6pCk3Q0hUvMZZw93TIpTqOxhNLB7167sV6_Fwsotb32M1iCuPB5QZijNOfY-tkVXvf3SMm-IsIVugay/s320/12.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="270" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เอ็ดมันด์ แรนดอล์ฟ ( Edmund Randolph ) ผู้เสนอแผนการเวอร์จิเนีย</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นอกจากนี้ ยังมีแผนการนิวเจอร์ซี ( New Jersey Plan ) ซึ่งวิลเลี่ยม ปีเตอร์สัน ( William Peterson ) เป็นผู้เสนอ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgei5w1vgm1KxDxlms_9XOFHkh6yBw8v3SuU2dmMa9-C4-di-8SvpJfDBSNpo7kz8tKnvDQI47xFUs-mqX6usV_w5Zwt1Lu0n9GnfwjhqHtrzv5VTFUIqmlWxZWM1Z5ghwWcy4osE8PVP0H/s1600/13.gif" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" height="255" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgei5w1vgm1KxDxlms_9XOFHkh6yBw8v3SuU2dmMa9-C4-di-8SvpJfDBSNpo7kz8tKnvDQI47xFUs-mqX6usV_w5Zwt1Lu0n9GnfwjhqHtrzv5VTFUIqmlWxZWM1Z5ghwWcy4osE8PVP0H/s320/13.gif" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="320" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แผนการนิวเจอร์ซี ( New Jersey Plan )</span></td></tr>
</tbody></table>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQqF2GJ53df7Ges4yvrZyoezvn5RsNdJvutxx7nbrOegGFILsmohWDXnGeamIMY-rxORzH62dVbuQeiq6DpeaUeCqsJxgs5VX5enJ-JpSylNsotGBbLq5TJjmXf9vI2WXIemoutkI9hx1X/s1600/14.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQqF2GJ53df7Ges4yvrZyoezvn5RsNdJvutxx7nbrOegGFILsmohWDXnGeamIMY-rxORzH62dVbuQeiq6DpeaUeCqsJxgs5VX5enJ-JpSylNsotGBbLq5TJjmXf9vI2WXIemoutkI9hx1X/s320/14.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="264" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">วิลเลี่ยม ปีเตอร์สัน ( William Peterson ) ผู้เสนอแผนการนิวเจอร์ซี ( New Jersey Plan )</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สาระสำคัญของแผนการเหล่านี้ได้ปรากฏอยู่ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาด้วย ดังรายละเอียด4krแสดงการเปรียบเทียบในตารางต่อไปนี้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7EPC-zPv-JQnJo6No6_sNQyVGge9Y7PlLqb2GQw7UlOVrh-0SWoAppY1CULoq1SG1XGfhkJ0rPXRRKqUSpGwxyTRE5lHweBDPqCJFhlti7VzW8axyKwFUSSWgRCJOZJI8M-azlb2g3kzY/s1600/IMG.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" height="483" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7EPC-zPv-JQnJo6No6_sNQyVGge9Y7PlLqb2GQw7UlOVrh-0SWoAppY1CULoq1SG1XGfhkJ0rPXRRKqUSpGwxyTRE5lHweBDPqCJFhlti7VzW8axyKwFUSSWgRCJOZJI8M-azlb2g3kzY/s640/IMG.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="640" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ภาพแสดงการเปรียบเทียบข้อเสนอในการร่างรัฐธรรมนูญ</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">จากเนื้อหาสาระของแผนการเจอร์จิเนีย ( Virginia Plan ) และแผนการนิวเจอร์ซี ( New Jersey Plan ) ก่อให้เกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป ในที่สุดได้มีการตกลงประนีประนอมในเรื่องสำคัญกัน ( Great Compromise ) ที่เมืองคอนเนคติกัต ( Connecticut ) ซึ่งเรียกว่า “เดอะ คอนเนคติกัท พรอมมิส (Connecticut Compromise ) ข้อตกลงดังกล่าวได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBNvQZN5M-AbuqDWJCfQBM3MBixJxA9Fx5qqvLFSIAZH5Q_vzd64nYTP9zVVYe8OXVSfVy29AYD9CmhjPRqRGflSJGh5p4mRDxdONqTdxYRoJ_q672YjnPHf188xazEALDuhCQ6IQNTOfI/s1600/15.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBNvQZN5M-AbuqDWJCfQBM3MBixJxA9Fx5qqvLFSIAZH5Q_vzd64nYTP9zVVYe8OXVSfVy29AYD9CmhjPRqRGflSJGh5p4mRDxdONqTdxYRoJ_q672YjnPHf188xazEALDuhCQ6IQNTOfI/s320/15.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="227" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เดอะ คอนเนคติกัท พรอมมิส (Connecticut Compromise)</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ประเด็นสำคัญในการตกลงครั้งนี้คือ</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ประการแรก</b> เรื่องจำนวนผู้แทนเนื่องจากมลรัฐเล็กเกรงว่ามลรัฐใหญ่จะใช้อิทธิพลในการมีผู้แทนที่มีจำนวนมากกว่าเข้าครอบงำการกระทำต่างๆ ของมลรัฐเล็ก ดังนั้น เพื่อเป็นการปัองกันความหวั่นวิตกของมลรัฐเล็ก รัฐธรรมนูญจึงกำหนดระบบสองสภาขึ้นมาโดยให้สภาผู้แทนราษฎร ( House of Representatives ) มีจำนวนผู้แทนตามอัตราส่วนของจำนวนประชากรของแต่ละมลรัฐและนับรวมทาสจำนวน 5 คน มีสิทธิเท่ากับ 3 คน ในการเลือกตั้งผู้แทน ส่วนสภาสูง ( Senate ) นั้นให้แต่ละมลรัฐมีผู้แทนได้เท่ากันคือ 2 คน</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ประการที่สอง</b> คือ การเลือกตั้งผู้นำฝ่ายบริหาร มีการประนีประนอมกันระหว่างฝ่ายที่ต้องการให้ผู้นำฝ่ายบริหารได้รับการเลือกตั้งจากสภาผู้แทนราษฎร กับอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งต้องการให้ผู้นำฝ่ายบริหารได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนข้อประนีประนอมตกลงให้สร้างคณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดี ( Electoral College ) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากมลรัฐต่างๆ มาทำการเลือกตั้งประธานาธิบดี </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การให้สัตยาบันรัฐธรรมนูญ ( Ratificalton of Constitution )</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การขอสัตยาบันจากที่ประชุมร่างรัฐธรรมนูญนั้นค่อนข้างมีปัญหาเพราะการเขียนร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่เป็นการกระทำที่เกินอานาจของผู้แทนที่เข้าร่วมประชุม เหตุผลคือวัตถุประสงค์ของการประชุมในตอนแรกเป็นเพียงความต้องการที่จะแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่องของบทบัญญัติสมาพันธรัฐให้ดีขึ้นแต่ผลการประชุมกลายเป็นการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบ และการให้สัตยาบันจากสภานิติบัญญัติของแต่ละมลรัฐ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อย่างไรก็ตาม ข้อบังคับของรัฐธรรมนูญได้รับความเห็นชอบในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ.1787 และมีการลงมติในวันที่ 17 กันยายน ซึ่งในที่ประชุมประกอบด้วยตัวแทนจาก 12 มลรัฐ (ยกเว้น Rhode Island )โดยมีผู้ลงชื่อเห็นชอบด้วย 39 คน จากผู้แทนทั้งหมด 42 คน จากนั้นจึงเสนอร่างต่อสภาคองเกรสของสมาพันธรัฐ (Confederation Congress) สภาคองเกรสได้มอบอำนาจให้สภานิติบัญญัติของแต่ละมลรัฐเพื่อตัดสินใจให้สัตยาบันต่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐธรรมนูญจะมีผลบังคับใช้ได้ต่อเมื่อได้รับการให้สัตยาบันจาก 9 มลรัฐใน 13 มลรัฐ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">รัฐบาลมีมลรัฐต่างๆ เริ่มให้สัตยาบันในปี ค.ศ.1787 ภายในระยะเวลา 3 เดือนหลังจากเสนอร่างรัฐธรรมนูญ 5 มลรัฐแรกให้สัตยาบันรับรองรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในจำนวนนี้มีถึง 4 มลรัฐที่เป็นมลรัฐขนาดเล็ก คือ เดลลาแวร์ ( Delaware ) นิวเจอร์ซี ( New Jersey ) จอร์เจีย ( Geogia ) และ คอนเนคติคัต ( Connecticut ) แสดงให้เห็นว่าในที่ประชุมฟิลาเดลเฟียยอมรับในความเท่าเทียมกันของผู้แทนในแต่ละมลรัฐ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ถึงแม้ว่า 9 มลรัฐจะให้สัตยาบันแล้วในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1788 แต่รัฐบาลกลางยังให้ความสำคัญกับมลรัฐเวอร์จิเนีย และนิวยอร์ค เพราะมลรัฐเวอร์จิเนียเป็นมลรัฐที่มีประชากรมากที่สุด ส่วนนิวยอร์คเป็นมลรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมลรัฐหนึ่ง ถ้าหากทั้ง 2 มลรัฐให้การรับรัฐธรรมนูญ การทำงานของรัฐบาลจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในการประชุมให้สัตยาบันที่นิวยอร์ค ( New York ) ฝ่ายผู้สนับสนุนรัฐธรรมนูญ ( Federallist ) นำโดย อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน ( Alexander Hamilton ) เจมส์ เมดิสัน (James Madison ) จอห์น เจย์ (John J ay ) ได้เขียนบทความขึ้น 85 บทความลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ นิวยอร์คนิวส์ ( New York Newspaper ) โดยใช้นามปากกาว่า “พับลิอุส” ( Publius ) ซึ่งต่อมาได้ตีพิมพ์ในบทความร่วมกันชื่อว่า เดอะเฟดเดอรัลลิสเพเพอร์ ( The Federalist Papers ) โดยเป็นบทความที่สนับสนุนการใช้สัตยาบันรัฐธรรมนูญ </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEidm8myG0B5RUuzdvaMHIq3seHyQleE9DvJxSb_xyfNdmcqRu7CyiE-BZ35Q3DTM4kbCm4hKmg9zPhDMfoOBlrpc34FFrqX_n4GIcHaso_-Av6KxeA3FTFkb1I7Po5lz65rIhEt6bruz2nJ/s1600/16.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEidm8myG0B5RUuzdvaMHIq3seHyQleE9DvJxSb_xyfNdmcqRu7CyiE-BZ35Q3DTM4kbCm4hKmg9zPhDMfoOBlrpc34FFrqX_n4GIcHaso_-Av6KxeA3FTFkb1I7Po5lz65rIhEt6bruz2nJ/s1600/16.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เดอะ เฟดเดอรัลลิส เพเพอร์ ( The Federalist Papers ) บทความที่สนับสนุนการให้สัตยาบันรัฐธรรมนูญ</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ส่วนกลุ่มที่ต่อต้านรัฐธรรมนูญ ( Anti-Federalist ) นำโดย ริชาร์ด เฮนรี ลี ( Richard Henry Lee ) ได้เขียบบทความ “เลตเตอร์ออฟเดอะเฟดเดอรัลลิสฟาร์เมอร์” ( Letter of the Federalist Farmer ) ขึ้นมาเช่นกัน </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTIWiM7YHpwnShsMMzRN-QbXzoopF3OkN8aWZcQW1rFd2-VIiN39O3lcfnOSpKkAqWyYK1fo_MUsjPzC1zVCcPN5j3wAXSuvN7fSlxqNHDdV2vRvE__pWgsB8U8jazMYqoPz_9LSP2fwQJ/s1600/17.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTIWiM7YHpwnShsMMzRN-QbXzoopF3OkN8aWZcQW1rFd2-VIiN39O3lcfnOSpKkAqWyYK1fo_MUsjPzC1zVCcPN5j3wAXSuvN7fSlxqNHDdV2vRvE__pWgsB8U8jazMYqoPz_9LSP2fwQJ/s400/17.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="293" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">กลุ่มที่ต่อต้านรัฐธรรมนูญ ( Anti-Federalist )</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ซึ่งในขณะนั้นบทความ “เดอะเฟดเดอรัลลิสเพเพอร์” มีอิทธิพลในการเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนส่วนใหญ่ในการสนับสนุนการให้สัตยาบันรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ผู้สนับสนุนยังใช้บทความ “เดอะ เฟดเดอรัลลิส เพเพอร์” เป็นเครื่องมือในการโต้เถียงในที่ประชุมด้วย </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ส่วนมลรัฐ นอร์ทแคโรไลน่า ( North Carolina ) และ โรดไอแลนด์ ให้สัตยาบันในปี ค.ศ.1789 และ ค.ศ.1790 ตามลำดับ หลังจากการให้สัตยาบันของทุกๆ มลรัฐในขณะนั้นแล้ว จึงถือได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี ค.ศ.1787 มีผลบังคับใช้โดยสมบูรณ์</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<table align="center" cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="border-spacing: 0px; border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin-left: auto; margin-right: auto; margin-top: 0px; padding: 4px; text-align: center; vertical-align: middle; width: 702px;"><tbody style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; margin: 0px; padding: 4px 10px 4px 5px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6mSisE0r4qYYO0INCi4hC7-ewWQogQ3Z_mlNBWhSX-8IUjNv-zX9ocEc2-A9uk_7hLh4JLArozMt8Ez66f796Qj2puZBgF1xh-_dXh53uecuOlpaZX6Rohq03tWlgsQmDyJVKT3O2xjur/s1600/IMG.jpg" imageanchor="1" style="border: 0px; color: #da0a0a; font-family: inherit; font-size: 18px; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px auto; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><img border="0" height="640" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6mSisE0r4qYYO0INCi4hC7-ewWQogQ3Z_mlNBWhSX-8IUjNv-zX9ocEc2-A9uk_7hLh4JLArozMt8Ez66f796Qj2puZBgF1xh-_dXh53uecuOlpaZX6Rohq03tWlgsQmDyJVKT3O2xjur/s640/IMG.jpg" style="border: none; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;" width="456" /></a></span></td></tr>
<tr style="border: 0px; font-family: inherit; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><td class="tr-caption" style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: 11px; font-style: inherit; margin: 0px; padding-bottom: 4px; padding-left: 5px; padding-right: 10px; vertical-align: middle;"><span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แสดงลำดับรายชื่อของมลรัฐที่ให้สัตยาบันรัฐธรรมนูญ</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>โครงสร้างรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">โครงสร้างรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาได้ระบุสาระสำคัญไว้เพียงไม่กี่มาตรา และต่อมาได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในแต่ละยุคสมัยเพื่อความสอดคล้อง และเหมาะสม ต่อสภาพการณ์ ซึ่งมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>โครงสร้างของรัฐธรรมนูญ</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา แบ่งออกเป็นส่วนสำคัญๆ ได้ 7 ส่วน หรือ7 มาตราด้วยกันคือ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 1 ข้อที่ 1</b> ของรัฐธรรมนูญกำหนดเรื่องโครงสร้าง และหน้าที่ของสภาคองเกรส โดยให้หน้าที่ทางนิติบัญญัติอยู่กับรัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสภาสูง (Senate) และสภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives)</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 1 ข้อที่ 2 ถึงข้อที่ 7</b> เป็นการกำหนดจำนวนผู้แทนในแต่ละสภา คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้แทน การเลือกสมาชิกสภาคองเกรส กระบวนการที่ใช้ในการตรารัฐบัญญัติ วิธีการพิจารณาถอดถอนเจ้าหน้าที่ของรัฐให้พ้นจากตำแหน่ง (Impeachment)</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 1 ข้อ 8</b> เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของสภาคองเกรสในส่วนที่เกี่ยวกับกิจการภายใน และภายนอกประเทศ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ส่วนมาตรา 1 ข้อที่ 9 และข้อที่ 10</b> เป็นบทจำกัดอำนาจบางอย่างของสภาคองเกรสของมลรัฐต่าง ๆ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 2 ข้อที่ 1 – 4</b> เป็นการจัดตั้งองค์กรฝ่ายบริหาร กำหนดอำนาจฝ่ายบริหารโดยให้เป็นอำนาจของประธานาธิบดี รวมทั้งคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี วิธีการเลือกตั้ง การสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง วิธีการและข้อหาอันเป็นมูลฐานที่จะทำให้ประธานาธิบดีพ้นจากตำแหน่ง</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 3 ข้อ 1</b> เป็นการกำหนดอำนาจตุลาการให้อยู่กับศาลสูงแห่งสหรัฐอเมริกา และศาลชั้นรองอื่น ๆ ตามที่สภาคองเกรสเห็นสมควรจัดตั้งขึ้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 3 ข้อ 2</b> การกำหนดอำนาจของฝ่ายตุลาการ และขอบเขตอำนาจของศาลชั้นต้น และขอบเขตอำนาจของศาลอุทธรณ์ และการฏีกาของศาลสูง</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 3 ข้อที่ 3</b> เป็นการให้นิยามของความผิดฐานกบฏ การพิสูจน์ และการลงโทษผู้กระทำความผิดฐานกบฏ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 4</b> กำหนดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมลรัฐต่างๆ ที่พึงมีต่อกันและความสัมพันธ์มาตรา 4 ระหว่างมลรัฐทั้งหลายกับรัฐบาลกลาง</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 4 ข้อที่ 1</b> การยอมรับและศรัทธาต่อสิทธิที่บุคคลได้มาโดยกฎหมายระหว่างมลรัฐ (Full Faith and Credit)</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 4 ข้อที่ 2</b> การให้เอกสิทธิ์ (Privileges) และความคุ้มครองพลเมืองของมลรัฐอื่นๆ และการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างมลรัฐต่างๆ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 4 ข้อที่ 3</b> บทบัญญัติว่าด้วยการรับมลรัฐใหม่เข้ามารวมอยู่ในสหพันธรัฐด้วยอำนาจของสภาคองเกรสในการจัดการเกี่ยวกับดินแดน และทรัพย์สินอื่นๆ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 4 ข้อที่ 4</b> การที่รัฐบาลกลางจะต้องเป็นผู้ดูแลว่าทุกมลรัฐ ต้องมีการปกครองแบบสาธารณรัฐ การคุ้มครองมลรัฐต่างๆ ให้ปลอดภัยจากการรุกรานภายนอก และการที่รัฐบาลกลางจะช่วยเหลือมลรัฐต่างๆ ในการระงับความไม่สงบเรียบร้อยภายในแต่ละมลรัฐ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 5</b> ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งวิธีการดำเนินการในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 6</b> เป็นผลของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญเช่น เรื่องหนี้สินสัญญา และอื่น ๆ ศักดิ์สูงสุดของกฎหมายซึ่งกำหนดให้รัฐธรรมนูญ กฎหมาย และสนธิสัญญา ของสหรัฐอเมริกา เป็นกฎหมายสูงสุดในแผ่นดิน และผู้พิพากษาทั้งหลายในมลรัฐต่างๆ จะต้องปฏิบัติตามโดยไม่ต้องคำนึงว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นภายในแต่ละมลรัฐจะกำหนดไว้ในทางตรงกันข้ามหรือไม่ก็ตาม ในมาตรา 6 นี้กำหนดต่อไปว่า ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายตุลาการ ของสหรัฐอเมริกา หรือของมลรัฐต่างๆ ต้องสาบานตน (Oath) ในการเข้ารับตำแหน่ง และจะต้องสนับสนุนรัฐธรรมนูญนี้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>มาตรา 7</b> เป็นมาตราสุดท้าย มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเกี่ยวกับการให้สัตยาบันรัฐธรรมนูญ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>โครงสร้างบทบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญ</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการปรับปรุงรัฐธรรมนูญให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ และทันสมัยอยู่เสมอ ในเวลาสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ สหรัฐอเมริกามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญรวม 27 ครั้ง ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ครั้งที่ 1-10 เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับสิทธิต่างๆ หรือที่เรียกกันว่า “<b>Bill of Rights</b>” และได้รับสัตยาบันเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ.1791 ประกอบด้วยสาระสำคัญดังนี้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 1</b> เป็นบทบัญญัติในการให้เสรีภาพเกี่ยวกับศาสนา การพูด การพิมพ์ การโฆษณา และการชุมนุมร่วมกันโดยสงบของประชาชน</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 2</b> สิทธิของประชาชนที่จะมี และถือศาสตราวุธจะถูกขัดขวางมิได้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 3</b> ที่พักของทหาร ทหารจะเข้าไปอาศัยในบ้านใดโดยเจ้าของบ้านไม่ยินยอมไม่ได้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 4</b> สิทธิของประชาชนที่จะมีความปลอดภัยในร่างกาย เคหะสถาน และทรัพย์สินของตน บรรดาสิทธิดังกล่าวจะถูกตรวจค้นหรือยึดโดยไม่มีเหตุอันควรมิได้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 5</b> ระเบียบเกี่ยวกับการฟ้องศาล การสอบสวน และการลงโทษ (สิทธิทางกฎหมาย) เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ประชาชน</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 6</b> สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดี ในการดำเนินคดีอาญา จำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างรวดเร็วและเปิดเผย</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 7</b> สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาโดยคณะลูกขุน คือคดีที่ฟ้องร้องตามกฎหมาย “Common law “ ที่มีมูลค่าเกิน 20 ดอลลาร์ข้อเท็จจริงใดที่พิจารณาแล้ว ศาลแพ่งสหรัฐจะพิจารณาใหม่เป็นอย่างอื่นมิได้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 8</b> สิทธิในเรื่องค่าประกันหรือค่าปรับ ห้ามการกำหนดสูงเกินควร และห้ามการลงโทษและผิดปกติวิสัย</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 9</b> สิทธิที่จำแนกไว้ในรัฐธรรมนูญนี้จะตีความให้เป็นการปฏิเสธ หรือลิดรอนสิทธิผู้อื่นไม่ได้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 10</b> อำนาจที่มิได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ หรืออำนาจที่มิได้ห้ามผลรัฐกระทำนั้นถือว่าอำนาจนั้นเป็นของมลรัฐ หรือของประชาชน</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญตั้งแต่รั้งที่ 11- 27 ประกอบด้วยสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 11</b> <b>ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1795</b> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เป็นการแก้ไขเกี่ยวกับการตีความขยายอำนาจตุลาการของสหรัฐอเมริกาเหนือคดีตามข้อกฎหมาย หรือหลักแห่งความยุติธรรมที่พลเมือง หรือคนในบังคับแห่งรัฐต่างประเทศฟ้องร้องมลรัฐหนึ่งมิได้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 12 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1840</b><br />เป็นการแก้ไขกลไกของการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 13 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 1865</b> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เป็นการแก้ไขการมีทาสโดยไม่สมัครใจจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกามิได้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 14 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1868</b> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เป็นการแก้ไขเกี่ยวกับการปกครองสิทธิพลเมือง การแบ่งอำนาจของผู้แทนราษฎรในสภาคองเกรส และอำนาจของสภาคองเกรส</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 15 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1870</b><br />เป็นการแก้ไขเรื่องมลรัฐจะตัดสิทธิการออกเสียงเลือกตั้งของพลเมืองสหรัฐอเมริกาเนื่องจากเชื้อชาติ ผิว หรือความที่เป็นทาสมาก่อนมิได้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 16 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1913</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เป็นการแก้ไขอำนาจหน้าที่ของสภาคองเกรสในการเก็บภาษีเงินได้ไม่ว่าจะมาจากแหล่งใด</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 17 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1913</b> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เป็นการแก้ไขการเลือกสมาชิกสภาสูง โดยการออกเสียงเลือกตั้งโดยตรง และการเลือกตั้งเมื่อมีตำแหน่งว่างลง</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 18 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1919</b> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เป็นการแก้ไขเกี่ยวกับการห้ามผลิต การขาย และขนส่งเครื่องดื่ม ของมึนเมาภายในสหรัฐอเมริกา</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>แก้ไขครั้งที่ 19 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1920</b> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เป็นการแก้ไขเกี่ยวกับการห้ามไม่ให้กีดกันทางเพศ ซึ่งเป็นบทบัญญัติในการให้สิทธิเลือกตั้งแก่สตรีอเมริกันโดยเสมอภาค (women Suffrang)</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 20 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1993</b> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เป็นการแก้ไขเกี่ยวกับการเข้ารับตำแหน่ง และปฏิบัติหน้าที่ใหม่ของประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และสมาชิกสภาคองเกรส</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 21 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1933</b> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เป็นการแก้ไขเพื่อยกเลิกบทบัญญัติที่แก้ไขในรัฐธรรมนูญครั้งที่ 18 (18th Amendment) เรื่องการผลิต การขาย และการขนส่งสินค้ามึนเมา ในสหรัฐอเมริกา</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 22 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1951</b><br />เป็นการแก้ไขเรื่องกำหนดเวลาอยู่ในตำแหน่ง และวันเลือกตั้งของประธานาธิบดี ให้เหลือ 2 สมัยเท่านั้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 23 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1961</b> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เป็นการแก้ไขเกี่ยวกับการให้สิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีแก่ District of Columbia</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 24 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1964</b> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เป็นการแก้ไขเกี่ยวกับการยกเลิกกฎหมายที่กำหนดให้ ผู้ไม่เสียภาษี ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง (Poll Tax)</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 25 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1967</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เป็นการแก้ไขเกี่ยวกับประเด็นสำคัญ 2 ประเด็นคือ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>(1)</b> การปฏิบัติหน้าที่ของประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี ถ้าประธานาธิบดีไม่อยู่ รองประธานาธิบดีรักษาการแทนได้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>(2)</b> ถ้าประธานาธิบดีไม่สามารถปฏิบัติหน้าได้ หรือไร้ความสามารถไม่ว่ากรณีใดๆ ให้รองประธานาธิบดีปฏิบัติหน้าที่แทน โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และต้องแจ้งให้สภาคองเกรสทราบ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 26 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1971</b> </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เป็นการแก้ไขเกี่ยวกับการให้สิทธิเลือกตั้งแก่ชาวอเมริกันอายุ 18 ปีขึ้นไป</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การแก้ไขครั้งที่ 27 ได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1992</b><br />เป็นการแก้ไขเกี่ยวกับเงินเดือนสำหรับการปฏิบัติงานของสมาชิกสภาสูง (Senators) และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(Representative)ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้จนกว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">รัฐธรรมนูญตระหนักว่า รัฐธรรมนูญจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากเวลาหนึ่ง ไปสู่อีกเวลาหนึ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นจึงได้กำหนดขั้นตอน 2 ขั้นตอนในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังนี้ คือ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การตีความรัฐธรรมนูญ (Interpreting the Constitution)</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาไม่ค่อยชัดเจน และค่อนข้างเข้าใจยาก ในการตัดสินว่ารัฐธรรมนูญหมายความถึงอะไรนั้น ต้องจับประเด็นเกี่ยวกับคำถามว่ากำลังแสวงหาความหมายอะไร ต้องใช้การตีความค้นหาต้นกำเนิดของความตั้งใจของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้การตีความเพื่อเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญต่อไปซึ่งอาจจะตีความจากตรรกะ (Logic) วัตถุประสงค์ (Objective) โครงสร้าง (Stucture) ความตั้งใจ (Intertion) เนื้อหา (Content) บัญญัติของรูปประโยค (Content of Constuction) ประวัติศาสตร์ (History) การพิจารณาของศาลแพ่ง (Consideration of Judicial Economy) ความจำเป็นและประสบการณ์ (Necessity and Experience) และตัวอย่างที่เคยมีมาก่อน (Precedent) เป็นเกณฑ์ในการตีความ</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>การตีความในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน ในทางปฏิบัตินั้นได้เคยทำกันหลายวิธี คือ</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>1)</b> การบัญญัติกฎหมายของสภาคองเกรส ผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจแก่สภาคองเกรสในการบัญญัติกฎหมาย กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับองค์กรต่างๆ ของรัฐบาล ในบางกรณีอำนาจนี้เป็นสภานิติบัญญัติแห่งมลรัฐ จำนวนกระทรวง การจัดระเบียบราชการ การบริหารในกระทรวง อำนาจหน้าที่ของกระทรวง และความสัมพันธ์ระหว่างกระทรวงต่างๆ รัฐธรรมนูญมอบหมายให้สภาคองเกรสเป็นผู้กำหนดขึ้นได้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>2)</b> การตีความโดยศาลยุติธรรม ศาลยุติธรรมได้มีบทบาทสำคัญในวิวัฒนาการของรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา เนื่องจากได้มีผู้นำเสนอให้ศาลพิจารณาพิพากษา ตีความข้อความต่างๆ ในรัฐธรรมนูญอยู่เสมอ รัฐธรรมนูญให้อำนาจบางประการแก่ประธานาธิบดี บางส่วนแก่สภาคองเกรส และบางส่วนแก่ศาลยุติธรรม รัฐธรรมนูญจำกัดอำนาจบางประการของรัฐ และให้ความคุ้มครองบางประการแก่สิทธิของเอกชน บทบัญญัติเช่นนี้มีความจำเป็นต้องให้ศาลยุติธรรมเป็นผู้ตีความหมายที่แท้จริง ว่ามีอำนาจเพียงใด ถูกจำกัดอำนาจเพียงใด และมีสิทธิเพียงใด บรรดาศาลยุตธรรมของสหรัฐอเมริกาทำหน้าที่รับภาระเช่นนี้ตลอดมาในประวัติศาสตร์อเมริกัน ศาลที่มีอำนาจสูงสุดในการตีความรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา คือศาลสูงแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S.Supremc Court)</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>ในการตีความรัฐธรรมนูญนั้น ศาลอาจกระทำได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งดังต่อไปนี้</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>โดยความร่วมมือกับสภาคองเกรส</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ศาลยุติธรรมได้ช่วยสภาคองเกรสตีความหมายของรัฐธรรมนูญให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น กล่าวคือเมื่อสภาคองเกรสบัญญัติกฎหมาย ผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องอาจจะฟ้องร้องยังศาลสูงสุดสหรัฐว่าที่สภาคองเกรสบัญญัติกฎหมายมานั้น ใช้บังคับได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยปกติเมื่อศาลพิพากษาให้กฎหมายเป็นโมฆะนั้นศาลได้วางหลักไว้ในคำพิพากษาว่าเหตุใดจึงพิพากษาเช่นนั้น เมื่อสภาคองเกรสได้ทราบหลักการเช่นนี้แล้วจึงบัญญัติกฎหมายใหม่ โดยยึดหลักการเพิ่มเติมจากคำพิพากษาซึ่งเป็นการตีความหมายรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนยิ่งขึ้น</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>โดยการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ศาลยุติธรรมมีอำนาจที่จะตีความหมายอย่างกว้าง หรืออย่างแคบในเรื่องที่สภาคองเกรสไม่มีอำนาจบัญญัติกฎหมายก็ได้ ตัวอย่างสำคัญคือ ห้ามมิให้สภานิติบัญญัติของมลรัฐบัญญัติกฎหมายที่เป็นภัยต่อการปฏิบัติตามพันธะกรณีในสัญญาระหว่างเอกชนกับเอกชน หรือระหว่างเอกชนกับนิติบุคคล บทบัญญัติข้อนี้ไม่ได้ให้อำนาจสภาคองเกรสที่จะบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับสัญญา แต่ให้อำนาจศาลสหรัฐอเมริกาที่จะพิจารณาพิพากษาคดีที่เกิดขึ้นตามความข้อนี้</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>โดยวิธีปฏิบัติงานของฝ่ายบริหาร</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ประธานาธิบดีคนสำคัญๆ ได้ให้ความหมายของรัฐธรรมนูญไว้ ด้วยวิธีการปฏิบัติงานของท่านในฐานะที่เป็นผู้นำฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดีคนแรกยิ่งมีความสำคัญมากในเรื่องนี้ เพราะเป็นผู้บัญญัติความหมายที่แท้จริงของรัฐธรรมนูญไว้มากที่สุด </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">กล่าวคือประธานาธิบดี วอชิงตัน เป็นผู้วางประเพณีการอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีเพียง 2 สมัย (8 ปี เท่านั้น) ซึ่งได้รับการปฏิบัติตามจนกระทั่งปี ค.ศ. 1940 ได้มีการเปลี่ยนแปลงอันเป็นปีที่ประธานาธิบดี รูสเวลท์ (Roosevlt) สมัครเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 3 และได้รับเลือกตั้งด้วย อีกตัวอย่างหนึ่งคือ สมัย เจฟเฟอร์สัน เป็นประธานาธิบดีไม่แน่ใจว่าจะมีอำนาจซื้อทีดินในเขตหลุยเซียนา (ที่เรียกว่า Louisana Purchase ซึ่งขณะนี้เป็นดินแดนของมลรัฐถึง 3 มลรัฐด้วยกัน) แต่ได้ตัดสินใจซื้อจากนโปเลียนอันเป็นเหตุให้เกิดระเบียบปฏิบัติตัวอย่าง (Precedent) ขึ้น ในแง่ที่ว่าประธานาธิบดีอาจได้มาซึ่งดินแดนของสหรัฐอเมริกาเป็นการเพิ่มเติมได้ โดยการซื้อหรือสัญญาไม่จำเป็นต้องได้มาโดยการชนะสงครามเสมอไป</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b><br /></b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><b>โดยขนบธรรมเนียมประเพณีและวิธีปฏิบัติติดต่อกันมานาน</b></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">รัฐธรรมนูญสหรัฐได้ถูกร่างขึ้นให้มีสภาพที่จะปรับปรุง แก้ไข้ให้เหมาะกับความต้องการของคนแต่ละรุ่น ไม่แต่เฉพาะการแก้ไขที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น แต่รวมถึงอิทธิพลทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และบางครั้งโดยบังเอิญด้วย (Accident) ยกตัวอย่างเช่น คณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีซึ่งมิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญให้อำนาจประธานาธิบดี “โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาสูง” ที่จะแต่งตั้งข้าราชการตำแหน่งต่างๆ เมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้นในทางปฏิบัติ จะเป็นด้วยเหตุผลทางการเมือง หรือความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องแต่งตั้งข้าราชการ ประธานาธิบดีสามารถดำเนินการแต่งตั้งโดยคำแนะนำและยินยอมของสภาสูง ซึ่งรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติวิธีการให้ผู้ที่ไม่เหมาะสมพ้นจากตาแหน่ง นอกจากกรณีที่เป็นการกล่าวหาว่าขายชาติเท่านั้น วิธีการนี้ได้มีการปฏิบัติมาจนกระทั่งปี ค.ศ. 1935 จึงมีคำพิพากษาของศาลสูงในสหรัฐอเมริกาในเรื่องนี้ไว้เป็นบรรทัดฐาน</span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><br /></span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อีกตัวอย่างหนึ่งคือการค้าทาส มีอิทธิพลต่อการตีความหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาอย่างมาก การค้าทาสเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยากในทางการเมือง และทำให้เกิดสงครามกลางเมือง การแก้ไขรัฐธรรมนูญได้บัญญัติเรื่องสิทธิแก่คนผิวดำ แต่ขนบธรรมเนียมของสังคมไม่ยอมให้มีความเสมอภาคกัน เนื่องจากสีผิวมีอำนาจบังคับรุนแรงกว่ากฎหมายมาก </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<span style="border: 0px; font-family: inherit; font-size: medium; font-style: inherit; font-weight: inherit; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แม้กระทั่งปัจจุบันนี้มีการบัญญัติให้สิทธิแก่คนผิวดำ ให้มีความเสมอภาคเท่ากับคนผิวขาวได้ ในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 14 และ 15 แต่ในทางปฏิบัติแล้ว จะเห็นว่าการปฏิบัติตามการแก้ไขทั้ง 2 ครั้งนี้มีเพียงบางส่วนเท่านั้น จะเป็นได้ว่าขนบธรรมเนียมประเพณี นิสัยใจคอของประชาชนมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก </span></div>
<div style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<span style="border: 0px; color: #474534; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: medium; line-height: 24px; margin: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ซึ่งอาจไม่น้อยกว่าความสำคัญของคำพิพากษาของศาลสูง และกฎหมายของสภาคองเกรส และจะเห็นได้ว่าแม้บทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร ก็ไม่อาจมีผลบังคับได้ดีกว่าขนบธรรมเนียม กาลเวลา และอุปนิสัยใจคอของประชาชน ซึ่งเป็นความจริงไม่ใช่เพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่เป็นความจริงในประเทศอื่นอีกด้วย</span>กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-67601841970495466202013-08-20T23:08:00.001+07:002013-08-20T23:14:34.913+07:00สัมภาษณ์‘วรเจตน์ ภาคีรัตน์’: “นี่คือหัวใจ ”สภาต้องแก้ รธน.ให้ได้<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfuWfSn-u1MFed8hn0Hsv-Wb8EuN4LYa6wEaFYoR4ANk-jbOxh5oZ3CGYZHv5aAOCxV5JJF2_0bgkk7gWdRvYdsojzqpqoExsm7-PWx5NQS5iftT_lbz1ERlFtmvPCoUdYF_0v5sXMU-Q/s1600/article-12295--vorrajet01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="214" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjfuWfSn-u1MFed8hn0Hsv-Wb8EuN4LYa6wEaFYoR4ANk-jbOxh5oZ3CGYZHv5aAOCxV5JJF2_0bgkk7gWdRvYdsojzqpqoExsm7-PWx5NQS5iftT_lbz1ERlFtmvPCoUdYF_0v5sXMU-Q/s320/article-12295--vorrajet01.jpg" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div align="center" style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
<b>สัมภาษณ์ ‘วรเจตน์ ภาคีรัตน์’: “นี่คือหัวใจ ”สภาต้องแก้ รธน.ให้ได้</b></div>
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<div align="right" style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
ที่มา <a href="http://news.parliament.go.th/program/interview/1205.html" style="color: #880000;"><b>เว็บไซต์ 'ข่าวรัฐสภาถึงประชาชน'</b></a></div>
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> พูดคุยกับนักวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ‘วรเจตน์ ภาคีรัตน์’ ท่ามกลางสถานการณ์แปลกประหลาด ที่อาจารย์เปรียบ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ ว่าเหมือนยกนิ้วเพชรให้นนทก รวมทั้งข้อเสนอต่อสภาที่การ ‘แก้รัฐธรรมนูญ’ คือ ‘หัวใจ’ ที่ต้องทำให้ได้ </span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> เมื่อปรากฏการณ์ ‘ตุลาการภิวัตน์’ กำลังกลายเป็นความปกติอันน่าตระหนก ในขณะที่ 3 เสา แห่งอำนาจอธิปไตยกลับเริ่มไม่สมดุล ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ คือ กลไกสำคัญที่มีบทบาทสูงยิ่งในการขับเคลื่อนรุกคืบเข้าสู่พื้นที่เขตอำนาจทาง ‘นิติบัญญัติ’ ซึ่งเคยแบ่งแยกกันไว้ชัดตามหลักแห่งการดุลอำนาจ โดยเฉพาะหากเมื่อมองจากจากฝั่ง ‘รัฐสภา’ การแก้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ซึ่งกำเนิดและถือเป็นผลพวงสืบเนื่องจาการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่น่าจะไม่มีปัญหาก็กลับกลายเป็นปัญหาขั้นวิกฤติ </span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ความเกี่ยวพันของเหตุการณ์ยิ่งนำไปสู่ความซับซ้อน ‘ตุลาการณ์ภิวัตน์’ กับบทบาทของ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ เป็นตัวอย่างที่หนึ่งเดียวมากๆในโลกใบนี้ที่ ‘วรเจตน์ ภาคีรัตน์’ ถึงกับกล่าวว่า </span><b style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">“ที่ผ่านมาผมก็ยังไม่เคยเห็นสภาพของการตีความรัฐธรรมนูญในลักษณะแบบนี้เลย” </b><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ในบ่ายวันหนึ่ง ‘เว็บไซต์ข่าวรัฐสภาถึงประชาชน’ หาโอกาสไปพูดคุยกับนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านนี้ ท่ามกลางสถานการณ์อันแปลกประหลาด เนื่องจากคงไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่า เขาคือผู้ที่ศึกษาโครงสร้าง ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ และวิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้งมีข้อเสนอมากที่สุดคนหนึ่งในประเทศนี้ และทำอย่างสม่ำเสมอมาตลอดไม่ว่าจะเป็นเมื่อครั้งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ที่เคยมีคำตัดสินอันเป็นคุณแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาก่อนก็ตาม</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ดังนั้น หากลองละวางอคติแห่งความขัดแย้งลง แล้วลองหันมาฟังหลักการแห่ง ‘นิติศาสตร์’ บ้าง ‘นิติรัฐ’ ที่ใครหลายคนใฝ่ฝันและเฝ้าพูดถึงก็อาจเกิดขึ้นได้จริง </span><br />
<br />
<div align="center" style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
<span style="color: #000099;"><b>ooo</b></span></div>
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<div align="center" style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
<span style="color: #000099;"><b>๑</b></span></div>
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">“เพราะเหตุว่าฝ่ายรัฐบาลเองก็กุมสภาพในคณะกรรมการสรรหา ฝ่ายค้านที่จะเข้ามาร่วมในการสรรหาก็น้อยลง จึงเป็นเหตุให้เวลาต่อมามีการอ้างว่าฝ่ายรัฐบาลครอบงำองค์กรอิสระ ซึ่งจะว่าไปมันก็มีส่วนถูกอยู่เหมือนกันในเชิงของการได้มาซึ่งตัวของบุคคลากรที่เข้าสู่องค์กร แต่ว่าถ้าพูดในทางหลักการแล้วมันควรจะเปิดให้มีการต่อรองกัน หรือว่ายอมให้ฝ่ายค้านมีส่วนร่วมในกระบวนการสรรหาตัวบุคคลมากกว่านี้ ”</span><br />
<br />
<div align="center" style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
<span style="color: #000099;"><b>๒</b></span></div>
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">“เรื่องล่าสุดการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ผมเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีเขตอำนาจเหนือคดีเลย ไม่มีตัวบทบัญญัติมาตราใดในรัฐธรรมนูญให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียว ซึ่งแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยว่าร่างพ.ร.บ.ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ วินิจฉัยคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี วินิจฉัยเรื่องการยุบพรรค เรื่องสนธิสัญญา”</span><br />
<br />
<div align="center" style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
<b><span style="color: #000099;">๓</span></b></div>
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">“แต่เมื่อปรากฏต่อรัฐสภาซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญเหมือนกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาใช้อำนาจที่ตัวเองไม่มีจากรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าตัวเองมีอำนาจอะไรจากตัวรัฐธรรมนูญ สภาซึ่งทรงอำนาจตามรัฐธรรมนูญเหมือนกันเขาย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญได้”</span><br />
<br />
<div align="center" style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
<span style="color: #000099;"><b>๔</b></span></div>
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">“ถึงจุดหนึ่งเมื่อคุณก้าวล่วงออกจากกรอบขอบเขตอำนาจแล้ว องค์กรของรัฐเขาสามารถไม่ปฏิบัติได้ แน่นอนว่า จะนำมาซึ่งวิกฤตในทางกฎหมายไหม ก็นำมา แต่ถ้ายันกันได้ในทางกฎหมาย คำวินิจฉัยนั้นก็จะไม่มีผลในทางกฎหมาย”</span><br />
<br />
<div align="center" style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
<span style="color: #000099;"><b>๕</b></span></div>
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">“คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร มันไม่ใช่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินอะไรยังไงก็ได้ในรูปคำวินิจฉัยแล้วผูกพันองค์กรทั้งหมด ไม่งั้นก็ตัดสินอะไรก็ได้หมด มันต้องในความหมายความคำวินิจฉัยนั้นอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญ แล้วจึงผูกพันอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร ซึ่งเป็นองค์กรที่ทรงอำนาจในรัฐธรรมนูญเหมือนกัน”</span><br />
<br />
<div align="center" style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
<span style="color: #000099;"><b>๖</b></span></div>
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">“ยังไม่เคยปรากฏว่าขัดรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง บ้านเราเป็นตัวอย่างที่หนึ่งเดียวมากๆ ตอนนี้ ที่ผ่านมาผมก็ยังไม่เคยเห็นสภาพของการตีความรัฐธรรมนูญในลักษณะแบบนี้เลย”</span><br />
<br />
<div align="center" style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
<span style="color: #000099;"><b>๗</b></span></div>
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">“คณะนิติราษฎร์เคยเสนอตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วว่าให้มีองค์กรที่ทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญไปก่อน เรียกว่า ‘คณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ’ เพราะสิ่งที่จะพิทักษ์คือตัวระบอบรัฐธรรมนูญ หรือคุณค่าของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่พิทักษ์ตัวหนังสือในรัฐธรรมนูญ ”</span><br />
<br />
<div align="center" style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
<span style="color: #000099;"><b>๘</b></span></div>
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">“ต้องมีระบบความรับผิดหรือความพร้อมรับผิด อันนี้ไม่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแล้วแต่เกี่ยวกับการ reform ศาลทั้งระบบและ reform กฎหมายอาญาที่เกี่ยวกับความผิดฐานบิดเบือนการตีความกฎหมายที่ต้องให้เป็นความผิดอาญา”</span><br />
<br />
<div align="center" style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
<span style="color: #000099;"><b>๙</b></span></div>
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">“ตอนรับเรื่องมาตรา 291 ไว้ ก็บอกให้แก้รายมาตราได้ แต่ว่ามาถึงคราวนี้ไม่ยอมแล้ว เพราะมาตรา 68 มันแปรสภาพมาเป็นศูนย์กลางของเรื่อง เป็นหัวใจ กล่องดวงใจของเรื่อง ถ้าสูญเสียมาตรา 68 ไปก็ถูก reform ได้”</span><br />
<br />
<div align="center" style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
<span style="color: #000099;"><b>๑๐</b></span></div>
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">“..การ reform เขาทำได้เพราะเขาเป็นเสียงข้างมากที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เขาต้องมีความชอบธรรมในการ reform ได้ตราบเท่าที่มันไม่ได้ไปกระทบกับหลักสิทธิเสรีภาพ หรือทำลายแก่นหลักของหลักประชาธิปไตยและนิติรัฐ ”</span><br />
<br />
<div align="center" style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
<span style="color: #000099;"><b>ooo</b></span></div>
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">อยากให้อาจารย์ย้อนถึงที่มาที่ไปของ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ปัญหาของศาลรัฐธรรมนูญในปี 2550 กับ 2540 จะมีความแตกต่างกันอยู่ในแง่ขององค์ประกอบ ในแง่ที่มา แต่จะขอพูดถึงในเรื่องหลักการก่อนคือ ความจริงในระบบกฎหมายหนึ่งๆ ควรมีศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ในหลายประเทศไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ แต่อีกหลายประเทศก็มีศาลรัฐธรรมนูญ</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ทีนี้บ้านเรากำเนิดของความคิดที่จะต้องให้มีองค์กรมาวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาทางรัฐธรรมนูญ เกิดขึ้นในบริบทของคดีอาชญากรสงคราม เมื่อปลายปี พ.ศ. 2488 ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปี พ.ศ. 2489 ที่ตอนนั้นยังใช้รัฐธรรมนูญปี 2475 อยู่ แล้วมันมีประเด็นกันขึ้นมาคือสภาผู้แทนราษฎรไปตราพระราชบัญญัติอาชญากรสงครามปี พ.ศ. 2488 แล้วก็มีการจับกุมบุคคลซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรสงครามขึ้นศาล ซึ่งตามพระราชบัญญัติที่ออกมากำหนดให้มีการตั้งศาลพิเศษขึ้นมาก็คือศาลอาชญากรสงคราม โดยให้ศาลฎีกามาทำหน้าที่ศาลอาชญากรสงคราม และก็มีศาลเดียวตัดสินแล้วจบเลย</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ต่อมาก็มีคนถูกจับกุมหลายคน คนที่โด่งดังที่สุดที่ถูกจับกุมก็คือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แล้วต่อมาก็มีการดำเนินคดี ในการต่อสู้คดีของจำเลยที่ถูกจับกุมในชั้นศาลอาชญากรสงคราม (หรือศาลฎีกา) จำเลยก็ได้ต่อสู้ว่า การที่สภาผู้แทนราษฎรไปตรากฎหมาย กำหนดความผิดอาชญากรสงครามขึ้นนั้น เป็นการตรากฎหมายย้อนหลังลงโทษทางอาญาแก่บุคคล เพราะว่าในตอนกระทำความผิดนั้นมันไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การกระทำนั้น เช่น การช่วยเหลือญี่ปุ่น เป็นความผิดอาญา แล้วก็มีการต่อสู้ว่ากฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้นนั้นมันขัดรัฐธรรมนูญ ที่ไปขัดกับเรื่องเสรีภาพในการกระทำเพราะว่าบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการกระทำการตราบเท่าไม่มีกฎหมายห้าม เพราะกฎหมายอันนี้ออกมาทีหลัง</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> มันจึงกลายเป็นปัญหาถกเถียงกันว่ากฎหมายที่สภาออกมาและตราขึ้นมานั้นมันขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในเวลานั้นศาลอาชญากรสงคราม (หรือศาลฎีกา) ก็ใช้อำนาจชี้ไปเอง โดยบอกว่าถ้าไม่ให้ศาลชี้ ก็ไม่รู้จะให้ใครชี้ว่ากฎหมายนี้ใช้ได้หรือไม่ได้ ก็ปรากฏว่าในคดีนั้น ศาลอาชญากรสงครามพิพากษาว่า พระราชบัญญัติอาชญากรสงครามขัดต่อรัฐธรรมนูญ ตกเป็นโมฆะ ใช้บังคับไม่ได้ ยกฟ้องและปล่อยตัวจำเลยทั้งหมด หลังจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรก็มีการประชุมกัน และก็มีความเห็นว่าถ้าเกิดปล่อยให้ศาลใช้อำนาจแบบนี้มันก็เป็นการก้าวล่วงอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรในการตรากฎหมาย เพราะว่า ส.ส.จำนวนหนึ่งมีความเห็นว่า เวลาสภาตรากฎหมายไปแล้ว ศาลมีหน้าที่ต้องใช้กฎหมายตามที่สภาตราขึ้น จะไม่ยอมใช้กฎหมายที่สภาตราขึ้นโดยอ้างว่ากฎหมายนั้นขัดรัฐธรรมนูญไม่น่าจะเป็นไปได้</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> แต่ในฝั่งศาลเองก็มีเหตุผลว่าถ้ากฎหมายที่สภาตราขึ้นมันขัดกับกฎหมายสูงสุดคือ รัฐธรรมนูญ มันจะต้องมีคนบอกว่า กฎหมายนั้นใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ ซึ่งในเวลานั้นมันไม่มีใครที่จะบอกได้ ศาลซึ่งเป็นคนตัดสินคดีก็บอกว่าเขาต้องเป็นคนบอกเอง ตอนนั้นมันจึงคล้ายๆ ว่ามีความเห็นกันไปในคนละทาง ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลอยู่</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> สุดท้ายก็เกิดการแก้ปัญหา ในช่วงนั้นกำลังมีการทำรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2489 อยู่พอดี ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการบรรจุหมวดหมวดหนึ่งไว้ในรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2489 เรียกว่าหมวดที่ว่าด้วย ‘คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ’ คือมีการก่อตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นครั้งแรก มีอำนาจที่จะชี้ว่ากฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งองค์ประกอบของตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรกึ่งการเมืองกึ่งตุลาการ ในรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 ลงพระปรมาภิไธยนั้น กำหนดให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่รัฐสภาแต่งตั้งขึ้นเป็นประธานคณะตุลาการรัฐธรรมนูญคนหนึ่ง และตุลาการอื่นอีกสิบสี่คน ในรัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มามีการกำหนดองค์ประกอบของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญแตกต่างกันออกไป เช่น กำหนดให้ประธานวุฒิสภาเป็นประธานตุลาการรัฐธรรมนูญ มีประธานศาลฎีกา มีอธิบดีกรมอัยการ มีผู้ทรงคุณวุฒิทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์เข้ามาเป็นองค์ประกอบ อย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าคณะตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรกึ่งการเมืองกึ่งตุลาการ ทำหน้าที่สำคัญ คือ ชี้ว่ากฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้นและเป็นคดีอยู่ในศาล และศาลในคดีนั้นเห็นว่ากฎหมายดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้น จริงๆแล้วกฎหมายดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เราได้ใช้ระบบนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงรัฐธรรมนูญ 2540 </span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> เมื่อถึงปี พ.ศ. 2540 ก็มีการเปลี่ยนโครงสร้าง จากที่เป็นองค์กรกึ่งการเมืองกึ่งตุลาการ มาเป็นองค์การตุลาการเต็มรูปแบบ คือ มีสภาพเป็นศาลที่เรียกว่า ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ และเพิ่มอำนาจหน้าที่อีกหลายประการ อำนาจที่มีแต่เดิมคืออำนาจในการวินิจฉัยว่ากฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้นขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ยังเป็นอำนาจที่มีอยู่ต่อไป และบัดนี้เป็นของศาลรัฐธรรมนูญ แต่นอกจากอำนาจดังกล่าวแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญยังมีอำนาจมากไปกว่าคณะตุลาการรัฐธรรมนูญหลายประการ เช่น มีอำนาจในการวินิจฉัยว่าร่างกฎหมายที่ผ่านสภามาแล้วจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือที่เรียกว่าอำนาจตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายก่อนที่จะประกาศใช้ มีอำนาจชี้เรื่องการยุบพรรคการเมือง มีอำนาจชี้ในเรื่องสมาชิกภาพของ ส.ส. มีอำนาจเรื่องที่จะชี้ว่าสนธิสัญญาไหนที่จะต้องขอความเห็นชอบจากสภาหรือไม่ คืออำนาจขยายออกไปกว้างขวางมากทีเดียว แต่หลักการสำคัญอันหนึ่งก็คือยังไม่ยอมให้ประชาชนฟ้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> เมื่อรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2540 เลิกไปก็มีการใช้ ปี พ.ศ. 2550 ทั้งนี้ ในรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2540 ก็มีปัญหาอยู่คือ หนึ่ง คือ ไปให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญออกข้อกำหนดว่าด้วยวิธีพิจารณาเอง ซึ่งขัดกับหลักการแบ่งแยกอำนาจที่ว่ากฎหมายวิธีพิจารณาที่ศาลใช้ในการตัดสินคดี สภาจะต้องเป็นคนออก รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 ยกอำนาจนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญไปทำ โดยบังคับว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องออกข้อบังคับนี้โดยมติเอกฉันท์ของตุลาการทั้ง 15 คน แต่ตุลาการก็ตกลงกันไม่ได้เพราะไม่ได้คะแนนเสียงเอกฉันท์ เลยออกข้อกำหนดมาได้เพียงสามสิบกว่าข้อ มีเนื้อความที่ไม่สมบูรณ์หลายประการ</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเลยก็คือคดีซุกหุ้นของคุณทักษิณ ที่ในตอนนั้นตอนเริ่มต้นคดีมีตุลาการ 14 คน และในระหว่างการดำเนินการพิจารณาคดีก็มีการตั้งตุลาการเข้ามาอีกคนหนึ่งเป็น 15 คน แล้วคดีนี้ตัดสินมาในทางกฎหมาย คือ 7-4-4 แต่ 4 กับ 4 นี้มันรวมกันเป็น 8 ซึ่งจริงๆแล้วในทางกฎหมายถือว่าไม่ถูกต้องจากนั้นมีการบอกว่า กรณีคุณทักษิณไม่มีความผิดตาม ม.295 ของ รัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2540 ซึ่งผมก็ได้วิจารณ์ประเด็นนี้เอาไว้ว่าระบบวิธีพิจารณาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งประเด็นเพื่อวินิจฉัยก็ดี การที่ยอมให้ตุลาการเข้ามาในองคณะภายหลังร่วมพิจารณาด้วยร่วมตัดสินด้วยก็ดี มันไม่ถูกต้อง รวมทั้งการตั้งประเด็นที่ไม่เป็นเสียง 8 ต่อ 7 แต่เป็น 7-4-4 ก็ไม่ถูกต้อง</span><br />
<blockquote style="background-color: #f3ecb8; background-image: url(http://www.enlightened-jurists.com/files/customtheme/1/enlightened/image/quote.png); background-position: 0% 0%; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 1px solid rgb(187, 187, 187); font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px; margin: 10px; padding: 20px;">
“เพราะเหตุว่าฝ่ายรัฐบาลเองก็กุมสภาพในคณะกรรมการสรรหา ฝ่ายค้านที่จะเข้ามาร่วมในการสรรหาก็น้อยลง จึงเป็นเหตุให้เวลาต่อมามีการอ้างว่าฝ่ายรัฐบาลครอบงำองค์กรอิสระ ซึ่งจะว่าไปมันก็มีส่วนถูกอยู่เหมือนกันในเชิงของการได้มาซึ่งตัวของบุคคลากรที่เข้าสู่องค์กร แต่ว่าถ้าพูดในทางหลักการแล้วมันควรจะเปิดให้มีการต่อรองกัน หรือว่ายอมให้ฝ่ายค้านมีส่วนร่วมในกระบวนการสรรหาตัวบุคคลมากกว่านี้ ”</blockquote>
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> พูดง่ายๆ มันก็มีปัญหาอยู่หลายประการตามรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2540 องค์คณะ 15 คนก็ใหญ่เกินไป กระบวนการการได้มาของตุลาการตามรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2540 มันก็เป็นกระบวนการที่พูดให้ถึงที่สุดแล้วแม้ว่ามันจะมีการคัดเลือกจากกรรมการคัดเลือก แต่ก็อาจจะกล่าวได้ว่าบรรดาผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการคัดเลือกโดยปกติก็จะเป็นคนจากฟากรัฐบาลเป็นหลัก เพราะเหตุว่าฝ่ายรัฐบาลเองก็กุมสภาพในคณะกรรมการสรรหา ฝ่ายค้านที่จะเข้ามาร่วมในการสรรหาก็น้อยหรือไม่มีเลย จึงเป็นเหตุให้เวลาต่อมามีการอ้างว่าฝ่ายรัฐบาลครอบงำองค์กรอิสระ ซึ่งจะว่าไปมันก็มีส่วนถูกอยู่เหมือนกันในเชิงของการได้มาซึ่งตัวของบุคคลากรที่เข้าสู่องค์กร ถ้าพูดในทางหลักการแล้วมันควรจะเปิดให้มีการต่อรองกัน หรือว่ายอมให้ฝ่ายค้านมีส่วนร่วมในกระบวนการสรรหาตัวบุคคลมากกว่านี้</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ดังนั้นในตัวโครงสร้างของการได้มาตามรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2540 นี้ มันก็มีปัญหาอยู่จริง แต่การแก้ปัญหาควรจะต้องเป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย ไม่ใช่ใช้รถถังใช้ปืนมายึดอำนาจ แล้วอ้างกรณีปัญหาดังกล่าวเป็นความชอบธรรมในการยึดอำนาจซึ่งไม่ถูกต้อง หลังยึดอำนาจแล้ว มีการตรารัฐธรรมนูญที่เป็นผลพวงของการยึดอำนาจขึ้นใช้บังคับ การตรารัฐธรรมนูญดังกล่าวขึ้นใช้บังคับ คือ รัฐธรรมนูญ 2550 กลับสร้างปัญหาหนักขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าบางส่วนจะมีความพยายามแก้ปัญหาที่ผมเคยวิพากษ์วิจารณ์ไว้ เช่น ลดจำนวนตุลาการเหลือ 9 คน ซึ่งผมเคยวิจารณ์ไว้ว่าองคณะ 15 คนมันใหญ่เกินไป แล้วก็มีการพยายามแก้ปัญหาเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญออกข้อกำหนดเอง อันเป็นปัญหาของรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ที่ผมเคยวิจารณ์ว่าให้ศาลรัฐธรรมนูญไปออกข้อกำหนดวิธีพิจารณาได้เอง เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 ก็พยายามแก้ปัญหาด้วยการให้รัฐสภาออกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ แต่มีปัญหาใหม่ผุดขึ้นมาในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ก็คือปัญหาที่ว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ดันไปกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญนั่นแหละเป็นคนเสนอกฎหมายนี้เข้าสภา การกำหนดให้ศาลเสนอกฎหมายได้เอง ผมเห็นว่าขัดกับหลักการแบ่งแยกอำนาจ ตอนนี้ปัญหาที่เกิดก็คือศาลรัฐธรรมนูญเป็นคนเสนอกฎหมายนี้เข้าสภา แต่ก็ยังคงค้างอยู่ที่สภา เช่น ศาลรัฐธรรมนูญเสนอว่าควรมีเรื่องการละเมิดอำนาจศาล ซึ่งเสียงข้างมากของสภาก็กลับเห็นว่ามันไม่ควรจะมี และก็ทำให้กฎหมายฉบับนี้ก็ยังไม่ผ่านสภา</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ยิ่งไปกว่านั้นที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยิ่งเป็นปัญหาหนักไปกว่าเดิม คือ ตุลาการรัฐธรรมนูญ 9 คน 5 คนมีที่มาจากฝั่งศาล ศาลฎีกา 3 คน ศาลปกครองสูงสุด 2 คน ซึ่งการมาแทบจะเรียกได้เป็นว่าเป็นการมาแบบออโตเมติค คือแม้รัฐธรรมนูญเขียนว่าจะต้องมาจากวุฒิสภาก็ตาม แต่ว่าโดยสภาพแล้ววุฒิสภาก็ได้แต่รับรองเท่านั้น แทบที่จะเรียกว่าทำอย่างอื่นไม่ได้ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าวุฒิสภาครึ่งหนึ่งก็ยังมาจากการสรรหา ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 4 คนที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒินิติศาสตร์และรัฐศาสตร์นั้น ก็เห็นได้ว่าองค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหามีที่มาที่เชื่อมโยงกับประชาชนน้อยมาก กรรมการสรรหาส่วนใหญ่ก็คือประธานศาลต่างๆและประธานอง์กรอิสระ กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว ถ้าดูในแง่ที่มา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบันนี้เป็นสัญลักษณ์ของพวกอภิชน คือ มีลักษณะที่ตัวแทนของระบอบอภิชนาธิปไตยหรือคณาธิปไตย ไม่ใช่สัญลักษณของนิติรัฐและระบอบประชาธิปไตย ทั้งหมดนี้มาจากความคิดที่รังเกียจนักการเมือง ซึ่งในที่สุดแล้วก็คือความคิดที่รังเกียจประชาธิปไตยนั่นเองที่ทำให้ได้โครงสร้างในลักษณะแบบนี้ขึ้นมา ทำให้ตัวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขาดจุดยึดโยงเท่าที่ควรจะเป็นกับประชาชนผู้ที่เป็นเจ้าของอำนาจ</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ในทางปฏิบัติเราจะเห็นว่าตัวบุคลากรที่เข้าสู่ตำแหน่ง ในศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา วิธีคิดของบุคคลากรเหล่านี้ รวมทั้งการปฏิบัติภารกิจในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมามันบ่งชี้แล้วว่าทิศทางแนวการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นคดียุบพรรค คดีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของคุณสมัคร สุนทรเวช คดีเรื่องปราสาทพระวิหาร เรื่องสนธิสัญญาที่จะต้องขอความเห็นชอบจากสภา คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเหล่านี้มีปัญหาในทางกฎหมายทั้งสิ้น จนมาถึงคดีที่ใหญ่มากที่สุดและมีปัญหามากที่สุด และสำหรับผมแล้ว นี่คือคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ทำหน้าที่พิทักษ์คุณค่าของนิติรัฐในระบอบรัฐธรรมนูญแล้ว แต่สถาปนาตัวเองขึ้นไปอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ นั่นคือคดีเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">ทำไมอาจารย์มองกรณีล่าสุดว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> เรื่องล่าสุดเห็นว่าใหญ่ที่สุด รุนแรงที่สุด ไม่ได้หมายความว่าเรื่องที่ผ่านมาไม่รุนแรง กรณีการยุบพรรคพลังประชาชน ก็มีสภาพซึ่งหลายคนกังขาในเชิงความเป็นกลาง ความโปร่งใส และความเป็นมืออาชีพในการตัดสินคดี เพราะมันมีการแถลงคดีด้วยวาจา หลังจากนั้นประมาณชั่วโมงหนึ่งก็ตัดสินคดีเลย ลักษณะการอ่านคำวินิจฉัยอ่านชื่อพรรคการเมืองก็ยังผิด และยังตัดสินในบริบทของการบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิของพวกพันธมิตรด้วย นี่เป็นปัญหาที่ศาลรัฐธรรมนูญแสดงออกผ่านการทำงานที่เราก็คงพอเห็นได้ ยิ่งถ้าดูคำให้สัมภาษณ์ของประธานศาลรัฐธรรมนูญในตอนหลังที่พูดถึงเรื่องบริบทของการตัดสินคดียุบพรรคจะยิ่งเห็นได้ชัดว่าการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีปัญหาจริงๆ ไม่ใช่ผมอคติ แต่ดูจากภววิสัย ผมคิดว่าคนทั่วไปที่มีใจเป็นธรรมพอก็จะเห็นว่ามีปัญหาอย่างแน่นอน , คดีปราสาทพระวิหารที่ตัดสิน รัฐธรรมนูญเขียนว่า เป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขต ศาลรัฐธรรมนูญก็ไปเติมคำว่า “อาจ” ลงไป ซึ่งก็เป็นการขยายอำนาจของตัวเอง และสุ่มเสี่ยงว่าจะเป็นฝักเป็นฝ่าย , คดีการปฏิเสธไม่ยุบพรรค ปชป.ในเรื่องระยะเวลาในการยื่นคำร้อง อะไรเหล่านี้มันชวนให้สาธารณชนมีข้อกังขาได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพิจารณาจากประโยชน์ได้เสียทางการเมืองในช่วงระยะเวลาหกถึงเจ็ดปีที่ผ่านมา และนำคำวินิจฉัยเหล่านั้นมาตรวจวัดกับคุณค่านิติรัฐประชาธิปไตย คนที่มีใจเป็นธรรมก็ตาสว่างแล้วตาสว่างอีก</span><br />
<blockquote style="background-color: #f3ecb8; background-image: url(http://www.enlightened-jurists.com/files/customtheme/1/enlightened/image/quote.png); background-position: 0% 0%; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 1px solid rgb(187, 187, 187); font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px; margin: 10px; padding: 20px;">
“เรื่องล่าสุดการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ผมเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีเขตอำนาจเหนือคดีเลย ไม่มีตัวบทบัญญัติมาตราใดในรัฐธรรมนูญให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียว ซึ่งแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยว่าร่างพ.ร.บ.ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ วินิจฉัยคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี วินิจฉัยเรื่องการยุบพรรค เรื่องสนธิสัญญา”</blockquote>
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> แต่ความรุนแรงของความผิดพลาดในการตัดสินคดีที่ผ่านมาหลายๆ คดีในทางกฎหมาย มันยังไม่เท่ากับคดีที่เกิดขึ้นล่าสุด เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่บอกว่าล่าสุดนั้น หมายถึงคดีตั้งแต่เรื่องมาตรา 291 เมื่อปีที่แล้ว (2555) เรื่อยมาถึงมาตรา 68 ในปัจจุบัน (2556) สองคดีนี้เชื่อมโยงหรือเกี่ยวเนื่องกัน ที่บอกว่ารุนแรง เพราะว่าคดีอื่นๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดี อย่างน้อยที่สุดตอนคดีเข้าสู่ศาลเรายังพอบอกได้ว่าศาลมีเขตอำนาจเหนือคดี อย่างกรณียุบพรรค หนังสือสัญญาต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาหรือไม่ กรณีคุณสมัคร สุนทรเวช รัฐธรรมนูญเขียนให้อำนาจศาลสามารถวินิจฉัยเรื่องของสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนฯ หรือคุณสมบัติของนายกฯ คืออย่างน้อยทางเข้ามันเห็นว่ามีตัวบทรองรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญอยู่ ถึงแม้ว่าในเชิงการพิจารณา การตัดสินคดี การตีความรัฐธรรมนูญ ผมจะเห็นว่ามีปัญหาอย่างยิ่งก็ตาม แต่ในทางการรับคดีเราต้องยอมรับว่าในหลายคดีศาลรัฐธรรมนูญมีเขตอำนาจเหนือคดี</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> แต่เรื่องล่าสุดการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ผมเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีเขตอำนาจเหนือคดีเลย ไม่มีตัวบทบัญญัติมาตราใดในรัฐธรรมนูญให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียว ซึ่งแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยว่าร่างพ.ร.บ.ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ วินิจฉัยคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี วินิจฉัยเรื่องการยุบพรรค เรื่องสนธิสัญญา</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> แล้วศาลธรน.รับเรื่องนี้จากมาตราไหน คำตอบก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญนั้นอาศัยมาตรา 68 แต่มาตรา 68 มันเป็นเรื่องของการใช้สิทธิเสรีภาพของบุคคลหรือพรรคการเมืองไปล้มล้างระบอบการปกครอง ปัญหาก็คือ มาตรานี้ไม่ใช่บทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาวินิจฉัยเรื่องของการแก้รัฐธรรมนูญ</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> การรับคดีที่ผู้ไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาเป็นการล้มล้างระบอบการปกครอง มีข้อวิจารณ์ 2 ประการใหญ่ๆ ประการแรก ที่คนทั่วไปเขาก็พูดกันคือ ขั้นตอนของการเอาคดีนี้เข้าสู่ศาลไม่ถูกต้อง เพราะบทบัญญัติมาตรา 68 ที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้อ้างเพื่อรับคดีไว้พิจารณานั้น กำหนดสิทธิอัยการสูงสุดเท่านั้นเป็นคนยื่นเรื่อง ผู้ที่รู้เห็นการกระทำว่าจะเป็นการล้มล้างก็ต้องไปยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุดเพื่อไต่สวนว่ามีมูลหรือไม่ ถ้ามีมูลแล้วอัยการสูงสุดก็จะเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ไปดูการอภิปรายตัวรัฐธรรมนูญก็ได้ ไม่ว่าจะในรัฐธรรมนูญ 2540 ก็ดี หรือ 2550 ก็ดี ผู้อภิปรายก็อภิปรายในทิศทางนี้หมด แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็อาจจะอ้างได้ว่า เจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญอาจตีความแตกต่างจากคนร่างก็ได้ถ้ามีเหตุผลที่ดีกว่า แต่คำถามคือมันมีเหตุผลที่ดีกว่าไหม การตีความนั้นขัดแย้งกับตัวถ้อยคำอย่างชัดแจ้งไหม ขัดวัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้งไหม ถามผม ผมเห็นว่าขัดแย้งกับถ้อยคำในรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง เพราะเขาพูดถึงอัยการ ให้อัยการเป็นผู้รับเรื่องและยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ถามว่าขัดแย้งกับระบบของรัฐธรรมนูญไหม ถ้าตีความแบบ systematic interpretation คำตอบคือ ขัดแย้งกับระบบรัฐธรรมนูญ </span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> นอกจากจะขัดแย้งในเชิงถ้อยคำ ไวยากรณ์แล้ว ยังขัดแย้งกับตัวระบบ การขัดแย้งกับระบบคือ ถ้าตีความอย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความ มันไม่มีความจำเป็นที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเขียนคำว่าอัยการสูงสุดเอาไว้ ไม่อย่างนั้นรัฐธรรมนูญต้องเขียนว่า บุคคลจะไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเองก็ได้หรือไปยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุดก่อนก็ได้ โดยการตีความของศาลรัฐธรรมนูญแบบนี้ทำให้ function หรือภารกิจของอัยการสูงสุดไม่มีความหมาย พูดให้ชัดลงไปอีกก็คือ เท่ากับลบคำว่าอัยการสูงสุดออกจากรัฐธรรมนูญในทางปฏิบัติ เพราะต่อไปคนจะไม่ไปยื่นเรื่องที่อัยการสูงสุดแต่ไปยื่นโดยตรงที่ศาลรัฐธรรมนูญเลย การตีความแบบนี้จึงขัดกับตัวระบบ</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> อันถัดไปคือ ขัดกับวัตถุประสงค์ของตัวรัฐธรรมนูญเองซึ่งดูได้จากผู้ร่างว่า เขาไม่ต้องการให้ใครก็ได้ไปยื่นเรื่อง ซึ่งมันอาจจะไม่มีมูลต่อศาลรัฐธรรมนูญเขาถึงให้ไปที่อัยการสูงสุดก่อน และในด้านหนึ่งก็เป็นการถ่วงดุลอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญด้วย เพราะไม่อย่างนั้นโดยอาศัยมาตรา 68 ถ้าประชาชนหรือบุคคลไปยื่นเรื่องได้โดยตรง ศาลรัฐธรรมนูญก็จะมีอำนาจมาก สามารถรับเรื่องทุกประเภทเอาไว้เข้าสู่การพิจารณาได้ ขอเพียงแต่คนไปยื่นเรื่องอ้างว่าองค์กรของรัฐกระทำการเป็นการล้มล้างการปกครองเท่านั้นเอง มีมูลหรือไม่ก็สามารถรับเรื่องและเดินหน้าต่อไปได้ เท่ากับทำให้ศาลรัฐธรรมนูญโดยอาศัยช่องทางนี้กลายเป็นองค์กรที่ทรงพลานุภาพที่สุดในระบบรัฐธรรมนูญ ก็ผิดกับเรื่องหลักของการตีความในเชิงวัตถุประสงค์ของตัวบทที่เรียกว่า theological interpretation และขัดกับความเป็นมาของตัวบทที่เรียกว่า histological interpretation การตีความมาตรา 68 จึงขัดกับหลักเกณฑ์การตีความกฎหมายในทุกมิติ ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีเหตุที่จะอ้างได้</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ประการที่สอง ในเชิงตัวบทเขาพูดถึงเรื่องสิทธิและเสรีภาพของบุคคล อันนี้หนักกว่าเรื่องอัยการสูงสุดอีก ถ้าไปอ่านรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 จะเห็นว่ามาตรา 68 ระบุว่าการที่บุคคลจะยื่นเรื่องได้ต้องเป็นกรณีที่บุคคลใช้สิทธิและเสรีภาพ ผมถามว่า รัฐสภาในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เขาใช้สิทธิและเสรีภาพตรงไหน การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องสิทธิและเสรีภาพเลย สิทธิและเสรีภาพเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ของประชาชน ของพรรคการเมือง แต่รัฐสภาในฐานะที่เป็นองค์กรที่ทรงอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเขาปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มันจึงไม่ใช่เรื่องการใช้สิทธิและเสรีภาพในความหมายของมาตรา 68 ถ้าตีความว่า เวลาองค์กรของรัฐปฏิบัติหน้าที่เท่ากับใช้สิทธิและเสรีภาพ ต้องตีความต่อไปว่า การที่ตำรวจไปจับผู้ร้าย เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพ ทหารได้รับคำสั่งให้ไปรับ การออกรบก็เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพ อธิบดีกรมกรมหนึ่งออกใบอนุญาตบางอย่างก็เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพ ศาลตัดสินคดีก็เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพ กลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะตัดสินหรือใช้อำนาจยังไงก็ได้เพราะเป็นสิทธิและเสรีภาพของเขา ซึ่งผิด !!!</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> องค์กรของรัฐไม่ได้ใช้สิทธิและเสรีภาพ แต่องค์กรเหล่านั้นเขากำลังปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน ยิ่งไปกว่านั้นศาลรัฐธรรมนูญยังไปอนุโลมเอาตัวบทตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาสั่งคุ้มครองชั่วคราว คือ สั่งห้ามหรือยังไม่ให้ลงมติในวาระสามในตอนที่มีการฟ้องคดี อำนาจแบบนี้ไม่มีในรัฐธรรมนูญ ในข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่มีโดยตรง แต่ศาลรัฐธรรมนูญไปอนุโลมเอากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งในใช้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลธรรมดาด้วยกัน เวลาเป็นหนี้กันแล้วไปฟ้อง กลัวว่าลูกหนี้จะหนีหนี้ไปก่อน ก็สั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อน ระงับการโอนทรัพย์ได้ แต่นี่เป็นองค์กรของรัฐ ไปเอาอันนี้มาใช้ ก็เลยทำให้ศาลรัฐธรรมนูญสามารถสกัดการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภาได้</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> เราลองนึกดูง่ายๆ ถ้าใครยังไม่เข้าใจ ลองนึกดูว่า ขนาดรัฐธรรมนูญยอมให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปตรวจสอบการตรากฎหมายระดับพระราชบัญญัติ หรือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญก่อนประกาศใช้กฎหมาย รัฐธรรมนูญก็ยอมให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบได้ในชั้นที่ผ่านรัฐสภาไปแล้วแต่เป็นชั้นก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ นี่ขนาดรัฐธรรมนูญยอมให้ตรวจสอบยังเขียนไว้ชัดขนาดนี้ ไม่มีรัฐธรรมนูญที่ไหนเลยเขียนว่า คุณสามารถเข้ามาตรวจสอบวาระที่ 1 หรือวาระ 2 หรือวาระที่ 3 พูดง่ายๆ ก็คือ ขนาดรัฐธรรมนูญยอมให้ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบรรดาร่างพระราชบัญญํติต่างๆ รัฐธรรมนูญก็ยอมให้กระทำได้ภายหลังจากที่ร่างพระราชบัญญํตินั้นๆ ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว เรื่องราวนั้นเสร็จสิ้นไปจากรัฐสภาแล้ว รัฐธรรมนูญไม่ยอมให้ศาลรัฐธรรมนูญสอดเข้าไปยุ่งกับกระบวนการตรากฎหมายได้ นี่ขนาดเป็นกรณีที่เขียนไว้ชัดแจ้งนะ แต่กรณีของการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่มีเขียนไว้เลย ศาลรัฐธรรมนูญยังสอดเข้าไปห้ามการลงมติในวาระที่ 3 ซึ่งไม่มีบัญญัติใดให้อำนาจเลย ทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวมา จึงเห็นได้ชัดเจนว่าศาลรัฐธรรมนูญได้กระทำการละเมิดตัวบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเอง</span><br />
<blockquote style="background-color: #f3ecb8; background-image: url(http://www.enlightened-jurists.com/files/customtheme/1/enlightened/image/quote.png); background-position: 0% 0%; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 1px solid rgb(187, 187, 187); font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px; margin: 10px; padding: 20px;">
“แต่เมื่อปรากฏต่อรัฐสภาซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญเหมือนกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาใช้อำนาจที่ตัวเองไม่มีจากรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าตัวเองมีอำนาจอะไรจากตัวรัฐธรรมนูญ สภาซึ่งทรงอำนาจตามรัฐธรรมนูญเหมือนกันเขาย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญได้”</blockquote>
<span style="background-color: #f3ecb8; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">การแอคชั่นของฝ่ายนิติบัญญัติที่ไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ อาจารย์พอใจกับการแสดงออกนี้ไหม หรือเหมาะสมหรือไม่</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ผมคิดว่าถูกต้องแล้ว เพราะว่า ในแง่นี้ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรหนึ่งตามรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญไม่ได้วางสถานะของศาลรัฐธรรมนูญให้อยู่เหนือรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนเขียนแบบนั้นให้รัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรีอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมดูแลของศาลรัฐธรรมนูญ เขาวางโครงสร้างอำนาจเอาไว้เท่ากัน และใช้อำนาจคนละลักษณะ โดยการวางโครงสร้างแบบนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นคนใช้อำนาจคนสุดท้ายในข้อพิพาททางกฎหมายรัฐธรรมนูญก็จริง แต่การใช้อำนาจต้องอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญด้วย คือต้องเป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญเขียนอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญไว้ชัดเจน</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> แต่เมื่อปรากฏต่อรัฐสภาซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญเหมือนกัว่า ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาใช้อำนาจที่ตัวเองไม่มีจากรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าตัวเองมีอำนาจอะไรจากตัวรัฐธรรมนูญ รัฐสภาซึ่งทรงอำนาจตามรัฐธรรมนูญเหมือนกันย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญได้</span><br />
<blockquote style="background-color: #f3ecb8; background-image: url(http://www.enlightened-jurists.com/files/customtheme/1/enlightened/image/quote.png); background-position: 0% 0%; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 1px solid rgb(187, 187, 187); font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px; margin: 10px; padding: 20px;">
“ถึงจุดหนึ่งเมื่อคุณก้าวล่วงออกจากกรอบขอบเขตอำนาจแล้ว องค์กรของรัฐเขาสามารถไม่ปฏิบัติได้ แน่นอนว่า จะนำมาซึ่งวิกฤตในทางกฎหมายไหม ก็นำมา แต่ถ้ายันกันได้ในทางกฎหมาย คำวินิจฉัยนั้นก็จะไม่มีผลในทางกฎหมาย”</blockquote>
<span style="background-color: #f3ecb8; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">ผลของการปฏิเสธจะออกมารูปไหนได้บ้าง</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ผลในทางกฎหมายที่ตามมา ถ้ารัฐสภาปฏิเสธ ก็คือ รัฐสภาไม่ผูกพันตามผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มักมีคนอ้างว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นเด็ดขาด ผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร ประเด็นคือ คำวินิจฉัยที่บอกให้มีผลเป็นเด็ดขาด ต้องเป็นคำวินิจฉัยที่เกิดขึ้นถูกต้องตามกรอบของรัฐธรรมนูญด้วย แต่คำวินิจฉัยอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นโดยเห็นประจักษ์ชัดว่ามันขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญอย่างแน่แท้จะไปบังคับให้รัฐสภาเขาผูกพันไม่ได้ เพราะถ้าผูกพันก็เท่ากับไปผูกพันตามคำวินิจฉัยซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ทีนี้ก็มีคนบอกว่า ศาลรัฐธรรมนูญเป็นคนตีความรัฐธรรมนูญ ศาลตีความแบบนี้จะไม่เชื่อศาลได้อย่างไร อย่างที่ผมบอกว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่เหมือนศาลยุติธรรมที่ตัดสินคดีระหว่างปัจเจกบุคคลด้วยกันในฐานะที่เศาลยุติธรรมมีอำนาจเหนือกว่าคู่ความในคดี แต่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญในฐานะที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรหนึ่งในรัฐธรรมนูญเสมอกับองค์กรอื่นๆ ถ้าองค์กรอื่นๆ มีความเห็นว่าสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญทำอยู่มันฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้งแล้ว องค์กรนั้นต้องไม่ปฏิบัติตาม เพราะถ้ายอมปฏิบัติตามก็เท่ากับยอมให้ศาลรัฐธรรมนูญทำลายรัฐธรรมนูญได้ผ่านคำวินิจฉัย ตนเองก็จะกลายเป็นผู้ร่วมทำลายรัฐธรรมนูญไปด้วย ซึ่งยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ต่อไปถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดี อ้างมาตรา 68 สมมติสั่งห้ามนายกฯ ไปปาฐกถาในต่างประเทศเรื่องประชาธิปไตย ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจแต่มีคนไปร้องว่าการทำเช่นนั้นเป็นการล้มล้างการปกครอง ขอคุ้มครองชั่วคราว ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณา แล้วสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามนายกฯ เดินทางออกนอกประเทศเพื่อไปแสดงปาฐกถา แล้วบอกว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเด็ดขาด ผูกพันทุกองค์กร แล้วมันจะเป็นยังไง เรายังจะต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยแบบนี้ไหม อย่าคิดว่าตัวอย่างพวกนี้เกิดขึ้นไม่ได้ ในยามที่สังคมเผชิญวิกฤติรุนแรง เอาเป็นเอาตายกันแบบนี้ เรื่องที่บ้าๆบอๆที่เป็นไปไม่ได้ มันก็เกิดขึ้นหลายเรื่องแล้ว</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ผมยกตัวอย่างให้เห็นสำหรับคนที่ชอบอ้างว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันองค์กรทุกองค์กรว่ามันมีพรมแดนของมัน ไม่ใช่สักแต่อ้าง ท่องอยู่นั่นแหละว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ตัดสินอะไรมาก็ต้องทำตาม คือ องค์กรอื่นเขาก็มีสมองเหมือนกัน เขาก็ใช้รัฐธรรมนูญเหมือนกัน เมื่อเขาเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจ ตีความรัฐธรรมนูญทำลายอำนาจของเขา เขาก็ต้องไม่ปฏิบัติตาม พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถึงจุดหนึ่งเมื่อคุณก้าวล่วงออกจากกรอบขอบเขตอำนาจแล้ว องค์กรของรัฐเขาสามารถไม่ปฏิบัติได้ ส่วนคำถามว่า จะนำมาซึ่งวิกฤตในทางกฎหมายไหม ก็นำมา แต่ถ้ายันกันได้ในทางกฎหมาย คำวินิจฉัยนั้นก็จะไม่มีผลในทางกฎหมาย </span><br />
<blockquote style="background-color: #f3ecb8; background-image: url(http://www.enlightened-jurists.com/files/customtheme/1/enlightened/image/quote.png); background-position: 0% 0%; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 1px solid rgb(187, 187, 187); font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px; margin: 10px; padding: 20px;">
“คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร มันไม่ใช่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินอะไรยังไงก็ได้ในรูปคำวินิจฉัยแล้วผูกพันองค์กรทั้งหมด ไม่งั้นก็ตัดสินอะไรก็ได้หมด มันต้องในความหมายความคำวินิจฉัยนั้นอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญ แล้วจึงผูกพันอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร ซึ่งเป็นองค์กรที่ทรงอำนาจในรัฐธรรมนูญเหมือนกัน”</blockquote>
<span style="background-color: #f3ecb8; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">ในทางการเมือง พอทำนายได้ไหมจะเกิดอะไร</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> มันก็ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายการเมืองหนักแน่นแค่ไหนในการปฏิเสธอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ เราคาดหมายว่าศาลรัฐธรรมนูญเขาถือว่าเขาตีความในอำนาจของเขา ที่สุดแล้ว ถ้าเขาไม่ถอย เขาก็จะทำคำวินิจฉัยออกมา การไม่ปฏิบัติตามก็ถือว่าฝ่าฝืนคำวินิจฉัย ก็อาจมีคนไปร้องขอให้ยุบพรรคการเมือง ที่สุดมันก็เหลืออยู่แต่ว่าฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติจะต้องทำตามไหม เพราะที่บอกว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร มันไม่ใช่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินอะไรยังไงก็ได้ในรูปคำวินิจฉัยแล้วผูกพันองค์กรทั้งหมด ไม่งั้นก็ตัดสินอะไรก็ได้หมด มันต้องในความหมายที่ว่าคำวินิจฉัยนั้นอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญ แล้วจึงผูกพันอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร ซึ่งเป็นองค์กรที่ทรงอำนาจในรัฐธรรมนูญเหมือนกัน แล้วที่สำคัญก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจบังคับการตามคำวินิจฉัยเอง ถ้าองค์กรบริหารซึ่งเป็นองค์กรที่จะต้องบังคับการตามคำวินิจฉัยไม่บังคับให้ คุณจะวินิจฉัยอะไรก็เรื่องของคุณ สุดท้ายพอขัดแย้งกันอย่างนี้ ก็อยู่ที่ผู้ถืออาวุธว่าจะเดินตามข้างไหน </span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> โดยปกติถ้ามันก้ำๆ กึ่งๆ เถียงกันประมาณนี้ องค์กรอื่นๆของรัฐก็ยอมผูกผัน เพื่อระบบกฎหมายดำรงอยู่ได้ แต่เมื่อใดที่เขาเห็นว่าอันนี้เป็นการที่ศาลรัฐธรรมนูญละเมิดรัฐธรรมนูญเสียเอง ผมถามว่าจะไปบังคับให้เขาผูกพันได้อย่างไร ยกตัวอย่างแบบ extreme ถ้ามีคนไปยื่นเรื่องว่าคณะรัฐมนตรีมุ่งประสงค์ล้มล้างรัฐธรรมนูญเป็นกบฏ ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณา แล้วก็เห็นว่าไม่มีวิธีอื่นใดที่จะระงับยับยั้งคณะรัฐมนตรีได้ จึงอนุโลมเอากฎหมายอาญามาใช้ ให้อำนาจตัวเองลงโทษประหารชีวิตบุคคล คือ ประหารชีวิตรัฐมนตรีทุกคน มีการทำคำสั่งดังกล่าวในรูปคำวินิจฉัย อย่างนี้ยังจะผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร ยังจะผูกพันราชทัณฑ์หรือ</span><br />
<blockquote style="background-color: #f3ecb8; background-image: url(http://www.enlightened-jurists.com/files/customtheme/1/enlightened/image/quote.png); background-position: 0% 0%; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 1px solid rgb(187, 187, 187); font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px; margin: 10px; padding: 20px;">
“เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการตัดสินคดีเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าดูในบริบทของการต่อสู้กันทางการเมืองหลังการแย่งชิงอำนาจเมื่อ 19 กันยา 49 บ้านเราเป็นตัวอย่างที่หนึ่งเดียวมากๆ ตอนนี้ ที่ผ่านมาผมก็ยังไม่เคยเห็นสภาพของการตีความรัฐธรรมนูญในลักษณะแบบนี้เลย”</blockquote>
<span style="background-color: #f3ecb8; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">พอจะมีตัวอย่างในประเทศอื่นไหม ที่ศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปดำเนินการในลักษณะนี้</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ในต่างประเทศ ถ้าองค์กรตุลาการหรือศาลใช้อำนาจก้าวล่วงอำนาจขององค์กรอื่นมาก แต่ไม่ถึงขึ้นผิดพลาดชัดแจ้ง วิธีการของเขาคือออกกฎหมายตัดอำนาจศาล สภาเขาก็แก้กฎหมาย เพื่อให้ในอนาคตคุณไม่สามารถทำอย่างนี้ได้อีก แต่กรณีนั้นเขาก็รับไป ปฏิบัติไปก่อน หรืออาจจะออกกฎหมายที่มีผลเป็นการแก้ไขความบกพร่องของคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัย เช่น ออกกฎหมายนิรโทษกรรม เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการตัดสินคดีเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าดูในบริบทของการต่อสู้กันทางการเมืองหลังการแย่งชิงอำนาจเมื่อ 19 กันยา 49 บ้านเราเป็นตัวอย่างที่หนึ่งเดียวมากๆ ตอนนี้ ที่ผ่านมาผมก็ยังไม่เคยเห็นสภาพของการตีความรัฐธรรมนูญในลักษณะแบบนี้เลย </span><br />
<blockquote style="background-color: #f3ecb8; background-image: url(http://www.enlightened-jurists.com/files/customtheme/1/enlightened/image/quote.png); background-position: 0% 0%; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 1px solid rgb(187, 187, 187); font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px; margin: 10px; padding: 20px;">
“คณะนิติราษฎร์เคยเสนอตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วว่าให้มีองค์กรที่ทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญไปก่อน เรียกว่า ‘คณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ’ เพราะสิ่งที่จะพิทักษ์คือตัวระบอบรัฐธรรมนูญ หรือคุณค่าของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่พิทักษ์ตัวหนังสือในรัฐธรรมนูญ ”</blockquote>
<span style="background-color: #f3ecb8; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">ถ้ามีโอกาสปรับโครงสร้าง อาจารย์มีข้อเสนออะไรบ้าง</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> การปรับโครงสร้างต้องมองสองระยะ ระยะหลังอาจไม่มีความจำเป็นต้องพูดกันตอนนี้ ระยะแรกถ้าเราลองดูโดยระบบของศาลรัฐธรรมนูญ ปีที่แล้วเขาจะแก้มาตรา 291 เปิดทางให้มี สสร. (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ) ยกร่างรัฐธรรมนูญ แล้วเอาไปออกเสียงประชามติ ศาลรัฐธรรมนูญบอกประมาณว่าแก้ไม่ได้ ถ้าจะทำศาลเขียนเป็นกึ่งๆ คำแนะนำว่าต้องทำประชามติก่อน หรือเป็นความเหมาะสมที่จะแก้ไขรายมาตรา เป็นการเบรคสภา เรื่องนี้จึงค้างอยู่ในวาระสอง ยังไม่มีการลงมติในวาระสาม พูดง่าย คือ สภาเขาก็ยอมถอย ผมเห็นว่าตอนนั้นศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ถูกต้องแล้วที่ตีความมาตรา 68 แบบนั้น แต่สภาไม่สู้ ยอมแก้เป็นรายมาตรา ครั้นแก้เป็นรายมาตราก็ถูกเบรคอีก มันสะท้อนให้เห็นวิธีคิดของศาลรัฐธรรมนูญ และน่าสนใจว่าสภาจะยอมอีกไหม</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> อาจจะมีคนบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ทันเบรกเสียหน่อย เขาแค่รับเรื่องเอาไว้พิจารณา แต่การรับเรื่องเอาไว้ก็ไม่ได้แล้ว คือ ชอบมีคนแย้งว่าไปวิจารณ์ทำไมเขายังไม่ได้ตัดสินคดี มันไม่ต้องรอให้ตัดสินคดี เพราะมันผิดตั้งแต่รับเรื่องที่ตัวเองไม่มีอำนาจรับแล้ว</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ในแง่นี้ถ้าจะแก้ปัญหาก็ต้องแก้โดยทำเป็นสองระยะ ระยะแรก คือ การตั้งองค์กรขึ้นมาทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญในโครงสร้างแบบนี้ชั่วคราวไปก่อน เพื่อเปิดทางให้มีการทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับโดยปลอดจากการแทรกแซงโดยศาลรัฐธรรมนูญ วิธีการเบื้องต้นคือ ต้องยุบเลิกศาลรัฐธรรมนูญที่สืบทอดมาจากรัฐประหารแบบที่เป็นอยู่ก่อน ตัวตุลาการอาจไม่ได้สืบเนื่องโดยตรง แต่โดยโครงสร้างตามรัฐธรรมนูญ 50 หลายๆ เรื่องมันเชื่อมต่อจากรัฐประหารมา มันจึงปฏิเสธความเชื่อมต่อโดยอ้อมไม่ได้เสียทีเดียว มันจึงต้องยุบ เลิก ระบบนี้ไป</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> คณะนิติราษฎร์เคยเสนอตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วว่าให้มีองค์กรที่ทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญไปก่อน เรียกว่า ‘คณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ’ เพราะสิ่งที่จะพิทักษ์คือตัวระบอบรัฐธรรมนูญ หรือคุณค่าของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่พิทักษ์ตัวหนังสือในรัฐธรรมนูญนะ ตัวหนังสือนั้นต้องถูกแก้ถูกเปลี่ยนด้วยซ้ำไป แต่เราพิทักษ์คุณค่ารัฐธรรมนูญ คุณค่านิติรัฐ</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> เราเคยเสนอไว้ว่าตั้งองค์กรนี้มาแทนที่ สวมเข้าไปเพื่อรับภาระที่ยังคั่งค้างอยู่ เพราะถ้ายุบทิ้งไม่มีอะไรมาแทน มันเหมือนฟันเฟืองมันหายไป รถหรือตัวรัฐธรรมนูญจะวิ่งไม่ได้ ต้องมีอะไรมาแทนที่ไปก่อนระหว่างปรับโครงสร้าง โดยคณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ ให้มีที่มาจากแหล่งต่างๆ กัน มีเพียง 8 คน พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของประธานรัฐสภา และมีที่มา 3 ทาง จากสภาผู้แทนราษฎร 3 คน จากวุฒิสภา 2 คน จากครม. 3 คน รวมแล้วคือ ฝั่งนิติบัญญัติ 5 คน ฝ่ายบริหาร 3 คน เพื่อให้มีความชอบธรรมย้อนกลับไปหาประชาชน คณะตุลาการพิทักษ์รัฐธรรมนูญนี้ที่มาจากสภาผู้แทนราษฎร อย่างน้อย 1 คนต้องเป็นผู้พิพากษาในศาลฎีกาหรือตุลาการในศาลปกครองสูงสุด แล้วที่มาจากวุฒิสภาอย่างน้อย 1 คน ต้องเป็นผู้พิพากษาในศาลฏีกาหรือตุลาการในศาลปกครองสูงสุด เรียกว่าอย่างน้อย 2 ใน 8 ต้องเป็นหรือเคยเป็นผู้พิพากษาอาชีพ และให้มีวาระดำรงตำแหน่ง 7 ปี</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> อาจมีคนบอกว่าทำแบบนี้ก็แย้งกับที่ผมเคยบอกว่า ฝ่ายค้านไม่มีส่วนร่วม ทำแบบนี้ฝ่ายบริหารก็กินกันไปหมด แล้วก็จะกระทบกับอิสระของตุลาการ มีแต่คนของฝ่ายรัฐบาล คำตอบคือ ประการแรก มันไม่เป็นแบบนั้น ฝ่ายบริหารถูกล็อคเอาไว้แล้วว่าต้องเลือกจากผู้พิพากษา 2 ใน 8 ส่วนที่เหลือเราเปิดคุณสมบัติไว้กว้างก็จริง แต่ฝ่ายบริหารก็ต้องเลือกโดยรับผิดชอบต่อรัฐสภาอยู่ดี เราต้องไม่ลืมว่าสภาผู้แทนราษฎรเลือก 3 คน ฝ่ายค้านมีส่วนร่วมด้วย ในการท้วงติง ในการอภิปรายถึงตัวบุคคลที่ถูกเสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎรเลือก ฝ่ายค้านมีส่วนในกระบวนการเพราะเป็นการเลือกในสภาผู้แทน ไม่ใช่เลือกโดยคณะกรรมการสรรหาแบบรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ผมเคยวิจารณ์ว่าในทางปฏิบัติ ฝ่ายค้านไม่มีโอกาสร่วมคัดเลือก เพราะไม่ได้อยู่ในกรรมการคัดเลือก ส่วนในวุฒิสภาก็มีวุฒิสมาชิกที่มาจากการสรรหาอยู่แล้ว วุฒิสมาชิกสรรหาเหล่านี้ก็เป็นอภิชนที่เรายอมให้มีส่วนในการเลือกตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญด้วย ทั้งๆที่ว่ากันในทางระบบให้ถึงที่สุดแล้ว คนเหล่านี้ไม่ควรได้สิทธิในการเลือกตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญเลย ส่วนอีก 2 คนให้มาจากครม.เปิดคุณสมบัติไว้ให้ค่อนข้างกว้าง และให้ ครม.รับผิดชอบทางการเมือง</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> มีคนบอกว่า กรณีแบบนี้แทรกแซงได้ คำตอบคือ แทรกแซงไม่ได้ เพราะเมื่อ 8 คนนี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญแล้ว เขาเป็นอิสระจากการสั่งการของ ครม.หรือรัฐสภา เขาได้รับการประกันความเป็นอิสระเหมือนผู้พิพากษาเลย</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ก็มีคนบอกว่า สั่งไม่ได้ แต่ก็รู้กัน เพราะเป็นคนที่ตัวเองส่งไป คำตอบคือ มันยังมีระบบถ่วงดุลโดยการถอดถอนโดยวุฒิสภาอยู่ และวุฒิสภาก็ยังเป็นแบบเดิมอยู่คือครึ่งหนึ่งมาจากการสรรหา อีกครึ่งมาจากการเลือกตั้ง โดยระบบแบบนี้ถ้าปรากฏหลักฐานแบบนั้นมันก็ถอดถอนได้ แต่ถ้าไประแวงหมดมันก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วในทางกลับกัน ผมถามว่าทุกวันนี้คุณเชื่อได้อย่างไรว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นอยู่คุณไม่ถูกสั่งหรือไม่ถูกแทรกแซง ถ้ามีคนไม่เชื่อว่าอิสระล่ะ เพราะองค์กรที่คัดเลือกก็ต้องรู้จักกัน คือ ถ้าเราไม่ไว้วางใจแบบนี้ก็ต้องใช้ตรรกะนี้กับศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบันเหมือนกัน</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ในด้านหนึ่งเวลาครม.เลือก ก็ต้องเลือกคนซึ่งได้รับการยอมรับ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่ฝ่ายค้านโจมตีน้อยที่สุด สุดท้ายก็ยังมีสาธารณชนดู และจะคอยดูว่าที่ตัดสินมันเอียงไหม เข้าข้างรัฐบาลตลอดเวลาไหม ระบบถอดถอนก็ยังมีอยู่ และเป็นโครงสร้างที่ใช้ไปชั่วคราว เพราะถ้าไม่ทำตรงนี้มันจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบถาวรไม่ได้</span><br />
<blockquote style="background-color: #f3ecb8; background-image: url(http://www.enlightened-jurists.com/files/customtheme/1/enlightened/image/quote.png); background-position: 0% 0%; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 1px solid rgb(187, 187, 187); font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px; margin: 10px; padding: 20px;">
“ต้องมีระบบความรับผิดหรือความพร้อมรับผิด อันนี้ไม่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแล้วแต่เกี่ยวกับการ reform ศาลทั้งระบบและ reform กฎหมายอาญาที่เกี่ยวกับความผิดฐานบิดเบือนการตีความกฎหมายที่ต้องให้เป็นความผิดอาญา”</blockquote>
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ส่วนโครงสร้างถาวรข้างหน้า ผมว่าต้องคิดกันเยอะ เราอาจจะคิดถึงแต่ตัวตุลาการไม่ได้ ผมคิดว่าต้องตั้งคำถามแต่แรกเลยด้วยซ้ำ ว่า เราควรมีศาลรัฐธรรมนูญไหม ถ้าจะ reform ทั้งระบบ มันมีความจำเป็นต้องมีหรือไม่ต้องมี ซึ่งเรื่องนี้มีโมเดลตั้งเยอะ บางประเทศเขาไม่ยอมให้มีศาลรัฐธรรมนูญเพราะเห็นว่าอำนาจเยอะเกินไป ถามว่าใครคุมการตรากฎหมาย เขาบอกว่า เวลาคุมก็ให้คุมโดยคณะกรรมการหรือคณะกรรมาธิการที่มีอำนาจและเลือกมาจากผู้ทรงคุณวุฒิต่างๆ และเป็นการคุมในขั้นตอนก่อนประกาศใช้กฎหมาย กฎหมายผ่านรัฐสภามาแล้วให้เอาให้คณะกรรมการชุดนี้ตรวจสอบ ถ้ากรรมการซึ่งมีความชอบธรรม มีที่มาจากหลายภาคส่วนชี้ว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ก็ปล่อยผ่านไป </span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ก็มีคนบอกว่าระบบการควบคุมก่อนการประกาศกฎหมายก็มีข้อดีอยู่ในการที่จะกันการแทรกแซงของศาล แต่มันอาจจะมีข้อเสียคือ ตอนคุมก่อนประกาศใช้กฎหมาย บางทีถ้ากฎหมายยังไม่ถูกเอาไปใช้จริง มันไม่รู้หรอกว่าเวลานำไปใช้แล้วมันจะขัดหรือไม่ขัดรัฐธรรมนูญ หลายประเทศเลยบอกว่าต้องมีระบบคุมหลัง ซึ่งระบบคุมหลังมีแนวทางให้เลือกหลายแนว หนึ่ง ใช้ระบบคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นองค์กรกึ่งการเมือง กึ่งตุลาการ ไม่ต้องเป็นศาล เป็นคณะตุลาการในรูปแบบเดิม แล้วให้อำนาจเฉพาะเรื่องเอาไว้ ไม่ได้อำนาจมากแบบศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องตั้งขึ้นมาเป็นศาล หรือจะตั้งขึ้นมาเป็นศาลก็มีแนวทางว่าให้ศาลฎีกาตัดสินคดีแบบนี้ หรือตั้งเป็นศาลเฉพาะขึ้นมา</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> สรุป 1.ตั้งเป็นองค์กรการเมืองแท้ๆ ในรูปคณะกรรมการหรือคณะกรรมาธิการ 2.ตั้งเป็นองค์กรกึ่งการเมือง กึ่งตุลาการ ในรูปคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ 3.ตั้งในรูปของศาล ถ้าเป็นในรูปของศาล ไม่ควรให้ศาลฎีกามีอำนาจแบบนี้ในความเห็นผม ควรมีศาลพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญขึ้นมา ซึ่งก็คือศาลรัฐธรรมนูญนั่นแหละ มันคงตั้งในรูปแบบนี้ เพียงแต่ที่มาของตุลาการจะต้องเปลี่ยนใหม่หมด ต้องวางระบบ กฎหมายวิธีพิจารณาใหม่หมด การกำหนดอำนาจหน้าที่ต้องเขียนใหม่หมด fixเป็นเรื่องๆ และไม่ยอมให้สภาออกกฎหมายเพิ่มอำนาจให้กับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องอะไรก็ได้ แต่ต้องเขียนว่าจะต้องให้สภาออกกฎหมายเพิ่มอำนาจในเรื่องอะไรบ้าง ถ้าสภาไม่ออกก็ตัดสินคดีไม่ได้ มันต้องเป็นแบบนี้</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ที่มาในเบื้องต้น เราต้องดูเรื่องระบบถอดถอนคู่กันไป ผมมีโมเดลในใจของผมแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะเสนอเรื่องนี้ออกไป แต่เราพูดในทางหลักการก่อนว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องมีความชอบธรรมในทางประชาธิปไตยสูงมากกว่าผู้พิพากษาตุลาการของศาลอื่น เพราะเขามาตัดสินคดีรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น ที่มา โอเค อาจไม่ถึงกับมาจากการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง แต่ก็ต้องเชื่อมกับองค์กรที่มีที่มาทางประชาธิปไตย ก็คือ ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติในทางใดทางหนึ่ง จะเชื่อมแบบเข้มข้นหรือเจือจางก็แล้วแต่จะออกแบบ จะปล่อยให้มาจากศาลเองเกือบจะ automatic แบบนี้ไม่ได้</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> พูดง่ายๆ ว่า โมเดลที่ให้ศาลส่งมาแล้วผ่านวุฒิสภาในเชิงพิธีกรรมโดยไม่มีอำนาจปฏิเสธแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้ สอง ต้องมีระบบถอดถอน ซึ่งต้องมาพร้อมกับ สาม หลักการประกันความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ หมายความว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าหากจะมี เขาจะแต่งตั้งมาจากทางใดเป็นเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย แต่เมื่อตั้งแล้ว เขาต้องได้รับการประกันว่าเขาจะไม่ถูกแทรกแซงจากบุคคลใด เมื่อมีหลักประกันอิสระ ก็ไม่จำเป็นต้องฟังคนตั้ง แต่อิสระที่มีไม่ใช่ทำอะไรก็ได้ มันต้องตั้งอยู่บนระบบของการยอมให้มีการถอดถอนออกได้ ซึ่งเมื่อถึงขั้นการถอดถอน ผมเห็นว่า อาจมีระบบเดียวไม่พอ ต้องมีสองระบบคู่กัน ทั้งการถอดถอนโดยตรงในเหตุบางเหตุ และการถอดถอนโดยองค์กรของรัฐในอีกเหตุบางเหตุ แต่การถอดถอนนั้นจะต้องทำได้ยาก เพราะถ้าทำง่ายเขาก็ขาดอิสระ แต่ยังไงก็ต้องมีระบบถอดถอน ไม่ใช่ปล่อยว่า เอาเข้าไปแล้วหมดหนทางในการเอาออก</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ถัดไปคือต้องมีระบบความรับผิดหรือความพร้อมรับผิด อันนี้ไม่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญแล้วแต่เกี่ยวกับการ reform ศาลทั้งระบบและ reform กฎหมายอาญาที่เกี่ยวกับความผิดฐานบิดเบือนการตีความกฎหมายที่ต้องให้เป็นความผิดอาญา ว่า ถ้าได้ความประจักษ์ว่าตุลาการตีความกฎหมายเพื่อประโยชน์ของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แม้เป็นคดีทางการเมืองก็ตาม ถ้าเห็นประจักษ์ชัด มีพยานหลักฐาน ตุลาการเข้าไปพบคนนั้นคนนี้ พบแล้วผลการตัดสินออกมาเป็นแบบนี้ หรือบางกรณีที่แอบถ่ายคลิปกันแล้วเงียบไปแล้ว กรณีเหล่านี้ต้องมีความพร้อมรับผิด มันจะเป็นไปได้ยังไง คลิปถ่ายออกมาเรื่องราวใหญ่โตแล้วเงียบไป อย่างนี้ไม่ได้ อันนี้คือสิ่งที่ต้องสร้างขึ้น</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> สุดท้ายคือ กฎหมายวิธีพิจารณา สภาต้องเป็นคนออก ทั้งการริเริ่มออกและการบัญญัติขึ้นเป็นกฎหมายเอง เพราะกฎหมายวิธีพิจารณาคือตัวกฎหมายที่คุมการทำงานของศาล แน่นอน ฝ่ายศาลเองต้องมีส่วนร่วมในการมีคน บุคลากรเข้ามาชี้แจงในสภาถึงความจำเป็นในเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่สภาต้องเป็นคนตัดสินใจสุดท้ายว่าวิธีพิจารณาของศาลต้องเขียนไว้ยังไง ศาลต้องทำยังไง เพราะตัววิธีพิจารณาคือตัวล็อคการทำงานของศาล ไม่อย่างนั้นจะไม่มีระบบคุม</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> นี่คือสิ่งที่เราต้องทำภายหลังจากที่เราก่อร่างสร้างรูปรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด รู้แต่ว่าต้องเกิดขึ้นแน่ๆ</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจมากตอนนี้ ในทางกฎหมายแล้วมีอะไรที่จะเบรคศาลรัฐธรรมนูญได้บ้าง</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ไม่มี ก็มีเรื่องการแจ้งความ ในหมู่ศาลเขาก็ตัดสินเอง ระบบที่รัฐธรรมนูญ 50 ออกแบบเอาไว้เป็นระบบซึ่งเน้นอำนาจตุลาการเยอะ บางคนอาจบอกไม่ได้เน้นเยอะเสียหน่อย วรเจตน์พูดไปเองหรือเปล่า มีอคติหรือเปล่า คำว่าเน้น คือ หมายถึงเน้นความสำคัญของบรรดาผู้พิพากษาตุลาการ ทั้งในเชิงบุคคลและในเชิงองค์กร ในเชิงบุคลากร เช่น มีการเขียนอายุเกษียณของผู้พิพากษาไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน เพราะเรื่องอายุเกษียณมันเป็นผลประโยชน์ของบุคลากร แล้วเราบอกว่าผู้พิพากษาตุลาการไม่มีผลประโยชน์ได้ยังไง นี่เถียงไม่ได้เลย</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ระบบบุคลากร ไม่เฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ ระบบคณะกรรมการตุลาการฝ่ายศาลยุติธรรม ศาลปกครอง เป็นระบบปิด เป็นระบบที่ศาลดูแลกันเองหมด องค์กรหรือคนภายนอกแทบจะไม่มีส่วนเลย ถึงมีก็น้อยมาก ซึ่งเป็นระบบที่ไม่น่าจะถูกต้อง ในแง่นี้ ถ้าดูจากตัวรัฐธรรมนูญ 50 มันเน้นอำนาจศาล ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเยอะมาก อำนาจตัวเองก็มีเยอะอยู่แล้วแล้วยังตีความออกไปอีก แล้วดันไปให้อาญาสิทธิ์ให้คำวินิจฉัยเป็นเด็ดขาด ผูกพันองค์กรทุกองค์กรอีก คือ ใหญ่มากกว่าใครทั้งหมดได้เลย ถ้าไม่ระมัดระวัง วินิจฉัยอะไรมาก็กลายเป็น ให้นิ้วเพชรกับนนทก ไปชี้แล้วตายหมดเลย จริงๆ แล้วไม่ถูก</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> โดยโครงสร้างแทบจะเรียกว่ารัฐธรรมนูญ 50 ให้อำนาจศาลเยอะ แต่ความจริงถ้าไปยันเชิงระบบจริงๆ ศาลก็ไม่มีอำนาจทำแบบนี้หรอก อย่างมาตรา 68 ถ้าตีความตามหลักจริงๆ ศาลก็รับคดีแบบนี้ไม่ได้ ฉะนั้นจะว่า มันเป็นเรื่องรัฐธรรมนูญอย่างเดียวก็ไม่ได้ มันทั้งรัฐธรรมนูญและการตีความ แต่โดยรัฐธรรมนูญเองในบริบทหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 บุคลากรที่มาอยู่ในตัวรัฐธรรมนูญที่เลือกๆ กันมา ทัศนคติของบุคลากรเหล่านั้นมันเสริมทำให้อำนาจของศาล โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญมีมาก จนทำให้โดยผลของการตีความมาตรา 291 เมื่อปีที่แล้ว เขาสถาปนาตัวเองขึ้นไปอยู่เหนือรัฐธรรมนูญไปแล้ว</span><br />
<blockquote style="background-color: #f3ecb8; background-image: url(http://www.enlightened-jurists.com/files/customtheme/1/enlightened/image/quote.png); background-position: 0% 0%; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 1px solid rgb(187, 187, 187); font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px; margin: 10px; padding: 20px;">
“ตอนรับเรื่องมาตรา 291 ไว้ ก็บอกให้แก้รายมาตราได้ แต่ว่ามาถึงคราวนี้ไม่ยอมแล้ว เพราะมาตรา 68 มันแปรสภาพมาเป็นศูนย์กลางของเรื่อง เป็นหัวใจ กล่องดวงในของเรื่อง ถ้าสูญเสียมาตรา 68 ไปก็ถูก reform ได้”</blockquote>
<blockquote style="background-color: #f3ecb8; background-image: url(http://www.enlightened-jurists.com/files/customtheme/1/enlightened/image/quote.png); background-position: 0% 0%; background-repeat: no-repeat no-repeat; border: 1px solid rgb(187, 187, 187); font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px; margin: 10px; padding: 20px;">
“..การ reform เขาทำได้เพราะเขาเป็นเสียงข้างมากที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เขาต้องมีความชอบธรรมในการ reform ได้ตราบเท่าที่มันไม่ได้ไปกระทบกับหลักสิทธิเสรีภาพ หรือทำลายแก่นหลักของหลักประชาธิปไตยและนิติรัฐ ”</blockquote>
<span style="background-color: #f3ecb8; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">สุดท้ายขอถามโดยสรุป ‘สภา’ ต้องทำอย่างไรเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> สภาต้องแก้รัฐธรรมนูญให้ได้ นี่คือหัวใจ ถ้าแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ จะทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ถ้าสภาจะแก้รัฐธรรมนูญแล้วจะ ต้องขออนุญาตศาลรัฐธรรมนูญก่อน ก็ไม่มีทางที่จะแก้แก้รัฐธรรมนูญไปในทิศทางของการปฏิรูประบบโครงสร้างของรัฐธรรมนูญได้ ฉะนั้น สภาจะทำยังไงก็ได้เพื่อจะแก้รัฐธรรมนูญให้ได้ แค่นี้ก็ยากแล้ว</span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> ความจริงไม่ควรจะยากเลย เพราะรัฐธรรมนูญก็ให้อำนาจสภาในการแก้อยู่แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญเองตอนตัดสินคดีเมื่อปีที่แล้วโดยหลักการทางกฎหมายก็ไม่ค่อยถูกต้อง ตอนรับเรื่องมาตรา 291 ไว้ แม้กระนั้นศาลรัฐธรรมนูญก็บอกให้แก้รายมาตราได้ แต่ว่ามาถึงคราวนี้ดูเหมือนว่าจะศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ยอม ทั้งๆที่รัฐสภาก็ทำตามที่ศาลรัฐธรรมนูญแนะนำไว้ในคำวินิจฉัยก่อนนั้นนั่นแหละ เพราะมาตรา 68 มันแปรสภาพมาเป็นศูนย์กลางของเรื่อง เป็นหัวใจ กล่องดวงในของเรื่อง ถ้าสูญเสียมาตรา 68 ไป ศาลรัฐธรรมนูญก็อาจถูก reform ได้ ถึงขั้นอาจจะถูกยุบไปเลยก็ได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญอาจลืมไปว่า การ reform ศาลทั้งระบบนั้น รัฐสภาทำได้เพราะเขาเป็นเสียงข้างมากที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เขาต้องมีความชอบธรรมในการ reform ได้ตราบเท่าที่มันไม่ได้ไปกระทบกับหลักสิทธิเสรีภาพ หรือทำลายแก่นหลักของหลักประชาธิปไตยและนิติรัฐ ซึ่งเท่าที่ผ่านมาผมยังไม่เห็นจะมีเลย มีแต่อ้างกันไปเอง </span><br />
<br style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;" />
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"> บ้านเรามันกลายเป็นว่าฝ่ายที่แพ้ เสียงข้างน้อยกว่าไม่ยอมเคารพผลของการวินิจฉัยของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ แล้วดันมาอ้างประชาธิปไตย นิติรัฐ แบบกำมะลอ ไม่อ้างตรงไปตรงมา มีคนบอกว่าประชาธิปไตยต้องดูเนื้อหา ดูที่การเลือกตั้งไม่ได้ ผมถามง่ายๆ ว่า แม้กระทั่งในทางรูปแบบคุณยังไม่เคารพ เขาเลือกตั้งกันมากี่ครั้งๆ คุณยังไม่เคารพ ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ยืนยันเจตจำนงซ้ำแล้วซ้ำเล่าผ่านการเลือกตั้ง คุณยังไม่แยแสไยดี ยังอยากจะทำลายคณะรัฐมนตรีที่จะดีจะชั่วก็ผ่านการเลือกตั้งมาตามวิถีทางประชาธิปไตยอยู่นั่นแหละ ยังอยากทำลายพรรคการเมืองที่คุณเกลียดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และตั้งแต่ค่ำจรดเช้า แล้วคุณจะร้องหาเนื้อหาอะไร คุณอย่าพูดสวยๆ หรูๆ ในทางเนื้อหา ขนาดในทางรูปแบบคุณยังไม่มีความใจกว้างพอจะเคารพได้เลย คนที่อ้างเนื้อหาคือคนที่โดยเนื้อแท้แล้วไม่ได้เคารพประชาธิปไตย ต้องเคารพในเชิงรูปแบบก่อนในเบื้องแรก แล้วค่อยๆปรับเนื้อหา ไม่ใช่เอาเนื้อหามาปฏิเสธรูปแบบ อย่างนั้นไปอ้างหลักการอันอื่นเสียดีกว่า ที่อ้างกันอยู่อ้างเพื่อขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญทั้งนั้น ผมเห็นว่าเป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตยทั้งสิ้น แล้วยังมาอ้างประชาธิปไตยกันอยู่ได้.</span><br />
<div>
<span style="background-color: #f3ecb8; font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;"><br /></span></div>
กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-56060145254980678092013-07-12T10:27:00.001+07:002013-07-12T10:27:26.383+07:00ศาล ‘ปกครอง’ รัฐ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPn_1D9ajw8YAOkwi7hDI_lkz07rVGKkQk0gqSWgQkC8WFMe-qGxNm4j46sEFQq1amUq3iz7QfJ96lKA4Lilrz5G8sIGgefRCj1gYCQWLL25_AScAVSf2gIbei2AFgGp3ZUQQfNHnL6l8/s1600/thumb_4575.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPn_1D9ajw8YAOkwi7hDI_lkz07rVGKkQk0gqSWgQkC8WFMe-qGxNm4j46sEFQq1amUq3iz7QfJ96lKA4Lilrz5G8sIGgefRCj1gYCQWLL25_AScAVSf2gIbei2AFgGp3ZUQQfNHnL6l8/s320/thumb_4575.jpg" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
คำพิพากษาศาลปกครองในคดีโครงการบริหารจัดการน้ำ ฉบับเต็มพร้อมความเห็นแย้งของ 2 ตุลาการเสียงข้างน้อยออกมาแล้ว ( ลิงก์ : <a href="http://bit.ly/13PAmC4" style="border: 0px; color: black; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; text-decoration: none; vertical-align: baseline;">http://bit.ly/13PAmC4</a> )</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
บอกก่อนว่าผมก็ไม่เห็นด้วยนัก กับการประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำ ให้บริษัทเอกชนแข่งขันกันออกแบบก่อสร้าง แล้วทำสัญญาจ้าง โดยประชาชนยังไม่รู้ว่าจะทำแก้มลิงตรงไหน สร้างเขื่อนสร้างอ่างเก็บน้ำที่ไหน ทำฟลัดเวย์ทางใด รัฐบาลมอบหมายให้บริษัทผู้ชนะการประมูลแต่ละแผนงานไปศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและทำประชาพิจารณ์ แล้วปรับการก่อสร้างไปตามผลศึกษาและความคิดเห็นประชาชน</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ฉะนั้นถ้ามองผิวเผิน ก็น่าเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลปกครอง แต่พออ่านคำพิพากษา เทียบความเห็นเสียงข้างน้อยและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ก็มีหลายประเด็นน่าขบคิด</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แค่แผนแม่บทก็ผิด</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้จัดทำแผนแม่บทเสนอคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ให้ดำเนินการครอบคลุมทุกลุ่มน้ำในประเทศ ประกอบด้วย 8 แผนงาน ได้แก่ แผนงานฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ แผนงานบริหารจัดการเขื่อนเก็บน้ำหลัก แผนงานปรับปรุงฟื้นฟูประสิทธิภาพสิ่งก่อสร้าง แผนงานพัฒนาคลังข้อมูล ระบบพยากรณ์ และเตือนภัย แผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่, แผนงานกำหนดพื้นที่รับน้ำนองและมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ แผนงานปรับปรุงองค์กรเพื่อบริหารจัดการน้ำ แผนงานสร้างความเข้าใจ การยอมรับ การมีส่วนร่วม</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าแผนแม่บทไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากรัฐไม่ได้จัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึง ขัดต่อมาตรา 57 วรรคสองซึ่งระบุว่า</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“การวางแผนพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ การวางผังเมือง การกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และการออกกฎที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนได้เสียสำคัญของประชาชน ให้รัฐจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนดำเนินการ”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ศาลเห็นว่า เมื่อพิจารณาจากรายละเอียดในแผนแม่บท ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้มีการระบุรายละเอียดของแผนการดำเนินการที่ <strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“อาจ”</strong>มีผลกระทบต่อส่วนได้เสียสำคัญของประชาชนในวงกว้างในหลายพื้นที่ เช่น มีการระบุไว้ในหัวข้อ 3.4.6 แผนงานกำหนดพื้นที่รับน้ำนอง และมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้พื้นที่เพื่อการรับน้ำ ที่มีแนวทางการดำเนินงานด้วยการกำหนดพื้นที่รับน้ำนองในเขตเจ้าพระยาตอนบนและเจ้าพระยาตอนล่าง ตั้งแต่เขื่อนหลักในพื้นที่ภาคเหนือ ตลอดจนสองฝั่งของลุ่มน้ำเจ้าพระยาให้เป็นพื้นที่รับน้ำนอง ดังนี้เป็นต้น และการใช้อำนาจทางปกครองในการดำเนินการตามแผนแม่บทดังกล่าว ก็เห็นได้ชัดเจนว่า มีลักษณะจะเป็นการเปลี่ยนแปลงผังเมืองและกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน จึงมีลักษณะเป็นการวางผังเมืองและการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ตามมาตรา 57 วรรคสอง ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นประชาชนอย่างทั่วถึงเสียก่อน</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ศาลจึงเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ 2 (นายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ) ละเลยต่อหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ปฏิบัติ</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แต่ตุลาการเสียงข้างน้อย 2 ใน 6 ได้แก่นายตรีทศ นิโครธางกูร ตุลาการเจ้าของสำนวน และนายวินัย รุ่งรักสกุล มีความเห็นแย้งว่า แผนแม่บทบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ไม่ได้มีลักษณะเป็นการวางผังเมือง และการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในที่ดินตามมาตรา 57 วรรคสอง เพราะเป็นเพียงการกำหนดแผนการหรือโครงการที่รัฐบาลจะกระทำในอนาคตเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ และการดำเนินการตามแผนก็เป็นเรื่องการจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนหนึ่งส่วนใดเป็นเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไม่ใช่การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ การวางผังเมือง การกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และไม่มีลักษณะเป็นกฎ</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ดังนั้น ในการจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำดังกล่าวจึงไม่จำต้องมีการจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงเสียก่อน”</strong> (ความเห็นนายตรีทศ)</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ลองกลับไปดูข้างต้นนะครับ ว่าแผนแม่บท 8 แผนงานมีอะไรบ้าง</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แล้วสิ่งที่ประชาชนอยากแสดงความเห็นคืออะไร คือบ้านเราจะกลายเป็นพื้นที่แก้มลิงหรือไม่ ถูกเวนคืนสร้างเขื่อน สร้างฟลัดเวย์หรือไม่ นั่นคือสิ่งที่ต้องทำประชาพิจารณ์ก่อนลงมือสร้าง</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แล้วแผนงาน 8 แผนนี้ตอบสิ่งที่เราอยากรู้ไหม เปล่าเลย มันเป็นแค่การกำหนดแผน 8 ด้าน ไว้กว้างๆ ว่าจะต้องทำอะไรบ้างเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ รู้กันอยู่แล้ว เช่นที่ศาลท่านยกมาว่า <em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“แผนงานกำหนดพื้นที่รับน้ำนอง และมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้พื้นที่เพื่อการรับน้ำ ที่มีแนวทางการดำเนินงานด้วยการกำหนดพื้นที่รับน้ำนองในเขตเจ้าพระยาตอนบนและเจ้าพระยาตอนล่าง ตั้งแต่เขื่อนหลักในพื้นที่ภาคเหนือ ตลอดจนสองฝั่งของลุ่มน้ำเจ้าพระยาให้เป็นพื้นที่รับน้ำนอง” </em><strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อาจ </strong>มีผลกระทบต่อส่วนได้เสียของประชาชนนั้น ของมันรู้กันแหงๆ อยู่แล้วครับ จากน้ำท่วมปี 54 ว่าจะต้องมีพื้นที่รองรับน้ำ ไม่มากก็น้อย (แก้มลิงตามพระราชดำริ)</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แล้วจะทำประชาพิจารณ์เรื่องอะไร ควรมีหรือไม่ควรมี อย่างนั้นหรือ มันต้องให้รัฐบาลกำหนดมาก่อนสิครับว่าจะใช้พื้นที่ไหนบ้าง ถึงจะเปิดประชาพิจารณ์ รับฟังความเห็น แล้วค่อยก่อม็อบคัดค้าน</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">มันจึงไม่น่าจะเข้าข่ายมาตรา 57 ดังที่ตุลาการเสียงข้างน้อยท่านชี้ไว้ ถูกต้องแล้ว</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ในคำพิพากษายังมีตอนหนึ่งบอกเองว่า <em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้รับฟังได้ว่า แผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ) เป็นเพียงกรอบแผนงานกว้างๆ ซึ่งประกอบด้วย 8 แผนงานที่สำคัญ แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจึงไม่ได้เป็นการกระทำที่รัฐใช้อำนาจทางปกครองที่จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่บุคคลใดโดยตัวของแผนแม่บทเอง”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แต่ก็กลับเขียนต่อ<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ว่า “ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 ได้จัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึงก่อนการจัดทำแผนแม่บทดังกล่าวแต่อย่างใด และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 (คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย) ได้นำไปกำหนดเป็นโครงการเสนอกรอบแนวคิด (</em><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Conceptual Plan) และนำมาซึ่งการจัดทำหรือกำหนดขอบเขตงาน (TOR) ของ 10 แผนงาน/โครงการ (Module) และนำไปเปิดประมูล..... อันถือได้ว่าการดำเนินการต่อมาตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำยังไม่สิ้นสุด และอยู่ในวิสัยที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่จะจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนได้อย่างทั่วถึง”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ผมฟังแล้วงงจริงๆ ท่านยอมรับอยู่ว่าเป็นเพียงกรอบแผนงานกว้างๆ ยังไม่ได้ก่อความเดือดร้อนเสียหายให้ใคร แล้วทำไมจะต้องมาทำประชาพิจารณ์ ทำแล้วสมาคมต่อต้านโลกร้อนจะไปคัดค้านไม่ให้มีพื้นที่แก้มลิงเลยอย่างนั้นหรือ</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ตุลาการเสียงข้างน้อยยังแย้งเป็นประเด็นที่สองว่า <em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“หากเสียงข้างมากเห็นว่าแผนแม่บทดังกล่าวต้องตามมาตรา 57 วรรคสอง.... การไม่จัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนการดำเนินการจึงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญ... ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และศาลต้องเพิกถอนการกระทำดังกล่าว....”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ประเด็นที่สามซ้ำอีกดอก <em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“...การที่เสียงข้างมากมีคำบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ร่วมกันนำแผนแม่บทดังกล่าวไปดำเนินการจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็น ยังเป็นการดำเนินการที่ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติมาตรา 57.... เพราะเป็นการบังคับให้จัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนภายหลังจากที่ได้จัดทำแผนแม่บท...เสร็จสิ้นไปแล้ว ในขณะที่ตามบทบัญญัติดังกล่าวจะต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนดำเนินการ...”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">พูดง่ายๆ คือถ้าแผนแม่บทเข้ามาตรา 57 ต้องทำประชาพิจารณ์ แล้วไม่ได้ทำ ศาลก็ต้องเพิกถอนสิครับ จะไปสั่งให้ทำประชาพิจารณ์หาอันใด ในเมื่อแผนแม่บทออกมาแล้ว ประชาพิจารณ์ไปก็ไม่มีความหมาย</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">นี่สะท้อนว่าคำพิพากษาของเสียงข้างมาก ใช้ตรรกะที่ขัดแย้งกันเอง</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ตุลาการเจ้าของสำนวนยังให้ความเห็นว่า การบังคับให้นำแผนแม่บทไปทำประชาพิจารณ์ ในขณะที่ศาลก็บังคับให้มีการศึกษาผลกระทบและทำประชาพิจารณ์ก่อนจ้างออกแบบและก่อสร้างในแต่ละแผนงาน (Module) น่าจะไม่เกิดประโยชน์ตามเจตนารมณ์ที่แท้จริง และอาจก่อให้เกิดความสับสนขึ้นได้</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
พูดอีกอย่างว่าจะไปทำประชาพิจารณ์ควบทำไม ไม่จำเป็นต้องประชาพิจารณ์แผนแม่บท</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">มีเจตนาแต่ </strong><strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">TOR ก็ผิด</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
การดำเนินการตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้จัดทำข้อกำหนดและขอบเขตงาน (TOR) กำหนดรายละเอียดของการจัดทำโครงการหรือแผนงานต่างๆ 10 Module เช่น</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
Module A1 การสร้างอ่างเก็บน้ำอย่างเหมาะสมและยั่งยืนในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง ยม น่าน สะแกกรัง และป่าสัก Module A2 การจัดทำผังการใช้ที่ดิน/การใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมทั้งการจัดทำพื้นที่ปิดล้อมพื้นที่ชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจหลัก สำหรับลุ่มน้ำเจ้าพระยา Module A3 การปรับปรุงพื้นที่เกษตรชลประทานในพื้นที่โครงการชลประทานเหนือจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อเก็บกักน้ำหลากชั่วคราว Module A4 การปรับปรุงสภาพลำน้ำสายหลักและการป้องกันการกัดเซาะตลิ่งริมแม่น้ำ ในพื้นที่แม่น้ำยม น่าน เจ้าพระยา Module A5 การจัดทำทางผันน้ำ (Flood diversion channel) ขนาดประมาณ 1,500 ลบ.ม./วินาที รวมทั้งก่อสร้างถนนเพื่อรองรับการคมนาคม</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
Module เหล่านี้รัฐบาลให้บริษัทเอกชนประมูล ทั้งออกแบบและก่อสร้าง ว่าจะทำอย่างไรบ้าง เช่น Module A1 จะสร้างอ่างเก็บน้ำที่ไหน รวมวงเงินค่าก่อสร้างเท่าไหร่ แต่ไม่ได้เป็นการประมูลแบบเด็ดขาดรับเงินไป เพราะต้องไปศึกษาผลกระทบทำประชาพิจารณ์ เจรจาชาวบ้าน แล้วปรับโครงการว่าจะทำได้แค่ไหนอย่างไร แล้วรัฐจะจ่ายเงินให้ตามที่ก่อสร้างจริง</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ตรงนี้เองที่ศาลปกครองหยิบไปพิพากษาว่า รัฐบาลละเลยไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรค 2 เพราะไปให้เอกชนศึกษาผลกระทบและทำประชาพิจารณ์</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แต่อันที่จริงถ้าอ่านคำพิพากษาโดยละเอียด ศาลก็ยอมรับว่ารัฐบาลได้แสดงเจตนาที่จะทำตามบทบัญญัติมาตรา 67 วรรคสอง</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“แม้ว่าเมื่อพิจารณาข้อกำหนดดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับรูปแบบของโครงการตามที่กำหนดไว้ในหัวข้อ 6 และขอบเขตงานหลักตามที่กำหนดไว้ในหัวข้อ 4 ของแต่ละ </em><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Module แล้วจะเห็นได้ว่า โครงการหรือกิจกรรมดังกล่าวมีงานหลักที่สำคัญที่จะต้องกระทำเป็นลำดับแรกคือ การศึกษาในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านความเหมาะสม การวิเคราะห์ผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม-สังคม/สุขภาพ และการวิเคราะห์ความคุ้มค่าด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน โดยการออกแบบและการก่อสร้างในพื้นที่ตามที่กำหนดไว้ในแต่ละ Module จะต้องขึ้นอยู่กับผลการศึกษาดังกล่าว ซึ่งหมายความว่าก่อนที่จะมีการออกแบบและก่อสร้างจะต้องมีการศึกษาในด้านต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ อยู่แล้ว และหากผลการศึกษาในด้านต่าง ๆ ปรากฏว่าไม่มีความเหมาะสมที่จะก่อสร้าง ก็ย่อมไม่มีการดำเนินการก่อสร้างเกิดขึ้นและรัฐไม่จำต้องจ่ายค่าจ้างในส่วนของงานดังกล่าว แม้จะได้มีการทำสัญญาจ้างซึ่งมีข้อกำหนดของสัญญาให้ผู้รับจ้างทำการออกแบบและก่อสร้างไปแล้วก็ตาม อีกทั้งตามหัวข้อ 4.5 และ 4.6 ของแต่ละ Module ก็ได้กำหนดขอบเขตงานหลักไว้อีกประการหนึ่งว่า จะต้องดำเนินการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนตามที่กฎหมายกำหนด โดยเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วมในแต่ละขั้นตอน และปรับแผนการแก้ไขและบรรเทาผลกระทบด้านต่าง ๆ ตามรายงานมาตรการแก้ไขและบรรเทาผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม-สังคม/สุขภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ก่อนที่จะมีการออกแบบและก่อสร้างในพื้นที่ใดจริงจะต้องมีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน <strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อันเป็นการแสดงเจตนาของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ที่จะดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าว...</strong>”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แต่ศาลค้านว่าไม่ควรให้เอกชนทำ แล้วก็สรุปว่าการที่ TOR ให้เอกชนไปทำนั้นละเลยต่อหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“อย่างไรก็ดี การที่ข้อกำหนดและขอบเขตงาน (</em><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">TOR) ดังกล่าว กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้รับจ้างในการศึกษาในด้านต่าง ๆ และจัดให้มีการรับฟัง ความคิดเห็นของประชาชน นั้น นอกจากการดำเนินการดังกล่าวของผู้รับจ้างอาจเบี่ยงเบนหรือไม่ตรงกับความเป็นจริง เนื่องจาก ผู้รับจ้างดังกล่าวเป็นผู้ที่ได้ทำสัญญารับจ้างออกแบบและก่อสร้างกับรัฐไปแล้ว และเป็นปกติวิสัยในทางธุรกิจของผู้ประกอบการทั้งหลายที่ย่อมคำนึงถึงผลกำไรสูงสุดจากการประกอบการเป็นสำคัญ จึงย่อมประสงค์และอาจพยายามให้ผลการศึกษาดังกล่าวออกมาในลักษณะที่ให้มีการก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งกรณีดังกล่าวนอกจากจะทำให้เป็นที่ไม่มั่นใจในความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของผลการดำเนินการแล้ว ยังเป็นการดำเนินการที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายในการกำหนดให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน และการจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอีกด้วย”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาประกอบกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 ที่กำหนดให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการเป็นผู้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นตามระเบียบดังกล่าว ทั้งนี้ แม้ว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ตัดสินใจที่จะนำวิธีการจ้างออกแบบและก่อสร้างพร้อมประกันราคาไม่เกินวงเงินสูงสุด (</em><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">Design-build with Guaranteed Maximum Price) มาใช้กับการดำเนินการตามโครงการที่พิพาทนี้ จะเป็นเรื่องของการใช้ดุลพินิจของฝ่ายบริหารที่ศาลไม่อาจก้าวล่วงได้ก็ตาม แต่การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ ได้กำหนดข้อกำหนดและขอบเขตงานหรือ TOR ให้คู่สัญญาเป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ทั้งที่ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวกำหนดให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการ และคู่สัญญาที่ได้ทำสัญญาจ้าง ให้ทำการออกแบบและก่อสร้างไปแล้ว ย่อมถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียโดยตรงในการศึกษาและจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนนั้น เป็นกรณีที่ถือได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวละเลยต่อหน้าที่ตามที่มาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กำหนดให้ต้องปฏิบัติ ด้วยการให้คู่สัญญาซึ่งถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียเป็นผู้ที่มีหน้าที่ในการศึกษาและจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอันมีผลทำให้การดำเนินการดังกล่าวไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายตามบทบัญญัติดังกล่าว”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ทั้งนี้ต่อให้การทำสัญญายังไม่เกิดขึ้น ศาลก็บอกว่าเมื่อ TOR ให้คู่สัญญาไปทำก็ “เล็งเห็นได้ว่า” เมื่อทำสัญญาแล้วย่อมละเลยต่อหน้าที่</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“และแม้ว่าในขณะที่ยื่นคำฟ้องรวมถึงระหว่างที่ศาล มีคำพิพากษาในคดีนี้จะยังอยู่ในขั้นตอนของการคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นคู่สัญญา และยังไม่มีการออกแบบและก่อสร้างจริง อันจะทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ต้องจัดให้มีการศึกษาและรับฟัง</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ความคิดเห็นของประชาชนเสียก่อนตามบทบัญญัติดังกล่าว แต่เมื่อได้มีข้อกำหนดและขอบเขตงาน (</em><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">TOR) กำหนดไว้ชัดแจ้งว่า ให้คู่สัญญาเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้ จึงเป็นที่เล็งเห็นได้ว่า เมื่อมีการทำสัญญาขึ้นแล้วย่อมเกิดการกระทำที่ถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติอย่างแน่แท้”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ถึงแม้รัฐบาลชี้แจงว่าได้มีการยกร่างสัญญาแยกงานศึกษาความเหมาะสม ศึกษาผลกระทบ ออกจากงานออกแบบและก่อสร้าง ศาลก็บอกว่ายังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ารัฐบาลได้ทำจริง</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงตามคำแถลงของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ว่าขณะนี้ได้มีการมอบหมายให้คณะอนุกรรมการร่างสัญญาฯ ซึ่งมีผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นประธาน รับประเด็นดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการ โดยได้พิจารณาเกี่ยวกับการยกร่างสัญญาเพื่อแยกงานเกี่ยวกับการศึกษาความเหมาะสมและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายออกจากงานออกแบบและงานก่อสร้าง โดยกำหนดเวลาและการจ่ายค่าจ้างสำหรับงานต่างๆ แยกกันโดยชัดเจน ซึ่งหากงานศึกษา/วิเคราะห์ ใช้เวลาเกินกำหนดหรือมีปัญหาอุปสรรค หรือผลการศึกษาปรากฏว่าไม่ผ่านเกณฑ์เกี่ยวกับผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมก็อาจพิจารณายุติการดำเนินโครงการได้ด้วย แต่ก็เป็นเพียงคำชี้แจงซึ่งยังไม่มีข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานใดที่ยืนยันถึงความแน่นอนว่าจะมีการดำเนินการตามคำแถลงดังกล่าวจริง และโดยที่การดำเนินการตามโครงการที่พิพาทเป็นกรณีที่ถือได้ว่ามีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ประกอบกับรัฐบาลเห็นว่าเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และมีการกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการไว้แล้ว หากปล่อยให้ระยะเวลาล่วงเลยไปย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายและประชาชนทั่วไป จึงเป็นกรณีที่ศาลจะมีคำบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติได้แล้ว”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เสียงข้างน้อยว่าอย่างไร ตุลาการเสียงข้างน้อยในประเด็นนี้ความเห็นก้ำๆ กึ่งๆ ขัดแย้งในตัวเอง</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
โดยตอนแรกเสียงข้างน้อยแย้งว่า การจัดทำข้อกำหนดและขอบเขตงาน (TOR) ซึ่งเป็นขั้นตอนต่อมาจากแผนแม่บท ไม่อยู่ในขอบเขตของมาตรา 57 ไม่ต้องจัดรับฟังความเห็นของประชาชน เพราะเป็นเพียงการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ในการที่จะจัดจ้างผู้ที่จะทำหน้าที่ศึกษา ออกแบบ และก่อสร้าง การที่ผู้ถูกฟ้องไม่ได้ทำประชาพิจารณ์อย่างทั่วถึงจึงไม่เป็นการละเลยต่อหน้าที่</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
อย่างไรก็ดี ตุลาการเจ้าของสำนวนให้ความเห็นว่า สัญญาที่รัฐจะทำกับผู้ได้รับคัดเลือก เป็นการจ้างออกแบบและก่อสร้างด้วย ประชาชนจำนวนหนึ่งจึงกังวลใจว่าอาจกำหนดและจ่ายค่าจ้างไม่เหมาะสม เพราะการคำนวณอยู่บนสมมติฐานที่ยังไม่แน่นอน แม้ TOR กำหนดว่ารัฐบาลจะจ่ายเงินตามปริมาณงาน ตามผลการออกแบบและราคาต่อหน่วยตามหลักเกณฑ์ราชการ มีความพยายามกำหนดเงื่อนไขที่ผู้ถูกฟ้องทั้งที่สี่เห็นว่ารอบคอบรัดกุมแล้ว แต่ก็ยังมีประชาชนส่วนหนึ่งไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วยจนเกิดการคัดค้านรูปแบบต่างๆ ขึ้น จึงเห็นว่าผู้ถูกฟ้องทั้งสี่ควรแยกขั้นตอนการศึกษาและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนออกจากการทำสัญญาจ้างออกแบบและก่อสร้างอย่างเด็ดขาด และดำเนินการเอง หรือมอบหมายให้หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญ เป็นกลาง และน่าเชื่อถือเป็นผู้ดำเนินการแทน</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">กระนั้น ในท้ายที่สุด ตุลาการเสียงข้างน้อยทั้งสองกลับเห็นด้วยกับเสียงข้างมากว่าการกำหนด </em><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">TOR ให้เป็นหน้าที่ของคู่สัญญาไปศึกษาและจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็น เป็นกรณีที่ไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมาตรา 67 วรรคสอง ถือได้ว่าเป็นการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด จึงควรมีคำพิพากษาให้มีการศึกษาและจัดรับฟังความคิดเห็นโดยหน่วยงานหรือผู้ที่มีความเป็นกลาง ก่อนจะจ้างออกแบบก่อสร้างในแต่ละแผนงาน</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ผลเหมือนๆ กันนะครับ คือให้รัฐบาลไปแยกการศึกษาความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ผลกระทบ และทำประชาพิจารณ์ ออกจากสัญญาจ้างเอกชน ซึ่งรัฐบาลก็ชี้แจงต่อศาลว่าจะยกร่างสัญญานี้ออกมาต่างหากอยู่แล้ว คำถามคือถ้ารัฐบาลเร่งทำให้เสร็จ เอาไปยืนยันกับศาล ศาลจะยังถือว่ารัฐบาลละเลยต่อหน้าที่ไหม จะอนุญาตให้เดินหน้าต่อไหม</em></strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
อันที่จริงตาม TOR ก็ไม่ใช่ว่ารัฐบาลให้เอกชนไปศึกษาผลกระทบตามอำเภอใจ อิตัลไทยก็ออกมาแถลงว่าต้องจ้างหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญ เป็นกลาง และน่าเชื่อถือ ซึ่งก็หนีไม่พ้นมหาวิทยาลัยต่างๆ หรือบริษัทที่จดทะเบียนไว้กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ปกติ รัฐบาลก็จ้างทำอยู่แล้ว แต่พอเป็นเอกชนจ้างประชาชนไม่เชื่อถือ</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ศาลไม่ใช่กฤษฎีกา</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ที่ตุลาการเสียงข้างน้อยให้ความเห็นก้ำๆกึ่งๆ คงเพราะท่านมองตามหลักการว่ารัฐยังไม่ได้ทำให้เกิดผลกระทบกับใคร ตุลาการเจ้าของสำนวนจึงพยายามเลี่ยงไปให้ข้อเสนอแนะ แต่ท่านเลี่ยงไม่พ้นเพราะกฎหมายศาลปกครองดันให้อำนาจศาลเข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งที่กระบวนการใช้อำนาจของรัฐบาลยังไม่เสร็จสิ้น</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล อธิบายว่านี่เป็นปัญหาจาก พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ซึ่งให้อำนาจศาลเข้าไป “เสียบ” กระบวนการตัดสินใจของฝ่ายปกครอง (หรือรัฐบาล)</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 ว่าด้วยอำนาจศาลบัญญัติว่า</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่งหรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(2) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
คดีตามมาตรา 9(1) คืออำนาจศาลที่ชัดเจน เมื่อหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกกฎ คำสั่ง หรือกระทำการใด อันไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย รูปแบบ ขั้นตอน วิธีการอันเป็นสาระสำคัญ โดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ ฯลฯ จนส่งผลให้มีผู้เดือดร้อนเสียหาย ก็สามารถยื่นฟ้องได้ แล้วศาลจะใช้อำนาจเพิกถอนตามมาตรา 72(1)</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“มาตรา 72 ในการพิพากษาคดี ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(1) สั่งให้เพิกถอนกฎหรือคำสั่งหรือสั่งห้ามการกระทำทั้งหมดหรือบางส่วน ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1)”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
คำสั่งศาลก็จะง่ายๆ รวบรัด ชัดเจน ตัวอย่างเช่น ข้าราชการถูกแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม ศาลก็เพิกถอนคำสั่งนั้น ให้กลับตำแหน่งเดิม (เช่นถวิล เปลี่ยนศรี) หน่วยราชการประมูลก่อสร้าง ให้ผู้รับเหมาบริษัท ก.ชนะ บริษัท ข.ร้องว่าเลือกปฏิบัติ ศาลก็สั่งยกเลิกการประมูล</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
หรืออย่างคดีมลพิษมาบตาพุด รัฐออกใบอนุญาตโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ศาลก็สั่งระงับ 76 โครงการจนกว่าจะทำให้ถูกต้อง</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ประชาชนทั่วไปอาจคิดว่าคดีโครงการบริหารจัดการน้ำนี้เหมือนคดีมาบตาพุด แต่ความจริงไม่เหมือนกันนะครับ เพราะคดีมาบตาพุด โครงการได้รับอนุญาตแล้ว แต่คดีบริหารจัดการน้ำยังไม่ได้เซ็นสัญญาเลย</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แม้ผู้ฟ้องจะเป็นเจ้าเก่าหน้าเดียวกันคือสมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อน แต่คดีนั้นฟ้องคัดค้านใบอนุญาตตามมาตรา 9(1) คดีนี้ฟ้องตามมาตรา 9(2) ว่ารัฐบาล “ละเลยต่อหน้าที่” ทั้งที่ยังอยู่ในกระบวนการซึ่งยังไม่รู้เลยว่าใครจะได้รับผลกระทบอย่างไร</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ปัญหาของการฟ้องตามมาตรา 9(2) คือฟ้องได้ทั้งๆ ที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐยังไม่ได้ออกกฎ ประกาศ คำสั่ง หรือกระทำการที่จะมีผลทางกฎหมายสู่ภายนอก แค่อยู่ระหว่างเตรียมการ อยู่ระหว่างการตัดสินใจ หรืออยู่ในขั้นตอนที่จะทำ ก็ฟ้องได้แล้ว และศาลก็มีอำนาจเข้าไปสั่งตามมาตรา 72(2) ซึ่งระบุว่า</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“(2) สั่งให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลปกครองกำหนด ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">มาตรานี้เป็นปัญหาเพราะทำให้ศาลมีอำนาจเข้าไปแทรกการตัดสินใจของอำนาจบริหาร ทั้งที่ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ ศาลปกครองมีไว้เพื่อตรวจสอบ </em></strong><strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">(review) การกระทำของฝ่ายปกครอง ฉะนั้นต้องให้มีการกระทำเกิดขึ้นก่อน มีผลทางกฎหมายออกมาก่อน จึงจะ review ได้ ว่ากระทำชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่ใช่ว่ายังตระเตรียมอยู่ก็มีคนไปฟ้องดัก แล้วศาลก็เข้ามาเสียบกลางคัน</em></strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ลองคิดดูนะครับว่า สมมติข้าราชการถูกตั้งกรรมการสอบ ยังไม่มีคำสั่งว่าผิด ยังไม่มีการลงโทษเลย ข้าราชการไปฟ้องดักแล้วว่าการตั้งกรรมการสอบไม่เป็นไปตามกฎหมาย ผู้มีอำนาจละเลยต่อหน้าที่</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
หรือการประมูลของหน่วยราชการ แค่ออก TOR ก็มีคนไปฟ้องละเลยต่อหน้าที่ แล้วศาลไปสั่งต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้ มันจะยุ่งยากขนาดไหน แล้วศาลกลายเป็นอะไร ศาลกลายเป็นผู้อยู่เหนืออำนาจบริหาร เป็นผู้กำกับสั่งการอำนาจบริหารไปหรือเปล่า</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
อ.ปิยบุตรบอกว่า อำนาจศาลตามมาตรา 9(2) ไม่มีที่ไหนในโลก ไม่ว่าศาลปกครองเยอรมันหรือฝรั่งเศส ที่เราเอาต้นแบบเขามา จะมีเฉพาะประเด็นที่กฎหมายกำหนดไว้ชัดเจน สาเหตุที่ศาลปกครองไทยมีอำนาจนี้ ก็เพราะศาลปกครองพัฒนามาจากคณะกรรมการรับเรื่องร้องทุกข์ คณะกรรมการกฤษฎีกา</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
นึกภาพออกไหมครับ คณะกรรมการรับเรื่องร้องทุกข์ รับได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าหน่วยงานของรัฐจะออกประกาศ คำสั่ง หรือกระทำการไปแล้วหรือยัง เช่นตัวอย่างข้าราชการถูกสอบ รู้สึกว่าตั้งกรรมการไม่เป็นธรรม เขาก็ไปร้องได้ เอกชนที่เข้าประมูลงาน ก็ไปร้องได้ ชาวบ้านที่กลัวถูกเวนคืน แม้ยังไม่ประกาศเวนคืน ก็ไปร้องได้</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
เพราะถ้าคณะกรรมการเห็นว่าน่าจะไม่เป็นธรรม น่าจะเลือกปฏิบัติ น่าจะไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ก็เสนอนายกรัฐมนตรีออกคำสั่ง ให้หน่วยราชการนั้นแก้ไขเสียใหม่ หรือให้ปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งทำได้เพราะใช้อำนาจสูงสุดของฝ่ายบริหารมาสั่งการ</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แต่พอคณะกรรมการรับเรื่องร้องทุกข์ยกฐานะเป็นศาลปกครอง แยกจากฝ่ายบริหารมาเป็นตุลาการ อำนาจสูงสุดของฝ่ายบริหารนี้ติดมาด้วย มันจึงเกิดปัญหา แทนที่จะมีแค่อำนาจศาลไว้ตรวจสอบการกระทำของฝ่ายปกครอง ก็มีอำนาจเข้าไปสั่งการระหว่างการกระทำของฝ่ายปกครอง</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แทนที่จะให้ฝ่ายปกครองตัดสินใจให้เสร็จ มีผลทางกฎหมายออกมา แล้วไปโต้แย้งกันในศาล นี่กลับถูกฟ้องระหว่างเตรียมการ ระหว่างขั้นตอน แล้วศาลเข้าไปกำกับ</em></strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
การใช้อำนาจศาลเช่นนี้ ยังมีปัญหาเรื่องบังคับคดี เพราะ “วัตถุแห่งคดี” ไม่ชัดเจน ไม่เหมือนการฟ้องให้ยกเลิกกฎ ระเบียบ คำสั่ง ตามมาตรา 9(1) ซึ่งฝ่ายปกครองมีประกาศมีคำสั่งแล้ว ศาลก็เพิกถอนคำสั่งนั้น หรือระงับจนกว่าจะแก้ไขส่วนใดส่วนหนึ่ง</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แต่นี่ศาลสั่ง “ละเลยหน้าที่” ให้ไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ เจ้าหน้าที่รัฐจะทำหรือไม่ทำ ศาลตามไปบังคับไม่ได้ เพียงแต่ที่ผ่านมา ฝ่ายปกครองมักกลัวศาลจนลนลาน พอสั่งอะไรก็ไปทำตาม</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แม้แต่คดีนี้ก็เช่นกัน จะเห็นว่าศาลไม่ได้สั่งเพิกถอน ไม่ได้วินิจฉัยว่าโครงการนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แค่บอกว่าละเลยไม่ทำประชาพิจารณ์ รัฐบาลต้องไปทำประชาพิจารณ์ให้ทั่วถึง แล้วไง ทำแล้วก็เดินหน้าต่อได้อย่างนั้นหรือ</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ถ้าไม่แก้ไข พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ตัดมาตรา 9(2) นี้ออกเสีย ต่อไปเราก็จะมีแต่สมาคมลูกอีช่างฟ้อง เขียนคำฟ้องซิกแซก หลบเลี่ยงไม่ฟ้องตามมาตรา 9(1) ไปฟ้องตามมาตรา 9(2) แทน โดยมุ่งฟ้องไปที่การกระทำตามขั้นตอน โดยเฉือนออกเป็นท่อนๆ แค่ทำแผนแม่บทก็ฟ้อง แค่ออก </em></strong><strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">TOR ก็ฟ้อง ทั้งๆ ที่การตัดสินใจยังไม่มีผลสู่ภายนอก</em></strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แล้วมาตรา 9(2) ก็จะเปิดช่องให้ศาลใช้อำนาจสั่งคุ้มครองชั่วคราว หรือเข้ามาเสียบสั่งฝ่ายปกครองได้สารพัดอย่าง ในที่สุด ประชาชนก็จะเริ่มไม่แน่ใจว่าเลือกรัฐบาลเข้าไปทำไม เพราะรัฐบาลทำโครงการอะไรไม่ได้ซักอย่าง ต้องให้ศาลปกครองสั่ง</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">อำนาจฟ้องล้มรัฐบาล</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
นายวินัย รุ่งรักสกุล ตุลาการเสียงข้างน้อย ให้ความเห็นอีกว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ถึง 45 กล่าวอ้างเพียงว่าเป็นประชาชนชาวไทย มีหน้าที่เสียภาษีให้กับชาติ มีสิทธิหรือหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้รับ ความเดือดร้อนเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนเสียหายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งเป็นหลักการขั้นพื้นฐานในการเสนอคดีต่อศาล ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 จึงมิใช่ผู้มีสิทธิฟ้อง</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
หันไปดูเสียงข้างมากว่าอย่างไร ท่านว่าผู้ฟ้องคดีที่ 2 ถึง 45 แม้อ้างแต่เพียงว่า เป็นประชาชนชาวไทยที่มีหน้าที่เสียภาษีให้กับชาติ มีสิทธิหรือหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ โดยไม่ได้กล่าวอ้างและให้เหตุผลหรือปรากฏข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่า ได้รับความเดือดร้อนเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนเสียหายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งโดยหลักแล้วยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นผู้ที่จะมีสิทธิฟ้องคดีได้ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“แต่เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 57 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติรองรับสิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียนของประชาชนชาวไทยไว้ แล้วเห็นว่า ประชาชนชาวไทยทุกคน ซึ่งรวมทั้งผู้ฟ้องคดีที่ 2 ถึงที่ 45 เป็นผู้ทรงสิทธิดังกล่าว ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ฟ้องคดีที่ 2 ถึงที่ 45 มิได้โต้แย้งในเรื่องของกระบวนการในการคัดเลือกผู้ที่จะเข้ามาดำเนินโครงการตามแผนแม่บท อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง แต่เป็นการโต้แย้งในเรื่องสิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียนที่เกี่ยวกับคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย และคุณภาพชีวิต อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เมื่อเป็นเช่นนี้ การพิจารณาถึงความเป็นผู้เสียหายที่จะ มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองจึงต้องตีความอย่างกว้าง เมื่อผู้ฟ้องคดีดังกล่าวได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลโดยอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าวอันเป็นการกระทำที่กระทบต่อสิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียนของผู้ฟ้องคดีที่ 2 ถึงที่ 45 ย่อมถือได้ว่า ผู้ฟ้องคดีดังกล่าวเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายที่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 เช่นกัน”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง</strong><strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">! ประชาชนชาวไทยทุกคนมีอำนาจฟ้อง โดยอ้างว่ากระทบสิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียนเกี่ยวกับคุณภาพสิ่งแวดล้อม..... ไม่เข้ามาตรา 42 แต่ศาลยกรัฐธรรมนูญมาใช้</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
มีอำนาจฟ้องโดยไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นประชาชนที่จะเดือดร้อนบ้านเรือนไร่นากลายเป็นพื้นที่รับน้ำ ถูกเวนคืนสร้างเขื่อน ถูกเวนคืนสร้างฟลัดเวย์ ฯลฯ</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
เอ้า ยกตัวอย่าง ผู้ฟ้องรายที่ 2 ถึง 45 มีใครบ้าง คุณรตยา จันทรเทียร อดีตผู้ว่าการเคหะฯ ประธานมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ที่จริงผมเห็นว่าท่านน่าจะมีอำนาจฟ้องมากกว่าสมาคมต่อต้านโลกร้อนด้วยซ้ำ แต่ต้องฟ้องเรื่องกระทบพื้นที่ป่า นี่ท่านมาฟ้องในฐานะปัจเจกบุคคล</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
นางสาวพัฒนจรินทร์ สวนแก้วมณี นักทำงานพวกมูลนิธิเขียวๆ นายฐิติพันธ์ พัฒนมงคล นักเขียนนิตยสารสารคดี นางอรยา สูตะบุตร ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ก่อตั้งกลุ่มรักต้นไม้ รักฟุตบาท รักถนน รักสะพานลอย รักรถไฟฟ้ามาหานะเธอ ให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่ของคนชั้นกลางและไฮโซ ฯลฯ</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ไม่มีใครบ้านถูกน้ำท่วมซักคน</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ถามว่าถ้างี้ประชาชน 10-20 ล้านคนที่เดือดร้อนจากน้ำท่วมปี 2554 คนนครสวรรค์ ลพบุรี อยุธยา ปทุมธานี ดอนเมือง รังสิต บางบัวทอง ฯลฯ มีอำนาจฟ้องไหมครับ ฟ้องว่ารัฐบาลละเลยต่อหน้าที่ ไม่รีบทำโครงการบริหารจัดการน้ำ ร้องศาลให้สั่งรัฐบาลให้ทำเร็วๆ ก่อนที่น้ำจะหลากท่วมบ้านเขาอีก</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ถ้า 45 คนมีอำนาจฟ้อง 10-20 ล้านคนก็ต้องมีอำนาจฟ้องสิครับ</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ประเด็นที่น่าประหลาดใจคือตุลาการทุกท่านกลับยอมรับอำนาจฟ้องของสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ผู้ฟ้องคดีที่ 1 โดยเห็นว่า <em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">“เป็นนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามตรวจสอบ แหล่งกำเนิดมลพิษที่เป็นต้นเหตุของปัญหาโลกร้อน และเหตุภาวะมลพิษต่าง ๆ ที่ก่อความเสียหายต่อบุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์สิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมสิทธิและหน้าที่ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญในการจัดการด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างสมดุล ยั่งยืน และเกิดความมั่นคงทางนิเวศ และได้จดทะเบียนเป็นองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ เมื่อการฟ้องคดีนี้มีเหตุแห่งการฟ้องคดีเกี่ยวกับการดำเนินการของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ที่เป็นการกระทบต่อสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญในการจัดการด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งอยู่ในวัตถุประสงค์หลักของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ถือได้ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องจากการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่”</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ขอถามหน่อยนะครับ ใครเคยเห็นคณะกรรมการสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนคนอื่นๆ ตัวเป็นๆ บ้าง นอกจากศรีสุวรรณ จรรยา ผมเปิดเว็บไซต์ดู<a href="http://www.thaisgwa.com/" style="border: 0px; color: black; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; text-decoration: none; vertical-align: baseline;">http://www.thaisgwa.com/</a>“คณะกรรมการสมาคม ...กรุณาใส่ข้อความ” แล้วก็มีที่ตั้ง บ้านเลขที่ในหมู่บ้านพฤกษา ลำลูกกา บ้านเช่าหรือเปล่าไม่รู้ ต้องให้สำนักข่าวอิศราตามไปเจาะ ใครเป็นสมาชิกบ้างก็ไม่รู้ มีแต่รายชื่อผู้ฟ้องน้ำท่วม</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ใครเคยได้ยินข่าวสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนจัดกิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติอะไรบ้าง ไม่เคยได้ยิน สมาคมนี้ก่อตั้งเมื่อปี 2550 แล้วก็เปิดฉากฟ้องๆๆๆๆๆๆๆ ศาลปกครอง</em></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ฟ้องจนได้รางวัลด้านส่งเสริมปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมดีเด่น ประจำปี 2555 โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ</em></strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ฟ้องอย่างเดียว ตั้งมาเพื่อฟ้องเนี่ยนะ ได้รางวัลกรรมการสิทธิ</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
พูดอย่างนี้ไม่ใช่ตั้งข้อกังขาคนจะทำความดี แต่ต้องเข้าใจหลักกฎหมายว่าผู้มีอำนาจฟ้องต้องเป็นผู้เสียหาย ในคดีปกครอง ผู้ได้รับผลกระทบหรือเดือดร้อนเสียหายกินวงกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยึดหลักว่า ไม่ใช่ประชาชนผู้เสียภาษีทุกคนฟ้องได้หมด (โดยอ้างสิทธิรับรู้ข้อมูลข่าวสารเนี่ยนะ)</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
อ.ปิยบุตรซึ่งเพิ่งเขียนบทความ “ส่วนได้เสียของสมาคมในการฟ้องคดีปกครองสิ่งแวดล้อมในระบบกฎหมายฝรั่งเศส”<a href="http://www.enlightened-jurists.com/page/283" style="border: 0px; color: black; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; text-decoration: none; vertical-align: baseline;">http://www.enlightened-jurists.com/page/283</a>ลงวารสารนิติศาสตร์ ชี้ว่าในคดีทั่วไป สมาคมมีอำนาจฟ้องแทนสมาชิกได้ สมมติเช่น กระทรวงท่องเที่ยวออกกฎบังคับไกด์ สมาคมมัคคุเทศก์ซึ่งตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ปกป้องดูแลผลประโยชน์ของสมาชิก ก็ฟ้องศาลปกครองได้</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">แต่ในคดีสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่มีผลกระทบกว้างมาก ใครก็อ้างได้ว่ามีผลกระทบ ตัดต้นไม้ริมถนนเขาใหญ่ ขาดออกซิเจนกระทบไปถึงสยามพารากอน ถ้าปล่อยให้ฟ้องได้หมดก็จะกลายเป็น “สิทธิการฟ้องคดีโดยประชาชนทั่วไป” (</strong><strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">action populaire)ซึ่งขัดหลักการขั้นพื้นฐานอย่างที่ตุลาการเสียงข้างน้อยท่านพูดไว้</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
กฎหมายปกครองฝรั่งเศสจึงกำหนดอำนาจฟ้องว่า สมาคมสิ่งแวดล้อมที่ฟ้องได้ต้องได้รับผลกระทบโดยตรงด้านวัตถุประสงค์ หรือด้านพื้นที่</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ด้านพื้นที่พูดง่ายๆ คือไม่กว้างเกินไป ไม่แคบเกินไป เช่นคุณเป็นองค์กรสิ่งแวดล้อมตำบล ไม่มีอำนาจฟ้องคำสั่งปกครองที่มีผลทั้งจังหวัด คุณเป็นองค์กรสิ่งแวดล้อมจังหวัด ไม่มีอำนาจฟ้องคำสั่งที่มีผลกระทบระดับตำบล และที่แน่ๆ ไม่ใช่จดทะเบียนสมาคมในกรุงเทพฯ แล้วฟ้องได้ตั้งแต่แม่สายถึงสุไหงโกลก</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แบบนั้นต้องไปดูด้านวัตถุประสงค์ ว่ามีความสัมพันธ์โดยตรงกับผลกระทบที่เกิดขึ้นหรือไม่ ไม่ใช่ว่าตั้งชื่อกว้างๆ อ้างๆ ลอยๆ “สมาคมต่อต้านน้ำแข็งขั้วโลกละลาย” แล้วฟ้องได้ตั้งแต่ทวีปอาร์กติกยันแอนตาร์กติก ทั้งที่มีสมาชิก 20 คน</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
อ.ปิยบุตรยกตัวอย่างในฝรั่งเศสเช่น ถ้ามีการก่อสร้างอาคารศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ต้องได้รับอนุญาตเรื่องผังเมืองพาณิชย์ จากนั้นจึงขอใบอนุญาตก่อสร้าง สมาคมที่จะฟ้องคัดค้านได้ก็ต้องพิจารณาตามวัตถุประสงค์ของแต่ละราย เช่น สมาคมอนุรักษ์อาคารเก่ามีส่วนได้เสียในการฟ้องเพิกถอนคำสั่งอนุญาตรื้อสิ่งปลูกสร้างเดิม, สมาคมผู้คุ้มครองผู้บริโภคมีส่วนได้เสียในการฟ้องเพิกถอนใบอนุญาตผังเมืองพาณิชย์, สมาคมคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตมีส่วนได้เสียในการฟ้องขอเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง เป็นต้น แต่ละสมาคมไม่อาจฟ้องเพิกถอนทั้งระบบ</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
สมาคมที่มีอำนาจฟ้องได้กว้างและสามารถฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ด้วยคือ สมาคมคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่จดทะเบียนและทำข้อตกลงกับทางการตามกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องมีบทบาทการเคลื่อนไหวทางสังคม มีผลงานให้เห็นประจักษ์ มาเป็นเวลาพอสมควร โดยยังได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐด้วย</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">เห็นไหมครับว่าถ้าเป็นศาลปกครองฝรั่งเศส แม่แบบที่ อ.อมร จันทรสมบูรณ์ อ.อักขราทร จุฬารัตน เอามาตั้งศาลปกครองไทยเนี่ย สมาคมต่อต้านโลกร้อนไม่สามารถฟ้องได้ทุกเรื่อง มีอำนาจฟ้องทั่วราชอาณาจักรแบบนี้หรอก แต่ศาลปกครองไทยไม่ได้วางหลักไว้ พออ้างสิ่งแวดล้อม สมาคมอะไรก็ได้ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสิ่งแวดล้อม จึงฟ้องคัดค้านได้ตั้งแต่ อบต.จะตัดต้นไม้พันปีที่ภาคเหนือ ไปถึง ปตท.จะวางท่อก๊าซภาคใต้</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ถ้าทำกันแบบนี้ได้ เดี๋ยวก็จะมี “แก๊งป่วนเมือง” ทนายโจรโพกผ้า 4-5 คน ไปจดทะเบียนตั้งสมาคมอะไรซักอย่าง สมคบกันฟ้องๆๆๆๆ เผลอๆ ไปฟ้องโครงการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจยักษ์ใหญ่ จะกลายเป็นช่องทางทำมาหากิน</em></strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
พูดอย่างนี้ไม่ใช่มุ่งทำลายองค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม ตรงข้าม อ.ปิยบุตรเสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2535 ให้องค์กรที่มีบทบาททางสังคม มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ มาจดทะเบียนเป็นผู้มีส่วนได้เสียมีอำนาจฟ้องศาลปกครองโดยอัตโนมัติ โดยควรมีสิทธิทั้งฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนแทนผู้เสียหาย และฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในนามองค์กรเพื่อนำไปปรับปรุงสิ่งแวดล้อมต่อไป</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ผมถึงบอกไงว่า มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร น่าจะมีอำนาจฟ้องมากกว่าสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนเสียอีก เพราะมีบทบาทเคลื่อนไหวทางสังคมมานาน มีผลงานที่ใครๆ ยอมรับ หรือมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw) (ดูเว็บไซต์มีเนื้อหาสาระกว่าสมาคมศรีสุวรรณหลายเท่า) <a href="http://enlawfoundation.org/newweb/" style="border: 0px; color: black; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; text-decoration: none; vertical-align: baseline;">http://enlawfoundation.org/newweb/</a>ซึ่งต่อสู้เรื่องสารตะกั่วปนเปื้อนลำห้วยคลิตี้ จนได้ชัยชนะ ต่อสู้เรื่องท่อก๊าซไทย มาเลย์ ต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมคดีฆ่าเจริญ วัดอักษร มาตั้งแต่ศรีสุวรรณ จรรยา ยังเป็นวุ้น</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แต่ไหงไม่ได้รางวัลกรรมการสิทธิ กลับมีสมาคมที่ตั้งขึ้นมาฟ้องๆๆๆๆๆ เหมือนรู้ช่องโหว่ของศาลปกครองไทย ฟ้องๆๆๆๆๆ โดยไม่เคยทำกิจกรรมอนุรักษ์อื่นใด ไม่มีประวัติความเป็นมา ไม่มีที่มาที่ไป ไม่รู้ว่าใครเป็นกรรมการ ใครเป็นผู้ร่วมงาน เพราะศรีสุวรรณ จรรยา น่าจะมีทีมงาน มีที่ปรึกษา มีนักกฎหมาย 4-5 คนซุ่มอยู่ข้างหลัง ไม่เผยตัว</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ในสภาพที่เป็นอยู่ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนโดยศรีสุวรรณ จรรยา แทบไม่ต่างจากปัจเจกชน แต่กลับมีอำนาจฟ้องๆๆๆๆ แถมพอชนะคดีในศาลปกครองยังไปร้อง ปปช.ให้เอาผิดนายกฯ และครม.อีกต่างหาก ทั้งที่เป็นข้อหาไร้สาระ และแสดงเจตนาทางการเมือง (ถ้าเป็นมูลนิธิสืบคงไม่ทำแบบนี้)</strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<strong style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><em style="border: 0px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">ถ้าไม่แก้ไข พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 9(2) และกำหนดอำนาจฟ้องคดีสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจน ศาลปกครองก็จะถูกใช้เป็นเครื่องมือล้มรัฐบาลเช่นนี้ร่ำไป</em></strong></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
แล้วศาลปกครองก็จะเสียหาย องค์กรอนุรักษ์ก็เสียหาย การปกป้องสิทธิประชาชนก็จะถูกบิดเบือนไป</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
<br /></div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
ใบตองแห้ง</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
11 ก.ค.56</div>
<div style="border: 0px; color: #666666; font-family: Tahoma, Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 12px; line-height: 15px; margin-bottom: 5px; margin-top: 5px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">
...........................................................</div>
<br />กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-1834193281298014382013-05-30T11:04:00.003+07:002013-05-30T11:04:59.207+07:00อ่าน ‘จากการปฏิวัติถึงโลกาภิวัตน์’ แล้วย้อนดู V for Vendetta ใหม่อีกรอบ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjWMqwQbtWrUBqmo-PYcXGOuk34QBKaI9Ruon8Q9iYIZ37ho0fg7rBdEfz8L1yNb843wfcGv0flpx5pillsUxi34orRn35WoSXNwPzb9HwTBaPCbp0aR-vEMxzL72fGPIZ7Uyz_kRLzrso/s1600/1819d44f.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="215" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjWMqwQbtWrUBqmo-PYcXGOuk34QBKaI9Ruon8Q9iYIZ37ho0fg7rBdEfz8L1yNb843wfcGv0flpx5pillsUxi34orRn35WoSXNwPzb9HwTBaPCbp0aR-vEMxzL72fGPIZ7Uyz_kRLzrso/s320/1819d44f.jpg" width="320" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<strong>V for Vendetta เป็นนิยายภาพของ Alan Moore ตีพิมพ์ในพ.ศ.
2525 และถูกนำมาดัดแปลงเป็นหนังในปี 2548 กำกับโดย James McTeigue
เขียนบทโดยพี่น้อง Wachowski</strong><br />
คำว่า Vendetta เป็นภาษาอิตาเลียน แปลว่าการล้างแค้น
ผมดูหนังเรื่องนี้ไปเมื่อราว 7 ปีที่แล้ว ขณะเข้าฉายในไทย ยังจำได้ว่า V
for Vendetta เป็นหนังที่ดีมาก ปลุกเร้าให้ผู้ชมเกิดความหวัง
และเชื่อมั่นในความถูกต้อง ความยุติธรรม<br />
แต่หนังสือ จากการปฏิวัติถึงโลกาภิวัตน์ ของสรวิศ ชัยนาม
หยิบหนังเรื่องนี้มาวิเคราะห์ในมุมมองของนักวิชาการฝ่ายซ้ายได้อย่างทรงพลัง
และทำให้ผมมองเห็นหนังเรื่องนี้ในอีกหลายๆ แง่มุมอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน<br />
<strong>จากการปฏิวัติภึงโลกาภิวัตน์ </strong>เป็นหนังสือที่สรวิศ ชัยนาม ผู้เขียนบอกว่าตั้งใจจะ<br />
<em>“อธิบายความคิดของชิเชค (Slavoj Žižek)
เรื่องการวิพากษ์เชิงอุดมการณ์ การเมืองเรื่องการปฏิวัติ
และจิตวิเคราะห์ของลากอง (Jacques Lacan)
โดยนำไปผูกโยงกับภาพยนตร์ภายใต้บริบทการเมืองโลกร่วมสมัย”</em><br />
เรื่องย่อๆ ของ V for Vendetta
สมมติเหตุการณ์เกิดขึ้นที่อังกฤษในโลกอนาคต
ขณะการก่อการร้ายดำเนินไปทั่วโลก เกาะอังกฤษ -
หลังจากเผชิญกับโรคระบาดร้ายแรงสูญเสียประชากรไปจำนวนมาก -
จำต้องอยู่ในภาวะเคอร์ฟิว
และถูกปกครองโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแต่กลายสภาพเป็นเผด็จการ<br />
รัฐเผด็จการปกครองเกาะอังกฤษอย่างเบ็ดเสร็จ
และยังมีกระบอกเสียงเป็นสถานีโทรทัศน์ที่เผยแพร่ข่าวเฉพาะในด้านดีของรัฐบาล
โดยข่าวทุกข่าวต้องได้รับการตรวจสอบจากทางรัฐอย่างเข้มงวด<br />
นอกจากนี้ยังมีการละเมิดเสรีภาพส่วนบุคคลด้วยการดักฟังโทรศัพท์ สอดแนม และกล้องวงจรปิดจำนวนมากตามท้องถนน<br />
รัฐเผด็จการนี้มีลักษณะอนุรักษนิยมอย่างชัดเจน
ใช้ศาสนาคริสต์เป็นเครื่องมือในการปกครอง เหยียดผิว ต่อต้านมุสลิม
และออกกฎหมายให้การเป็นเพศที่สามถือเป็นความผิด<br />
<strong>หนังค่อยๆ เผยมาว่า
แท้จริงแล้วโรคระบาดที่อังกฤษเผชิญมาก่อนหน้านั้น
ก็คืออาวุธชีวภาพที่ทางพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลคิดขึ้นนั่นเอง
แต่นำมาใช้กับประชาชนของตนเอง
และมีรายได้จำนวนมหาศาลจากการผลิตยารักษาโรคระบาดนี้</strong><br />
ตัวละครเอกคือชายสวมหน้ากากที่เรียกตัวเองว่า ‘<strong>V</strong>’
ซึ่งเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกทดลองยา แต่เขาหนีรอดออกมาจากค่ายกักกัน
และปรากฏตัวขึ้นในเรื่องพร้อมด้วยเป้าหมายในการโค่นล้มรัฐเผด็จการ<br />
แน่นอนว่า V for Vendetta จัดอยู่ในนิยายภาพและหนังประเภท
superhero แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ V
ไม่ได้ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดหรือผู้ก่อการร้าย แต่ V
กำลังสู้กับรัฐเผด็จการที่กดขี่ข่มเหง และริดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน<br />
ขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะเชื่องเชื่อ ดังบทวิเคราะห์ว่า <em>“ต่างถูกปิดปากจนเงียบสงบโดยพวกตำรวจลับ บ้างก็เสพติดโทรทัศน์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น... </em><br />
<em>พวกเขาตระหนักรู้ว่าระบบเสื่อมโทรมเน่าเฟะเพียงใด
พวกเขาจึงมิได้ซึมซับค่านิยมและความเชื่อที่รัฐบาลยัดเยียดให้แม้แต่น้อย
กระนั้นก็ตาม พวกเขาก็ยังเคารพเชื่อฟังผู้มีอำนาจอยู่ต่อไป ทั้งๆ
ที่รู้อยู่แก่ใจ
แต่ชาวอังกฤษส่วนใหญ่ก็ทำตัวประหนึ่งว่าพวกเขาไม่รู้ไม่เห็นกับความ
อัปลักษณ์น่าเกลียดของสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่”</em><br />
อาการกลัวอยู่ตลอดเวลาและคิดไปเองว่าตนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เป็นสภาวะที่ผู้เขียนเรียกว่า ‘<strong>reflexive impotence</strong>’<br />
ฉากที่น่าประทับใจฉากหนึ่งคือฉากที่ V บุกเข้าไปในสถานีโทรทัศน์
และปราศรัยออกอากาศ ประกาศแถลงการณ์แสดงจุดยืน อ้างถึง Guy Fawkes
วีรบุรุษผู้พยายามระเบิดรัฐสภาของอังกฤษเมื่อสี่ร้อยปีที่แล้ว (หน้ากากที่ V
ใส่คือหน้าของ Guy Fawkes โดยสมมติ)<br />
<em>“ความหวังของเขาคือการเตือนโลกว่า ความถูกต้อง ความยุติธรรม
และเสรีภาพ เป็นมากกว่าคำพูด หากแต่มันคือปรัชญาชีวิต
ถ้าคุณไม่รู้ไม่เห็นกับอาชญากรรมของรัฐบาลนี้ ผมขอแนะนำให้คุณปล่อยวันที่ 5
พฤศจิกายนผ่านเลยไป แต่ถ้าคุณเห็นในสิ่งที่ผมเห็น รู้สึกในสิ่งที่ผมรู้สึก
และแสวงหาในสิ่งที่ผมแสวงหา ผมขอให้คุณยืนเคียงข้างผม...”</em><br />
สรวิศวิเคราะห์คำปราศรัยนี้ว่า<br />
<strong>“เป้าหมายของวีกลับเป็นการมุ่งสร้างสาธารณชนใหม่บนพื้นฐาน
จุดร่วมกันใหม่ๆ ซึ่งจะสามารถเกิดขึ้นได้ผ่านการดิ้นรนต่อสู้เท่านั้น
สำหรับวีแล้ว
จุดร่วมพื้นฐานของผู้กระทำการปฏิวัติทุกคนสามารถสร้างขึ้นได้ผ่านการหวนกลับ
ไปเชื่อร่วมกันในเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่หายไป (lose causes) อันได้แก่
‘ความถูกต้อง ความยุติธรรม และเสรีภาพ’”</strong><br />
เป้าหมายของ V
ไม่ใช่การแสวงหาข้อตกลงหรือประนีประนอมกับฝ่ายตรงข้าม
แต่เป็นการโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามลง
โดยอาศัยเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เป็นอุดมการณ์ที่ไม่มีวันดับสูญ<br />
<strong>ความถูกต้อง ความยุติธรรม และเสรีภาพ</strong> มิใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นความคิดความเชื่อที่ยิ่งยงคงกระพัน และสามารถทำให้ผู้คนจำนวนมากสละชีวิตเพื่อปกป้องมันไว้<br />
ในตอนหนึ่ง สุรวิศสรุปความหมายแฝงในคำปราศรัยของ V ไว้อย่างน่าประทับใจว่า<br />
“วีกำลังพยายามจะบอกกับประชาชนว่า
นี่คือความขัดแย้งระหว่างหลักการจัดตั้งและการบริหารสังคม 2
แนวทางที่ไม่สามารถไกล่เกลี่ยมาบรรจบกันได้
มีแต่การต้องเลือกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<strong>คุณต้องเลือกที่จะยืนเคียงข้างความยุติธรรมและเสรีภาพ มิฉะนั้นคุณก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับมัน”</strong><br />
<strong><br /></strong>
<em> อติภพ ภัทรเดชไพศาล</em><br />
<br />กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-63617914942026408532013-05-14T15:05:00.001+07:002013-05-14T15:05:12.231+07:00ฆาตกร<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiJ7P-6pk9X8A_Na8X7e3ijUB7lG9ZUoBmyQ19n9jrpy1-LNM73JAHwubIStX1Uc_kkck0JSPN3uYyz5sLArDw149g5lwFBqUov8jI8iIQfLQ3ooJd2uil8g_ORHh31YJ1tnyZffBCfke4/s1600/images.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiJ7P-6pk9X8A_Na8X7e3ijUB7lG9ZUoBmyQ19n9jrpy1-LNM73JAHwubIStX1Uc_kkck0JSPN3uYyz5sLArDw149g5lwFBqUov8jI8iIQfLQ3ooJd2uil8g_ORHh31YJ1tnyZffBCfke4/s1600/images.jpg" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
<blockquote class="tr_bq" style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">
<span style="color: red;">ในระบบทุนนิยม การฆ่าคนในสงครามกลายเป็นเรื่อง “เกียรติ” เป็นเรื่องของ “วีรชน” ทั้งๆ ที่ในรูปธรรมสงครามมันมีแต่ความป่าเถื่อนจนทหารผ่านศึกส่วนใหญ่รู้สึกว่าตนเองต้องฝันร้ายตลอดชีวิต หรือมีผลกระทบทางจิตใจ และในสงครามทหารถูกหล่อหลอมให้เป็นปีศาจร้ายที่ข่มขืนผู้หญิงและฆ่าเด็กไปด้วย</span></blockquote>
<br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><i style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">โดย ลั่นทมขาว</i><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนักปฏิวัติสังคมนิยมจากสก็อตแลนด์ถูกจับโดยรัฐบาลอังกฤษภายใต้ข้อหา “ชวนทหารอังกฤษให้กบฏต่อชาติ” เนื่องจากเขาไปแจกใบปลิวเรียกร้องให้กรรมาชีพปฏิเสธที่จะร่วมสงคราม เพราะจะเป็นฆ่ากันเองระหว่างกรรมาชีพอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และเยอรมัน</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ในห้องศาล จอห์น มะคลีน เลือกที่จะไม่ใช้ทนาย และใช้สิทธิในการอภิปราย เขาขึ้นต้นการอภิปรายด้วยคำพูดว่า “ผมไม่ได้มายืนในศาลครั้งนี้ในฐานะจำเลย ผมมายืนในฐานะผู้กล่าวหาระบบทุนนิยม ซึ่งเป็นระบบที่เปรอะเปื้อนเลือดจากหัวจรดเท้า”</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">คำปราศัยของ จอห์น มะคลีน คือจุดเริ่มต้นที่ดีของการวิเคราะห์ฆาตกรตามแนวคิดของลัทธิมาร์คซ์ เพราะระบบทุนนิยมเปรอะเปื้อนเลือดจากหัวจรดเท้าจริง ในสงครามต่างๆ ชนชั้นกรรมาชีพถูกเกณฑ์และปลุกระดมภายใต้การคลั่งชาติให้ไปฆ่ากันเอง และทั้งๆ ที่มีการพูดโกหกว่าเป็นสงครามเพื่อเสรีภาพ แท้จริงแล้วทุกสงครามของทุนนิยม เป็นสงครามเพื่อกอบโกยกำไร และเพื่อเอาชนะนายทุนชาติอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่ง มันเป็นสงครามที่ทหารกรรมาชีพเป็นเหยื่อ เพื่อให้นายทุนชาติหนึ่งสามารถกดขี่ขูดรีดกรรมาชีพทั่วโลก</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><blockquote class="tr_bq" style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">
<span style="color: red;">แต่ถ้าเราลองสังเกตดู เราจะเห็นว่าชนชั้นปกครองในทุกประเทศ ชอบด่าฝ่ายประชาชนเวลาลุกฮือเพื่อประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียม ว่าเราเป็นพวก “รุนแรง” หรือ “หัวรุนแรง” เสมอ</span></blockquote>
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ในระบบทุนนิยม การฆ่าคนในสงครามกลายเป็นเรื่อง “เกียรติ” เป็นเรื่องของ “วีรชน” ทั้งๆ ที่ในรูปธรรมสงครามมันมีแต่ความป่าเถื่อนจนทหารผ่านศึกส่วนใหญ่รู้สึกว่าตนเองต้องฝันร้ายตลอดชีวิต หรือมีผลกระทบทางจิตใจ และในสงครามทหารถูกหล่อหลอมให้เป็นปีศาจร้ายที่ข่มขืนผู้หญิงและฆ่าเด็กไปด้วย แต่ในความเป็นจริงปีศาจร้ายตัวจริง หรือฆาตกร คือนักการเมืองหรือผู้นำที่นั่งอยู่ในห้องสบายๆ และส่งทหารหนุ่มไปตาย</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ในระบบทุนนิยม การฆ่ากรรมาชีพเพื่อกำไร ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ในโรงงานนรก เรือประมงล่ม โรงไฟฟ้าระเบิด หรือโรคเรื้อรังในปอดหรือมะเร็งที่มาจากสภาพการทำงาน ถือว่าเป็นแค่ “อุบัติเหตุ” ทั้งๆ ที่ใครๆ รู้ว่ามันเกิดจากการเร่งหากำไรและการตัดค่าใช้จ่ายของนายทุน พูดง่ายๆ นายทุนคือฆาตกรตัวจริง แต่เขาจะไม่ถูกลงโทษตามความร้ายแรงของอาชญากรรม</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ในระบบทุนนิยม เวลาทหารยิงประชาชนที่ออกมาประท้วงเรียกร้องเสรีภาพ สื่อกระแสหลักของนายทุนจะพยายามปั้นข่าวว่าผู้ประท้วงใช้ความรุนแรง ทั้งๆ ที่ไม่มีอาวุธ และทหารฆาตกรจะกลายเป็นผู้รักษาความสงบ</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ในระบบทุนนิยมเวลานักการเมืองประกาศทำ “สงครามยาเสพติด” ไม่ว่าจะในไทยหรือเมคซิโก และประชาชนถูกฆ่าโดยไม่นำมาพิสูจน์ความผิดในศาล สื่อกระแสหลักจะชมนักการเมืองฆาตกรเหล่านั้น</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">เรื่องของการฆ่าคนแยกออกจากเรื่องความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นไม่ได้เลย</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">แม้แต่เรื่องการฆ่ากันเองของคนธรรมดาในชีวิตประจำวันก็ถูกบิดเบือนจากทุนนิยมและสังคมชนชั้น บ่อยครั้งการฆ่ากันระหว่างคนในครอบครัวเดียวกัน หรือคนที่รู้จักกัน มาจากความเครียดในปัญหาชีวิต ความเครียดอาจนำไปสู่การดื่ม ซึ่งยิ่งทำให้คนขาดสติ มันมาจากความกดดันในสถาบันครอบครัวด้วย ที่บ่อยครั้งทำให้คนอยู่ด้วยกันเวลาหมดรัก หรืออยู่ด้วยกันเพราะสาเหตุทางเศรษฐกิจแทนความรัก การฆ่ากันมาจากการปล้นทรัพย์ด้วย ซึ่งการปล้นขโมยมีปัจจัยจากความเหลื่อมล้ำทางรายได้และความยากจน แต่คนที่ถูกปล้นมักเป็นคนจน เพราะปล้นง่ายกว่าคนรวยที่มีรั้วสูงและระบบป้องกัน</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><blockquote class="tr_bq" style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">
<span style="color: red;">ส่วนใหญ่เวลาคนจนฆ่าคนในชีวิตประจำวัน จะถูกจับ และอาจถูกประหารชีวิต แต่เวลาลูกนักการเมืองที่มีอิทธิพลยิงคนอื่นตาย เขาจะลอยนวล</span></blockquote>
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">นักมาร์คซิสต์คัดค้านโทษประหาร เพราะมันเป็นแค่การฆ่าประชาชนอีกคนหนึ่งเพื่อการสำเร็จความใคร่และการแก้แค้นของสังคม แต่การแก้แค้นแบบนั้นเป็นความคิดล้าหลังต่ำช้าที่สุดที่ชนชั้นปกครองป้อนให้เราเชื่อ การแก้แค้นไม่นำไปสู่การคืนชีพของผู้ถูกฆ่า โทษประหารไม่นำไปสู่การลดอาชญากรรมแต่อย่างใด และบ่อยครั้งผู้ถูกประหารเป็นคนบริสุทธิ์ที่ศาลพิพากษาผิด</span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"> </span><br style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;" /><span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;">ในสังคมนิยมเราคงไม่สามารถกำจัดการฆ่ากันเองของคนตามอารมณ์ร้อนแรงได้หมด แต่เราลดการฆ่าในสงคราม การฆ่าที่มาจากเผด็จการ และการฆ่ากรรมาชีพในสถานที่ทำงานได้ และเราจะพยายามลดความเครียดต่างๆ นาๆ ในชีวิตประจำวันด้วย</span><br />
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"><br /></span>
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"><br /></span>กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-41560960708217488542013-05-14T14:04:00.002+07:002013-05-14T14:04:28.502+07:00การขายบริการทางเพศ คือ งานบริการชนิดหนึ่ง?<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjkG6S-M23SyaBqs0By9O1X0r4hcNvYDhKGiOLFKOvtsFeHjog5ERZr-7EaN1uzmbFadHshqW6JtazDZFonTccRPf6lk5Ua6cupqCIwalOONr2fGs90G-C0YfgWQn4TRPl0arfdkqil_2U/s1600/Ce_Soir.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjkG6S-M23SyaBqs0By9O1X0r4hcNvYDhKGiOLFKOvtsFeHjog5ERZr-7EaN1uzmbFadHshqW6JtazDZFonTccRPf6lk5Ua6cupqCIwalOONr2fGs90G-C0YfgWQn4TRPl0arfdkqil_2U/s320/Ce_Soir.jpg" width="320" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
<span style="background-color: white; color: red; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; line-height: 21px;"><span style="font-size: large;">กลุ่มทุนเหล่านี้ทำกำไรมหาศาลจากการทำให้เรื่องเพศกลายเป็นสินค้า และตัวผลิตภันฑ์ดังกล่าวสร้างขึ้นมาจากการทำให้ผู้หญิงกลายเป็นวัถตุทางเพศ ดังนั้นเราในฐานะนักสังคมนิยมเราจะต้องต่อต้านคลับเปลือยเหล่านี้</span></span><br />
<span style="background-color: white; color: red; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; line-height: 21px;"><span style="font-size: large;"><br /></span></span>
<br />
<div class="post-body entry-content" id="post-body-965126829467778289" itemprop="description articleBody" style="background-color: white; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 1.4; position: relative; width: 440px;">
<i>โดย สมุดบันทึกสีแดง</i><br /><br />ในระดับสากล การต่อสู้ของหญิงบริการนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 คลื่น ยุคแรกเกิดขึ้นใน 1970 คลื่นลูกที่สองเกิดขึ้นปี 1990 (2533) คลื่นลูกที่สามโผล่ขึ้นมาอย่างมีนัยยะสำคัญที่ประเทศอินเดียและอาเจนตินาซึ่งครั้งนั้นมีการพัฒนาไปอีกขั้นตอนหนึ่งคือการจัดตั้งของหญิงบริการทางเพศ อันเป็นผลสืบเนื่องโดยตรงเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคเอสด์ ทั้งสองประเทศมีสหภาพแรงงานเป็นของตัวเอง ที่ประเทศอาเจนตินาก่อตั้งของในปี 2001 (AMMAR ) และในประเทศอินเดีย ก่อตั้งขึ้นในปี 2006 (2549) (The Karnataka Sex Workers Union) ซึ่งเน้นการจัดตั้ง แก้ปัญหาการถูกล่วงละเมิดทางเพศและรณรงค์ต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิงในเวลาเดียวกัน<br /><br />ในบทความนี้ผู้เขียนจะลงรายละเอียดคร่าวๆ เกี่ยวกับข้อถกเถียงของปัญหาหญิงบริการทางเพศ ซึ่งจะเน้นเฉพาะในประเทศอังกฤษ<br /><br /><span style="color: blue;"><b>ข้อถกเถียงเกี่ยวกับปัญหาการขายบริการทางเพศในประเทศอังกฤษ </b></span><br /><br />ขบวนการสิทธิสตรีแสดงความกังวลเกี่ยวกับกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมเพศ เพราะอุตสหกรรมนี้ได้ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา และหลังจากนั้นจะพัฒนากลายมาเป็นเรื่องที่สังคม “รับได้” อุตสาหกรรมทางเพศได้ขยายตัวออกไปสู่ปริมณฑลของการซื้อขายในพื้นที่สีเทา อุตสาหกรรมเพศที่เติบโตเร็วมากที่สุดในอังกฤษ คือ คลับเปลือย บ่อยครั้งจะมีการเรียกผู้ประกอบอาชีพเหล่านี้ว่า “นักเต้น” เพื่อที่จะจัดประเภทแรงงานให้เข้าไปอยู่ในแรงงานสาย “อีโรติก” สภาพแรงงาน GMB ได้พยายามที่ขยายจำนวนสมาชิกแรงงานที่นี่ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันอย่างหนัก<br /><br />มีข้อเสนอว่าการทำงานเปลือย หรือเป็นนักเต้นนั้น ผู้หญิงสามารถทำเงินได้เร็ว มีอำนาจการต่อรอง และมีความเป็นอิสระ ซึ่งถ้าสำรวจกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ทำอาชีพนี้จะพบว่าเป็นคนทำ “อาชีพอิสระ” (Self-employed) ซึ่งจะมีรายได้หลักจาก “ค่าทิป” และจากค่าเต้น ซึ่งนักเต้นเหล่านี้จะต้องจ่ายค่าเช่าอุปกรณ์ให้กับผู้จัดการร้านต่างหาก ซึ่งถ้าพิจารณาแล้วจะเห็นว่าผู้หญิงเหล่านี้อยู่ห่างใกลจากคำว่าเป็นอิสระ ในทางกลับกันพวกเธอถูกสอดแนมและควบคุมมากกว่า<br /><br />GMB หลังจากได้เข้าไปจัดตั้งผู้หญิงในคลับเปลือย สามารถต่อรองเรื่องคุณภาพการจ้างงานในคลับได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีเราต้องสนับสนุน แต่อย่างไรก็ตามเราต้องตั้งคำถามต่อไปว่า กลุ่มทุนเหล่านี้ทำกำไรมหาศาลจากการทำให้เรื่องเพศกลายเป็นสินค้า และตัวผลิตภันฑ์ดังกล่าวสร้างขึ้นมาจากการทำให้ผู้หญิงกลายเป็นวัถตุทางเพศ ดังนั้นเราในฐานะนักสังคมนิยมเราจะต้องต่อต้านคลับเปลือยเหล่านี้<br /><br />แค่การดำรงอยู่ของสถานประกอบการแบบนี้หนุนเสริมให้การกดขี่ผู้หญิงดำรงอยู่ต่อไป คลับเปลือยไม่ใช่สถานที่ทำงานปกติ เราไม่ควรจะประณีประนอมกับแนวความคิดที่พยายามจะทำให้สถานที่แบบนี้เป็นสถานประกอบการปกติ การมีอยู่ของคลับเปลือยหรือสถานบริการเพศต่างๆ มันทำให้การต่อสู้เพื่อให้คุณค่ากับผู้หญิงในแบบที่เป็นเธอเป็น ไม่ว่าจะเป็นขนาดของรูปร่าง อายุ ชาติพันธ์ กลายเป็นภาระกิจที่เต็มไปด้วยความยากลำบากเกินความจำเป็น<br /><br /><b><span style="color: blue;">ควรจะแบนสถานการประกอบการแบบนี้ไหม? </span></b><br /><br />ข้อเสนอโดยการใช้กฎหมายบังคับ ถูกตอบในทางบวกจากหลายส่วน นักสิทธิสตรีเช่น จูลี่ บิลเดล (Julie Bindel)ถึงกับเตรียมตัวพร้อมที่จะร่วมมือกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมเรียกร้องให้มีการแบนสถานที่ประกอบการ ซึ่งพวกเราควรจะหลีกเลี่ยง เราไม่เห็นด้วยกับกรอบข้อถกเถียงในเชิงศีลธรรมที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมชื่นชอบ การเพิ่มอำนาจให้กับรัฐเพื่อเข้ามาจัดการกับเรื่องนี้ก็มีปัญหา เพราะตัวของรัฐเองคือเครื่องของการกดขี่ไม่ใช่เครื่องของการ (จะกล่าวเพิ่มเติมในรายละเอียดในย่อหน้าข้างหน้า)<br /><br /><b><span style="color: blue;">เราควรจะแบนผู้ชายไหม?</span></b><br /><br />ข้อเสนอนี้ได้หันไปเน้นที่ผู้บริโภค เพราะเชื่อว่าถ้าแบนตรงนี้ได้ก็จะสามารถลดปริมาณหญิงบริการทางเพศได้ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวได้รับการต่อต้านจากหลายองค์กรรวมถึงองค์กรของหญิงบริการทางเพศเอง เพราะในรูปธรรม เป็นทำให้เรื่องการซื้อขายบริการเพศเป็นเรื่องใต้ดิน หญิงขายบริการจะถูกดันให้ไปอยู่ชายขอบมากยิ่งขึ้น ไร้อำนาจในการดูแลตนเอง<br /><br />ในกรณีของสวีเดน ได้ออกกฎหมายเอาผิดผู้ชายที่มาซื้อบริการเพศ ในปี 1998 ซึ่นเป็นข้อเสนอของกลุ่มนักสิทธิสตรี จำนวนหญิงบริการทางเพศบนท้องถนนในสวีเดนได้ลดลง แต่การซื้อขายเพศในอินเตอร์เนตได้เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งองค์กรของหญิงบริการทางเพศ ได้ตั้งข้อสังเกตุว่าการแบนลูกค้าของพวกเธอได้ผลักให้กลุ่มลูกค้าเดินเข้าไปสู่พื้นที่ๆดำมืดมากกว่าเดิมเป็นผลเสียทั้งต่อหญิงขายบริการและลูกค้า<br /><br />โอคอลแนล เดวิสัน (O’Connell Davidson) อธิบายเพิ่มเติมว่า การลงโทษผู้ซื้อ ส่งเสริมให้กลุ่มสิทธิสตรีทำแนวร่วมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งในรูปธรรมหมายถึง ตำรวจจะเรียกร้องให้ออกนโยบายเอาผิดที่รุนแรง นักการเมืองจะฉวยโอกาสต่อต้านแรงงานข้ามชาติ เรียกร้องให้เพิ่มมาตรการควบคุมคนเข้าเมือง และฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็จะเรียกร้องให้หันกลับไปส่งเสริม “คุณค่าของครอบครัว”<br /><br />มีความพยายามที่จะทำความเข้าใจว่าทำไมผู้ชายจึงหันไปซื้อบริการทางเพศเพิ่มขึ้น คำอธิบายหนึ่งคือ การทำงานที่ยาวนานและการขาดโอกาศที่จะสร้างความสัมพันธ์ และภายใต้เงื่อนไขสังคมปัจจุบันผู้ชายถูกส่งเสริมให้คิดว่าเขาควรจะมีเพศสัมพันธ์และร่างของผู้หญิงนั้นก็เพียงแค่สินค้าชนิดหนึ่งที่เขาสามารถซื้อได้ ผู้หญิงก็เหมือนกับรถหรือทีวีซื้อมาแล้วก็ขี่และดู ซึ่งในประเด็นนี้ เดวิสัน ได้แย้งว่า มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะซื้อเซ็กส์ แต่มนุษย์ถูกสอนให้คิดว่าการบริโภคสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสนุก สถานภาพความเป็นผู้ชายของเขาจะได้รับการยอมรับในสังคม<br /><br /><span style="color: blue;"><b>รัฐ สถานที่พักพิง หรือ เครื่องมือในการกดขี่?</b></span><br /><br />รัฐตอบสนองต่อประเด็นปัญหานี้ด้วยภายใต้สองกรอบความคิดหลักคือ มองว่าหญิงบริการทางเพศ เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เป็นตัวอันตรายต่อศีลธรรมอันดีงาม ซึ่งจะต้องถูกกำจัดให้หมดไป และ มองว่าหญิงบริการทางเพศ เป็นสินค้าชนิดหนึ่ง ที่จะต้องหาทางควบคุม อย่างไรก็ตามภายใต้สองกรอบคิด ไม่ได้ช่วยให้ให้การกดขี่ทางเพศในอุตสาหกรรมเพศลดลงแต่อย่างใด ในประเทศอังกฤษ รัฐบาลภายใต้พรรคแรงงานใหม่ได้ปฏิบัติต่อหญิงขายบริการ โดยเสนอว่าหญิงขายบริกาทางเพศ เป็นพฤติกรรมต่อต้านสังคม และ ประกาศว่าเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับไม่ได้<br /><br />ความพยายามทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการให้ความช่วยเหลือหรือการฟื้นฟูพฤติกรรมถูกกำหนดขึ้นมาจากกรอบที่ต้องการลงโทษหญิงขายบริการ ตำรวจถูกส่งเสริมให้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับองค์สงคมสงเคราะห์ ในประเด็นบ้านพักผู้ประสบภัย การลงพื้นที่เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นสุขภาพทางเพศ โปรแกรมที่ให้ความช่วยเหลือสำหรับผู้ที่ติดยาและเหล้าเพื่อดึงให้ผู้หญิงออกจากวงจรการค้าเพศ ซึ่งในกระบวนการดังกล่าว ผู้หญิงเหล่านี้อาจจะถูกสั่งขังจำคุกได้ถึง 5 ปี ถ้าทำผิดกฎ ซึ่งการมีบันทึกว่าเคยเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมแบบนี้ เป็นอุปสรรคมากในการสมัครงาน มันทำให้ผู้หญิงหลายคนไม่กล้าเข้าสู่โปรแกรมการจัดการกับการค้ามนุษย์นั้น บ่อยครั้งวกกลับไปอยู่ในกรอบของการเหยียดเพศ เหยียดเชื้อของเจ้าหน้าที่<br /><br />ข้อเสนอเชิงปฏิรูปที่หญิงบริการทางเพศได้รับประโยชน์เราควรสนับสนุน แต่เราตระหนักว่าข้อเสนอเชิงปฏิรูปเหล่านี้จะไม่นำไปสู่การปลดปล่อยผู้หญิงแต่อย่างใด ข้อเสนอระยาวนั้นควรจะเน้นทำลายเงื่อนไขต่างๆที่ผู้ต้องตัดสินใจเดินเข้าสู่เส้นทางนี้ ความอิสระและความมั่นคงในชีวิตคือประตูบานแรกที่จะทำลายวงจรอุบาทว์<br /><div style="clear: both;">
</div>
</div>
<div class="post-footer" style="background-color: #f8f8f8; border-bottom-color: rgb(237, 237, 237); border-bottom-style: solid; border-bottom-width: 1px; color: #646464; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 13px; line-height: 1.6; margin: 20px -2px 0px; padding: 5px 10px;">
</div>
<br />
<span style="background-color: white; color: red; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"><br /></span>
<span style="background-color: white; color: red; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"><br /></span>
<span style="background-color: white; color: red; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"><br /></span>
<span style="background-color: white; color: red; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"><br /></span>
<span style="background-color: white; color: red; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"><br /></span>
<span style="background-color: white; color: red; font-family: Arial, Tahoma, Helvetica, FreeSans, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 21px;"><br /></span>กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-61470258831463949982012-05-02T00:04:00.003+07:002012-05-02T00:10:28.420+07:00ซ้ายคืออะไร? (ในยุคคอมมิวนิสต์ล่มสลายหลังสงครามเย็น)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEjmpDu2yYqLqt_CbvvA_gV3Oyup_x6RmfpjOIW-oVNHdNWh2vMgOVAR8ZdCkMUFPvA3dumxVtcFRPkGTgdzsV0REJkKR2i0g4m7yOLG_BMyy7rTulAg41UEvg91nXe5999dmG5cYDRTI/s1600/522659_3839897078824_1319945109_3461561_470114371_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiEjmpDu2yYqLqt_CbvvA_gV3Oyup_x6RmfpjOIW-oVNHdNWh2vMgOVAR8ZdCkMUFPvA3dumxVtcFRPkGTgdzsV0REJkKR2i0g4m7yOLG_BMyy7rTulAg41UEvg91nXe5999dmG5cYDRTI/s400/522659_3839897078824_1319945109_3461561_470114371_n.jpg" width="305" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<b><span style="background-color: white; color: #333333; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">ในยุคคอมมิวนิสต์ล่มสลายหลังสงครามเย็น ฝ่ายซ้ายทั่วโลกตกอยู่ในภาวะวุ่นวายสับสน หนียะย่ายพ่ายจะแจ ต่างเปลี่ยนชื่อเปลื่ยนสีย้ายค่ายย้ายข้างกันเป็นทิวแถว จนน่าฉงนสนเ</span><span class="text_exposed_show" style="background-color: white; color: #333333; display: inline; font-family: 'lucida grande', tahoma, verdana, arial, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 18px;">ท่ห์ว่าฝ่ายซ้ายยังเหลืออยู่หรือไม่? และถ้ายังเหลืออยู่ มันหมายถึงอะไร?<br /><br />ท่ามกลางความปั่นป่วนโกลาหลทางอุดมการณ์ดังกล่าว สตีเว่น ลุคส์ ศาสตราจารย์ทฤษฎีสังคมและการเมืองชาวอังกฤษ ผู้แต่ง “การิทัตผจญภัย: นิยายปรัชญาการเมือง” ได้พยายามเสนอคำนิยามความเป็น “ซ้าย” ขึ้นมาในปัจฉิมบทของหนังสือ The Cambridge History of Twentieth-Century Political Thought (๒๐๐๓) ชื่อบทว่า “The grand dichotomy of the twentieth century” (<a href="http://histories.cambridge.org/extract?id=chol9780521563543_CHOL9780521563543A030" rel="nofollow nofollow" style="color: #3b5998; cursor: pointer; text-decoration: none;" target="_blank">http://histories.cambridge.org/extract?id=chol9780521563543_CHOL9780521563543A030</a>)<br /><br />เขาโยงธรรมเนียมประเพณีและโครงการของฝ่ายซ้ายกลับไปยังปรัชญายุครู้แจ้ง (The Enlightenment) ซึ่งตั้งคำถามต่อหลักการศักดิ์สิทธิ์ของระเบียบสังคม, ท้าทายบรรดาความไม่เสมอภาคนานัปการที่ไม่อาจอ้างว่าชอบธรรม อีกทั้งแก้ไขเยียวยาได้ ไม่ว่าจะเป็นความไม่เสมอภาคทางฐานะ, สิทธิ, อำนาจ, สภาพเงื่อนไขการดำรงชีพ, และเพียรพยายามขจัดความไม่เสมอภาคเหล่านั้นให้หมดสิ้นไปผ่านปฏิบัติการทางการเมือง<br /><br />อาจกล่าวได้ว่าแก่นยึดมั่นใจกลางของฝ่ายซ้ายคือหลักความเสมอภาคอันเป็นพื้นฐานของแนวคิดมนุษยนิยม ว่าความเสมอภาคนั้นมันหมายถึงสิ่งใดแน่? และมีนัยสืบเนื่องทางความคิดและการปฏิบัติอย่างไร?<br /><br />วิสัยทัศน์อุดมคติของฝ่ายซ้ายคือสังคมของคนผู้เสมอภาคกัน เพื่อบรรลุถึงเป้านั้น จึงต้องวินิจฉัยสืบ เสาะเจาะหาต้นตอแห่งการเลือกปฏิบัติและการพึ่งพาขึ้นต่ออันไม่อาจอ้างว่าชอบธรรมได้อย่างกว้างขวางที่สุด และคิดค้นโปรแกรมทางปฏิบัติเพื่อบำบัดหรือบรรเทามันลง<br /><br />ในแง่หลักศีลธรรม: ยึดหลักว่ามนุษย์ทุกผู้ทุกนามต่างมีค่าควรแก่การห่วงใยและเคารพเสมอหน้ากัน, พวกเขาควรปฏิบัติต่อกันโดยถือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นเป้าหมายในตัว ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือไปบรรลุสิ่งอื่น (เช่นอำนาจ, อุดมการณ์, ชัยชนะทางการเมือง, ชาติ, ประชาธิปไตย, สังคมนิยม, การปฏิวัติ ฯลฯ), มนุษย์มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่สินค้าที่มีเพียงราคา<br /><br />ในแง่อุดมคติการเมือง: ถือหลักความเป็นพลเมืองเสมอภาคกัน ทุกคนมีสิทธิพลเมืองเท่าเทียมโดยสิทธิดังกล่าวเป็นเรื่องต่างหากไม่ได้ขึ้นต่อสมรรถภาพ, ความสำเร็จ, สภาพเงื่อนไขและเอกลักษณ์ที่แต่ละคนได้รับมา รัฐบาลต้องเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของพวกเขาบนฐานที่เท่าเทียมกัน<br /><br />ในแง่อุดมคติทางสังคม: มองสังคมและเศรษฐกิจเป็นระเบียบแห่งความร่วมมือที่ซึ่งทุกคนได้รับการปฏิบัติต่ออย่างเสมอภาค มีที่ยืนหรือฐานะเท่าเทียมกัน ไม่วางใจความคิดที่ว่าตลาดและการแข่งขันอย่างไร้กฎระเบียบกำกับควบคุมโดยทั่วไปจะจัดเป็นตัวอย่างของความร่วมมือที่ว่านั้นได้ เนื่องจากตลาดและการแข่งขันอย่างไร้กฎระเบียบกำกับควบคุมดังกล่าวย่อมก่อเกิดความไม่เสมอภาคด้านรางวัลตอบแทนและสภาพเงื่อนไขการดำรงชีพอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ซึ่งหากความไม่เสมอภาคดังกล่าวสั่งสมจนเกินเลยแล้ว ก็จะก้ดกร่อนบ่อนเซาะและลบล้างความสัมพันธ์ที่เสมอภาคทางสังคม<br /><br />สรุป: สิ่งที่เรียกว่าฝ่ายซ้ายก็คือโครงการวิพากษ์และเปลี่ยนโลกกับสังคมให้เสมอภาคกันอย่างแข็งขัน ซึ่งอาจถูกตีความแล้วตีความใหม่แตกต่างหลากหลายกันออกไปได้ในประวัติศาสตร์ตามกาละเทศะต่าง ๆ ว่าความไม่เสมอภาคอันมิอาจอ้างว่าชอบธรรมได้ในสถานการณ์หนึ่ง ๆ นั้นคืออะไร? และจะบรรเทาหรือบำบัดมันด้วยวิธีการและโปรแกรมอย่างไร?</span></b>
</div>กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-35313230649085654112012-04-26T23:04:00.001+07:002012-04-26T23:04:40.483+07:00กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-24632768337527429932012-04-26T22:58:00.004+07:002012-04-26T23:06:00.343+07:00ประกาศนิติราษฎร์ ฉบับที่ ๓๔ (วรเจตน์ ภาคีรัตน์)<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpIYFC-0gN2olIdWLJFUEH2GUU0gWq-9dliWNFKe1sL-bppn-XViHZA9JOQFwxe2k3VDroJ0vCv4nqEqW9OPyPDbD6QQabRH4Z3a9GPW_jJKr-Lryz7RTg2KevNcvBi1uPAWSlHMCGTlU/s1600/551891_419996638019684_414437208575627_1546786_425185229_n.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="177" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpIYFC-0gN2olIdWLJFUEH2GUU0gWq-9dliWNFKe1sL-bppn-XViHZA9JOQFwxe2k3VDroJ0vCv4nqEqW9OPyPDbD6QQabRH4Z3a9GPW_jJKr-Lryz7RTg2KevNcvBi1uPAWSlHMCGTlU/s400/551891_419996638019684_414437208575627_1546786_425185229_n.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
<div align="center" style="font-family: Tahoma; line-height: 20px;">
<span style="font-size: large;"><b style="background-color: #d9d2e9;">จุดยืนคณะนิติราษฎร์</b></span></div>
<span style="background-color: #d9d2e9;"><br style="font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px; text-align: left;" /></span><br />
<span style="font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px; text-align: left;"><b style="background-color: #d9d2e9;">หลังจากที่คณะนิติราษฎร์ได้เสนอให้ลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เสนอแนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ซึ่งต่อมาคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา ๑๑๒ (ครก. ๑๑๒)ได้ดำเนินการรวบรวมรายชื่ออย่างน้อย ๑๐๐๐๐ รายชื่อเพื่อเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ไปยังรัฐสภา กำหนดระยะเวลารณรงค์ ๑๑๒ วัน และการรณรงค์ดังกล่าวจะครบกำหนดในวันที่ ๕ พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ มีผู้สอบถามมายังคณะนิติราษฎร์เกี่ยวกับกิจกรรมทางวิชาการและการเคลื่อนไหว ทางความคิดที่จะดำเนินต่อไปในโอกาสครบรอบ ๘๐ ปีของการอภิวัฒน์สยาม ๒๔๗๕ ตลอดจนแนวทางทางกฎหมายในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย คณะนิติราษฎร์เห็นสมควรที่จะได้แสดงจุดยืนและทัศนะต่อประเด็นปัญหาต่างๆ ไว้โดยสังเขป ดังนี้</b></span><br />
<div style="font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px; text-align: left;">
</div>
<div style="font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px; text-align: left;">
<b style="background-color: #d9d2e9;">๑. คณะนิติราษฎร์ยืนยันว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากอัตราโทษที่กำหนดไว้ในปัจจุบันสูงเกินสมควรกว่าเหตุ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆอีกหลายประการ ดังที่ได้เคยแสดงให้เห็นไว้แล้วในประกาศนิติราษฎร์ฉบับที่ ๑๖ (วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๔) และในข้อเสนอเพื่อการรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้หลายประการ และจะบรรเทาปัญหาบางประการลง คณะนิติราษฎร์จึงยืนยันสนับสนุนกิจกรรมของ ครก.๑๑๒ ในการรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ไปยังรัฐสภา และให้เป็นหน้าที่ของรัฐสภาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป<br /><br />๒. คณะนิติราษฎร์ไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงต่อแนวทางการปรองดองหรือสมานฉันท์โดยวิธีการตรากฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลทุกฝ่ายดังเช่นการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่ ๔ ถึงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ พ.ศ.๒๕๒๑ (นิรโทษกรรมในเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๑๙) หรือการตราพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกันระหว่างวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ถึงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ พ.ศ.๒๕๓๕ (นิรโทษกรรมในเหตุการณ์พฤษภา ๓๕) เนื่องจากการนิรโทษกรรมในลักษณะดังกล่าวแม้จะทำให้ประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมพ้นจากความผิดและความรับผิด แต่ก็จะมีผลให้บรรดาผู้ที่สั่งการและปฏิบัติการสลายการชุมนุมพ้นจากความผิดไปพร้อมกันด้วย การนิรโทษกรรมในลักษณะดังกล่าวไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งต่อผู้ที่สูญเสียในเหตุการณ์สลายการชุมนุมต่างๆที่เกิดขึ้นหลังจากการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา<br /><br />๓. คณะนิติราษฎร์เห็นว่าแนวทางการตรากฎหมายเพื่อการขจัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายภายหลังจากการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ควรจะต้องพิจารณาแยกแยะลักษณะการกระทำของบรรดาบุคคลที่เกี่ยวข้องและจัดวางโครงสร้างของกฎหมายโดยมีสาระสำคัญหลัก คือ<br /><br />ประการที่หนึ่ง ต้องไม่มีการนิรโทษกรรมให้แก่บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงตลอดจนการสลายการชุมนุมทุกเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา การกระทำของบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลที่ถือได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ว่าจะได้กระทำการในฐานะเป็นผู้สั่งการหรือผู้ปฏิบัติการ และไม่ว่าจะกระทำในขั้นตอนใดๆ หากการกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น บุคคลนั้นยังคงมีความผิดตามกฎหมายและต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม<br /><br />ประการที่สอง ให้มีการนิรโทษกรรมทันทีแก่ประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานฝ่าฝืนบรรดากฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินและกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงที่ได้รับการประกาศใช้ในเหตุการณ์การเดินขบวนและการชุมนุมประท้วงทางการเมืองในพื้นที่ต่างๆตามที่จะได้กำหนดไว้ในประกาศที่ออกตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งและบรรดาการกระทำต่างๆของผู้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมืองในพื้นที่ต่างๆข้างต้น หากเป็นความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ก็ให้บุคคลนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง<br /><br />ประการที่สาม บรรดาการกระทำทั้งหลายของบุคคลที่เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมืองที่ไม่เข้าข่ายที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เช่น การกระทำที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นและไม่ใช่ความผิดลหุโทษหรือความผิดที่อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ตลอดจนการกระทำความผิดของบุคคลที่แม้ไม่ได้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมือง แต่มีข้อสงสัยว่ามีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา ให้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่ได้ ในกรณีที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลในลำดับชั้นใด ให้ศาลระงับการดำเนินกระบวนพิจารณา และให้ปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาไปก่อน ในกรณีที่มีข้อสงสัยว่าการกระทำนั้นตกอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งหรือไม่ ให้คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งเป็นผู้วินิจฉัย คำวินิจฉัยว่าการกระทำใดอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งหรือไม่ ให้มีผลผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร และไม่อาจเป็นวัตถุในการพิจารณาขององค์กรตุลาการหรือองค์กรอื่นใดได้<br /><br />ประการที่สี่ ในกรณีที่คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัยว่าการกระทำใดไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง หรือวินิจฉัยว่าการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมต่างๆ ตลอดจนการกระทำที่มีข้อสงสัยว่ามีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา ไม่เกี่ยวข้องกับมูลเหตุจูงใจหรือแรงจูงใจทางการเมือง ให้ดำเนินการกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ในกรณีที่คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัยว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจากมูลเหตุจูงใจหรือแรงจูงใจทางการเมืองหลังเหตุการณ์แย่งชิงอำนาจรัฐ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ก็ให้บุคคลที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เท่าที่ไม่ขัดกับพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก<br /><br />ประการที่ห้า การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวทางที่คณะนิติราษฎร์เสนอไว้เบื้องต้นโดยสังเขปนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันโดยเพิ่มบทบัญญัติว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งเป็นอีกหมวดหนึ่ง โดยนอกจากบทบัญญัติในหมวดนี้จะกล่าวถึงคณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง และกฎเกณฑ์ต่างๆตามแนวทางที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังต้องกล่าวถึงการเยียวยาความเสียหายต่างๆด้วย การดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้สามารถทำได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการจัดให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และสามารถกระทำได้ทันที<br /><br />๔. สำหรับกรณีของการลบล้างผลพวงรัฐประหารนั้น คณะนิติราษฎร์เสนอให้บัญญัติเป็นหมวดอีกหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับที่จะได้จัดทำขึ้นใหม่ตามที่ได้เคยแถลงต่อสาธารณะไปแล้ว โดยคณะนิติราษฎร์ยืนยันหลักการของการประกาศให้การนิรโทษกรรมการทำรัฐประหารหรือการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นโมฆะ เพื่อเปิดทางให้บุคคลที่มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหารหรือแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำการเอง ผู้ใช้ ตลอดจนผู้สนับสนุน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สำหรับบรรดาคดีซึ่งเกิดขึ้นจากการเริ่มกระบวนการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะผู้แย่งชิงอำนาจรัฐนั้น ก็ให้ลบล้างให้สิ้นผลไป ซึ่งไม่ได้หมายถึงการนิรโทษกรรม แต่ให้เริ่มกระบวนการใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรมต่อไป<br /><br />คณะนิติราษฎร์ขอเรียนให้ผู้ที่ติดตามกิจกรรมทางวิชาการของคณะนิติราษฎร์ทราบว่าในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ คณะนิติราษฎร์จะได้จัดกิจกรรมทางวิชาการที่เกี่ยวเนื่องกับการลบล้างผลพวงรัฐประหาร การขจัดความขัดแย้งในสังคมไทย และวิเคราะห์วิจารณ์ข้อเสนอเกี่ยวกับการปรองดองของบุคคลและสถาบันต่างๆ นอกจากนี้เพื่อให้การเคลื่อนไหวทางความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและนิติรัฐดำเนินไปในวงกว้างยิ่งขึ้น คณะนิติราษฎร์จะได้จัดให้มีการเผยแพร่แลกเปลี่ยนความรู้ทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมหาชน ให้แก่ประชาชนทั่วไป รายละเอียดในเรื่องเหล่านี้จะแถลงให้ทราบต่อไป</b></div>
<div align="right" style="font-family: Tahoma; font-size: 12px; line-height: 20px;">
<span style="background-color: #d9d2e9;">๒๕ เมษายน ๒๕๕๕</span></div>
<br />
<br />กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-141088935747704732012-04-20T14:55:00.000+07:002012-04-20T14:55:02.494+07:00<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-6P_52x9Y4SMHhVVdybzffWVECx1Zk4eqoHK7EmY3EujQPf2JVAsMVZX3KNtCG3Z9iPLwOq0Cr8LTd9yW-t14sQLVQZEk0AXwqmGeJPMW_aDDe0l-YipGjQ4pQTNervJGHTYzCNxCbPE/s1600/images+%25281%2529.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="394" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-6P_52x9Y4SMHhVVdybzffWVECx1Zk4eqoHK7EmY3EujQPf2JVAsMVZX3KNtCG3Z9iPLwOq0Cr8LTd9yW-t14sQLVQZEk0AXwqmGeJPMW_aDDe0l-YipGjQ4pQTNervJGHTYzCNxCbPE/s400/images+%25281%2529.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
<br />
<div class="main section" id="main">
<div class="widget Blog" id="Blog1">
<div class="blog-posts hfeed">
<div class="date-outer">
<div class="date-posts">
<div class="post-outer">
<div class="post hentry">
<h3 class="post-title entry-title">
<a href="http://hello-siam.blogspot.com/2008/03/blog-post_7048.html">คณะคอมมิวนิสต์สยามวิจารณ์ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕</a>
</h3>
<div class="post-header-line-1">
</div>
<div class="post-body entry-content">
<span style="color: #cc0000; font-size: 180%;"></span><br /><span style="color: #cc0000; font-size: 180%;">ข่าว</span>คราวเกี่ยวกับการรื้อฟื้น พคท. <span style="color: #993300;">(พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย)</span> ผนวกกับความพยายามในรอบหลายปีที่จะจัดตั้งพรรคการเมืองแนวสังคมนิยม - มาร์กซิสต์ โดยกลุ่ม กปร. <span style="color: #993300;">(กลุ่มประชาธิปไตยแรงงาน)</span>
ชวนให้นึกถึงการเคลื่อนไหวของขบวนการฝ่ายคอมมิวนิสต์ในการเมืองไทยสมัยใหม่
ซึ่งจะว่าไปแล้วการดำรงอยู่ของการเคลื่อนไหวดังกล่าว
สะท้อนระดับความเป็นประชาธิปไตยของรัฐเอง พอ ๆ
กับที่สะท้อนลักษณะเผด็จการไปด้วยในตัว<br /><br />ไม่เพียงแต่หลัง ๒๔๙๐ และ
หลัง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เท่านั้น ที่การเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ขึ้นสู่กระแสสูง
อันที่จริงแม้แต่ครั้ง ๒๔๗๕
กิจกรรมการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ก็มีบทบาทสำคัญอันจะละเลยไปไม่ได้
ดังจะชี้ให้เห็นต่อไป<br /><br />ภายหลังจากเหตุการณ์ยึดอำนาจโดยคณะราษฎรเมื่อ
วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ผ่านพ้นไปไม่นาน
จากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ประชาชาติ ฉบับวันที่ ๔, ๗ และ ๑๓
ตุลาคมของปีเดียวกันนั้นเอง
ก็ปรากฏมีข่าวที่ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ในระหว่างวันที่ ๓๐
กันยายน ถึงวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๕
ได้มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งทำการแจกใบปลิวตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ
ปริมณฑล และต่างจังหวัด เช่น ที่ธนบุรี นครราชสีมา อุบลราชสีมา สระบุรี
อยุธยา นครสวรรค์ เพชรบุรี พิษณุโลก<span style="color: #993300;"> ( ดูข้อมูลใน เออิจิ มุราชิมา. การเมืองจีนสยาม : การเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย. <span style="color: #cc6600;">(กรุงเทพฯ : ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๙),</span> น. ๑๐๒. )</span><br /><br />ใบ
ปลิว / แถลงการณ์ที่แจกมีลักษณะพิมพ์ด้วยหมึกสีแดง เขียว บางส่วนก็สีดำ
แบ่งเป็น ๓ ภาษาด้วยกัน คือ ไทย จีน และอังกฤษ ระบุวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ.
๒๔๗๕ ลงนาม "คณะคอมมูนิสต์สยาม" และ "คณะคอมมูนิสต์หนุ่มสยาม" <span style="color: #993300;">( สะกดตามคำเดิมในเอกสาร )</span><br /><br />เนื่อง
จากการเคลื่อนไหวของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในสยาม
เป็นที่จับตามองของรัฐบาลมาตั้งแต่ครั้งสมบูรณญาสิทธิราชย์
เอกสารข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับ "กิจการของคอมมูนิสต์ในสยาม"
รัฐบาลใหม่หลังเหตุการณ์ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
ก็ได้รับตกทอดมาจากรัฐบาลพระปกเกล้าฯ
ทั้งยังได้เรียนรู้คุณประโยชน์ในวิธีการปราบปรามของรัฐบาลพระปกเกล้าฯ
อีกต่อหนึ่งด้วย<br /><br />เบื้องต้นโดยจุดใหญ่ใจความที่สำคัญ ๆ
คณะราษฎรก็มองการเคลื่อนไหวของฝ่ายคอมมิวนิสต์ด้วยการผสมโรงเข้าเป็นการก่อ
ความไม่สงบของพวกคนจีนอพยพ ฉะนั้น การตอบโต้หรือปราบปราม
จึงเน้นไปที่กลุ่มคนจีนเป็นหลักและพุ่งเป้าไปที่ประเด็นปัญหาเชิงเชื้อชาติ
นิยม<span style="color: #993300;"> (Racism)</span>
และด้วยเหตุที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ยุคแรกยังทำงานฝังตัวอยู่แต่ในหมู่คนงาน
การเคลื่อนไหวคอมมิวนิสต์ยุคแรกเมื่อต้องเข้าสู่การพิจารณาของฝ่ายรัฐบาล
พวกเขาจึงถูกลดทอนลงเป็นเพียงปัญหาการก่อความไม่สงบของคนงานจีน<br /><br />อย่าง
ไรก็ตามท่าทีของรัฐบาลพระปกเกล้าฯ นั้น พบว่ายังเป็นไปโดยละมุนม่อม
กล่าวคือมักใช้วิธีการเนรเทศกลับไปประเทศจีนเสียโดยมาก
แม้แต่กรณีชาวญวนอพยพก็ใช้วิธีเดียวกันนี้
เนื่องจากมีการวิเคราะห์กันในหมู่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ว่า
ขบวนการคอมมิวนิสต์ในสยามขณะนั้น
เป้าหมายสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศอื่น เช่น จีน และ
เวียดนาม เป็นต้น ไม่ได้เน้นที่การเปลี่ยนแปลงภายในของประเทศสยามแต่อย่างใด
<span style="color: #993300;">( โปรดดู สุวดี เจริญพงศ์.
ปฏิกิริยาของรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อการเคลื่อนไหวตาม
แนวความคิดประชาธิปไตยและสังคมนิยมก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕.
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต เสนอต่อแผนกวิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๙. )</span><br /><br />กรณีเวียดนามซึ่งเคลื่อนไหว
เน้นหนักไปในทางชาตินิยม
ยังปรากฏท่าทีว่ารัฐบาลสยามมีความเห็นอกเห็นใจอยู่ด้วย
เพราะต้องตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
ชาติเดียวกับที่เคยคุกคามสยามเมื่อครั้ง ร.ศ. ๑๑๒ มานั่นเอง<br /><br />การ
วิเคราะห์ดังกล่าวมีส่วนถูกเพียงครึ่งเดียว
กล่าวคือนอกจากที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมการเมืองในประเทศอื่น
แล้ว ต่อกรณีสยามคณะคอมมิวนิสต์ก็หาได้ละเลยไม่
ในจำนวนแถลงการณ์ที่แจกจ่ายไปตามที่ต่าง ๆ ทั้งก่อนและหลัง ๒๔๗๕
มีแถลงการณ์ที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์ระบอบเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ
สยามรวมอยู่ด้วย
ทั้งก่อนหน้านั้นยังปรากฎมีการออกเอกสารวิเคราะห์สรุปความคิดเห็นต่าง ๆ
เกี่ยวกับการ "แยกประเภทการปกครองและเศรษฐกิจของสยามกับวิธีการของสมาคม"
เป็นการจำแนกชนชั้นต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสังคมสยามขณะนั้น
รวมทั้งแนวทางการปฏิบัติงานของคณะฯ <span style="color: #993300;">( ดูรายละเอียดเนื้อหาเอกสารนี้ได้ในภาคผนวกของ เบนจามิน เอ. บัทสัน. อวสานของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสยาม. <span style="color: #cc6600;">(กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราฯ, ๒๕๔๓),</span> น. ๔๔๖ - ๔๕๕. ) </span><br /><br />นอกเหนือจากที่มักวิพากษ์วิจารณ์การเมืองทั้งในประเทศอื่นและระหว่างประเทศในทางสากล การจัดรำลึกวันสำคัญคณะฯ เช่น วันที่ ๑ พฤษภาคม <span style="color: #993300;">( May Day )</span> และ วันปฏิวัติรัสเซีย การชักธงแดงรูปค้อนเคียวในที่สำคัญต่าง ๆ เดินขบวนย่อย ๆ ร้องเพลง <span style="color: #3333ff;">International</span> เป็นต้น<br /><br />ข่าว
การเคลื่อนไหวของฝ่ายคอมมิวนิสต์ไม่ได้ทำให้คณะราษฎรนิ่งนอนใจ
มีการส่งสายลับออกไปติดตามดูอยู่เป็นระยะ ๆ ในระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน
ถึงวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็เช่นกัน
จะด้วยเหตุเพราะก่อนหน้านั้นข่าวคราวตามหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับฝ่ายคอมฯ
เป็นไปอย่างครึกโครมหรืออย่างไรไม่เป็นที่แน่ชัด
รัฐบาลจึงส่งตัวแทนออกไปสืบราชการ และ
พร้อมกันนั้นก็ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามไปด้วย
เพื่อสบโอกาสจะได้จับกุมตัวมาดำเนินคดียังกรุงเทพฯ<br /><br />แต่ปรากฏว่าตัว
แทนที่ส่งไปส่วนใหญ่เรียกได้ว่าพบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากสมาชิกคณะคอมมิวนิสต์ไม่ได้อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ แล้ว
ตัวแทนที่อาจกล่าวได้ว่าทำงานได้ผลอยู่บ้างก็คือ พลโท ประยูร ภมรมนตรี
สมาชิกคณะราษฎร <span style="color: #993300;">(เป็นตัวแทนในจำนวนไม่กี่คนที่มีดีกรีเป็นสมาชิกคณะราษฎรด้วย)</span> รายงานที่ได้มาจากประยูร และคณะ <span style="color: #993300;">(ประกอบด้วย พระยาสัจจาภิรมย์, พันตรีหลวงประจักษ์, และ ร้อยตำรวจเอกขุนนาม เป็นต้น</span>) มีประโยชน์อย่างยิ่งแก่ฝ่ายรัฐบาล และ เป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมา <span style="color: #993300;">(ปัจจุบันรายงานนี้จัดเก็บไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ เทเวศร์ ใน หจช. <span style="color: #cc6600;">(๒)</span> สร. ๐๒๐๑.๘๙/๓ )</span><br /><br />เนื่อง
จากประยูรได้นำเอกสารแถลงการณ์ที่คณะคอมฯ แจกจ่ายในระหว่างวันที่ ๓๐
กันยายน ถึง วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๕
แนบกับรายงานดังกล่าวติดตัวกลับมาด้วย
เหตุที่ประยูรได้แถลงการณ์นั้นมาก็เนื่องจากข้าราชการ<span style="color: #993300;"> (ไม่ระบุนามไว้)</span> ในพื้นที่จังหวัดที่ประยูรไปตรวจราชการ <span style="color: #993300;">(แต่ความจริงโดยเจตนาคือ ไปสืบหาคอมฯ และ จับตัวมาดำเนินคดี)</span>
คือที่จังหวัดนครราชสีมา
ได้เก็บเอาไว้และตั้งใจจะจัดส่งไปให้กับคณะราษฎรคนใดคนหนึ่งเพื่อหาความดี
ความชอบอยู่แล้ว ก็ประจวบเหมาะที่ประยูรได้ไปพบพอดี<br /><br />ตามรายงานของประยูรพบว่า ผู้ที่เห็นแถลงการณ์คนแรก ๆ คือ นายสถานี <span style="color: #993300;">(รถไฟ)</span>
นครราชสีมา ในเวลาราวตี ๕ เศษ
รายงานยังระบุถึงความดีความชอบของนายสถานีผู้นี้ว่า
เป็นผู้ที่ทำการเก็บใบปลิว / แถลงการณ์
ไปทิ้งเสียก่อนที่ประชาชนที่ผ่านสัญจรไปมาในสถานีจะพบเข้าในเวลารุ่งสาง
แม้จะไม่ระบุนามก็จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่านายสถานีผู้นี้นั่นเองที่เป็นผู้
เก็บใบปลิว / แถลงการณ์ ดังกล่าวไว้ให้ประยูรได้กลับมา<br /><br />อย่างที่
กล่าวแล้วว่าเอกสารใบปลิวดังกล่าวมีอยู่ด้วยกัน ๓ ภาษา แต่ละแบบ / ภาษา
มีความยาว ๑ หน้ากระดาษพิมพ์ ซึ่งประยูรได้ครบทั้ง ๓
ฉบับภาษาอังกฤษได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติ และ มุราชิมา
<span style="color: #993300;">(ในเล่มที่อ้างข้างต้น)</span>
ก็ได้ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงในงานของเขา
ซึ่งเป็นการแปลมาเพียงบางส่วนพร้อมกับตีความสรุปตามแนวการศึกษาของเขา
ส่วนในภาคภาษาไทยนั้นเอกสารมีเนื้อความทั้งหมดดังนี้<br /><br /><br /><span style="color: #cc0000; font-size: 130%;">ชาวนา กรรมกร ทหาร และ </span><br /><span style="color: #cc0000; font-size: 130%;">คนทุกข์ยากของประเทศสยาม<span style="color: #000099; font-size: 180%;">!</span>.</span><br /><br /><span style="color: #cc6600;">รัฐบาล
ของประชาธิปก ซึ่งเต็มไปด้วยความชั่วร้ายต่าง ๆ เช่น กดขี่ข่มเหง
ปิดหูปิดตา และสูบเลือดของราษฎร ก็ได้ถูกโค่นลงแล้ว
แต่รัฐบาลใหม่ซึ่งมีกษัตริย์อยู่ใต้กฎหมายนี้จะทำประโยชน์อะไรแก่ชาวไทยเรา
บ้าง ขอให้พิจารณาต่อไป</span><br /><span style="color: #cc6600;"></span><br /><span style="color: #cc6600;"><span style="color: #000066; font-size: 130%;">ก.</span>
คณะราษฎรซึ่งถือบังเหียนการปกครองแผ่นดินในเวลานี้
ล้วนเป็นข้าราชการของรัฐบาลเก่า ซึ่งได้รับความข่มเหงจากพวกเจ้า
ทำให้หนทางทำมาหากินไม่ได้สดวกเหมือนแต่ก่อนจึงเอาชื่อราษฎร
ใช้กำลังทหารเพื่อแย่งอำนาจจากพวกเจ้ามาหาประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น
หาใช่หวังดีอะไรต่อพวกเราไม่ ในจำนวนผู้แทนคณะราษฎร ๗๐
คนนั้นส่วนมากเป็นขุนหลวง พระ พระยาทั้งนั้น จะหาคนยากจนสักคนเดียวก็ไม่ได้
</span><br /><span style="color: #cc6600;"></span><br /><span style="color: #cc6600;"><span style="color: #000066; font-size: 130%;">ข.</span>
เมื่อก่อนชาวไทยเราได้ถูกประชาธิปกข่มเหงแต่คนเดียว
มาบัดนี้มีคนเป็นจำนวนมากมาขี่คอพวกเราด้วย เช่น พระยาพหลฯ
และหลวงประดิษฐ์ฯ และพรรคพวก เป็นต้น พวกนี้ได้ตั้งเป็นคณะราษฎรขึ้น
ชั้นผู้ที่เป็นสมาชิกต้องสละชีวิตเลือดเนื้อเพื่อคณะในการที่สืบข่าวจาก
ราษฎรและปกครองราษฎรอย่างเด็ดขาด </span><br /><span style="color: #cc6600;"></span><br /><span style="color: #cc6600;"><span style="color: #000066; font-size: 130%;">ฆ.</span>
คณะราษฎรปลอมได้ประกาศว่า จะทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง
จะบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ
และทำให้ราษฎรมีงานทำทุกคนให้ราษฎรมีความเสมอภาค และมีเสรีภาพ เป็นต้น
แต่ขอให้พวกเราดูประเทศที่มีการปกครองอย่างราชาธิปตัย เช่น ญี่ปุ่น และ
อังกฤษ กับประเทศที่มีการปกครองอย่างประชาธิปตัย เช่น ฝรั่งเศส และ
สหปาลีรัฐอเมริกา เป็นต้น
ประเทศเหล่านี้มีความเจริญรุ่งเรืองกว่าสยามเราหลายเท่า
แต่พลเมืองที่ไม่มีงานทำนับเป็นจำนวนหลายล้านคน บางคนถึงกับไม่ได้กินอิ่ม
ไม่มีเสื้อใส่พอ ไม่มีที่พักอาศัย ถึงฤดูหนาวในเวลากลางคืนไม่มีไฟผิง
ต้องเดินไปเดินมาตามถนนตลอดคืนยันรุ่ง
เพื่อให้ร่างกายมีความอบอุ่นดังนี้เป็นต้น ดังนั้นราษฎรของประเทศต่าง ๆ
จึงต่อสู้กับรัฐบาลมิได้หยุด
เพื่อจะแย่งอำนาจการปกครองของประเทศไว้ในกำมือของราษฎรโดยแท้</span><br /><span style="color: #cc6600;"></span><br /><span style="color: #cc6600;"><span style="color: #000066; font-size: 130%;">ค.</span>
คณะราษฎรปลอมทำคุณอันเล็กน้อยเพื่อซื้อเอาน้ำใจของพวกเรา
กล่าวคือยกเลิกอากรนาเกลือ และ ภาษีสมพัตสร
ซึ่งเป็นจำนวนเงินไม่มากเพื่อแสดงว่าคณะเขารักพวกเรามากกว่ารัฐบาล
แต่เงินรัชชูปการซึ่งเก็บปีหนึ่งเป็นจำนวนตั้ง ๑๐ ล้าน ก็หาได้ยกเลิกไม่
พวกเราฆ่าหมูตัวหนึ่งต้องเสียเงิน ๕ บาท ตัดต้นไม้ต้นหนึ่งต้องเสียเงิน ๓
บาท และ ภาษีอากรอื่น ๆ
ซึ่งล้วนเป็นเงินที่พวกเราหาได้มาแทบเลือดตากระเด็นนั้นยังเก็บอยู่เรื่อยไป
เงินนี้ใช้บำรุงข้าราชการซึ่งมีเงินเดือนนับตั้งหลายร้อยบาท ส่วนชาวนา
กรรมกร ทหาร และคนทุกข์ยากอื่น ๆ
จะได้รับผลประโยชน์ในการออกน้ำพักน้ำแรงทำงาน
วันยันค่ำก็พอเลี้ยงชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น</span><br /><br /><span style="color: #cc6600;"><span style="color: #000066; font-size: 130%;">ง.</span>
ชาวไทยเรามิใช่แต่ได้ถูกพวกเจ้ากับคณะราษฎรปลอมกดขี่ข่มเหงเท่านั้น
ชาวต่างประเทศก็มาสูบเอาเลือดของเราไปด้วย ตัวอย่างเช่น
ประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส
ซึ่งได้แย่งเอาดินแดนของเราไปและได้มีสิทธิพิเศษในการป่าไม้ การขุดบ่อแร่
และการค้าขาย เป็นต้น</span><br /><span style="color: #cc6600;"></span><br /><span style="color: #cc6600;">พี่
น้องเอ๋ย ถ้าเราไม่ช่วยตัวของเราเอง แล้วใครจะมาช่วยพวกเราได้
เราจะหวังพึ่งพวกคณะราษฎรซึ่งเป็นผู้มียศศักดิ์ อำนาจ
และมีความมั่งคั่งสมบูรณ์นั้นไม่ได้ เพราะเขาไม่ทำให้เรายากจนลง
เขาจะได้ความมั่งคั่งผาสุกนั้นมาแต่ไหน </span><br /><span style="color: #cc6600;"></span><br /><span style="color: #cc6600;">เวลา
นี้ในโลกนี้มีแต่ชาวรัสเซียเท่านั้นที่มีความสุข และ มีความเสรีภาพโดยแท้
เพราะเขาได้กำจัดพวกเจ้ากับคณะราษฎรปลอมเสียจนสิ้น และ
ได้ยึดอำนาจการปกครองในประเทศไว้ในกำมือของเขาเอง</span><br /><span style="color: #cc6600;"></span><br /><span style="color: #cc6600;">ให้
พวกเราสามัคคีกันเข้า รวมกำลังกันเพื่อจะกำจัดพวกเจ้าคณะราษฎรปลอม และ
พวกเศรษฐี และชาวต่างประเทศที่สูบเลือดเราเสียให้สิ้น
ตั้งรัฐบาลโซเวียดสยามขึ้นรวมทรัพย์และอำนาจไว้ในมือของพวกเรา คือ ชาวนา
กรรมกร ทหาร และคนทุกข์ยากทั่วไป
เราและลูกหลานเหลนของเราจึงจะมีความสุขทั่วหน้ากันตลอดไปเป็นนิจ.</span><br /><br /><span style="color: #990000; font-size: 130%;">คณะ คอมมูนิสต์สยาม</span><br /><span style="color: #990000; font-size: 130%;">คณะ </span><span style="color: #990000; font-size: 130%;">คอมมูนิสต์หนุ่มสยาม</span><br /><span style="color: #000099;">วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๕.</span><br /><br />จาก
เนื้อหาเอกสารจะเห็นได้ว่า "คณะคอมมูนิสต์"
มีจุดยืนวิพากษ์ทั้งฝ่ายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และ คณะราษฎร
ภายในคณะราษฎร คณะคอมฯ ก็วิพากษ์ทั้งพระยาพหลพลพยุหเสนา<span style="color: #993300;"> ( พจน์ พหลโยธิน ) </span>และ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม <span style="color: #993300;">( ปรีดี พนมยงค์ )</span>
เบื้องต้นจุดยืนดังกล่าวกรณีพระปกเกล้าฯ
กับคณะราษฎรไม่ได้เป็นการวิพากษ์ทั้งสองฝ่ายพร้อมกัน
มีความละเอียดอ่อนมากกว่านั้น เพราะเป็นการวิพากษ์เชิงซ้อน กล่าวคือ
เป็นการวิพากษ์บนฐานคิดที่ยึดติดกับ "เวลา" เป็นสำคัญ<br /><br />เนื่องจากขณะนั้นตามความเข้าใจของคณะคอมฯ คณะราษฎร คือ ผู้กุมอำนาจเพียงฝ่ายเดียว ส่วนฝ่ายพระปกเกล้าฯ หรือ "ประชาธิปก" <span style="color: #993300;">(ตามคำในเอกสาร)</span> "ได้ถูกโค่นลงแล้ว" การวิพากษ์จึงมุ่งเน้นไปที่คณะราษฎรเป็นสำคัญ ขณะเดียวกันด้วยจุดยืนวิพากษ์ที่แสดงก่อนหน้านั้น <span style="color: #993300;">(ครั้งก่อน ปี พ.ศ. ๒๔๗๕)</span>
คณะคอมฯ ก็มีบทบาทในการต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ประเด็นจุดยืนต่อสถาบันจึงไม่เป็นปัญหาที่มีนัยสำคัญอะไรสำหรับคณะคอมฯ
ขณะที่ต่อ "การปฏิวัติประชาธิปไตยในสยาม" คณะฯ
ก็ไม่ได้มีความมุ่งหวังด้วยสักเท่าไร
แม้ว่าความขัดแย้งอันแหลมคมระหว่างชนชั้นปกครองเดิมตามระบบศักดินากับกลุ่ม
กระฎุมพียุคใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว<br /><br />พวกเขาปฏิเสธแนวทางประชาธิปไตยเสรีนิยม การจัดตั้งรัฐสภา และ การปกครองระบอบกษัตริย์ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีความเห็นว่า <span style="color: #000099;">"…ทาง
ที่จะหนีให้พ้นทุกข์ก็มีแต่ต้องกำจัดพวกจักรพรรดิ์กับพวกที่เป็นเครื่องมือ
ของเขาเสีย
และต้องคัดค้านการตั้งรัฐสภากับกฎธรรมนูญซึ่งเป็นการหลอกลวงมหาชนนั้นด้วย…"</span> <span style="color: #993300;">(จากเอกสารร่างแยกประเภทการปกครองและเศรษฐกิจของสยามฯ, อ้างแล้ว.)</span> ไม่มีปัญหาว่าแนวคิดดังกล่าวจะไม่ถูกต้านทานจากหลายฝ่ายแม้แต่กับกลุ่มก้าวหน้าต่าง ๆ เวลานั้น…<br /><br />แต่
กรณีที่นับเป็นปัญหาตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา
ก็กลับเป็นปัญหาที่เกิดจากทัศนะ / จุดยืนต่อคณะราษฎร และ ๒๔๗๕
ซึ่งก็สืบเนื่องจากจุดยืนต่อ "การปฏิวัติประชาธิปไตยฯ"
การวิพากษ์ทั้งพระยาพหลฯ และ ปรีดี
ซึ่งต่างเป็นตัวแทนสำคัญของฝ่ายทหารและพลเรือนในคณะราษฎร
เบื้องต้นนั่นสะท้อนให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า คณะคอมมิวนิสต์กับนายปรีดี
ไม่ได้มีสายสัมพันธ์อันดีต่อกันแต่อย่างใด
แม้ว่าภายหลังฝ่ายพระยามโนปกรณ์ฯ
จะใช้เป็นเหตุผลกล่าวอ้างว่าปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์ก็ตาม
ดูเหมือนเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องกันน้อยกว่าที่คิด
และอาจกล่าวได้ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยก็ได้<br /><br />หลายปีจากนั้น ปรีดีก็พูดถึงเรื่องนี้อย่างไม่สู้จะยินดีเท่าไรนัก<span style="color: #993300;"> (สำหรับการข้องเกี่ยวกับคณะคอมมิวนิสต์โดยที่ตนไม่ล่วงรู้ และไม่เต็มใจ)</span> ตรงข้ามต่อคณะคอมฯ ปรีดีก็วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเช่นกัน <span style="color: #993300;">(ดู
คำให้สัมภาษณ์ของปรีดีตามที่ปรากฎถึงเรื่องนี้ในหนังสือ
ประสบการณ์และความเห็นบางประการของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์.
สัมภาษณ์โดย ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และคณะ. <span style="color: #cc6600;">(กรุงเทพฯ : โครงการปรีดี พนมยงค์กับสังคมไทย, 2526)</span>. ) </span><br /><br />ใน
ทางกลับกันนั่นก็สะท้อนว่า คณะคอมฯ
ไม่ได้มีส่วนร่วมแต่อย่างใดในเหตุการณ์วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ และ
ดูเหมือนเป็นหนึ่งในกลุ่มคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่พยายามจะมีอำนาจโดยไม่อ้าง
ความชอบธรรมจากการเป็น "ผู้กระทำ" <span style="color: #993300;">(Acter)</span>
จาก ๒๔๗๕
รัฐธรรมนูญจะเกิดจากการพระราชทานหรือโดยยึดอำนาจกดดันจากเบื้องล่างจึงไม่
เป็นปัญหาเป็น - ตาย สำหรับคณะคอมฯ
ทั้งน้ำเสียงวิจารณ์ก็สะท้อนอยู่ในตัวว่าถึงที่สุดแล้วคณะคอมฯ
ก็ไม่ได้คาดหวังอันใดต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากวันนั้น<span style="color: #993300;"> (๒๔ มิถุนาฯ) </span><br /><br />การกดขี่หาได้หมดสิ้นไป ภารกิจสำคัญของคณะฯ ยังคงต้องดำเนินต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง ตรงข้ามอย่างสุดขั้วทีเดียวในประเด็นสะท้อนที่ว่า <span style="color: #000099;">"เมื่อก่อนชาวไทยเราได้ถูกประชาธิปกข่มเหงแต่คนเดียว มาบัดนี้มีคนเป็นจำนวนมากมาขี่คอพวกเราด้วย"</span>
ภายหลังตรรกะนี้พระปกเกล้าฯ ก็ทรงใช้วิจารณ์คณะราษฎรเช่นกัน
ดังที่ปรากฏในพระราชหัตถเลขาสละราชย์ของพระองค์ แต่นั่นก็เป็นคนละบริบทกัน <span style="color: red; font-size: 130%;">!!! </span><br /><br />ต่อ
กรณีปรีดีนั้นก็น่าพิจารณาเป็นอีกประเด็น
เพราะสะท้อนแง่มุมความคิดและความเข้าใจของคณะคอมฯ ที่มีต่อคณะราษฎร
แม้ว่าขณะที่คณะคอมฯ มีความเคลื่อนไหวดังกล่าว
ยังไม่มีการเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจ
อันเป็นหลักฐานหนึ่งที่สะท้อนอิทธิพลความคิดสังคมนิยมในการเมืองไทยยุคใหม่
แต่ในแถลงการณ์คณะราษฎรฉบับที่ 1
ก็มีเนื้อหาระบุถึงแนวทางของคณะราษฎรเอาไว้ก่อนแล้วว่า
"จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก"
ทั้งยังทิ้งท้ายด้วยการให้ความหวังแก่ราษฎรอย่างมีนัยสำคัญ เช่นว่า
"ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐที่เรียกกันเป็นศัพท์ว่า "ศรีอาริย์"
นั้นก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า"<br /><br />ไม่มีหลักฐานที่ยืนยันได้
แน่ชัดนักว่าคณะคอมฯ
จะได้รู้เห็นหรือติดตามการทำงานของคณะราษฎรมากน้อยเพียงใด
ลักษณะที่มีความเป็นจีนอย่างสูง <span style="color: #993300;">(Lukjin Communist)</span>
บวกกับที่ศัพท์ "ศรีอาริย์" ขณะนั้นยังไม่มีการอธิบายเทียบเคียงกับ
Socialism เท่าที่ควร ตรงข้ามสังคมนิยมแบบไทยที่แพร่หลายก็กลับเป็น
"อุตตรกุรุ" ตามแนวคำอธิบายที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์ ร. ๖
ด้วยเหตุง่ายดายเพียงเท่านี้
จึงมีความเป็นไปได้ว่าคณะจีนคอมมิวนิสต์ในสยามไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจอัน
ใดต่อศัพท์ "ศรีอาริย์" และด้วยเหตุอันเดียวกันนี้ แนวร่วมระหว่างคณะคอมฯ
กับปีกก้าวหน้าในคณะราษฎรจึงเกิดขึ้นไม่ได้ และ
กระทั่งมีท่าทีที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรต่อกันเท่าใดนัก<br /><br />กรณีปรีดีอาจ
พิจารณาได้อีกแง่หนึ่ง ตรงที่ภายหลังเขาเองถูกคุกคามจากฝ่ายพระยามโนปกรณ์ฯ
จนต้องผ่อนปรนข้อเสนอของตน และ
การปกป้องตัวเองก็แสดงออกโดยง่ายว่าตนไม่ได้มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
นั่นยิ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างปรีดีกับคณะคอมฯ ดูห่างไกลกันมากขึ้น
กระทั่งไม่อาจติดต่อประสานการทำงานร่วมกันได้เลย กรณีนายสงวน ตุลารักษ์
สมาชิกคณะราษฎรผู้ซึ่งแสดงท่าทีว่านิยมแนวคิดสังคมนิยม - มาร์กซิสต์
ด้วยมีผลงานแปลที่สำคัญและไม่มีชนักปักหลังเช่น ปรีดี
แต่ปรากฏว่าต่อคณะคอมฯ สงวนกลับมีท่าทีที่ดู "แย่" กว่าปรีดีเสียอีก<br /><br />ใน
คราวที่สงวนได้รับหน้าที่ติดตามดูการเคลื่อนไหวของคณะคอมฯ เมื่อวันที่ ๑๐
ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ รวม ๖ แห่ง ได้แก่ บริเวณเชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า
ย่านบางลำภู กลาโหม ทุ่งพระสุเมรุ และพระบรมรูป <span style="color: #993300;">(ลานหน้าพระที่นั่งอนันตฯ)</span> ในจดหมายลายมือลงชื่อ สงวน ตุลารักษ์ <span style="color: #993300;">(เข้าใจว่าน่าจะเป็นรายงานการสืบราชการลับ)</span> สงวนกลับรายงานต่อรัฐบาลว่าหัวหน้าคณะฯ ดังกล่าวได้รับค่าจ้างจากหม่อมเจ้านิทัศน์ <span style="color: #993300;">(บู้)</span> เป็นจำนวนเงิน ๕๐๐ บาท ให้ยิงพระยาพหลฯ ผู้นำคณะราษฎร โดยให้สังเกตว่าคนที่จะยิงนั้น "ไว้จอนหูยาว" <span style="color: #993300;">(หจช. (๒) สร. ๐๒๐๑.๘๙/๓).</span>
กอปรกับขณะนั้นเป็นที่น่าเชื่อได้ว่าคณะราษฎรจะมองการเคลื่อนไหวของคณะคอมฯ
ว่าได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเจ้านายเดิมที่สูญเสียประโยชน์จากที่มีการ
เปลี่ยนแปลงการปกครอง<br /><br />ฝ่ายพระยาพหลฯ เองก็มีจดหมายอีกฉบับส่งตรงมาถึงเขา แจ้งความว่ามีผู้คิดการร้ายต่อเขากับคณะ<span style="color: #993300;">(ราษฎร)</span> โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง <span style="color: red;">"คณะเจ้า"</span><span style="color: #993300;">(ตามคำในเอกสาร)</span>
ข้าราชการที่ถูกดุลในคราวที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่
และชาวจีนกลุ่มหนึ่ง อาศัยอยู่คลองดำเนินสดวก จดหมายระบุชัดว่า
ชาวจีนกลุ่มดังกล่าว <span style="color: #000099;">"เป็นขี้ข้าตัวโปรดของกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ"</span> <span style="color: #993300;">(หจช. <span style="color: #cc6600;">(๒)</span> สร. ๐๒๐๑.๘๙/๓ <span style="color: #cc6600;">(๘)</span> - <span style="color: #cc6600;">(๙)</span>.)</span> แม้ว่าจดหมายทั้งสองฉบับจะมีข้อความที่เป็นเท็จ เพราะไม่ปรากฏมีการลอบทำร้ายพระยาพหลฯ ดังที่แจ้งมา<br /><br />กรณี
รายงานของสงวน
มีหลักฐานยืนยันว่ามีการทิ้งใบปลิวที่มีเนื้อหาวิจารณ์คณะราษฎรและการ
เปลี่ยนแปลงการปกครองโดยลงนาม "คณะคอมมูนิสต์" จริง
แต่ก็ไม่ปรากฏมีการลอบยิงพระยาพหลฯ แต่อย่างใด
ผู้ที่รู้วิธีการของขบวนการคอมมิวนิสต์ย่อมทราบกันโดยทั่วไปว่า
นั่นไม่ใช่แนวทางของคอมมิวนิสต์
กระนั้นก็ตามต่อข้อมูลที่ผิดพลาดนี้อาจไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของสงวน
หากแต่เป็น "สาย" ของคณะราษฎรเองที่ให้ข้อมูลมาผิด <span style="color: #993300;">(หลัง
เปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎรได้จัดตั้งสายลับขึ้นเป็นจำนวนมาก
ให้คอยติดตามดูความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนต่าง ๆ ตั้งแต่กลุ่มเชื้อพระวงศ์
ข้าราชการ <span style="color: #cc6600;">(ทั้งทหารและพลเรือน)</span> เศรษฐีในเมือง <span style="color: #cc6600;">(ยังไม่ถูกเรียกว่า "นายทุน")</span>
และกลุ่มขบวนการเคลื่อนไหว เช่น กลุ่มกรรมกร ชาวจีน และคอมมิวนิสต์
ต่อมาหน่วยงานนี้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างเป็นระบบ
โดยรวมสังกัดอยู่ในหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง เป็นต้น) </span><br /><br />และ มีความเป็นไปได้มากว่ารายงานของสงวนจะเป็น <span style="color: #3333ff;">Secondary Sources</span> ที่อาศัยข้อมูลจาก <span style="color: #3333ff;">Primary Sources</span>
อย่างรายงานของสายสืบที่ทำงานเกาะติดคณะคอมฯ
อยู่ก่อนที่จะได้ให้ข้อมูลต่อตัวแทนคณะราษฎร ซึ่งในที่นี้ก็คือ สงวน
บางครั้งถ้าเป็นรายงานลับที่ไม่มีการเปิดเผยหรือผ่านการ
กลั่นกรองเท่าที่ควรก็จึงเป็นเรื่องง่ายที่อาจมีการรายงานผิดพลาดทางข้อมูล
กันได้ ส่วนชีวิตคนที่อาจถูกคุกคามจากผลลัพธ์ของข้อมูลในรายงานเหล่านี้
สำหรับสายที่ไม่ได้ผ่านการอบรมมาดีพอ
ก็อาจเห็นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญน้อยกว่าจำนวนเงินค่าจ้างที่จะได้รับจาก
การปฏิบัติงานก็ได้<br /><br />กรณีหลังก็เป็นธรรมดา อันที่จริงพระยาพหลฯ และ
คณะราษฎร
มักจะได้รับจดหมายลักษณะนี้ทั้งจากผู้หวังดีทั้งข้าราชการและประชาชนอยู่
เป็นประจำ บางฉบับที่มีความสำคัญ <span style="color: #993300;">(ในความเห็นของคณะฯ และ ผู้ได้รับ)</span> พระยาพหลฯ ก็ตอบกลับไป แต่ในกรณีนี้ไม่ปรากฏมีการตอบขอบคุณจากพระยาพหลฯ แต่นั่นก็ไม่เป็นหลักฐานยืนยันว่าพระยาพหลฯ <span style="color: #993300;">(รวมทั้งคณะราษฎร)</span>
จะไม่เชื่อ
แม้จะดูเป็นจดหมายที่มีเนื้อหาแสดงความอ่อนน้อมต่อผู้นำใหม่ก็ตาม
ไม่ว่าจะเชื่อตามข้อความในจดหมายดังกล่าวหรือไม่ มากน้อยเพียงใด
ในทางปฏิบัติคณะราษฎรก็แสดงท่าทีคุกคามต่อคณะคอมฯ และกลุ่มอื่น ๆ
ที่สงสัยว่าต่อต้านการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งไม่ได้มีแต่เฉพาะกลุ่ม <span style="color: red; font-size: 130%;">"เจ้า"</span> เท่านั้น<br /><br />อย่าง
ไรก็ตามท่าทีดังกล่าวมีผลทำให้การโจมตีคณะราษฎรของฝ่ายคอมมิวนิสต์ดูสมเหตุ
สมผล ไม่เพียงแต่กับคอมมิวนิสต์เท่านั้น การนัดหยุดงานของกรรมกร
การประท้วงของนักเรียนอัสสัมชัน การเคลื่อนไหวของกองทหารบางซื่อ
หนังสือพิมพ์กรุงเทพเดลิเมล์ และหลักเมือง เป็นต้น
คณะราษฎรก็จัดการแก้ไขได้ไม่ดีเท่าที่ควร
ภาษีรัชชูปการอันเป็นมรดกอย่างหนึ่งของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังไม่ถูกยก
เลิก ฯลฯ<br /><br />ต่ออิทธิพลของ<span style="color: #000099;"> "พวกอิมเปอเรียลิสต์"</span>
ในทัศนะของคณะคอมมิวนิสต์ หลวงประดิษฐ์ฯ หรือ ปรีดี พนมยงค์
นั้นไซร้ก็กลับทำคุณเพียงเล็กน้อย
การแก้ไขสนธิสัญญาที่รัฐบาลเก่าเคยทำไว้ถูกมองว่าเป็นการช่วยรักษาผล
ประโยชน์ทั้งของ "พวกอิมเปอเรียลิสต์" และ
ยังเป็นการช่วยฟื้นฟูเกียรติประวัติของชนชั้นปกครองของไทยสมัยสมบูรณาฯ
อีกด้วย<br /><br />ฉากแรกของการท้าทายต่อระบอบกษัตริย์ใต้กฎหมาย,
นักศึกษาประวัติศาสตร์บางท่านอาจมองว่าจุดเริ่มสำคัญนั้นอยู่ที่การฟ้องพระ
ปกเกล้าฯ ต่อสภาผู้แทนราษฎรโดยนายถวัติ ฤทธิเดช
เพราะกรณีดังกล่าวเป็นเหมือนก้าวแรกที่จะพิสูจน์ว่ากษัตริย์ใต้กฎหมายนั้น
จักเป็นจริงเพียงใด
แต่อันที่จริงกลุ่มคนที่มีบทบาทในการต่อสู้คัดค้านระบอบดังกล่าวโดยตรงนั้น
ไม่ใช่ใครอื่น หากอ่านดูใบปลิวต่าง ๆ ที่คณะคอมฯ แจกจ่ายไปตามที่ต่าง ๆ
ครั้งนั้นก็จะพบประเด็นดังกล่าว แต่อาจเป็นเรื่องยุ่งยากมากกว่าที่คิด
เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องข้อมูลหลักฐานอยู่ ณ เวลานี้<br /><br />จากเนื้อหาข้อความที่ปรากฏในใบปลิว <span style="color: #3333ff;">"ชาวนา กรรมกร ทหาร และคนทุกข์ยากฯ"</span>
สะท้อนความคิดเห็นที่เป็นข้อสรุปสำคัญในหมู่พวกเขาว่า
รัฐบาลใหม่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมีความต่อเนื่องบางอย่างร่วมกับรัฐบาล
เก่า
ท้ายสุดก็ไม่ได้สร้างหลักประกันแก่ความมีสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกัน
อย่างแท้จริง มองจากจุดยืนของคนชั้นล่าง เช่น ชาวนา กรรมกร และคนทุกข์ยาก <span style="color: #993300;">(ขณะนั้นยังไม่มีศัพท์บัญญัติ เช่น "กรรมาชีพ")</span>
แง่นี้รัฐบาลใหม่จึงอาจไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากรัฐบาลเก่า
อีกทั้งยังเห็นว่าคณะราษฎรไม่ได้เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของ "ราษฎร"
อย่างแท้จริง หากเป็นแต่เพียง "คณะราษฎรปลอม" เท่านั้น<br /><br />ขณะเดียวกัน
แม้ว่ามีความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองเดิมของระบบศักดินากับนายทุนนายหน้า
และ ขุนศึก แต่ไม่ปรากฏข้อเสนอเรื่องการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย
ตรงข้ามนั่นเป็นแนวทางที่เคยถูกปฏิเสธมาก่อนแล้ว ดังที่สะท้อนข้างต้น
การที่ชาวนาเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคมก็ดูจะไม่ขัดแย้งกับรากฐานของแนวคิดเดิม
เนื่องจากเห็นว่าท้ายสุด
ชาวนาก็จะล้มละลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นคนงานผู้ไร้ปัจจัยการผลิต
คณะคอมฯ จึงมีจุดยืนเน้นกลุ่มคนที่เรียกกันภายหลังคือ "ชนชั้นกรรมาชีพ"<br /><br />ข้อเสนอเรื่องการจัดตั้ง "โซเวียดสยาม" นี้ ที่จริงต้องนับว่าเป็นข้อเสนออันเก่าแก่ตามแบบฉบับของ <span style="color: #3333ff;">Classical Marxist</span> เพราะยังไม่ปรากฏอิทธิพลจากความคิดสายสตาลิน - เหมา ความจริงแม้คณะคอมมิวนิสต์ในสยามจะมีความสัมพันธ์กับหน่วยงานสากลที่ ๓<span style="color: #993300;"> ( Comminturn III )</span> แต่ก็นับว่ายังห่างไกลจากความขัดแย้ง ระหว่างแนวทางปฏิวัติตลอดกาลของทรอตสกี กับ แนวทางสังคมนิยมประเทศเดียวของสตาลิน<br /><br />ลัทธิ
เหมายิ่งยังไม่เป็นปัญหา อย่างที่ทราบคือขณะนั้นเหมาเจอตุง
กับแนวทางชนบทล้อมเมืองของเขา
กว่าจะเป็นกระแสหลักภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานนัก
"โซเวียดสยาม"
ที่จริงจะเป็นข้อเสนอของขบวนการฝ่ายซ้ายภายใต้อิทธิพลของสากลที่ ๓
ไม่ได้เท่าไร
เพราะดังที่ทราบกันคือภายหลังจากที่สตาลินกับพวกขึ้นสู่อำนาจก็มีการทำลาย
สภาคนงาน<span style="color: #993300;"> (หรือที่เรียกเป็นภาษารัสเซียว่า "Soviet" <span style="color: #cc6600;">(โซเวียต)</span>)</span> ลง โดยหันมาเชิดชูพรรคให้เป็นอำนาจรัฐรวมศูนย์เพียงขั้วเดียว<br /><br />การ
ให้ความสำคัญกับ "ทหาร"
ในฐานะบทบาทหนึ่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงก็เป็นมรดกอันหนึ่งที่ได้จากการ
ปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 เพราะทหารเปลี่ยนข้าง การปฏิวัติจึงสัมฤทธิ์ผล
ในสยามเองก่อนหน้านั้น คณะ ร.ศ.๑๓๐ ก็เป็นกรณีหนึ่ง และ
ในระยะเวลาใกล้เคียงกันนั้นเอง การสไตรค์ของกองทหารบางซื่อ
ดูเหมือนจะให้ความหวังใหม่แก่คณะคอมฯ
การณ์นี้ทหารถูกผนวกรวมเป็นมวลชนพื้นฐานของคณะฯ ด้วย แต่นั่นไม่ง่ายดังหวัง
เพราะการณ์ปรากฏออกมาคือ ทหารกลับกลายเป็นกำลังสำคัญให้กับฝ่ายคณะราษฎร<br /><br />การ
ใช้ "ชาวไทยเรา" สำหรับเรียกผู้รับสารในใบปลิว
สะท้อนให้เห็นพัฒนาการสำคัญของขบวนการและปัญหาบางประการอันเกิดขึ้นควบคู่
กับแนวคิดที่ยังยึดถือ กล่าวคือ แม้ว่าหลังจากปี พ.ศ. ๒๔๗๓ คณะคอมฯ
จะได้สมาชิกที่เป็นคนไทยรวมอยู่ด้วย แต่โดยสัดส่วนแล้วจำนวนคนไทยในคณะฯ
ก็ยังน้อยนักเมื่อเทียบกับจำนวนชาวจีนและญวน และ
แม้จะมีข่ายการปฏิบัติงานที่กว้างขวาง เช่น นอกจากแกนนำในกรุงเทพฯ แล้ว
ยังมีคณะกรรมการประจำภาคอีสาน, เหนือ, ใต้ และ ในพระนครเอง
ก็มีคณะกรรมการประจำเทศบาลพระนคร<br /><br />นอกนั้นก็เป็นคณะกรรมการประจำจังหวัด รวมทั้งมีกองอำนวยการฉุกเฉินที่เรียกว่า "กองบรรเทาทุกข์คนใหญ่"<span style="color: #993300;"> ( คน สะกด คะ - นะ )</span>
สำหรับให้ความช่วยเหลือกรรมกรที่นัดหยุดงาน
ภายใต้กรรมการใหญ่ในสยามยังประกอบด้วย คณะสาขา กองย่อย และ กิ่งสาขา
แต่ละหน่วยมีกรรมการดำเนินงานและติดต่อประสานกับคณะกรรมการใหญ่ และ
แต่ละหน่วยงานนั้น ๆ ปรกติจะมีสมาชิกตั้งแต่ ๘ คนขึ้นไป
มีกรรมการประจำกิ่งสาขาประกอบด้วยฝ่ายต่าง ๆ
ปรับเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขและความเหมาะสม<br /><br />แม้จะถูกพิจารณาบ่อยครั้ง
ว่าเป็นเพียงส่วนย่อยหนึ่งของข่ายการปฏิบัติงานของคณะจีน
แต่ความจริงปรากฏว่า "สหาย"
จากจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาปฏิบัติงานในสยามยังต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกใหม่ของ
คณะทำงานในสยาม
ขณะเดียวกันหากสมาชิกคณะคอมฯสยามเดินทางกลับเข้าสู่เขตอิทธิพลของ
คอมมิวนิสต์จีน
ก็ยังต้องสมัครขึ้นทะเบียนต่อสำนักอำนาจรัฐของคณะคอมมิวนิสต์ที่นั่น
ปลายสมัยสมบูรณาฯ
จึงปรากฎว่าคณะคอมมิวนิสต์ในสยามมีสถานภาพเป็นอีกคณะหนึ่งแยกออกจากคณะ
คอมมิวนิสต์ในจีน มีอิสระ และ ดำเนินแนวทางที่เป็นของตนเองอยู่พอสมควร<br /><br />กระนั้น
ก็ตามการอ้างถึง "ชาวไทยเรา"
ก็ไม่น่าเกิดขึ้นขณะเดียวกับที่วิจารณ์คณะราษฎรอย่างรุนแรงว่า เป็น
"คณะราษฎรปลอม" เพราะการอ้างดังกล่าว <span style="color: #993300;">(ชาวไทยเรา)</span>
มีนัยไม่ผิดแปลกไปจากการอ้างเป็นตัวแทนรูปแบบอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การอ้างที่ครอบคลุมผู้คนทั่วประเทศ
การมีข่ายการปฏิบัติงานที่ครอบคลุมอาณาเขตอำนาจของรัฐอย่างกว้างขวางไม่เป็น
เหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอสำหรับการอ้างเป็นตัวแทน พูดแทน และ กระทำการต่าง ๆ
ในฐานะตัวแทน <span style="color: red; font-size: 130%;">!!!</span><br /><br />การ
สะท้อนว่า "ความสุข... และเสรีภาพโดยแท้"
เกิดขึ้นที่รัสเซียหลังการปฏิวัติก็มีผลทำให้คณะคอมมิวนิสต์สยามกระทำความ
ผิดพลาดอีกคราว
นั่นแสดงว่าพวกเขาไม่ล่วงรู้เกี่ยวกับสภาพสังคมการเมืองของรัสเซียหลังการ
ปฏิวัติมากนัก หรือไม่ก็อาจมีคำอธิบายแก้ต่างกันอีกชุดหนึ่ง<span style="color: #993300;"> (เช่น การโทษว่าเป็นเพราะ Stalinism เป็นต้น)</span>
การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนั้นมีข้อจำกัดและไม่อาจเป็นหลักประกันอันใดได้
เลย สำหรับระบอบสังคมอย่างใหม่หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็นั่นแหล่ะ<span style="color: red; font-size: 130%;"> !!</span>
มาร์กซิสต์เชื่อมั่นต่อความขัดแย้งค่อนข้างสูง
โดยเฉพาะความขัดแย้งหลักระหว่าง ๒ ขั้วที่ตรงกันข้าม และ ๒ ขั้วที่ว่านั้น
ก็อาจนำไปสู่วิถีทางของการทำลายกันมากกว่าการสร้างสรรค์
แต่นั่นอาจไม่ใช่อะไรอื่นอีกนั่นแหล่ะ <span style="color: red; font-size: 130%;">!!</span> เอกภาพของสิ่งตรงข้ามที่ยากแก่การจัดการอย่างลงตัว...<br /><br />อย่างไรก็ตามหากการเคลื่อนไหวคอมมิวนิสต์จะกลับมาอีกครั้ง ก็คงต้องกลับมาในรูปแบบใหม่<span style="color: #993300;"> (เช่นเดียวกับที่ในอดีตภายใต้เงื่อนไขหนึ่งเคยเป็นอีกแบบหนึ่ง)</span>
ขณะเดียวกันการวิเคราะห์ลักษณะความขัดแย้งก็ยังคงเป็นโจทก์สำคัญ และ
ก็ด้วยการวิเคราะห์ที่ผิดพลาดในบางจุดที่สำคัญ ๆ นั้นเอง
คณะคอมมิวนิสต์สยามจึงแทบไม่เหลือที่ทางของตน
แม้กระทั่งในแง่ความทรงจำและการเมืองอุดมการณ์<br /><br />ผู้เขียนจึงไม่แปลกใจ
เท่าไรที่ในคำให้สัมภาษณ์ของ ธง แจ่มศรี เมื่อเร็ว ๆ
นี้ไม่ปรากฏมีการพูดถึงข้อเสนอในอดีตเช่น "โซเวียดสยาม"
แม้จะพูดถึงคณะคอมมิวนิสต์สยามอยู่บ้างก็ตาม แต่ดูเหมือนคณะฯ
ที่ว่านั้นไม่ได้สร้างคุณูปการอะไรไปมากกว่าที่เป็นรากกำเนิดให้กับอีก
องค์กรหนึ่ง <span style="color: #993300;">(คือ พคท.)</span> แม้แต่ในเอกสารประวัติ พคท. โดยวิรัช อังคถาวร ที่เคยเผยแพร่ในวารสารของสายงานพรรคเมื่อหลายปีก่อน <span style="color: #993300;">(และ ตีพิมพ์ซ้ำในฟ้าเดียวกัน ฉบับแรก เมื่อไม่นานมานี้)</span>
ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรในส่วนนี้
แต่ไม่ใช่ความผิดของคนตายไปนานอย่างวิรัช กับท่านผู้เฒ่าอย่างธงหรอก
ปัญหามันละเอียดอ่อนกว่านั้น...<br /><br />การเคลื่อนไหวคอมมิวนิสต์ที่จะกลับ
มาใหม่นั้น จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับสังคมการเมืองไทยได้หรือไม่
ยังคงต้องรอดูกันต่อไป พวกเขายังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกมาก มีอดีต มีที่ทาง
และมีบทเรียนกันพอสมควร ขณะเดียวกันก็อย่าเพิ่งมองเป็นเรื่องตลก
หรือเรื่องเพ้อฝันกันมากนัก
ประวัติศาสตร์ทั้งหมดไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของปัจจุบัน<span style="color: red; font-size: 180%;">!!!</span><br /><br /><br /><span style="color: #cc0000; font-size: 180%;">กำพล จำปาพันธ์</span><br /><span style="color: #000066; font-size: 130%;"></span><br /><span style="color: #000066; font-size: 130%;">นักวิชาการอิสระ</span></div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
<div class="blog-feeds">
<br />
</div>
</div>
</div>
<div id="footer-wrapper">
<div class="footer section" id="footer">
<div class="widget Image" id="Image2">
<div class="widget-content">
</div>
</div>
</div>
</div>
<br />
<br />
<div class="post-header-line-1">
</div>
<div class="post-body entry-content">
<span style="color: #cc0000; font-size: 180%;"></span></div>กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-20047100779937971942012-04-05T14:16:00.002+07:002012-04-05T14:50:40.371+07:00นิติราษฎร์: การทำลายกฎหมายและคำพิพากษาในระบอบเผด็จการฯ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXARrPNW5uU1cn8wl0SAoQNZuVpn3Sd2TCnpBwKNa_HWgWU1zEwHg9ePvkzXwiYYHGQO0PlD3TTeR5ITAbM41QLLFrSClnsTrrJqDm37phGGJunF4BsvRdkZaHEVhLXEML9PqWCZKwDFY/s1600/q2543a2.jpg" style="font-size: 100%; font-weight: normal; "><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 360px; height: 270px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhXARrPNW5uU1cn8wl0SAoQNZuVpn3Sd2TCnpBwKNa_HWgWU1zEwHg9ePvkzXwiYYHGQO0PlD3TTeR5ITAbM41QLLFrSClnsTrrJqDm37phGGJunF4BsvRdkZaHEVhLXEML9PqWCZKwDFY/s400/q2543a2.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5727813205022955938" /></a><br /><div style="font-size: 100%; font-weight: normal; "><br /></div><div><div class="field field-type-text field-field-byline" style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(234, 93, 46); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><div class="field-items" style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><div class="field-item odd" style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><div style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><b>วรเจตน์ ภาคีรัตน์ </b></div><div style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><b>(เขียนในส่วนเยอรมนี) </b><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><b>ปิยบุตร แสงกนกกุล<br />(เขียนในส่วนฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ กรีซ สเปน และตุรกี) </b></p></div><div style="font-size: 14px; margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-weight: inherit; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "> </div></div></div></div><div style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล เขียนถึงบทเรียนเรื่องการทำลายกฎหมายและคำพิพากษาในระบอบเผด็จการ และการไม่ยอมรับรัฐประหารในนานาอารยะประเทศ </b></div><div style="font-weight: normal; margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "> </div><div style="font-weight: normal; margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "> </div><div class="rtecenter" style="font-weight: normal; margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; text-align: center; line-height: 21px; "><strong><span >การทำลายกฎหมายและคำพิพากษาในระบอบเผด็จการ<br />และการไม่ยอมรับรัฐประหารในนานาอารยะประเทศ </span></strong><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><strong><span >เยอรมนี</span></strong></p></div><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><span style="color: rgb(34, 34, 34); font-weight: normal; ">เ</span><b>ป็นที่ยอมรับกันทั่วไปเป็นยุติว่าคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้วนั้น เป็นสิ่งที่ชี้ขาดว่าสิทธิหน้าที่ของบุคคลในทางกฎหมายมีอยู่อย่างไร คำพิพากษานั้นจะถูกหรือผิดอย่างไรในทางกฎหมายก็ตาม โดยปกติแล้ว ก็ย่อมมีผลผูกพันบรรดาคู่ความในคดี ข้อพิพาททางกฎหมายย่อมยุติลงตามการชี้ขาดคดีของศาลซึ่งถึงที่สุด และคำพิพากษาดังกล่าวย่อมเป็นฐานแห่งการบังคับคดีตลอดจนการกล่าวอ้างของคู่ความในคดีต่อไปได้ คุณค่าของการต้องยอมรับคำพิพากษาของศาลก็คือ ความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะของบุคคล อันมีผลบั้นปลายในการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในระบบกฎหมาย</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>อย่างไรก็ตาม กรณีย่อมเป็นไปได้เสมอที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้นอาจเกิดความผิดพลาดขึ้น ความผิดพลาดดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากความจงใจหรือความประมาทเลินเล่อขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม หรือความผิดพลาดนั้น อาจเกิดขึ้นจากเหตุสุดวิสัยก็ได้ ระบบกฎหมายที่ดีย่อมกำหนดกฎเกณฑ์ให้มีการทบทวนคำพิพากษาที่ถึงที่สุดไปแล้วได้ ในทางกฎหมาย เราเรียกกระบวนการทบทวนคำพิพากษาที่ถึงที่สุดไปแล้ว แต่มีความบกพร่อง และหากปล่อยไว้ไม่ให้มีการทบทวน ก็จะไม่ยุติธรรมแก่คู่ความในคดีว่า การรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ในกรณีที่ปรากฏในกระบวนการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ว่าคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วนั้น เป็นคำพิพากษาที่ผิดพลาด ศาลที่พิจารณาคดีดังกล่าวนั้น ย่อมต้องยกคำพิพากษาเดิมซึ่งเป็นคำพิพากษาที่ผิดพลาดเสีย แล้วพิพากษาคดีดังกล่าวใหม่</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>การรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ จึงเป็นหนทางของการลบล้างคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้ว แต่เป็นคำพิพากษาที่ผิดพลาด ทั้งนี้ตามกระบวนการ ขั้นตอน และหลักเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าในระบบกฎหมายนั้น โดยองค์กรที่มีอำนาจลบล้างคำพิพากษาที่ผิดพลาดดังกล่าว ก็คือ องค์กรตุลาการหรือศาลนั่นเอง</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ในทางนิติปรัชญาและในทางทฤษฎีนิติศาสตร์ ยังคงมีปัญหาให้พิเคราะห์ต่อไปอีกว่า ในกรณีที่ศาลหรือผู้พิพากษาอาศัยอำนาจตุลาการพิจารณาพิพากษาคดีไปตามตัวบทกฎหมายซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่สอดคล้องกับความยุติธรรม หรือในกรณีที่ศาลหรือผู้พิพากษาพิจารณาพิพากษาคดีไปโดยไม่เคารพหลักการพื้นฐานของกฎหมาย นำตนเข้าไปรับใช้อำนาจทางการเมืองในห้วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ยอมรับสิ่งซึ่งไม่อาจถือว่าเป็นกฎหมายได้ ให้เป็นกฎหมาย แล้วชี้ขาดคดีออกมาในรูปของคำพิพากษา ในเวลาต่อมาผู้คนส่วนใหญ่เห็นกันว่าคำพิพากษาดังกล่าวเป็นคำพิพากษาที่ไม่อาจยอมรับนับถือให้มีผลในระบบกฎหมายได้ และเห็นได้ชัดว่าไม่อาจใช้วิธีการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ลบล้างคำพิพากษานั้นได้เช่นกัน จะมีหนทางใดในการลบล้างคำพิพากษาดังกล่าวนั้น</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>หลักการเบื้องต้นในเรื่องนี้ มีอยู่ว่า กฎเกณฑ์ที่ขัดต่อความยุติธรรมอย่างรุนแรง ไม่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นกฎหมายฉันใด คำตัดสินที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานทางกฎหมายและความยุติธรรมอย่างชัดแจ้งก็ไม่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นคำพิพากษาฉันนั้น</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ในประเทศเยอรมนี หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ความปรากฏชัดว่า ศาลต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลพิเศษที่อดอลฟ์ ฮิตเลอร์จัดตั้งขึ้นเป็นศาลสูงสุดในคดีอาญาทางการเมือง (เรียกกันในภาษาเยอรมันว่า Volksgerichtshof ซึ่งอาจแปลตามรูปศัพท์ได้ว่า ศาลประชาชนสูงสุด เมื่อแรกตั้งขึ้นนั้น ศาลดังกล่าวนี้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับการทรยศต่อชาติ ต่อมาได้มีการขยายอำนาจออกไปในคดีอาญาอื่นๆด้วย เช่น การวิจารณ์หรือแสดงความสงสัยในชัยชนะในสงครามของรัฐบาลนาซีเยอรมัน ศาลดังกล่าวนี้ก็อาจลงโทษประหารชีวิตผู้วิจารณ์หรือแสดงความสงสัยในชัยชนะนั้นเสียก็ได้) ได้พิพากษาลงโทษบุคคลจำนวนมากโดยขัดต่อหลักการพื้นฐานทางกฎหมายและความยุติธรรม มีคำพิพากษาจำนวนไม่น้อยที่ศาลได้ใช้วิธีการตีความกฎหมายขยายความออกไปอย่างกว้างขวาง เพื่อลงโทษบุคคล ในหลายกรณีเห็นได้ชัดว่าศาลได้ปักธงในการลงโทษบุคคลไว้ก่อนแล้ว และใช้เทคนิคโวหารในการใช้และการตีความกฎหมายโดยบิดเบือนต่อหลักวิชาการทางนิติศาสตร์เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการลงโทษบุคคลนั้น (เช่น คดี Leo Katzenberger)</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>มีข้อสังเกตว่า การดำเนินคดีในนามของกฎหมายและความยุติธรรมของศาลในระบบนาซีเยอรมัน เกิดจากแรงจูงใจในทางการเมือง เชื้อชาติเผ่าพันธุ์ และศาสนา (อาจเรียกให้สมกับยุคสมัยว่า "ตุลาการนาซีภิวัฒน์") อีกทั้งกระบวนการในการดำเนินคดี ขัดต่อหลักการพื้นฐานหลายประการ เช่น การไม่ยอมมีให้มีการคัดค้านผู้พิพากษาที่เห็นได้ชัดว่ามีส่วนได้เสียหรือมีอคติในการพิจารณาพิพากษาคดี การจำกัดสิทธิในการนำพยานหลักฐานเข้าหักล้างข้อกล่าวหา การกำหนดให้การพิจารณาพิพากษากระทำโดยศาลชั้นเดียว ไม่ยอมให้มีการอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษา การจำกัดระยะเวลาในการต่อสู้คดีของจำเลย เพื่อให้กระบวนพิจารณาจบไปโดยเร็ว มิพักต้องกล่าวถึงบรรยากาศของการโหมโฆษณาชวนเชื่อในทางสาธารณะ และแนวความคิดของผู้พิพากษาตุลาการในคดีว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ถูกกล่าวหาเพียงใด ที่น่าขบขันและโศกสลดในเวลาเดียวกันก็คือ แม้ว่ากฎหมายที่ใช้บังคับในเวลานั้น จะออกโดยเผด็จการนาซี และศาลในเวลานั้นต้องใช้กฎหมายของเผด็จการนาซีในการพิจารณาพิพากษาคดีก็ตาม แต่ถ้าใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้วไม่สามารถเอาผิดกับผู้ถูกกล่าวหาได้ เช่นนี้ ศาลก็จะตีความกฎหมายจนกระทั่งในที่สุดแล้ว สามารถพิพากษาลงโทษผู้ถูกกล่าวหาจนได้</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงแล้ว มีเสียงเรียกร้องให้ลบล้างหรือยกเลิกคำพิพากษาที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการครองอำนาจของรัฐบาลนาซีเสีย แม้ว่าทุกฝ่ายจะเห็นตรงกันว่าควรจะต้องลบล้างบรรดาคำพิพากษาดังกล่าวก็ตาม แต่ก็ถกเถียงกันว่าวิธีการในการลบล้างคำพิพากษาเหล่านั้นควรจะเป็นอย่างไร ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรจะดำเนินการลบล้างคำพิพากษาของศาลนาซีเป็นรายคดีไป เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะ อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรจะลบล้างคำพิพากษาทั้งหมดเป็นการทั่วไป ในชั้นแรก ในเขตยึดครองของอังกฤษนั้น ได้มีการออกข้อกำหนดลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๑๙๔๗ ให้อำนาจอัยการในการออกคำสั่งลบล้างคำพิพากษาของศาลนาซีหรือให้อัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งลบล้างคำพิพากษาของศาลนาซีก็ได้เป็นรายคดีไป การลบล้างคำพิพากษาเป็นรายคดีนี้ได้มีการนำไปใช้ในเวลาต่อมาในหลายมลรัฐ อย่างไรก็ตามวิธีการดังกล่าวมีปัญหาในทางปฏิบัติมาก ทั้งความยุ่งยากในการดำเนินกระบวนการลบล้างคำพิพากษาและการเยียวยาความเสียหาย ปัญหาดังกล่าวนี้ดำรงอยู่เรื่อยมาในเยอรมนีเกือบจะตลอดศตวรรษที่ยี่สิบ</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ใน ค.ศ. ๑๙๘๕ สภาผู้แทนราษฎรแห่งสหพันธ์ (Bundestag) ได้มีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ประกาศว่า ศาลสูงสุดคดีอาญาทางการเมือง (Volksgerichtshof) เป็นเครื่องมือก่อการร้ายเพื่อทำให้ระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จนาซีสำเร็จผลโดยบริบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ บรรดาคำพิพากษาทั้งหลายที่เกิดจากการตัดสินของศาลดังกล่าวจึงไม่มีผลใดๆในทางกฎหมาย และในปี ค.ศ.๒๐๐๒ ได้มีการออกรัฐบัญญัติลบล้างคำพิพากษานาซีที่ไม่ถูกต้องเป็นธรรมในคดีอาญา กฎหมายฉบับนี้มีผลลบล้างคำพิพากษาของศาลสูงสุดคดีอาญาทางการเมืองและศาลพิเศษคดีอาญาทุกคำพิพากษา<br /> </b></p><div align="center" style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; "><b><span >ฝรั่งเศส</span></b></div><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ภายหลังจากฝรั่งเศสยอมแพ้ต่อเยอรมนี เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๑๙๔๐ รัฐสภาได้ตรารัฐบัญญัติมอบอำนาจทุกประการให้แก่รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐภายใต้อำนาจและการลงนามของจอมพล Pétain รัฐบาลได้ตัดสินใจย้ายเมืองหลวงไปยังเมือง Vichy และให้ความร่วมมือกับเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตามนโยบาย Collaboration จอมพล Pétain ปกครองฝรั่งเศสโดยใช้อำนาจเผด็จการ ภายใต้คำขวัญ “ชาติ งาน และครอบครัว” ซึ่งใช้แทน “เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ” รัฐบาลวิชี่ร่วมมือกับเยอรมนีในการใช้มาตรการโหดร้ายทารุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจับคนเชื้อชาติยิวไปเข้าค่ายกักกัน มีนักกฎหมายผู้มีชื่อเสียงหลายคนให้ความร่วมมือกับระบอบวิชี่อย่างเต็มใจ เช่น Raphael Alibert<sup style="font-size: 12px; ">๑</sup> , Joseph Barthélemy<sup style="font-size: 12px; ">๒</sup> , George Ripert<sup style="font-size: 12px; ">๓</sup> , Roger Bonnard <sup style="font-size: 12px; ">๔</sup></b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>เมื่อเยอรมนีแพ้สงคราม ฝรั่งเศสได้รับการปลดปล่อยอิสรภาพ คณะกรรมการกู้ชาติฝรั่งเศสแปลงสภาพกลายเป็น “รัฐบาลชั่วคราวแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส” (Gouvernement provisoire de la République française : GPRF) นอกจากปัญหาทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจแล้ว มีปัญหาทางกฎหมายให้ GPRF ต้องขบคิด นั่นคือ จะทำอย่างไรกับการกระทำต่างๆในสมัยระบอบวิชี่ การกระทำเหล่านั้นสมควรมีผลทางกฎหมายต่อไปหรือไม่ และจะเยียวยาให้กับเหยื่อและผู้เสียหายจากการกระทำในสมัยระบอบวิชี่อย่างไร </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>รัฐบาลชั่วคราวแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้ตรารัฐกำหนดขึ้นฉบับหนึ่งเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๑๙๔๔ ชื่อว่า “รัฐกำหนดว่าด้วยการก่อตั้งความชอบด้วยกฎหมายแบบสาธารณรัฐขึ้นใหม่ในดินแดนฝรั่งเศส” รัฐกำหนดฉบับนี้ตั้งอยู่บนหลักการ ๒ ประการ ได้แก่ การล่วงละเมิดมิได้ของสาธารณรัฐ และการไม่เคยดำรงอยู่ในทางกฎหมายของรัฐบาลจอมพล Pétain ตั้งแต่ ๑๖ มิถุนายน ๑๙๔๑ </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ด้วยเหตุนี้ มาตราแรกของรัฐกำหนดฉบับนี้ จึงประกาศชัดเจนว่า <i>“รูปแบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศสคือสาธารณรัฐและดำรงอยู่แบบสาธารณรัฐ ในทางกฎหมาย สาธารณรัฐไม่เคยยุติการคงอยู่”</i><sup style="font-size: 12px; ">๕</sup> การประกาศความต่อเนื่องของ “สาธารณรัฐ” ดังกล่าว จึงไม่ใช่การรื้อฟื้น “สาธารณรัฐ” ให้กลับขึ้นมาใหม่ แต่เป็นการก่อตั้งความชอบด้วยกฎหมายของสาธารณรัฐขึ้นมาใหม่ต่างหาก เพราะ “สาธารณรัฐ” ไม่เคยสูญหายไป ไม่เคยถูกทำลาย ไม่เคยยุติการดำรงอยู่ รัฐบาลวิชี่ไม่ได้ทำลาย (ทางกฎหมาย) สาธารณรัฐ นายพล Charles De Gaulle หัวหน้ารัฐบาลชั่วคราวจึงไม่เคยประกาศฟื้นสาธารณรัฐ เพราะสาธารณรัฐไม่เคยสูญหายไปจากดินแดนฝรั่งเศส</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>เมื่อมาตราแรกประกาศความคงอยู่อย่างต่อเนื่องของสาธารณรัฐ ในมาตรา ๒ ของรัฐกำหนดฉบับนี้จึงบัญญัติตามมาว่า <i>“ด้วยเหตุนี้ ทุกการกระทำใดไม่ว่าจะใช้ชื่ออย่างไรก็ตามที่มีสถานะทางรัฐธรรมนูญ, ที่มีสถานะทางนิติบัญญัติ, ที่มีสถานะทางกฎ, รวมทั้งประกาศทั้งหลายที่ตราขึ้นเพื่อใช้บังคับการกระทำดังกล่าว, ซึ่งได้ประกาศใช้บนดินแดนภายหลังวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๑๙๔๐ จนกระทั่งถึงการก่อตั้งรัฐบาลชั่วคราวแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ให้เป็นโมฆะและไม่มีผลทางกฎหมายใดๆ”</i> บทบัญญัตินี้หมายความว่า การกระทำใด ไม่ว่าจะใช้ชื่อใด ทั้งที่มีสถานะเทียบเท่ารัฐธรรมนูญ เทียบเท่ารัฐบัญญัติ เทียบเท่ากฎ หรือประกาศใดๆที่เป็นการใช้บังคับการกระทำเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นในสมัยวิชี่ ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นเลย พูดง่ายๆก็คือ ผลผลิตทางกฎหมายในสมัยวิชี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่มีผลทางกฎหมาย </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>นอกจาก “ทำลาย” การกระทำต่างๆของระบอบวิชี่แล้ว รัฐกำหนดยังให้ความสมบูรณ์ทางกฎหมายแก่บทบัญญัติที่เผยแพร่ในรัฐกิจจานุเบกษาของกลุ่มเสรีฝรั่งเศส รัฐกิจจานุเบกษาของกลุ่มฝรั่งเศสต่อสู้ และรัฐกิจจานุเบกษาของผู้บังคับบัญชาพลเรือนและทหารฝรั่งเศส ตั้งแต่ ๑๘ มีนาคม ๑๙๔๓ และบทบัญญัติที่เผยแพร่ในรัฐกิจจานุเบกษาของสาธารณรัฐฝรั่งเศสระหว่าง ๑๙ มิถุนายน ๑๙๔๓ จนถึงวันที่ประกาศใช้รัฐกำหนดนี้ (ซึ่งอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวกับระบอบวิชี่) </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>การประกาศไม่ยอมรับการกระทำใดๆในสมัยวิชี่ แม้จะเป็นความชอบธรรมทางการเมืองและเป็นความจำเป็นทางสัญลักษณ์อย่างยิ่ง แต่ก็อาจถูกโต้แย้งในทางกฎหมายได้ ๒ ประเด็น</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ประเด็นแรก การกำเนิดรัฐบาลวิชี่เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายทุกประการ ไม่ได้มีการรัฐประหาร หรือใช้กองกำลังบุกยึดอำนาจแล้วปกครองแบบเผด็จการ ตรงกันข้าม เป็นรัฐสภาที่ยินยอมพร้อมใจกันตรากฎหมายมอบอำนาจเด็ดขาดให้แก่จอมพล Pétain ในประเด็นนี้ พออธิบายโต้แย้งได้ว่า ระบอบวิชี่และรัฐบาลวิชี่เป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจหรือรัฐบาลตามความเป็นจริง</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ประเด็นที่สอง การประกาศให้การกระทำใดๆสมัยวิชี่สิ้นผลไป เสมือนไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน เสมือนไม่เคยดำรงอยู่และบังคับใช้มาก่อนเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปที่สุจริตและเชื่อถือในการกระทำต่างๆที่เกิดขึ้นในสมัยวิชี่ </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>รัฐกำหนดฉบับนี้ได้แก้ไขปัญหาดังกล่าวโดย กำหนดให้การกระทำต่างๆที่กำหนดไว้ในตารางที่ II ของภาคผนวกแนบท้ายรัฐกำหนดนี้ ถูกยกเลิกไปโดยให้มีผลไปข้างหน้า หมายความว่า สิ้นผลไปนับตั้งแต่ประกาศใช้รัฐกำหนดนี้ ไม่ได้มีผลย้อนหลังไปเสมือนว่าไม่เคยมีการกระทำเหล่านั้นเกิดขึ้นเลย นอกจากนี้ ในมาตรา ๘ ยังให้ความสมบูรณ์ทางกฎหมายแก่คำพิพากษาของศาลพิเศษที่ไม่ได้ตัดสินลงโทษการกระทำใดๆที่เป็นไปเพื่อการกู้ชาติ ส่วนการกระทำที่ถือว่าสิ้นผลไปโดยมีผลย้อนหลังเสมือนว่าไม่เคยมีการกระทำเหล่านั้นมาก่อนเลย ได้แก่ รัฐธรรมนูญ ๑๐ กรกฎาคม ๑๙๔๐ และการกระทำที่มีสถานะรัฐธรรมนูญต่อเนื่องจากนั้น ตลอดจนบทบัญญัติกฎหมาย ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดที่กระทบสิทธิของประชาชน เช่น การตั้งศาลพิเศษ การบังคับทำงาน การก่อตั้งสมาคมลับ การแบ่งแยกบุคคลทั่วไปออกจากคนยิว เป็นต้น</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>กล่าวโดยสรุป รัฐกำหนดว่าด้วยการก่อตั้งความชอบด้วยกฎหมายแบบสาธารณรัฐขึ้นใหม่ในดินแดนฝรั่งเศส ประกาศเป็นหลักการในเบื้องต้นก่อนว่า สาธารณรัฐไม่เคยยุติการดำรงอยู่ และบรรดาการกระทำทั้งหลายในสมัยวิชี่เป็นโมฆะ จากนั้นจึงเลือกรับรองความสมบูรณ์ให้กับบางการกระทำ และกำหนดการสิ้นผลของบางการกระทำ บ้างให้การสิ้นผลมีผลไปข้างหน้า บ้างให้การสิ้นผลมีผลย้อนหลังเสมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>มีข้อสงสัยตามมาว่า รัฐกำหนด ๙ สิงหาคม ๑๙๔๔ ทำให้บุคคลที่กระทำการและร่วมมือกับระบอบวิชี่ได้รอดพ้นจากความรับผิดไปด้วย เมื่อการกระทำใดๆในสมัยวิชี่ไม่ถือว่าเคยเกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีความเสียหาย ไม่มีความผิด และไม่มีความรับผิดหรือไม่?</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>เดิม แนวคำพิพากษาวางหลักไว้ว่า เมื่อรัฐกำหนด ๙ สิงหาคม ๑๙๔๔ กำหนดให้การกระทำใดๆสมัยวิชี่ไม่ถือว่าเคยเกิดขึ้นและไม่มีผลทางกฎหมายใดแล้ว รัฐจึงไม่ต้องรับผิดชอบในการกระทำดังกล่าว แม้การกระทำนั้นจะนำมาซึ่งความเสียหายให้แก่เอกชนก็ตาม<sup style="font-size: 12px; ">๖</sup> อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง ศาลได้กลับแนวคำพิพากษาเหล่านี้เสียใหม่ ศาลยืนยันว่า แม้ระบอบวิชี่และรัฐบาลในสมัยนั้นจะไม่ถือว่าเคยดำรงอยู่ และการกระทำต่างๆในสมัยนั้นไม่เคยเกิดขึ้นและไม่มีผลทางกฎหมาย แต่หลักความต่อเนื่องของรัฐก็ยังคงมีอยู่ แม้รัฐบาลในสมัยระบอบวิชี่ไม่ได้เป็นรัฐบาลตามกฎหมาย แต่ก็เป็นองค์กรผู้มีอำนาจในความเป็นจริง และไม่มีกฎหมายใดอนุญาตให้รัฐหลุดพ้นจากความรับผิด<sup style="font-size: 12px; ">๗</sup> ดังนั้น เอกชนผู้เสียหายย่อมมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากการกระทำที่เกิดขึ้นในสมัยระบอบวิชี่ได้ </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>จะเห็นได้ว่า ระบบกฎหมายฝรั่งเศสได้มุ่ง “ทำลาย” เฉพาะการกระทำต่างๆในสมัยระบอบวิชี่ที่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ และไม่สอดคล้องกับนิติรัฐ-ประชาธิปไตย ไม่ได้มุ่งทำลายหรือลิดรอนสิทธิของผู้เสียหายในการได้รับค่าเสียหาย ส่วนบรรดาความรับผิดชอบของผู้กระทำการอันก่อให้เกิดความเสียหายในสมัยนั้นก็ยังคงมีอยู่ต่อไป (เช่น ขับไล่คนเชื้อชาติยิว, จับคนเชื้อชาติยิวขึ้นรถไฟเพื่อพาไปเข้าค่ายกักกัน, พิพากษาจำคุก, ประหารชีวิต, ฆ่าคนตาย เป็นต้น) ส่วนจะเป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของผู้กระทำการนั้น หรือเป็นความรับผิดชอบของรัฐ ย่อมพิจารณาเป็นรายกรณีไป </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>นอกจากนี้ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง รัฐบาลฝรั่งเศสได้ใช้มาตรการ “แรง” เพื่อจัดการบุคคลผู้มีส่วนร่วมกับระบอบวิชี่ มาตรการนั้นเรียกกันว่า “มาตรการชำระล้างคราบไคลให้บริสุทธิ์” (épuration) มาตรการทำนองนี้ใช้กันในหลายประเทศโดยมีเป้าประสงค์ คือ จับบุคคลที่มีส่วนร่วมในการกระทำทารุณ โหดร้ายในสมัยนาซีเรืองอำนาจมาลงโทษ และไม่ให้บุคคลที่มีอุดมการณ์แบบนาซีได้มีตำแหน่งหรือมีบทบาทสำคัญ รัฐบาลชั่วคราวแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้ออกรัฐกำหนดหลายฉบับเพื่อใช้มาตรการชำระล้างคราบไคลอุดมการณ์นาซี เช่น การจัดตั้งศาลพิเศษเพื่อพิจารณาคดีบุคคลที่มีส่วนร่วมกับระบอบวิชี่, การปลดข้ารัฐการและเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนร่วมกับระบอบวิชี่, การปลดข้ารัฐการและเจ้าหน้าที่ที่มีอุดมการณ์และทัศนคติสนับสนุนนาซีและวิชี่ ตลอดจนกีดกันไม่ให้เข้าทำงานหรือเลื่อนชั้น, การห้ามบุคคลผู้มีอุดมการณ์และทัศนคติสนับสนุนนาซีและวิชี่ ทำงานในกระบวนการยุติธรรม การศึกษา สื่อสารมวลชน การเงินการธนาคาร การประกันภัย หรือร่วมในสหภาพแรงงาน, การจำกัดสิทธิเลือกตั้งและสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นต้น </b><br /><span > </span></p><div align="center" style="font-weight: normal; margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; "><b><span >สวิตเซอร์แลนด์</span></b></div><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ปี ๒๐๐๓ รัฐสภาสวิตเซอร์แลนด์ได้ตรารัฐบัญญัติฉบับหนึ่งลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๐๐๓ ใจความสำคัญของรัฐบัญญัติฉบับนี้ คือ การเพิกถอนคำพิพากษาของศาลที่พิพากษาลงโทษบุคคลที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้หลบหนีลี้ภัยจากการกระทำของนาซี </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ในมาตราแรก เป็นการประกาศวัตถุประสงค์ของกฎหมายว่า<i> “รัฐบัญญัตินี้วางหลักเรื่องการเพิกถอนคำพิพากษาคดีอาญาที่ลงโทษบุคคลที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้หลบหนีลี้ภัยจากการกระทำของนาซี และเยียวยาให้แก่บุคคลเหล่านั้น รัฐบัญญัตินี้มุ่งหมายเพิกถอนคำพิพากษาเหล่านี้ในฐานะเป็นการละเมิดความยุติธรรมอย่างร้ายแรงในยุคปัจจุบัน”</i> จากนั้นจึงยืนยันในมาตรา ๓ ว่า<i> “คำพิพากษาของศาลทหาร ศาลอาญาแห่งสหพันธ์ ศาลอาญาแห่งมลรัฐ ที่ลงโทษบุคคลที่ช่วยเหลือแก่ผู้หลบหนีลี้ภัยจากนาซี ถูกเพิกถอน” </i></b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>เมื่อกฎหมายประกาศให้คำพิพากษาของศาลสิ้นผลไปแล้ว ก็จำเป็นต้องมีมาตรการเยียวยาให้แก่บุคคลที่ต้องโทษตามคำพิพากษาเหล่านั้น ในมาตรา ๔ กำหนดให้บุคคลเหล่านั้นมีสิทธิในการได้รับการเยียวยาชดเชย โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการชุดหนึ่ง ชื่อว่า “คณะกรรมการเยียวยาชดเชย” ทำหน้าที่พิจารณาคำร้องขอการเยียวยาชดเชยของบุคคลที่เคยต้องโทษตามคำพิพากษา และอาจเยียวยาชดเชยให้บุคคล เหล่านั้นโดยไม่จำเป็นต้องมีคำร้องขอก่อนก็ได้ ในกรณีที่บุคคลนั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ก็ให้ญาติเป็นผู้ร้องขอแทน <br /> </b></p><div align="center" style="font-weight: normal; margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; "><b><span >กรีซ</span></b></div><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>รัฐธรรมนูญ ๑๙๕๒ เป็นรัฐธรรมนูญในสมัยที่กรีซมีกษัตริย์เป็นประมุข โดยในห้วงเวลานั้นเป็นช่วงหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยกับฝ่ายกษัตริย์นิยม ด้วยบรรยากาศของสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาจึงสนับสนุนฝ่ายกษัตริย์นิยม ในท้ายที่สุดฝ่ายกษัตริย์นิยมชนะ และประกาศนำรัฐธรรมนูญ ๑๙๑๑ (ซึ่งกำหนดให้มีกษัตริย์) กลับมาปัดฝุ่นใช้บังคับใหม่ให้เป็นรัฐธรรมนูญ ๑๙๕๒ โดยเรียกกันว่า “ประชาธิปไตยแบบกษัตริย์ – Royal Democracy” หรืออาจเรียกให้เข้าไทยเสียหน่อย คือ “ประชาธิปไตยแบบกรีซๆ” นั่นเอง </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ทหารกลุ่มหนึ่งได้ก่อการรัฐประหารในวันที่ ๒๑ เมษายน ๑๙๖๗ ยกเลิกระบอบกษัตริย์ และล้มล้างรัฐธรรมนูญ ๑๙๕๒ คณะรัฐประหารได้ปกครองแบบเผด็จการทหาร มีการประกาศใช้คำสั่งที่มีสถานะเป็นรัฐธรรมนูญหลายฉบับ ต่อมาด้วยสภาพปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองอันรุมเร้า รัฐบาลเผด็จการไม่อาจตอบสนองต่อการแก้ปัญหาเหล่านั้น โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งกับไซปรัส รัฐบาลเผด็จการทหารจึงล้มไปในปี ๑๙๗๔ นาย Karamanlis อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้นำฝ่ายขวาซึ่งลี้ภัยอยู่ที่ปารีสตั้งแต่ปี ๑๙๖๓ ได้รับเชิญกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติโดยรวมขั้วการเมืองทุกฝ่าย รัฐบาลแห่งชาติของนาย Karamanlis ได้รับการคาดหวังจากประชาชนกรีซว่าจะนำพาสังคมกรีซให้ตื่นจากการหลับใหลและนำพาประเทศเข้าสู่ประชาธิปไตย </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>รัฐบาลเริ่มกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยขั้นที่หนึ่ง โดยประกาศใช้คำสั่งทางรัฐธรรมนูญ ๑ สิงหาคม ๑๙๗๔ (เป็นคำสั่งที่มีสถานะเป็นรัฐธรรมนูญชั่วคราว ไม่ได้อยู่ในรูปของรัฐธรรมนูญตามความหมายเชิงรูปแบบ) ว่าด้วย “ฟื้นฟูความชอบด้วยกฎหมายแบบประชาธิปไตย” โดยรับแนวความคิดมาจากประเทศฝรั่งเศสในกรณีรัฐกำหนดว่าด้วยการก่อตั้งความชอบด้วยกฎหมายแบบสาธารณรัฐขึ้นใหม่ในดินแดนฝรั่งเศส ลงวันที่ ๙ สิงหาคม ๑๙๔๔ </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การฟื้นฟูความชอบด้วยกฎหมายแบบประชาธิปไตย รัฐบาล ต้องจัดการ “ทำลาย” ผลิตผลทางกฎหมายสมัยเผด็จการทหาร ด้วยเหตุนี้ คำสั่งทางรัฐธรรมนูญ ๑๙๗๔ จึงประกาศให้บรรดารัฐธรรมนูญสมัยเผด็จการทหาร (ตั้งแต่ปี ๑๙๖๘ ถึง ๑๙๗๓) และการกระทำที่มีเนื้อหาทางรัฐธรรมนูญทั้งหลายที่ประกาศใช้ตั้งแต่ ๒๑ เมษายน ๑๙๖๗ (วันที่คณะทหารรัฐประหาร) เสียเปล่าและถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นและไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย อย่างไรก็ดี เมื่อรัฐบาลได้ประกาศความเสียเปล่าของบรรดาการกระทำทางกฎหมายทั้งหลายของรัฐบาลเผด็จการทหารไปแล้ว ก็เท่ากับว่าต้องกลับไปหารัฐธรรมนูญก่อนหน้านั้น คือ รัฐธรรมนูญ ๑๙๕๒ อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เป็นการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ ๑๙๕๒ กลับมาอีก รัฐบาลจึงประกาศให้นำรัฐธรรมนูญ ๑๙๕๒ มาใช้ทั้งฉบับ เว้นแต่เรื่องรูปแบบรัฐที่มีกษัตริย์เป็นประมุข ทั้งนี้ ก็เพราะว่ารัฐบาลแห่งชาติต้องการให้ประชาชนเป็นผู้ชี้ขาดว่ากรีซสมควรเป็นสาธารณรัฐหรือมีกษัตริย์ รัฐบาลได้กำหนดให้มีการออกเสียงลงประชามติในเบื้องต้นในวันที่ ๘ ธันวาคม ๑๙๗๔ ว่า ประชาชนเห็นสมควรให้กรีซมีกษัตริย์เป็นประมุข หรือสมควรให้กรีซเป็นสาธารณรัฐ ผลปรากฏว่าประชาชนจำนวนร้อยละ ๖๙.๒ เห็นด้วยกับรูปแบบสาธารณรัฐ เป็นอันว่า นับแต่นี้เป็นต้นไป กรีซไม่มีกษัตริย์ และเป็นสาธารณรัฐ </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>นอกจากนี้รัฐบาลแห่งชาติยังได้ปล่อยตัวนักโทษการเมือง และให้เสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมือง รวมทั้งพรรคคอมมิวนิสต์ และได้ลงนามในอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนยุโรป</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ขั้นตอนต่อไป คือ การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อนำมาใช้แทนรัฐธรรมนูญ ๑๙๕๒ กรีซจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเข้าไปทำหน้าที่เป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญด้วย ผลปรากฏว่าพรรคประชาธิปไตยใหม่ของ Karamanlis ได้รับชัยชนะ จึงไม่น่าแปลกใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะมีรากฐานความคิดของ Karamanlis เป็นสำคัญ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญและเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรในฐานะสภาร่างรัฐธรรมนูญพิจารณา และได้รับความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๑๙๗๕ และประกาศใช้บังคับในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๑๙๗๕ </b><br /> </p><div align="center" style="font-weight: normal; margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; line-height: 21px; "><b><span >สเปน</span></b></div><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>สงครามกลางเมืองในสเปนสิ้นสุดลงเมื่อปี ๑๙๓๖ โดยนายพลฟรานซิสโก้ ฟรังโก้ปราบปรามกลุ่มต่างๆ และเข้าสู่อำนาจด้วยการรัฐประหาร นายพลฟรังโก้ปกครองสเปนด้วยระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ ตรากฎหมายและออกคำสั่งละเมิดสิทธิมนุษยชนจำนวนมาก ใช้กำลังเข้าปราบปรามเข่นฆ่าบุคคลที่คิดแตกต่าง ออกมาตรการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ภายหลังระบอบฟรังโก้ล่มสลาย สเปนได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่นิติรัฐ-ประชาธิปไตย ภายใต้การนำของกษัตริย์ฆวน คาร์ลอสและกลุ่มการเมืองทุกกลุ่ม ในท้ายที่สุด ประชาชนก็ได้ออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญ ๑๙๗๘ </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>อย่างไรก็ตาม แม้นิติรัฐ-ประชาธิปไตยจะมั่นคงและมีเสถียรภาพในดินแดนสเปน แต่ผลกระทบจากการกระทำต่างๆในระบอบฟรังโก้ก็ไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยาเท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้น ในนามของความ “ปรองดอง” สเปนจึงออกมาตรการจำนวนมากเพื่อ “ลืม” บาดแผลจากระบอบฟรังโก้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกฎหมายนิรโทษกรรม และการอภัยโทษให้กับการกระทำในสมัยระบอบฟรังโก้ การนิรโทษกรรมแบบสเปนนี่เอง กลายเป็นต้นแบบให้กับหลายประเทศในอเมริกาใต้ เช่น ชิลี อาร์เจนตินา<br /><br />ปี ๒๐๐๔ ปัญญาชน นักสิทธิมนุษยชน องค์กรเอกชน และกลุ่มเครือญาติของผู้เสียหายจากระบอบฟรังโก้ ได้รวมตัวกันจัดทำแถลงการณ์ข้อเสนอถึงรัฐบาลและรัฐสภาเพื่อลบล้างผลพวงของระบอบฟรังโก้ และแก้ไขเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากระบอบฟรังโก้</b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ในแถลงการณ์ดังกล่าว มีข้อเสนอในหลายประเด็น ตั้งแต่ การลบล้างการกระทำใดๆในระบอบฟรังโก้ การจ่ายค่าเยียวยาชดเชยให้แก่บุคคลที่ได้รับผลกระทบ การจัดตั้งหอจดหมายเหตุรวบรวมเอกสารทางประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในระบอบฟรังโก้ การรับรองสิทธิในการรับรู้ของผู้เสียหายหรือญาติต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระบอบฟรังโก้ </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>กล่าวสำหรับ การลบล้างการกระทำใดๆในระบอบฟรังโก้นั้น แถลงการณ์ได้นำรูปแบบการลบล้างกฎหมายและคำพิพากษาสมัยนาซีของเยอรมนีมาพิจารณาประกอบ แถลงการณ์เสนอว่า ให้รัฐสภาตรากฎหมายเพื่อประกาศความเสียเปล่าของทุกการกระทำที่มีผลทางกฎหมายในระบอบฟรังโก้ ด้วยเหตุที่ว่า สหประชาชาติได้มีมติที่ ๓๒ ลงวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๑๙๔๖ และมติที่ ๓๙ ลงวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๑๙๔๖ ว่า พิจารณาจากต้นกำเนิด ลักษณะ โครงสร้าง และการกระทำทั้งหลายแล้ว เห็นว่าระบอบฟรังโก้เป็นระบอบการปกครองแบบฟาสซิสต์ นอกจากนี้ การกระทำใดๆในระบอบฟรังโก้มีความผิดตามกฎหมายอาญาระหว่างประเทศอีกด้วย ดังนั้น จึงเป็นความชอบธรรมอย่างยิ่งที่รัฐสภาจะตรากฎหมายประกาศความเสียเปล่าของทุกการกระทำที่มีผลทางกฎหมายในระบอบฟรังโก้ เพื่อให้การกระทำเหล่านั้นเสียเปล่า ไม่เคยเกิดขึ้น และไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>แถลงการณ์ยังได้เสนอต่อไปว่า ให้รัฐสภาตรากฎหมายประกาศให้ทุกคำพิพากษาของศาลอาญาและศาลทหาร ตลอดจนการดำเนินคดีอาญาในศาลอาญาและศาลทหาร ในสมัยระบอบฟรังโก้เสียเปล่า ไม่เคยเกิดขึ้น และไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย ด้วยเหตุที่ว่าคำพิพากษาและการดำเนินคดีเหล่านั้นเป็นไปตามอำเภอใจและไม่ชอบด้วยกฎหมาย และรัฐบาลต้องออกมาตรการที่เหมาะสมในการเยียวยาชดเชยให้กับบุคคลที่ได้รับผลร้ายจากคำพิพากษาและการดำเนินคดีเหล่านั้น </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>แถลงการณ์ ๒๐๐๔ ไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร รัฐสภาได้ตราพระราชบัญญัติ ๕๒/๒๐๐๗ ลงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๐๐๗ ว่าด้วยการยอมรับสิทธิของบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินคดีและความรุนแรงในช่วงสงครามกลางเมืองและเผด็จการฟรังโก้ แต่กฎหมายฉบับนี้ก็ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ปัญญาชน นักสิทธิมนุษยชน องค์กรเอกชน และกลุ่มเครือญาติของผู้เสียหายจากระบอบฟรังโก้ จึงทำหนังสือเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๐๑๐ โดยยืนยันว่ารัฐสภาต้องลบล้างการกระทำใดๆของระบอบฟรังโก้ และการลบล้างดังกล่าวก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และไม่กระทบต่อความมั่นคงแห่งนิติฐานะของผู้สุจริตด้วย โดยยกตัวอย่างกรณีเยอรมนีที่ได้ตรากฎหมายลบล้างกฎหมาย คำพิพากษา และการกระทำใดๆในสมัยนาซี สำเร็จมาแล้ว<br /> </b></p><div align="center" style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; "><b>ตุรกี</b></div><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ภายหลังจากมุสตาฟา เคมาล อัลตาเติร์กได้ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของตุรกี ระบอบการเมืองการปกครองในตุรกีก็ยังไม่มีเสถียรภาพและยังไม่เป็นประชาธิปไตยมากนัก จริงอยู่ระบอบเคมาลิสต์อาจนำความเป็นสมัยใหม่มาสู่ตุรกี แต่ความเป็นประชาธิปไตย สิทธิและเสรีภาพ และความเป็นสูงสุดของพลเรือนเหนือทหาร ยังไม่อาจฝังรากลงไปในดินแดนแห่งนี้ มีการรัฐประหารโดยคณะทหารหลายครั้ง ตั้งแต่ปี ๑๙๖๐, ๑๙๗๑, ๑๙๘๐ </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>รัฐประหารครั้งที่สามของตุรกีในยุคสมัยใหม่ และเป็นรัฐประหารครั้งล่าสุด คือ รัฐประหาร ๑๒ กันยายน ๑๙๘๐ นำโดยนายพล Kenan Evren ตุรกีถูกปกครองโดยคณะรัฐประหารในชื่อ “คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ” และรัฐบาลที่แต่งตั้งโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ตั้งแต่ ๑๒ กันยายน ๑๙๘๐ จนถึง ๑๙๘๓ ส่วนนายพล Evren หัวหน้าคณะรัฐประหารก็ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี<br /><br />คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติได้ดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และนำไปซึ่งให้ประชาชนออกเสียงประชามติ (ภายใต้การควบคุมของคณะรัฐประหาร) มีผลใช้บังคับเป็นรัฐธรรมนูญ ๑๙๘๒ ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน จากนั้นก็ทยอยผ่องถ่ายอำนาจ โดยการจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ ๑๙๘๒ และมีรัฐบาลใหม่และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่มาจากการเลือกตั้งในปี ๑๙๘๓ อย่างไรก็ตามนายพล Evren ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีต่อไปจนถึงปี ๑๙๘๙ </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ตุรกีอยู่ภายใต้การปกครองของคณะรัฐประหารรวมระยะเวลา ๓ ปี ภายใต้การปกครองของคณะรัฐประหารนี้นำมาซึ่งการนองเลือด มีประชาชนเสียชีวิต ๕,๐๐๐ คน ถูกจำคุก ๖,๐๐๐ คน ถูกดำเนินคดี ๒๐๐,๐๐๐ คน เสียสัญชาติตุรกีไปอีกร่วม ๑๐,๐๐๐ คน และประชาชนอีกนับหมื่นที่ได้รับการทรมาน </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>บรรดานักการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างเห็นตรงกันมานานแล้วว่า เนื้อหาของรัฐธรรมนูญ ๑๙๘๒ ไม่ได้มาตรฐานประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรี Recep Tayyip Erdogan มีดำริว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยมุ่งลดทอนอำนาจศาลให้ได้ดุลยภาพมากขึ้น ลดทอนอำนาจกองทัพ คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ปรับปรุงโครงสร้างและที่มาของศาลรัฐธรรมนูญเสียใหม่ โดยมีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้ </b></p><blockquote style="margin-top: 1.5em; margin-right: 1.5em; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 1.5em; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: italic; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; quotes: ''; color: rgb(102, 102, 102); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><b>๑.) ให้ศาลพลเรือนมีเขตอำนาจเหนือทหารและบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีกล่าวหาว่าทหารและบุคคลเหล่านั้นก่อกบฏล้มล้างรัฐบาลหรือก่ออาชญากรรมต่อรัฐ<br />๒.) เพิ่มจำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจากเดิม ๑๑ คน เป็น ๑๗ คน จากเดิมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดมาจากการเสนอชื่อโดยศาลและให้ประธานาธิบดีลงนามแต่งตั้ง โดยดำรงตำแหน่งจนถึงอายุ ๖๕ ปี เปลี่ยนมาเป็นสภาแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ๓ คน และอีก ๑๔ คนประธานาธิบดีแต่งตั้งโดยเลือกจากบัญชีที่เสนอจากสภาทนายความ จากสภาสูงการศึกษา และศาล โดยมีวาระดำรงตำแหน่ง ๑๒ ปี<br />๓.) เพิ่มจำนวนคณะกรรมการตุลาการ (กต.) จาก ๗ คน เป็น ๒๒ คน โดย ๔ คนแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี<br />๔.) ทหารที่ถูกสภาทหารสูงสุดปลดออกจากตำแหน่งมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้<br />๕.) รับรองสิทธิและเสรีภาพใหม่ๆ เช่น สิทธิสตรี สิทธิของผู้ด้อยโอกาส สิทธิของชนกลุ่มน้อย และคุ้มครองข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลมากขึ้น<br />๖.) กำหนดให้มีผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา</b></p></blockquote><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>นอกจากนี้ ในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมยังมีบทบัญญัติยกเลิกมาตรา ๑๕ ซึ่งเป็นบทบัญญัติชั่วคราวในรัฐธรรมนูญ ๑๙๘๒ โดยมาตรา ๑๕ บัญญัติว่า <i>“การฟ้องร้องหรือดำเนินคดีให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือรัฐบาลที่แต่งตั้งโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติต้องรับผิดทางอาญา ทางแพ่ง หรือทางกฎหมายใดเนื่องจากการกระทำใดๆของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติและรัฐบาล ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๑๙๘๐ จนถึงวันที่สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่เริ่มปฏิบัติหน้าที่ ไม่อาจทำได้”</i> พูดง่ายๆก็คือ มาตรา ๑๕ สร้างเอกสิทธิ์และความคุ้มกันให้แก่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐบาล ในการไม่ถูกดำเนินคดีหรือถูกฟ้องนั่นเอง </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมรวม ๒๖ มาตรา ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่ยังไม่อาจมีผลใช้บังคับได้ เพราะ ได้เสียงเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภาไม่ถึงร้อยละ ๗๐ จึงต้องนำไปให้ประชาชนออกเสียงลงประชามติ รัฐบาลกำหนดวันออกเสียงลงประชามติในวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๐๑๐ โดยเจตนาให้ตรงกับวันครบรอบ ๓๐ ปีรัฐประหาร ๑๒ กันยายน ๑๙๘๐ นายกรัฐมนตรี Recep Tayyip Erdogan ประกาศว่า <i>“วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๐๑๐ เป็นวันอันเหมาะสมที่สุดสำหรับการเผชิญหน้ากับการทรมาน ความโหดเหี้ยม และการปฏิบัติอันไร้มนุษยธรรมของรัฐประหาร ๑๒ กันยายน ๑๙๘๐” </i></b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>ในรัฐธรรมนูญตุรกี การออกเสียงประชามติเป็นหน้าที่ ผู้มีสิทธิออกเสียงมีหน้าที่ต้องไปออกเสียงประชามติ หากผู้ใดไม่ไปออกเสียง ต้องถูกปรับ (ประมาณ ๖๐๐ บาท) ผลปรากฏว่าประชาชนชาวตุรกีได้ออกเสียงลงประชามติเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนร้อยละ ๕๗.๙๐ ไม่เห็นชอบร้อยละ ๔๒.๑ มีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงร้อยละ ๗๗ (จำนวนร้อยละ ๒๐ ที่ไม่มาออกเสียงนั้น ส่วนใหญ่เป็นฐานคะแนนของพรรคสังคมประชาธิปไตยที่ประกาศบอยคอตไม่ร่วมการออกเสียงประชามติครั้งนี้) </b></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>เมื่อรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมีผลใช้บังคับ นั่นเท่ากับว่า บทบัญญัติว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของคณะรัฐประหารและพวก (คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติและรัฐบาล) ในการไม่ถูกดำเนินคดีหรือถูกฟ้อง ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ดังนั้น ภายหลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้วันเดียว การทดสอบท้าทายตอบโต้รัฐประหาร๑๒ กันยายน ๑๙๘๐ ก็เริ่มขึ้น สมาคมนักกฎหมายและนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนเดินหน้ากล่าวโทษนายพล Kenan Evren (ปัจจุบันอายุ ๙๔ ปี) และพวกในความผิดฐานกบฏ ความผิดอาญาฐานอื่นๆ ตลอดจนความรับผิดทางแพ่ง<br /> </b></p><div align="center" style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; "><b>........................</b></div><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><b>นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในเยอรมนี, ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, กรีซ, สเปน และตุรกีที่สมควรหยิบยกมาแสดงเป็นตัวอย่างว่า การลบล้างการกระทำใดๆในสมัยเผด็จการสามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องกังวลใจว่าใครจะได้ประโยชน์ เพราะ ในท้ายที่สุด ระบบกฎหมายแบบนิติรัฐ-ประชาธิปไตยนั่นแหละที่เราจะได้กลับมา พร้อมกับ “สั่งสอน” บุคคลที่กระทำการ ร่วมมือ ตลอดจนสนับสนุนเผด็จการได้อีกด้วย อีกทั้งเป็นการประกาศให้เห็นทั้งในทางสัญลักษณ์ ในทางประวัติศาสตร์ และในทางกฎหมายว่า ต่อไปนี้ หากมีรัฐประหารเกิดขึ้นอีก ก็เป็นไปได้ว่าเมื่อคณะรัฐประหารหมดอำนาจลง ระบบการเมือง-กฎหมายเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ ประชาชนในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ตัวจริงในระบอบประชาธิปไตย ย่อมมีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการ “ลบล้าง” ผลพวงของรัฐประหาร และนำตัวคณะรัฐประหารมาลงโทษ </b></p><p style="font-weight: normal; margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; color: rgb(34, 34, 34); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; ">__________________________________________</p><blockquote style="font-weight: normal; margin-top: 1.5em; margin-right: 1.5em; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 1.5em; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: italic; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; quotes: ''; color: rgb(102, 102, 102); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><b>เชิงอรรถ</b><br /><sup style="font-size: 12px; ">๑</sup> ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนแรกในสมัยระบอบวิชี่ มีบทบาทสำคัญในการบริหารและกำหนดทิศทางการทำงานของศาลปกครอง </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><sup style="font-size: 12px; ">๒</sup> ศาสตราจารย์กฎหมาย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีส ผู้เขียนตำรากฎหมายรัฐธรรมนูญหลายเล่ม ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนที่สองในสมัยระบอบวิชี่</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><sup style="font-size: 12px; ">๓</sup> ศาสตราจารย์กฎหมาย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีส ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีการศึกษาและเยาวชน มีบทบาทสำคัญในการปลดศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยที่มีเชื้อชาติยิว</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><sup style="font-size: 12px; ">๔</sup> ศาสตราจารย์กฎหมาย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบอร์กโดซ์ เขียนตำรากฎหมายปกครองหลายเล่ม แม้เขาจะไม่เข้าดำรงตำแหน่งใดๆในรัฐบาล แต่ได้ประกาศอย่างชัดเจนต่อสาธารณะว่าพร้อมปวารณาตัวรับใช้และสนับสนุนระบอบวิชี่อย่างไม่มีเงื่อนไขและอย่างเต็มความสามารถ โดยมุ่งเน้นไปในงานทางวิชาการเพื่อรับรองความชอบธรรมของระบอบวิชี่และสนับสนุนนักกฎหมายที่รับใช้ระบอบวิชี่ ผ่านบทความต่างๆที่เสนอในวารสาร Revue du Droit public (วารสารกฎหมายมหาชน) ที่เขาเป็นบรรณาธิการ</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><sup style="font-size: 12px; ">๕</sup> คำว่า “สาธารณรัฐ” ในบริบทของฝรั่งเศส ไม่ใช่หมายถึงเพียงรัฐที่มีประมุขของรัฐเป็นประธานาธิบดี ไม่ใช่ตำแหน่งที่สืบทอดทางสายโลหิตแบบกษัตริย์เท่านั้น แต่ยังหมายความถึงความเป็นนิติรัฐ ความเป็นประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมและพหุนิยมด้วย จะสังเกตได้ว่า คำว่า République ที่ใช้ในบริบทของฝรั่งเศส จะเขียนด้วยตัวอักษร R ตัวใหญ่เสมอ นั่นหมายความว่า มีลักษณะเฉพาะและแตกต่างจาก république </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><sup style="font-size: 12px; ">๖</sup> คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ๑๔ มิถุนายน ๑๙๔๖, Ganascia คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ๔ มกราคม ๑๙๕๒, Epoux Giraud คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ๒๕ กรกฎาคม ๑๙๕๒, Delle Remise </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><sup style="font-size: 12px; ">๗</sup> คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ๑๒ เมษายาน ๒๐๐๒, Papon คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๐๐๙, Hoffman Glemane </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "></p></blockquote><blockquote style="font-weight: normal; margin-top: 1.5em; margin-right: 1.5em; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 1.5em; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: italic; font-size: 14px; font-family: Tahoma; vertical-align: baseline; quotes: ''; color: rgb(102, 102, 102); line-height: 21px; text-align: -webkit-auto; "><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 1.5em; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; "><strong>ที่มา:</strong> <a href="http://www.enlightened-jurists.com/directory/192" style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; border-image: initial; font-style: inherit; font-family: inherit; vertical-align: baseline; color: rgb(0, 102, 153); outline-style: none; outline-width: initial; outline-color: initial; ">เว็บไซต์นิติราษฎร์</a><br /><br type="_moz"></p></blockquote><br class="Apple-interchange-newline"></div><div style="font-size: 100%; font-weight: normal; "><br /></div>กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-64926336984036420682012-03-22T11:53:00.003+07:002012-03-22T11:58:02.021+07:00อำนาจกับการขบถ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkyjhpuU8_kvuqAIqUulp9m4b0yVy_d7d34ULUglUWrzIcv80O65YEYVcRh6kEP6eRSnzC0qdnA8mcCJFj2UKx4lcFp-FjF_ECrcQpscFUmi9Gx5LfjjHL87buobeIYwme6oSQYuGG2vs/s1600/images.jpg" style="font-size: 100%; "><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 176px; height: 287px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkyjhpuU8_kvuqAIqUulp9m4b0yVy_d7d34ULUglUWrzIcv80O65YEYVcRh6kEP6eRSnzC0qdnA8mcCJFj2UKx4lcFp-FjF_ECrcQpscFUmi9Gx5LfjjHL87buobeIYwme6oSQYuGG2vs/s320/images.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5722580886863082018" /></a><br /><div style="font-size: 100%; "><br /></div><div style="font-size: 100%; "><br /></div><div style="font-size: 100%; "><br /></div><div><div class="main section" id="main"><div class="widget Blog" id="Blog1"><div class="blog-posts hfeed"><div class="date-outer"><div class="date-posts"><div class="post-outer"><div class="post hentry"><div class="post-body entry-content"><p><span style="font-size: 130%; color: rgb(51, 51, 255); ">ถ้า</span><span style="font-size: 100%;">หาก งาน ‘คลาสสิค’ หมายถึงผลงานซึ่งเป็นที่รู้จัก มีคนนิยม หรือทรงอิทธิพลข้ามยุคสมัย บางกรณีข้ามวัฒนธรรมด้วยซ้ำไป ถ้าเช่นนั้น หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ประสบปัจจัยหลายอย่าง </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(รวมทั้งคุณสมบัติบางประการของงานชิ้นนี้เองด้วย) </span><span style="font-size: 100%;">ที่ฉุดรั้งบั่นทอนชีวิตของผลงานชิ้นนี้ให้สั้นลง และแคบเข้า หรือลดทอนคุณค่าความสำคัญลงไป</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">กระนั้น ก็ตาม หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ยังคงเป็นนิยายที่มีคนรู้จักมากที่สุดชิ้นหนึ่งในโลกภาษาอังกฤษ ยังเป็นวรรณกรรมที่อ่านกันตามหลักสูตรของโรงเรียนมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย จำนวนมาก ยังได้รับการตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก และยังคงมีบทความ หนังสือ และงานวิจัยเกี่ยวกับหนังสือนี้ตีพิมพ์ออกมาจนทุกวันนี้</span><br /><br /><br /><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 102, 0); ">หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ก่อนและหลัง 1984</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">หนึ่ง-เก้า-แปด- สี่ ต่างจากผลงานอมตะโดยทั่วไปตรงนี้แหละ กล่าวคือ ในขณะที่ผลงานอมตะส่วนใหญ่ได้รับการต้อนรับข้ามเวลา ข้ามวัฒนธรรม เพราะสามารถสื่อสารถึงลักษณะทั่วไปของมนุษย์ ซึ่งไม่ว่าเมื่อไรก็ย่อมยินดีเสพอาหาร สมอง / วิญญาณมนุษย์ดังกล่าว แต่ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ กลับเสนอด้านลบของสังคมและปัจเจกบุคคล จนหลายแห่งปฏิเสธว่าตนมิได้มีคุณลักษณะอย่างที่ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ กล่าวไว้ แต่ว่ากลับชี้นิ้วไปยังศัตรู คู่ต่อสู้หรือสังคมอื่นว่าเป็นอย่างที่ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ กล่าวไว้ คงมีแต่พวกขบถ หรือพวกแหกคอกในสังคมหนึ่งๆ เท่านั้นที่ยอมรับว่าสังคมของตนเองเป็นอย่างที่ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ว่าไว้เป๊ะเลย หนังสือเล่มนี้ยืนยงมาจนทุกวันนี้เพราะเป็นตัวแบบด้านลบของสังคมทุกแห่ง เป็น ‘ปิศาจ’ ที่คอยหลอกหลอนทุกแห่งตลอดมาว่าใช่เลย ตนเองเป็นอย่างนั้น เป็นมานานแล้ว</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">มีผู้ประกาศให้ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ จบชีวิตหมดความสำคัญไร้ความหมายมาแล้วหลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดปิศาจตนนี้ยังคงหลอกหลอนเราอยู่จนทุกวันนี้ และดูเหมือนว่าจะยังคงอยู่กับสังคมสมัยใหม่ไปอีกนาน ตั้งแต่แรกหนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี 1949 สงครามเย็น </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(cold war)</span><span style="font-size: 100%;"> และการแบ่งเป็นค่ายโลกเสรีกับค่ายคอมมิวนิสต์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ความเกลียดกลัว คอมมิวนิสต์เข้มข้นขึ้นพอๆ กับกระแสต่อต้านโลกทุนนิยม ฝ่ายโลกเสรีโฆษณาว่า หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ เตือนให้เห็นถึงนรกของสังคมแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(totalitarianism)</span><span style="font-size: 100%;"> ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในสังคมคอมมิวนิสต์อย่างสหภาพโซเวียตยุคสตาลิน และจะขยายตัวพร้อมกับอิทธิพลของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ในทางกลับกัน ปัญญาชนจำนวนไม่น้อยออกมาต่อต้านโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าว โดยย้อนกลับว่า หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ เสนอภาพอันตรายของสังคมทุนนิยมสมัยใหม่ที่อำนาจของเทคโนโลยีพัฒนาจนเกิด เทคโนโลยีแห่งอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในกรณีลัทธิฟาสซิสม์ของโลกทุนนิยม</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ตั้งแต่ แรกเริ่ม หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ อิงประวัติศาสตร์และภูมิหลังที่เป็นจริงมากเกินไป หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นนิยายแห่งอนาคตที่ “too historical” คือแทนที่จะพูดถึงมนุษย์และสังคมอย่างข้ามกาลเวลาอย่างอมตะนิยายอื่นๆ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ กลับมีนัยประวัติศาสตร์มากไป ตั้งแต่ชื่อของมันที่บ่งบอกหลักหมายทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนแน่นอนเกินไป ภูมิหลังของหนังสือผูกพันกับสงคราม 2 ค่าย ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และสาระสำคัญของหนังสือสะท้อนความกังวลต่อโลกยุคหลังสงครามอย่างชัดเจน</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">หนึ่ง-เก้า-แปด- สี่ จึงถูกใช้เป็นอาวุธของฝ่ายหนึ่งเพื่อชี้ให้เห็นความเลวของอีกฝ่าย ปัญญาชนขบถของโลกเสรีใช้เปรียบเทียบให้เห็นการผูกขาดข่าวสารอย่างซับซ้อนแนบ เนียนของทุนมหึมาทั้งหลาย หรือให้เห็นการครอบงำเบ็ดเสร็จในโลกทุนนิยมสมัยหลังๆ แต่แนบเนียนยิ่งกว่า หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ส่วนปัญญาชนขบถของโลกสังคมนิยมในยุโรปตะวันออกถือว่า หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ บอกกล่าวล่วงหน้าถึงอันตรายของเทคโนโลยีในมือของเผด็จการโดยพรรค</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ณ ปี 1984 ขณะที่การประจันหน้าของ 2 ค่ายอยู่ในภาวะตึงเครียดมาก ถึงจุดที่แต่ละฝ่ายอาจกดปุ่มส่งอาวุธนิวเคลียร์ไปทำลายค่ายตรงข้าม ณ นาทีใดนาทีหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างกว้างขวาง แต่นอกจากจะเป็นเครื่องมือให้กับการโฆษณาชวนเชื่อของโลกเสรีแล้ว ปัญญาชนทั้งขบถไม่ขบถทั้งหลายในโลกภาษาอังกฤษซึ่งมีผู้อ่านกว้างขวางกว่าหัน มาพิจารณามุมอื่นๆ ของหนังสือมากขึ้น ที่สำคัญได้แก่ คำถามว่าจริงหรือที่เทคโนโลยีเป็นปัจจัยก่อให้เกิดอำนาจเบ็ดเสร็จอย่างไม่ เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ หรือในทางกลับกัน อำนาจเบ็ดเสร็จจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงหรือไม่ ดูตัวอย่างสังคมปิดเทคโนโลยีต่ำ แต่เผด็จการเบ็ดเสร็จอย่าง พม่า เกาหลีเหนือ หรือกัมพูชายุคเขมรแดงเป็นต้น การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นอันตรายต่อสังคมสมัยใหม่จริงหรือ มีปัจจัยอะไรอื่นอีกไหมที่จะป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเช่นนั้นได้</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">และประเด็นอื่นๆ อีกมาก</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">หลาย คนเห็นว่า หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ หมดความหมายลงในปี 1984 นั่นเอง เพราะสังคมเผด็จการเบ็ดเสร็จด้วยอำนาจเทคโนโลยีไม่ได้เกิดขึ้นในขอบเขตทั่ว โลกอย่างที่ออร์เวลล์ได้พยากรณ์ไว้ ไม่กี่ปีต่อมาเมื่อค่ายสังคมนิยมพังทลายลงทั่วยุโรปตะวันออกแม้แต่ในสหภาพ โซเวียตเองส่วนจีนกำลังเร่งปรับตัวสู่ทุนนิยมสมัยใหม่เร็วยิ่งกว่าหลาย ประเทศในค่ายโลกเสรี ภาวะเช่นนี้ทำให้มีผู้ออกมาประกาศว่า หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ หมดความหมายเสียแล้ว เพราะความจริงปรากฏตำตาเราว่า ยิ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่และทุนนิยมพัฒนาขึ้นทั่วทั้งโลก กลับยิ่งเอื้ออำนวยต่อเสรีภาพ และประชาธิปไตยจนแผ่กว้างอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงขนาดที่นักวิชาการออกมาประกาศว่า ประวัติศาสตร์สิ้นสุดลงแล้ว ในแง่ที่เป็นการประกาศชัยชนะของทุนนิยมเสรี</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">สำหรับอีกหลายคนทศวรรษ 1990 ยิ่งพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต เป็นเครื่องมือปลดปล่อยปัจเจกชนและเปิดโอกาสให้ชนกลุ่มน้อยในทุกสังคมทั่ว โลกสามารถสร้างพื้นที่ของตนได้ มีช่องทางดำรงอยู่ได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องพึ่งทุนนิยมขนาดใหญ่ ไม่ต้องเข้าไปอิงแอบเป็นติ่งขององค์กรหรือพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ปัจเจกชนและเสียงข้างน้อยเหล่านี้สามารถมีส่วนร่วมทางการเมือง ทั้งหนุนและบ่อนทำลายอำนาจได้ง่ายขึ้น ส่งผลกระทบกว้างขวางขึ้นกว่ายุคก่อนคอมพิวเตอร์และก่อนอินเตอร์เน็ต</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">เทคโนโลยี ขั้นสูงในระยะหลังมานี้ เป็นเครื่องมือเพื่อต่อสู้กับอำนาจ ไม่ใช่เครื่องมือของอำนาจแต่ฝ่ายเดียวอีกต่อไป ออร์เวลล์ผิด พยากรณ์ผิด เข้าใจเทคโนโลยีกับอำนาจอย่างผิดๆ</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">แต่จนแล้วจนรอด ผู้คนยังคงอ่าน หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ มากมายอยู่เช่นเคย หนังสือเกี่ยวกับ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ล่าสุดเล่มหนึ่งถึงกับเสนอว่า หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ช่างเหมาะกับโลกยุคหลังเหตุการณ์ 9/11 มากกว่าโลกในปี 1984 เสียอีก</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">หนึ่ง-เก้า-แปด- สี่ โดนจับใส่บริบททางประวัติศาสตร์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าในปี 1949 หรือตลอดยุคสงครามเย็น หรือในปี 1984 หรือหลังสงครามเย็นสิ้นสุดลงและหลังจากนั้น การอ่าน หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ให้เข้ากับบริบททางประวัติ-ศาสตร์เป็นการจับ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ให้หยุดนิ่ง ทำให้ความหมายของหนังสือสิ้นสุดลงเพราะตายตัว แต่ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ สามารถหลุดรอดออกนอกบริบทประวัติศาสตร์ได้สำเร็จเรื่อยมา ชีวิตของ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ จึงดำเนินต่อ มาไกลเกินกว่าที่ออร์เวลล์จะคาดคิดได้</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">คำ ตอบ: แม้ว่า หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ จะเป็นวรรณกรรมว่าด้วยการเมืองและอำนาจที่สามารถถูกจับผิดใส่บริบทต่างๆ กันได้อยู่เรื่อย แต่เอาเข้าจริงประเด็นเรื่องการเมืองและอำนาจอย่างที่ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ เสนอกลับเป็นปัญหาที่ยังคงเกิดขึ้นอยู่เรื่อยในรูปการต่างๆ กันในการเมืองสมัยใหม่หลายแห่งในโลกตราบจนทุกวันนี้</span><br /><br /><br /><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 102, 0); ">สังคมแบบ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">หนึ่ง-เก้า-แปด- สี่ เป็นวรรณกรรมประเภท dystopia บางที่เรียกว่า negative utopia หมายถึงตรงข้ามกับสังคมอุดมคติ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ เป็นเรื่องของสังคมเผด็จการเบ็ด เสร็จโดยผู้ปกครองกลุ่มเล็กๆ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร มีอำนาจล้นฟ้าเด็ดขาดอย่างสัมบูรณ์ในการควบคุมบงการประชาชนทั้งสังคม ออร์เวลล์สร้างภาพว่าสังคม หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(โอชันเนีย)</span><span style="font-size: 100%;"> ทำเช่นนี้ได้เพราะเทคโนโลยีขั้นสูงอยู่ในมือผู้มีอำนาจ ผู้อ่าน ณ ปีปัจจุบันอาจรู้สึกขบขันต่อภาพพจน์ของเทคโนโลยีล้ำยุคตามจินตนาการของ ออร์เวลล์ เพราะดูจะเป็นเทคโนโลยีโบราณเสียเหลือเกิน ทำนองเดียวกับเทคโนโลยีโบราณของยานอวกาศเอ็นเตอร์ไพรซ์ในศตวรรษที่ 24 เทคโนโลยีของผู้มีอำนาจในโอชันเนียที่สำคัญที่สุดคือจอทีวีที่ใช้สอดส่องผู้ คนทุกซอกมุมของชีวิต ออร์เวลล์ยังนึกไม่ถึงสมองกล สมาร์ทการ์ด ระบบดาวเทียมสื่อสารที่ใช้สำหรับสอดแนมและเฝ้าดูมนุษย์บนผิวโลกและอื่นๆ อีกมากมาย</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์เลยสักนิดเดียว ทำนองเดียวกับ Animal Farm อันโด่งดังอีกเล่มของออร์เวลล์ก็ไม่ใช่นิยายเด็ก แต่เป็นเรื่องเครียดและโหดร้ายเพื่อเสียดสีการเมืองของระบอบสตาลิน </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(เคยมีผู้ผลิตเป็นภาพยนตร์การ์ตูน ปรากฏว่าล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะไม่ใช่สำหรับเด็ก)</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ประเด็น สำคัญของ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ล้วนแต่เป็นคำถามของสังคมและรัฐสมัยใหม่ยุคของเราในปัจจุบันทั้งนั้น ได้แก่ อำนาจของรัฐทำอะไรกับผู้คน ทำได้อย่างไร การควบคุมความคิดขนาดนั้นเป็นไปได้หรือ จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้คนและต่ออำนาจของรัฐเอง มนุษย์จริงๆ จะยอมหรือ ถ้ายอม มนุษย์จะกลายเป็นอะไร ถ้าไม่ยอมมนุษย์จะตอบโต้อย่างไร</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">หนึ่ง-เก้า-แปด- สี่ ไม่ได้กล่าวถึงการควบคุมด้วยกำลัง หรือการใช้อำนาจทางกายสักเท่าไร ที่สำคัญกว่าคือการควบคุมความคิดจิตใจอย่างเบ็ดเสร็จ โอชันเนียมี Big Brother เป็นรูปธรรมของอำนาจที่เฝ้าจับตามองประชาชนทุกๆ คนอยู่ตลอดเวลา ทุกนาที ทุกซอกมุมของชีวิต นับจากลืมตาตื่นจนนอนตาหลับ Big Brother ปรากฏอยู่ทุกแห่งราวกับพระเจ้า เผยตัวเป็นรูปธรรมบนจอทีวีทุกขณะจิตของชีวิต</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ขบถ อย่างวินสตันโดนทรมานและโดน ‘ล้างสมอง’ ในท้ายที่สุด แต่น่าคิดมากกว่าคือ คนทั่วไปในสังคมนั้นที่เชื่อฟังอำนาจอย่างสงบราบคาบ อำนาจควบคุมสังคมได้ด้วยการควบคุมความคิด สามารถ ‘ล้างสมอง’ ได้โดยไม่ต้องทรมานเลยสักนิด</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ออร์เวลล์ให้ความสำคัญกับการควบคุมข่าวสาร ควบคุมความรู้ประวัติศาสตร์และควบคุมภาษา </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(ศัพท์และความหมาย)</span><span style="font-size: 100%;"> แถมด้วยพิธีกรรมแวดล้อมอีกจำนวนหนึ่งเช่นการประณามศัตรูร่วมกันในที่สาธารณะ เป็นต้น ในสังคม หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ อำนาจบงการข่าวสารที่สาธารณชนพึงรับรู้และไม่ต้องรู้ บงการสาระของข่าวสารจนถึงรายละเอียด เปลี่ยนกลับไปกลับมาชั่วข้ามวันก็ได้ จากมิตรเป็นศัตรูหรือกลับกันก็ยังได้</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ประวัติศาสตร์มีความสำคัญต่อสังคมเผด็จการเบ็ดเสร็จเพราะเป็นความรู้เพื่ออธิบายและให้ความชอบธรรมแก่ปัจจุบัน </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(ซึ่งเปลี่ยนได้ชั่ววันข้ามคืน)</span><span style="font-size: 100%;"> ดังนั้นเมื่อปัจจุบันเปลี่ยน อดีตจึงต้องเปลี่ยนด้วย เพื่อให้สมเหตุสมผลกัน ออร์เวลล์สร้างวาทะอมตะที่ใช้กันต่อมาอย่างแพร่หลาย ในรูปต่างๆ นั่นคือคำขวัญของอำนาจในโอชันเนียที่ว่า “ผู้ที่ควบคุมปัจจุบันย่อมบงการอดีตได้ ผู้ที่ควบคุมอดีตได้ย่อมบงการอนาคตได้”</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ออร์เวลล์เล่นตลกกับชื่อและ คำที่แพร่หลายในโอชันเนีย อาทิเช่น เขาเรียกหน่วยงานที่รับผิดชอบการผลิตข่าวสารและแก้ไขประวัติศาสตร์ว่า กระทรวงแห่งความจริง </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(Ministry of Truth)</span><span style="font-size: 100%;"> แต่แล้วกลับถากถางชื่อนั้นเสียเอง เพราะชื่อย่อของกระทรวงดังกล่าวคือ Minitru ในทำนองเดียวกัน เขาให้ความสำคัญกับการควบคุมภาษา คำ และความหมายในโอชันเนียว่าเป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่งในการควบคุมความ คิดของคน ศัพท์ที่ออร์เวลล์สร้างขึ้นสำหรับการเล่นตลกกับภาษาได้แก่ Newspeak และ Doublethink ในตัวมันเองเป็นตัวอย่างที่ดีของ Newspeak และ Doublethink นั่นคือความหมายตรงตัวและความหมายตามนัยตรงข้ามกันลิบลับ หรือสามารถบังคับให้ความหมายดีกลายเป็นเลว เลวกลายเป็นดี สงครามคือสันติภาพ ขาวดำสลับกันไปหมด</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ออร์เวลล์ออกจะล้ำยุคกว่าใครอื่นเล็กน้อยที่เน้น ความสำคัญของการควบคุมภาษา คำ และความหมาย ว่าเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมความคิดคน เหตุผลประเภทที่ว่า ถ้าไม่มีศัพท์สักคำเดียวเกี่ยวกับการขบถต่อสังคม ก็จะไม่มีการขบถต่อสังคม อาจฟังดูเป็นเหตุผลที่ตลกดี และคงจะยิ่งเป็นเหตุผลไร้สาระสำหรับผู้อ่านในยุคก่อนที่วิตเกินชไตน์และ ปรัชญาภาษาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีทางสังคมอย่างทุกวันนี้</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ใน ทางกลับกัน หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ อาจดูเชยแหลกสำหรับโลกยุคสมองกลและอินเตอร์เน็ต เทคโนโลยีที่ล้ำยุคและแทรกซึมทุกอณูชีวิตใน หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ คือ จอทีวี ซึ่งดูจะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าจ้องมองเราทุกฝีก้าว เป็นสัญญาณของการควบคุมสอดส่องโดยอำนาจ อำนาจแบบ Big Brother เป็นอำนาจแบบหยาบ ไม่เนียน ไม่มีเสน่ห์ชวนคล้อยตาม เชื่อฟัง หลงใหล หรือจงรักภักดี การควบคุมความคิดอย่างที่โอชันเนียกระทำดูหักหาญ บีบบังคับ สร้างความกลัว ไม่ซับซ้อนซ่อนเล่ห์อะไรเลย ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์ปุถุชนจะตื้นเขินขนาดนั้น แต่ครั้นจะดูเบาจอทีวีก็คงไม่ได้ ในสังคมมุขปาฐะที่พัฒนาแล้วอย่างประเทศไทย จอทีวีดูจะมีอิทธิพลต่อการควบคุมข่าวสาร สร้างความรู้</span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); "> (อย่างที่อำนาจต้องการ)</span><span style="font-size: 100%;"> และสร้าง Newspeak และ Doublethink มากมหาศาลอย่างที่เราคาดไม่ถึง เพราะทีวีเป็นเทคโนโลยีมุข- ปาฐะแบบล้ำยุคทันสมัยที่สุด แถมยังเป็นการสื่อสารทางเดียว เหมาะเจาะที่สุดสำหรับอำนาจจะใช้ล้างสมองประชาชน แม้แต่ภาคประชาชนก็ยังนิยมใช้ทีวีในการยัดเยียดความคิดของตนให้สาธารณชนไม่ ต่างจากรัฐแบบมุขปาฐะสักเท่าไร</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ได้ฝากคำสำคัญๆ ไว้ในโลกภาษาอังกฤษ หลายคำที่ยังคงรู้จักแพร่หลายและใช้อยู่จนทุกวันนี้ อาทิเช่น Big Brother, Newspeak, Doublethink เป็นต้น แต่มรดกที่ทำให้ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ไม่หมดอายุไปง่ายๆ กลับไม่ใช่คำเก๋ๆ ในภาษาอังกฤษเหล่านั้น แต่คือสาระสำคัญของหนังสือเกี่ยวกับอำนาจในสังคมการเมืองสมัยใหม่ ได้แก่ ปัญหาเรื่องอำนาจกับสังคมและสาธารณชน เรื่องเทคโนโลยีระดับสูงในการควบคุมกล่อมเกลาความคิดประชาชนด้วยข่าวสาร ประวัติศาสตร์และภาษา และปัญหาเรื่องสังคมส่วนรวมกับปัจเจกชนและการขบถ จินตนาการของออร์เวลล์ในแทบทุกประเด็นที่กล่าวมาค่อนข้างทื่อและไม่ซับซ้อน บางคนว่าออร์เวลล์คาดการณ์ผิดพลาดหมด ตื้นเขินไปหน่อย บางคนว่าออร์เวลล์ถูก แต่ความเป็นจริงแนบเนียน ซับซ้อนเกินกว่าที่จะคาดการณ์ได้ชัดเจน แต่แทบทุกประเด็นคือปัญหาใหญ่ที่ยังคงเป็นหัวใจของการถกเถียงเกี่ยวกับการ เมืองของโลกสมัยใหม่ เราลองมาพิจารณาประเด็นเหล่านี้ดู</span><br /><br /><br /><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 102, 0); ">โฉมหน้าสองแบบของอำนาจ</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">จินตภาพของ Big Brother ใน หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ชวนให้เรานึกถึงอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จแบบไหน</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><span style="font-size: 100%;"> ลองนึกดู หากมีหน้าสตาลินอยู่บนจอทีวีทุกซอกมุมในสังคมรวมทั้งในบ้านเราเอง เราอาจคิดว่าออร์เวลล์สร้างภาพน่าสะพรึงกลัวแบบเชยๆ แต่ปรากฏการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อหรือเป็นไปไม่ได้ ลองนึกบรรยากาศเหมือนเดินอยู่ใจกลางปราสาทบายนที่มีใบหน้าของอวโลกิเตศว รฉบับชัยวรมันที่ 7 จ้องมองเราอยู่ทุกฝีก้าว ถึงแม้จะเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยิ้มน้อยๆ ก็ยังน่ากลัวขนหัวลุก จากนั้นลองนึกถึงชีวิตปกติที่ไปที่ไหนก็มีท่านผู้นำหรือผู้มีบารมีที่คนทั้ง ประเทศเคารพเทิดทูนสรรเสริญวันละหลายเวลา Big Brother อาจก่อความกลัวมากกว่าความย่ำเกรง ในขณะที่ท่านผู้นำผู้มีบารมีในความเป็นจริงก่อให้เกิดความยำเกรงและสยบยอมจง รักภักดีต่ออำนาจก็เป็นได้</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ในโลกที่เป็นจริงจึงอาจไม่มี Big Brother จ้องจับผิดเราโต้งๆ ตลอดเวลา แต่เราคิดว่าสังคมที่เป็นจริงไม่มี Big Brother คอยสอดส่องเราอยู่เงียบๆ กระนั้นหรือ แถม Big Brother ของจริงอาจสั่งสมประสบการณ์ว่าจะมัวเฝ้าดูเราทุกฝีก้าวย่อมเสียเวลาเปล่า อำนาจที่มีประสิทธิภาพไม่ต้องทำตัวเป็นแค่ยามเฝ้าธนาคารหรือห้างสรรพสินค้า การเฝ้ามองอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพกว่าสามารถทำได้ในรูปแบบอื่นๆ เช่น เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเงิน ดูคนเพียงไม่กี่คนหรือการประชุมเฉพาะเฉพาะแห่ง เป็นต้น</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">เราไม่โดนควบคุมบงการ หรือเราโดนแบบไม่รู้ตัว ไม่โฉ่งฉางอย่าง Big Brother</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><span style="font-size: 100%;"> หากเราบอกปัดจินตนาการเกี่ยวกับ Big Brother ไปอย่างง่ายๆ เพียงเพราะไม่มีจอทีวีหน้าสตาลินอยู่ในบ้านเรา เราอาจจะเข้าใจ 1984 พลาดไปอย่างน่าเสียดาย</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">จินตภาพของผู้มีอำนาจที่อยู่ข้างหลัง Big Brother ใน หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ชวนให้เรานึกถึงกลุ่มคน องค์กร ประเภทไหนกัน</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">นอก จากโฉมหน้าสาธารณะของอำนาจในรูปของ Big Brother บนจอทีวีแล้ว เรารู้จัก “พรรค” ที่ครองอำนาจในโอชันเนียผ่านโอไบรอัน เขาเป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อ ดูเผินๆ น่าคบได้ ใจกว้าง และมีมนุษย์สัมพันธ์ดี มีเสน่ห์ ชวนคล้อยตาม ต้อนรับความแตกต่างและสนับสนุนให้แสดงออก คุณลักษณะของโอไบรอันตรงข้ามกับภาพพจน์ของ Big Brother โดยสิ้นเชิง แต่ลงท้าย ผู้อ่านคงตระหนักตรงกันว่า โอไบรอันร้ายและ “น่ากลัว” กว่า Big Brother เสียอีก เพราะโฉมหน้าของอำนาจในรูปของโอไบรอันลึกลับซับซ้อนอ่านยากกว่าใบหน้าบนจอ ทีวีมากนัก</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">โอไบรอันเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นผู้มีอำนาจในโอชัน-เนีย แต่ในเวลาเดียวกัน เขารู้เรื่องพวกขบถดี และทำท่าเหมือนจะมีส่วนร่วมกับพวกขบถด้วยซ้ำไป เขาเป็นพวกต่อต้านอำนาจจากภายในศูนย์กลางใช่ไหม จึงเกี่ยวดองกับทั้งสองข้าง</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><span style="font-size: 100%;"> หรือว่าเขาก็เป็นเหมือนปัญญาชนสาธารณะที่มีชื่อเสียงตามปกติที่มักพร่ำสอน เรื่องการต่อต้านอำนาจ แต่เอาเข้าจริง กลับทำหน้าที่กล่อมเกลาให้พวกขบถยอมสยบต่ออำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่พวกขบถเกิดเอาจริงขึ้นมา</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">หรือเขาเป็นผู้มีอำนาจที่ทำตัวเป็นสปายสายลับมาแทรกซึมพวกการขบถ</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">หรือเพราะมือถือสากปากถือศีล</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">เขาจงใจหลอกลวงวินสตัน หรือเขาไม่ได้หลอกใครอื่นเลย แต่หลอก ตัวเองคนเดียวจึงตีสองหน้าได้อย่างจริงใจไม่ขัดเขิน</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ถ้าเราไม่ถือว่าโอไบรอันเป็นบุคคล แต่ออร์เวลล์ใช้ตัวละครนี้เป็น “บุคลาธิษฐาน” </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(personification) </span><span style="font-size: 100%;">ของ สิ่งนามธรรมที่เราเรียกว่าอำนาจ จากนั้นลองคิดถึงอำนาจอีกครั้งว่า ด้านหนึ่งแสดงตัวเป็น Big Brother บนจอทีวี อีกรูปหนึ่งแสดงตัวเป็นโอไบรอัน เราอาจเข้าในดีขึ้นว่า อำนาจมีรูปร่างหน้าตาโดยรวมอย่างไร</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">นั่นคือ อำนาจมีทั้งโฉมหน้าที่น่ากลัว จ้องจับผิด เล่นงานเราอยู่ทุกขณะชีวิตอย่าง Big Brother แต่อีกด้านของอำนาจ คือคนอย่างเราๆ ท่านๆ นี่แหละ เพียงแต่อ้างความรู้ดีกว่ามากกว่า อ้างความเชี่ยวชาญกว่า หรือคุณสมบัติเฉพาะทางอื่นๆ อำนาจที่ “เนียน” จะดูคมคายมมีเสน่ห์ชวนหลงใหล ชวนให้เราใจอ่อน ยอมเป็นผู้สนับสนุนหรือเป็นพวก แม้แต่วิญญาณขบถของวินสตันหรือของเราๆ ท่านๆ ยังถูกหลอม ละลายโดยโฉมหน้าของอำนาจแบบโอไบรอัน ไม่เห็นว่าเป็น ศัตรูเลวร้ายตรงไหน</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ปัญหา น่าคิดคือ ระหว่าง Big Brother – อำนาจควบคุมด้วยความกลัว กับอำนาจควบคุมประชาชนด้วยวิธีอื่น อย่างไหนมีประสิทธิภาพในการบงการความคิดจิตใจคนมากกว่ากัน</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">แล้วถ้าพระเดชประสานพระคุณ หรือความจงรักภักดีประสานความกลัวล่ะ</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">บุคลาธิษฐาน ของอำนาจอย่างโอไบรอันและที่ยิ่งกว่าโอไบรอันมีอยู่ในทุกสังคม ในความเป็นจริง อำนาจที่มีพลังทรงประสิทธิภาพมักไม่ใช่อำนาจแบบ Big Brother ด้วยซ้ำไป แต่มักเป็นอำนาจที่ “เนียน” ซึ่งไม่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่ากำลังโดนอำนาจครอบงำบงการอยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้วิธีทรมานแต่อย่างใด</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">อันที่จริงก็คงไม่มีจอม เผด็จการคนไหนในโลกเป็นจริงที่ไม่ประสานสองด้านเข้าด้วยกัน แม้แต่จอมเผด็จการในพม่า ลัทธิบูชาผู้นำในเกาหลีเหนือ หรือระบอบที่โหดเหี้ยมอื่นๆ ก็มีด้านที่สามารถเรียกความจงรักภักดีหรือสยบยอมอย่างสมัครใจรวมอยู่ด้วย ในกรณีลัทธิบูชาผู้นำ มักอาศัยการกล่อมประสาทให้เห็นแต่ด้านพระคุณวิเศษมากกว่าด้านพระเดชหรือความ กลัวด้วยซ้ำไป โฉมหน้าอำนาจแบบพระคุณก็ต้องอาศัยวิธีการอย่างใน หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ เช่นกัน ได้แก่ การควบคุมข่าวสาร เสนอแต่คุณวิเศษเหลือเชื่อวันละหลายเวลา ปกปิดข่าวสารด้านอื่น อย่างเก่งก็กลายเป็นแค่ข่าวลือ ควบคุมความรู้ แก้ประวัติศาสตร์ทั้งโดยเข้าใจผิด โดยตีความตามอุดมการณ์ และโดยจงใจโฆษณาชวนเชื่อจนทำให้ผู้คนหลงคิดว่าหากขาดท่านผู้นำ ประเทศของตนอาจล่มสลายตกทะเลไปนานแล้ว และใช้การควบคุมภาษา คำ และความหมาย จนไม่หลงเหลือศัพท์หรือภาษาที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำสมมติเทพได้เลย นานวันเข้า แม้แต่จะตีความประวัติศาสตร์เบี่ยงออกจากมาตรฐาน หรือใช้คำไม่สูงพอกับความเป็นสมมติเทพก็อาจกลายเป็นอาชญากรรมทางความคิดได้</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">อย่าง ไรก็ตามลัทธิบูชาผู้นำทุกแห่งรายล้อมพระคุณด้วยพระเดช ปกป้องค้ำจุนความจงรักภักดีด้วยความกลัว ท่ามกลางการแซ่ซ้องสรรเสริญ มีการกำจัดปราบปรามอาชญากรทางความคิดอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งสูงส่งก็ยิ่งต้องเข้มงวดรุนแรง</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">Big Brother ของโอชันเนียไม่แสดงออกด้านที่เป็นพระคุณ จนอดคิดไม่ได้ว่าลำพังความกลัวจะทำให้ผู้คนสยบยอมอยู่ได้อย่างไร แต่ในโลกที่เป็นจริง ทั้งสองด้านกลับต้องทำงานประสานกัน ความสำเร็จของลัทธิบูชาผู้นำเป็นสมมติเทพยังคงเป็นโจทย์ที่มีผู้ศึกษาและ อธิบายไม่มากนัก ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองด้านเป็นอย่างไร ทำงานประสานกันอย่างไร</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">และปัญหาใหญ่อีกข้อของลัทธิบูชาผู้นำก็คือ ประชาชนสยบยอมอย่างเชื่องๆ ราวกับถูกล้างสมองกันทั้งสังคมได้อย่างไร คงอีกนานกว่าเราจะมีคำตอบ เพราะทุกวันนี้ความกล้าถามก็ถือเป็นอาชญากรรมทางความคิดชนิดหนึ่ง</span><br /><br /><br /><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 102, 0); ">อำนาจของสาธารณชน</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ความ สัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างชนชั้นปกครองกับผู้ถูกปกครองในสังคมโอชันเนียเป็น ความสัมพันธ์แบบที่อำนาจรัฐเป็นผู้ผูกขาดการใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ ประชาชนถูกครองงำอย่างเบ็ดเสร็จ เป็นความสัมพันธ์แบบบนลงล่างทางเดียว ซึ่งสาธารณชนไม่มีบทบาทหรือโอกาสเป็นผ่ายกระทำต่อรัฐหรือต่อประชาชนด้วยกัน เอง</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">Dystopia ของออร์เวลล์คาดการณ์จากสังคมสมัยใหม่แบบต้นศตวรรษที่ 20 ว่า หากผันแปรไปถึงจุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการควบคุมประชากรจะมีหน้าตาอย่าง ไร เทค- โนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาก้าวกระโดดในช่วงระหว่างสงครามโลกสองครั้ง ก่อให้เกิดทั้งความหวังใหม่ๆ ว่ามนุษย์สามารถยกระดับความสามารถและพัฒนาไปได้อีกไกลอย่างที่ไม่เคยเคยมา ก่อน แต่ก็ก่อให้เกิดความกังวล กลัวว่าเทคโนโลยีอาจทำลายมนุษย์และสังคมเพราะเทคโนโลยีอาจพัฒนาอำนาจจนน่า กลัว หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ คือจินตนาการของอย่างหลัง</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">แต่ออร์เวลล์ไม่ สามารถมีญาณหยั่งรู้อย่างเราท่านในปัจจุบันที่มองย้อนหลังไปแล้วพบว่า ความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างรัฐและประชาสังคม และธรรมชาติของอำนาจรัฐในสังคมสมัยใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สองกลับเปลี่ยน ไปมหาศาลจากรัฐและระบบการเมืองของต้นศตวรรษที่ 20 ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ การเมืองของสาธารณชน </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(public)</span><span style="font-size: 100%;"> กล่าวคือ สาธารณชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการเมือง การเปลี่ยนผ่านอำนาจ และการใช้อำนาจ และเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมหล่อหลอมความคิดของประชาชนด้วยกันเอง</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">การ ขยายตัวของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หนังสือพิมพ์ การสื่อสาร และการศึกษาที่ “บูม” ขึ้นมหาศาลในเชิงปริมาณในขอบข่ายทั่วโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีส่วนทำ ให้การเมืองของประเทศต่างๆ </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(โดยเฉพาะประเทศอุตสาหกรรม)</span><span style="font-size: 100%;">พัฒนา ขึ้นเป็นการเมืองแบบมวลชน หรือแบบสาธารณชนยิ่งกว่าช่วงก่อนหน้านั้น รัฐและสังคมมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่าช่วงใดในประวัติศาสตร์ก่อนหน้า นั้น รัฐกับสังคมไม่ได้แยกออกจากกันชัดเจนอีกแล้ว</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ในระยะนั้น นักทฤษฏีเกี่ยวกับรัฐและสังคมไม่ว่าฝ่าย ซ้ายหรือขวา พยายามอธิบายสภาวะเช่นนี้ พยายามอธิบายว่า โรงเรียน สื่อมวลชน สหกรณ์ เป็นรัฐหรือเป็นสังคม เพราะอะไรๆ ก็ดูเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไปหมด จนเหมือนว่ารัฐควบคุมครอบงำไปหมด แต่ในขณะเดียวกัน กลับสามารถมองตรงข้ามได้ว่า สังคมเป็นผู้จัดการสถาบันเหล่านั้นเอง ทั้งๆ ที่รัฐควบคุมกฎระเบียบหรือแม้กระทั่งงบประมาณ ตกลงไม่รู้ว่าจะขีดเส้นแบ่งระหว่างรัฐกับสังคมที่ตรงไหน</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">รัฐและสังคม ใน หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ไม่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงนี้แต่อย่างใด คงรักษาจินตภาพของรัฐต้นศตวรรษที่ 20 ไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นการควบคุมบงการประชาชน หรืออะไรก็ตามที่รัฐโอชันเนียกระทำจึงดูผิดแผกต่างจากรัฐและอำนาจในปัจจุบัน อย่างมาก</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">การเมืองแบบเปิดที่สาธารณชนมีส่วนร่วมกว้างขวางขึ้นมากเป็น ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อำนาจรัฐไม่กระจุกตัวอยู่ที่เดียวในมือของคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวและอำนาจของรัฐถูกตรวจ สอบจากสาธารณชนอย่างกว้างขวางเปิดเผย นี่กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กระบวนการเข้าสู่อำนาจและใช้อำนาจไม่สามารถ พัฒนาประสิทธิภาพไปถึงจุดที่ออร์เวลล์สร้างภาพขึ้นมาในหนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ อย่างง่ายๆ</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">พลังของสาธารณชนในระบบการเมืองเปิดอาจช่วยป้องกันไม่ให้ โอชันเนียเกิดขึ้น แต่ปัจจัยนี้ไม่ใช่หลักประกันว่าประชาชนจะฉลาด รู้ผิดชอบชั่วดี หรือมีความรับผิดชอบเสมอไป สาธารณชนสามารถตกอยู่ในมิจฉาทิฐิร่วมอย่างฝัง ลึกงมงายได้เช่นกัน และอาจช่วยกันกำจัดกวาดล้างพวกขบถนอกคอกได้อย่างโหดเหี้ยมไม่แพ้อำนาจรัฐ สาธารณชนสามารถเป็นผู้ค้ำจุนความอัปลักษณ์ในสังคมให้อยู่ต่อไปและเปลี่ยน ยากกว่ายึดอำนาจรัฐเสียอีก ออร์เวลล์ไม่เห็นว่าประชาชนนั่นแหละตัวอันตรายที่อาจช่วยค้ำจุนรัฐ เป็นผู้ควบคุมบงการประชาชนด้วยกันเอง และสามารถก่อความเลวร้ายได้เหลือเชื่อ ปรากฏการณ์อีกอย่างหนึ่งที่ท้าทายความเข้าใจต่อรัฐและสังคมแบบต้นศตวรรษที่ 20 คือ โศกนาฏกรรมขนาดใหญ่ที่ขยายวงกว้างในสังคมหนึ่งๆ ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวโดยลัทธินาซี</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ความขัดแย้งทาง เชื้อชาติเผ่าพันธุ์จนนำไปสู่การสังหารกวาดล้างกันขนานใหญ่อย่างที่เกิดใน บอสเนีย รวันดา ซูดาน หลายแห่งในอินโดนีเชีย และอื่นๆ อีกมากมายทั้งที่เป็นข่าวครึกโครม และที่ยังคงไม่รู้จักกันนัก หรือระบอบการปกครองที่นำไปสู่การปราบปรามในวงกว้าง เช่น ลัทธิฟาสซิสม์ ลัทธิสตาลิน การปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน ระบอบเขมรแดง ฯลฯ ผู้ใช้อำนาจรัฐเป็นปัจจัยสำคัญก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมเหล่านี้ แต่ลำพังอำนาจรัฐอย่างเดียวไม่มีความสามารถพอที่จะก่อให้เกิดหายนะระดับทั่ว ทั้งสังคมได้ สาธารณชน ประชาสังคม มวลชน </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(หรือจะเรียกอะไรก็ตามแต่)</span><span style="font-size: 100%;"> เป็นปัจจัยสำคัญมากในหายนะเหล่านั้นทุกกรณี</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ใน กัมพูชา ถึงแม้ว่าเราจะสามารถระบุตัวผู้นำเขมรแดงได้ และไม่ว่าจะนำตัวพวกเขามาลงโทษได้อย่างสาสมก่อนที่เขาจะแก่ตายไปหรือไม่ก็ ตาม เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่า ผู้มีส่วนลงมือในโศกนาฏกรรมคือพลพรรคระดับกลางและล่างจำนวนมาก ซึ่งก็คือ ชาวบ้านธรรมดานั่นเอง พวกเขามีทั้งที่ทำไปด้วยความเชื่อตามผู้มีอำนาจ ทำด้วยความมีอำนาจอยู่ในมือมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน มีทั้งที่ทำไปเพราะความกลัวอำนาจ </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(กลัวว่าหากไม่ทำก็อาจตกเป็นเหยื่อเอง)</span><span style="font-size: 100%;"> และที่ทำไปเพราะฉวยโอกาสหาความดีความชอบ หรือด้วยความฮึกเหิมแบบผู้อ่อนประสบการณ์ อ่อนความคิด แต่กลับมีอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือ คนเหล่านี้ลงมือโดยมีอำนาจของรัฐสบับสนุนให้ท้ายอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขาเองไม่ใช่ข้าราชการหรือสมาชิกพรรคระดับสูง ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดศูนย์อำนาจด้วยซ้ำไป ปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการลงโทษเขมรแดงก็คือ หากเอากันจริงๆ จังๆ โดยไม่จำกัดให้อยู่แต่ระดับผู้นำ จะมีผู้สมควรถูกลงโทษอีกมหาศาล ซึ่งทั้งก่อนและภายหลังยุคเขมรแดง พวกเขาเป็นคนทำมาหากินธรรมดาๆ นี่เอง</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ปัญหา กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทำนองเดียวกัน เกิดกับอาชญากรรมของตำรวจลับในเยอรมันตะวันออกช่วงสงครามเย็น แม้ว่าเราจะสามารถระบุตัวและลงโทษผู้นำพรรคและผู้นำตำรวจลับ “สตาซี” ได้ไม่ยากนัก แต่ Big Brother ในเยอรมันตะวันออกไม่ปรากฏตัวโฉ่งฉ่างบนจอทีวี ทว่ากลับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วยการไม่เผยตัว สตาซีทำให้ทั้งสังคมรู้สึกว่ากำลังถูกจับตามองอยู่ทุกขณะ จนผู้คนหวาดกลัวและหวาดระแวงตลอดเวลา ความจริงที่เปิดเผยต่อมาคือ สตาซีสร้างเครือข่ายสายลับ และผู้ให้ข้อมูลแก่ตำรวจอยู่ในทุกกลุ่มทุกแวดวงของสังคม รวมทั้งเพื่อนบ้านเรือนเคียง และญาติพี่น้องของเราเอง เมื่อสตาซีและระบอบปกครองล่มสลายลง พบว่าสตาซีเก็บแฟ้มประวัติเกี่ยวกับประชาชนของตัวเองหลายหมื่นแฟ้ม</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">อำนาจ รัฐแบบสตาซีไม่ได้แสดงออกด้วยเครื่องแบบหรืออะไรก็ตามที่แสดงอำนาจของรัฐ แต่คือประชาชนธรรมดาที่ยอมเป็นหูตาให้แก่รัฐ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลแรงจูงใจอะไรก็ตาม สตาซีอยู่กับมวลชนปกติจนแยกไม่ออกว่าอำนาจรัฐหยุดแค่ไหน ประชาสังคมเริ่มตรงไหน อะไรคือหน่วยของอำนาจรัฐ อะไรไม่ใช่อีกต่อไป ความหวาดระแวงกันเองในหมู่ประชาชนแผ่ซ่านเลยเถิดถึงจุดที่มีการให้ข่าว ข้อมูลเท็จแก่สตาซีเกี่ยวกับผู้เป็นภัยต่อระบอบเพียงเพื่อตอบสนองความต้อง การของระบอบ มีการชิงเป็นผู้ให้ข้อมูลก่อนที่จะตกเป็นเหยื่อเสียเอง และหลายปีหลังระบอบสตาซีล่มสลาย ยังคงมีการคิดบัญชีกันต่อมา เยอรมันตะวันออกเป็นตัวอย่างหนึ่งที่มีบางคนเรียกว่าเป็น หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ที่เกิดขึ้นจริง</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นได้ก็ต่อ เมื่อการสอดส่องควบคุมจนกลัวและไม่ไว้ใจกันล่วงพ้นออกนอกการบงการของรัฐมาก ไป กลายเป็นประชาชนควบคุมจับจ้องกันเอง ระแวงซึ่งกันและกันโดยไม่มีใครสามารถรู้ชัดอีกต่อไปว่า ตรงไหนเป็นการกระทำของรัฐ ตรงไหนไม่ใช่ อำนาจของรัฐกับอำนาจของสังคมปนเปกันจนแยกไม่ออก การสะสางอาชญากรรมของสตาซีภายหลังสิ้นสุดสงครามเย็นจึงประสบปัญหาอย่างมาก เพราะหากลงโทษกันจริงจังทั่วด้าน คนจำนวนมากในสังคมซึ่งไม่ได้ใกล้ชิดอำนาจของรัฐเลยอาจสมควรถูกลงโทษ รวมทั้งญาติพี่น้องของเหยื่อเอง ถึงขนาดที่มีผู้เสนอว่า ทางออกที่อาจจะพึงปรารถนากว่าในกรณีเยอรมันตะวันออก </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(และในกรณีกัมพูชาเช่นกัน)</span><span style="font-size: 100%;"> คือ นอกจากผู้นำที่ชัดๆ ไม่กี่คนแล้ว นอกนั้นควรปล่อยให้ผ่านเลยไป อย่าหาความจริงเพราะความจริงจะทำให้สังคมอยู่ร่วมกันไม่ได้</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ใน ขณะที่ระบอบการเมืองประชาธิปไตยเปิดโอกาสแก่สาธารณชนกว้างขวางขึ้นอย่างไม่ เคยมีมาก่อน ระบอบการเมืองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อทำให้ความกลัวและการ ควบคุมกันเองขยายวงไปสู่ประชาชนเช่นเดียวกัน สาธารณชนคือปัจจัยสำคัญสำคัญที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโอชันเนีย และสามารถทำให้โอชันเนียเป็นความจริงของโลกปัจจุบัน รูปการลักษณะของอำนาจรัฐและบุคคลหรือพรรคที่กุมอำนาจรัฐซึ่งเป็นเป้าที่เรา สนใจมาตลอด ไม่ใช่ ปัจจัยเด็ดขาดที่ก่อให้เกิดสังคมเผด็จการเบ็ดเสร็จขึ้น</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">เรา สามารถเห็นพลังอนุรักษ์นิยมของสาธารณชนได้ในทุกสังคมยามปกติ สาธารณชนมักโหยหาวันชื่นคืนสุขในอดีตที่ไม่เคยมีอยู่จริง แต่กลับน่าหลงใหลในจินตนาการของเราๆ ท่านๆ เพราะเราทุกคนหลาดกลัวการเปลี่ยนแปลงมากบ้างน้อยบ้างด้วยกันทุกคน เพราะเราทุกคนเรียกหาความมั่นคงของชีวิต พอใจประโยชน์ที่เกิดต่อตัวเองแม้จะน้อยนิด ระยะสั้นๆ หรือแคบๆ ก็เถอะ ผู้คนโดยทั่วไปยึดติดกับอัตลักษณ์ของตน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติศาสนาหรืออื่นๆ จนก่อให้เกิดทั้งการเบียดเบียนคนอื่นและการต่อสู้ต่อต้านคนอื่นที่มาดูถูก เหยียดหยามอัตลักษณ์ของตน สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นเหตุให้สาธารณชนรวมหัวกันควบคุมบงการซึ่งกันและกัน หรือก่อเหตุเลวร้ายก็ได้</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">อำนาจที่ค้ำจุนระบอบเก่า สังคมเก่าที่กลัวการเปลี่ยน แปลง คอยจับจ้องพวกขบถ จึงไม่ใช่แค่ Big Brother หรือพรรคลึกลับที่อยู่เบื้องหลัง แต่รวมถึง Little Big Brother รอบตัวเราทุกวี่วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาชนจำนวนมากที่ควบคุมความรู้ ภาษา และประวัติศาสตร์โดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำหน้าที่ให้กับ Minitru ปัญญาชนพรรค์นี้ และสื่อมวลชนพรรค์นี้ไม่ต้องตีสองหน้า ไม่ต้องเป็นสปายสายลับ เพราะเขายินดีทำอย่างจริงใจ เต็มใจ โดยไม่รู้สึกว่าเป็นการรับใช้อำนาจแต่อย่างใด</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">อำนาจในการควบคุมบงการ ความคิดประชาชนในสังคมสมัยใหม่ระยะหลังเป็นอำนาจประเภทนี้ รัฐยังมีอำนาจลงมือกระทำต่อประชาชนที่ขัดขืนต่อต้าน แต่ในยามปกติ รัฐมักทำตามความต้องการของสาธารณชนเพื่อรักษาสถานภาพเดิม บ่อยครั้งขบวนการมวลชนเป็นพลังผลักดันให้รัฐจัดการพวกที่ท้าทายระเบียบสังคม ที่ถือว่าดีงามตามประเพณีมาช้านาน แถมผู้มีอำนาจรัฐบาลที่อยากเปลี่ยนแปลงระบบระเบียบที่ล้าหลังยังอาจโดนขจัด โดยขบวนการมวลชนอนุรักษ์นิยมด้วยซ้ำไป</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">อำนาจไม่ได้กระจุกตัวที่ รัฐบาลเสมอไปหรืออีกต่อไป แต่กลับกระจัดกระจายอยู่กับสื่อมวลชน โรงเรียน วงวิชาการ ฯลฯ อีกด้วย และหากเอามวลชนอยู่ข้างตนได้ อำนาจย่อมสามารถแทรกเข้าไปอยู่ในเรือนของเราเองได้สบายๆ ไม่จำเป็นต้องมีตำรวจเฝ้าโรงหนังทุกแห่งเพื่อคอยจับคนที่ไม่ยืน เพราะประชาชนด้วยกันเองนี่แหละ พร้อมจะลงมือขว้างปาของใส่คนๆ นั้น แล้วฉุดกระชากคอได้โดยไม่ถือว่าเป็นความผิด</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">สื่อมวลชนและขบวนการมวล ชนนั่นแหละที่ก่นด่ากำราบประณามพวกแหกคอกอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าตำรวจ เสียอีก Little Big Brother ไม่ต้องรวมศูนย์อำนาจ จึงไม่จำเป็นต้องมีระบบทีวีเฝ้าระวังขบถ แถมไม่เคยเปิดเผยตัวว่าเป็นตัวแทนของอำนาจรัฐ เพราะเขาไม่ได้เป็นอย่างเป็นทางการ พวกขบถนอกรีตต้องพึงระวังตัวเองให้ดีว่า ประชาชนรอบตัวเรากำลังจ้องมองเราอยู่</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">!</span><br /><br /><br /><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 102, 0); "><span style="color: rgb(0, 0, 153);">“รัฐ”</span> คืออะไรกันแน่</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ประเด็นสุดท้ายเกี่ยวกับรัฐที่ขออภิปรายในที่นี้ก็คือ ปัญหาว่า “รัฐ” คืออะไรกันแน่</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><span style="font-size: 100%;"> หมายถึงรัฐบาลอย่างที่มักเข้าใจกันทั่วไปหรือ</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">หมายถึงอำนาจหลักที่ค้ำจุนสถาบันและกลไกต่างๆ ของทางการหรือ</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">ดู เหมือนว่าคำตอบคือ ถูกทุกข้อ รัฐบาลเป็นเพียงแค่อำนาจหนึ่งของ “รัฐ” ทั้งหมดก็ได้ อำนาจที่มากกว่าเพื่อค้ำจุน “รัฐ” อยู่นอกรัฐบาลบ่อยไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีมวลชนอยู่กับอำนาจนั้น บ่อยครั้งทหาร ตุลาการ สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เดินร่วมทางกับรัฐบาลก็สามารถล้มรัฐบาลได้ </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(ไม่ต้องยกตัวอย่างก็คงพอจะรู้กันอยู่) </span><span style="font-size: 100%;">ดัง นั้น รัฐหมายถึงอะไรบ้างกลับกลายเป็นคำถามที่ตอบยากขึ้นทุกทีความแปรผันยอกย้อน ของการเมืองของสาธารณชนและขบวนการมวลชนเช่นนี้ ไม่อยู่ในจินตภาพความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนของ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ เลยแม้แต่น้อย</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">เราคงตั้งคำถามชุดเดียวกันได้ต่อการควบคุมความรู้ ประวัติศาสตร์และข่าวสารใน หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ นั่นคือ แม้ออร์เวลล์ทำให้ดูทื่อแต่ในความเป็นจริงซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างไร</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><span style="font-size: 100%;"> รัฐเป็นผู้ควบคุมไปหมดจริงหรือ</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">หรือประชาชนและประชาสังคมด้วยกันเองเป็นผู้ทำ</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">เรา มีประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับรัฐที่พยายามบงการความรู้ข่าวสาร จนทุก วันนี้ก็ยังคงทำอยู่ ความสัมพันธ์และความสำคัญของรัฐในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่พูดกันมานาน แต่ยังไม่พ้นกรอบเดิมๆ ว่า ปัญหาเสรีภาพเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด สิ่งที่น่าจะขบคิดเลยออกไปจากเดิมมีมาก อาทิเช่น “รัฐ” ที่ควบคุมนั้นหมายถึงอะไรบ้าง ควมคุมอย่างไร</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">มีแต่การใช้อำนาจก่อความกลัวเท่านั้นหรือ</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><span style="font-size: 100%;"> การกล่อมประสาทด้วยอุดมการณ์ความเชื่อจนยินทำตามอย่างว่านอนสอนง่ายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐหรือไม่</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><span style="font-size: 100%;"> หมายถึงใครบ้าง</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">นอกจากรัฐแล้ว การควบคุมบงการและจำกัดเสรีภาพโดยสาธารณชนเป็นอย่างไร</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><span style="font-size: 100%;">สาธารณชนและตลาดช่วยให้มีอิสระจากรัฐบ้างไหม และกลับกลายเป็นปัจจัยควบคุมบงการสื่อมวลชนยิ่งกว่ารัฐบาลหรือไม่</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">เรา คงไม่สามารถกล่าวง่ายๆ อีกแล้วว่าการควบคุมของรัฐบาลเป็นต้นเหตุหรือเป็นปัจจัยเดียวของความด้อย คุณภาพของวงวิชาการและสื่อมวลชนไทย ดังที่บ่นกันทุกวี่ทุกวันในทั้งสองวงการ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหลักวิชาชีพปวกเปียก ขาดแคลนคุณภาพ ขาดความริเริ่มสร้างสรรค์ แม้กระทั่ง การกำราบปราบปรามเล่นงานกันเองทางการเมือง บ่อยครั้งก็ไม่ใช่ฝีมือรัฐบาล บางทีการโยนบาปให้รัฐบาลเป็นแค่การหาแพะที่สะดวกที่สุดเพื่อยืดเวลาที่ตนเอง ต้องรับผิดชอบสะสางยกระดับวิชาชีพของตน</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ตัวอย่างที่ผู้เขียนพอรับรู้ อยู่บ้างคือ ความรู้ประวัติศาสตร์ ถึงแม้ว่า สุจิตต์ วงษ์เทศ และนิตยสารศิลปวัฒนธรรมจะถล่มกรมศิลปากรมาหลายสิบปี แต่น่าคิดว่า กรมศิลปากรเท่านั้นหรือที่กอดประวัติศาสตร์คลั่งชาติและราชาชาตินิยมไว้ เหนียวแน่น แล้วเที่ยวบงการสั่งสอนคนอื่นให้คิดตาม</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">นักวิชาการถูกบงการโดยกรมศิลปากรหรือหน่วยงานอื่นของรัฐสักเท่าไรกัน</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><span style="font-size: 100%;"> ท่ามกลางกรณีพิพาทเรื่องเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเมื่อกลางปี 2551 ที่ผ่านมา เราจะพบว่าแม้แต่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็มี จำนวนมากที่เห็นร่วมว่า เขาพระวิหารเป็นของไทย รัฐบาลขายชาติเสียดินแดน คนเหล่านี้ไม่ชอบพันธมิตรฯ แต่ก็เต้นตามเพลงชาตินิยมไปด้วย การถกเถียงสาธารณะตลอดจนความขัดแย้ง กระทำผ่านสื่อมวลชนเป็นหลัก โดยที่รัฐบาลหรือกลไกรัฐอื่นๆ ไม่สามารถควบคุมชี้นำได้ สื่อมวลชนของเอกชนและสื่ออินเตอร์เน็ตจำนวนมากกลับมีความเห็นคลั่งชาติ ทั้งๆ ที่รัฐบาลเสียอีกที่พยายามบรรเทากระแสชาตินิยมหน้ามืด กลายเป็นว่านักวิชาการ สื่อมวลชน และขบวนการมวลชนเอง</span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); "> (พันธมิตร)</span><span style="font-size: 100%;"> ต่างหากที่ช่วยกันสุมไฟชาตินิยม</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">การ ถกเถียงใหม่ๆ ทางประวัติศาสตร์มีอยู่ตลอดเวลา โดยรัฐควบคุมไม่ได้ แต่กลับมีผลเปลี่ยนความรู้ความคิดของสาธารณชนน้อยมาก บางครั้งเสนอความรู้ ความคิดใหม่ๆ ก็กลับถูกสาธารณชนลากกลับไปอยู่ในกรอบความรู้เดิมๆ จน ได้จนป่านนี้จึงยังคลั่งชาติ เกลียดพม่า ดูถูกลาว ไม่ไว้ใจเขมร เหยียดหยามมลายู และยังคงคิดว่าคนไทยมาจากภูเขาอัลไตอยู่เช่นเดิม</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">มี เสียงบ่นกังวลถึงภาวะขาดแคลนความคิดสร้างสรรค์อยู่ในทุกวงการทางปัญญา ทั้งสื่อมวลชนทุกแขนง วิชาการ และวงการศิลปะวรรณคดีเคยคิดไหมว่า การครอบงำทางปัญญาของยุคเผด็จการ ไม่ใช่การลงมือกำจัดทำลายคนที่ริเริ่มสร้างสรรค์ และขบถทางปัญญามากเท่ากับการรักษาความเรียบร้อยทางปัญญาของทุกวงการ ซึ่งทำลายความริเริ่มสร้างสรรค์ภายในวงการนั้นๆ กันเองอยู่แล้ว ครั้นอำนาจเผด็จการเจือจางลง อำนาจรัฐเข้ามายุ่มย่ามน้อยลง ทุกวงการทางปัญญาจึงยังคงขาดความริเริ่มสร้างสรรค์เช่นเดิม เพียงแต่มีระเบียบเรียบร้อยน้อยลงกว่าเดิมแค่นั้นเอง</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">คุณภาพของสื่อมวลชนไทยหลังยุคเผด็จการดีขึ้นสักเท่าไรกัน</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">ปัจจัย ใหญ่ๆ ของความด้อยคุณภาพมีทั้งที่เกี่ยว และไม่เกี่ยวกับการควบคุมบงการโดยรัฐ เช่น ลักษณะตลาดหรือผู้บริโภคสินค้าอื่น ขนาดของตลาดทางปัญญาซึ่งเล็กนิดเดียว </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(เล็กเสียจนวารสารทางวิชาการเอาตัวไม่รอด)</span><span style="font-size: 100%;"> เพราะแม้กระทั่งนักวิชาการก็อ่านแต่หนังสือพิมพ์เป็นหลัก ปัญหาขาดหลักการทางวิชาชีพจนแยกไม่ออกระหว่างข่าวสารกับข่าวไม่เป็นสาร ระหว่างสื่อมวลชนกับโฆษณาชวนเชื่อ เสรีภาพของสื่อกับการโกหกโฆษณาใส่ร้ายผู้อื่น เป็นต้น สิ่งเหล่านี้มิใช่ปัญหาอันเกิดจากการควบคุมของรัฐจนไร้เสรีภาพ</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">แม้ กระทั่งปรากฏการณ์ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่สื่อมวลชนแข่งกันผลิตรายการเฉลิมฉลองเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินทั้งๆ ที่ไม่มีใครควบคุมบงการ อุตสาหกรรมความจงรักภักดีชนิดที่รัฐไม่ ได้สั่ง เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเองก็คงนึกไม่ถึงเช่น เปลี่ยนทีวีสีเป็นขาวดำ เหล่านี้เป็นผลงานของประชาสังคมเองทั้งสิ้น ออร์เวลล์คงนึกไม่ถึงว่าประชาชนและประชาสังคมกันเองจะมีความสามารถรักษา สถานภาพเดิมได้ขนาดนี้ โดยรัฐไม่ต้องทำอะไรสักเท่าไร Minitru เป็นผลผลิตของประชาสังคมกันเอง</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ออร์เวลล์คงรำคาญเต็มทีกับโฆษณาชวน เชื่อ “เว่อร์ๆ” ของสื่อมวลชนเผด็จการที่สามารถผลิตศัพท์แสงได้คมคาย แต่มักให้ความหมายตรงข้ามกับความเป็นจริง Newspeak หมายถึงศัพท์แสงที่สื่อความกลับขาวเป็นดำ การโฆษณาชวนเชื่อมีอยู่มากน้อยในทุกสังคม ไม่เฉพาะเผด็จการ ภาษากลับตาลปัตรเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสังคมที่อยู่ได้ด้วยความเชื่อมากกว่า ข้อเท็จจริง โดยมากเป็นสังคมหลงตัวเองและต้องการอยู่ในโลกแคบๆ ของตัวเอง คิดว่าตนเองวิเศษที่สุดในโลก Newspeak มักเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในสังคมที่ภาษาเป็นกำแพงขวางการเรียนรู้ของ ประชาชนเกี่ยวกับโลกภายนอกและเป็นอุปสรรคต่อโลกภายนอกจะมีปฏิสัมพันธ์ทาง ปัญญากับสังคมนั้นๆ เพราะ Newspeak กล่อมเกลาประชาชนของตนได้ดี ปกปิดประวัติศาสตร์ได้ดี และอาจเป็นปราการป้องกันความคิดพวกขบถได้ด้วย</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">Newspeak เป็นพฤติกรรมปกติของรัฐพรรค์เหล่านั้น แต่หากเป็นวัฒนธรรมของสังคมนั้น ย่อมหมายความว่าเป็นวิถีชีวิตที่คนทั่วไปไม่เกี่ยวกับอำนาจรัฐร่วมผลิตด้วย จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา</span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); "> (หรือที่เรียกว่าเป็น ‘ธรรมเนียม’)</span><span style="font-size: 100%;"> มีหลายคำในสังคมไทยทั้งที่มีมานานแล้ว และที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ที่มีลักษณะเป็น Newspeak ตัวอย่างเช่น ‘การเมืองใหม่’ หมายถึง การเมืองเก่าล้าหลังปัจจุบันหลายสิบปี ประชาธิปไตยแบบไทยๆ หมายถึง ระบอบเผด็จการอำนาจนิยมแบบต่างๆ สันติวิธี หมายถึง พกอาวุธ สะสมอาวุธได้ รุมตีคนอื่นได้ ฆ่าคู่ต่อสู้ได้ กู้ชาติ หมายถึง ทำให้ชาติพินาศล่มจม เป็นต้น</span><br /><br /><br /><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 102, 0); ">ขบถ ปัจเจกภาพ และการวิจารณ์</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ใน เมื่อหัวใจของอำนาจในสังคมแบบ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ คือการควบคุมความรู้ ความคิด อาชญากรรมที่ถือว่าร้ายแรงที่สุดก็คือ อาชญากรรมทางความคิด </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(Thoughtcrime)</span><span style="font-size: 100%;"> แต่อะไรล่ะคือ Thoughtcrime</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">ความรู้ประวัติศาสตร์ซึ่งต่างจากที่อำนาจต้องการเป็นอาชญากรรมหรือไม่ หรือการไม่เชื่อ ฟังข่าวสารของรัฐ</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">ไม่ตกหลุมพรางความหมายของ Newspeak</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">น่า จะใช่ทั้งนั้น แต่การขบถของจูเลียและวินสตันไม่กล่าวถึงสิ่งนี้เลย ไม่เห็นจะมีทัศนะความเห็นที่รุนแรงตรงข้ามกับอำนาจรัฐในเรื่องประวัติศาสตร์ หรือภาษาสักเท่าไรเลย</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">จูเลียและวินสตันออกนอกรีตนอกรอยเพราะความรัก</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ความรักเป็นอาชญากรรมทางความคิดของโอชันเนียหรือ</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">เพื่อ จะลองตอบปัญหานี้ ก่อนอื่นคงต้องเข้าใจก่อนว่าอะไรคือจุดมุ่งหมายของอำนาจรัฐ / พรรค / หรือใครก็ตามที่บงการทั้งสังคมใน หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><span style="font-size: 100%;"> ไม่ปรากฏว่าพวกเขาเป็นใคร ชนชั้นใด มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ธุรกิจใดๆ การควบคุมความคิดขนาดเบ็ดเสร็จก่อผลดีต่อผู้มีอำนาจอย่างไร การขบถก่อให้เกิดผลเสียหายต่อผลประโยชน์ของพวกเขาอย่างไร</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><span style="font-size: 100%;"> ไม่มีคำตอบทั้งสิ้น</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">อำนาจ ใน หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ไม่ใช่เครื่องมือหาผล ประโยชน์ใส่ตัวของผู้มีอำนาจ อำนาจไม่ใช่เครื่องมือไปสู่เป้าหมายที่สูงส่ง แต่อำนาจกลับเป็นเป้าหมายในตัวมันเอง เพราะอำนาจเป็นพลังปัจจัยจำเป็นของสังคม เพื่อควบคุมรักษาระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสังคม คำถามทางรัฐศาสตร์ตามปกติได้แก่ อำนาจของใคร ได้มาอย่างไร ทำอะไร เพื่อจัดความสัมพันธ์ทางสังคมแบบหนึ่งๆ แต่ออร์เวลล์กลับไม่สนใจว่าอำนาจเป็นของใคร กลับถือว่าอำนาจเป็นนายบงการคน อำนาจเป็นเป้าหมายในตัวมันเอง คนเป็นแค่เครื่องมือให้อำนาจบรรลุความสำเร็จ ความคิดทำนองนี้คล้ายกับนักคิดสมัยหลังๆ บางคนที่เห็นว่า สังคมสมัยใหม่คือเครือข่ายของอำนาจสารพัดที่ก่อรูปก่อร่างเป็นสถาบันเพื่อ ต่ออายุความอยู่รอดของตัวอำนาจเอง มนุษย์มักคิดว่าตนมีอำนาจ เป็นเจ้าของอำนาจ แต่เอาเข้าจริงแล้ว มนุษย์มักทำได้แค่สนองความต้องการของอำนาจ เพื่อผลิตและค้ำจุนอำนาจให้ดำรงอยู่</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">อำนาจแบบ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ต้องการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมแบบไหนกัน เพื่อให้อำนาจดำรงอยู่ได้</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">คำ ตอบคือ ต้องการสังคมที่เป็นองค์รวมของหน่วยต่างๆ สมาชิกทุกคนประกอบกันเข้าอย่างสอดคล้องเป็นเอกภาพ ทุกส่วนเข้ารูปเข้รอยเป็นองค์รวมที่ทุกๆ คนต้องเคารพและขึ้นต่อ ปัจเจกบุคคลต้องขึ้นต่อส่วนรวมอย่างเด็ดขาด ไม่ละเมิดส่วนรวมด้วยการกระทำใดๆ ตามปัจเจกภาพของตนซึ่งจะทำลายความสอดคล้องต้องกันของทุกๆ ส่วนในองค์รวมของสังคม สังคม หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ จึงต้องการสมาชิกที่ปราศจากปัจเจกภาพ </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(individuality)</span><span style="font-size: 100%;"> หรือมีอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตราย ไม่ก่อให้เกิดการแตกแถว บุคคลเป็นแค่อวัยวะชิ้นเล็กๆ ซึ่งมีตำแหน่งแห่งที่ และมีหน้าที่ชัดเจนเพื่อ ให้องคาพยพของสังคมดำเนินไปได้ การพัฒนายกระดับปัจเจกภาพของบุคคลจึงไม่สำคัญเท่าการรู้จักตำแหน่งแห่งที่ และหน้าที่ของตนในความสัมพันธ์กับคนอื่นและในองค์รวม สังคมไม่ต้องการปัจเจกบุคคล ไม่เน้นความเป็นตัวของตัวเอง แต่ต้องการสมาชิกที่เป็นแค่อวัยวะขององค์รวม หรือเป็นเฟืองตัวเล็กๆ ของจักรกลมหึมา ปัจเจกภาพของบุคคลอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของสังคมแบบนี้</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ความ รักของจูเลียและวินสตันพัฒนาขึ้นมาจากปัจเจกภาพของแต่ละคน เป็นความรักที่ส่งเสริมความเป็นตัวของตัวเอง จึงส่งเสริมวิญญาณขบถ อำนาจจึงยอมไม่ได้</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ออร์เวลล์สร้างภาพสังคมเผด็จการเบ็ดเสร็จแบบ หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ให้เป็นสังคมที่เรียกร้องการขึ้นต่อองค์รวมแบบสัมบูรณ์ สังคมฟาสซิสต์และเผด็จการรูปแบบอื่นๆ ทั้งซ้ายขวา มักเน้นระเบียบสังคมในแนวนี้ทั้งนั้น </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(แต่คงไม่มีที่ไหนต้องการความสมบูรณ์ขนาดในนิยายเรื่องนี้)</span><span style="font-size: 100%;"> สังคมที่เป็นจารีตประเพณีมักเน้นระเบียบสังคมในแนวนี้เช่นกัน เพราะจารีตประเพณีเน้นความสอดคล้องต้องกันของจักรเฟืองแต่ละชิ้น สังคมเหล่านี้ลดความสำคัญหรือบั่นทอนปัจเจกภาพความเป็นตัวของตัวเอง เรียกร้องการขึ้นต่อองค์รวมอย่างสัมบูรณ์ จึงถือเป็นปัจเจกภาพ เป็นอาชญากรรม</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ในความเป็นจริงสังคมวัฒนธรรมต่างๆ ในโลกล้วนแล้วแต่มีทั้งด้านที่เรียกร้องการขึ้นต่อส่วนรวม เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนรวม หรือให้ความสำคัญกับคุณความดีของส่วนรวม </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(collective good)</span><span style="font-size: 100%;"> กับด้านที่ให้เสรีภาพ โอกาสทางเลือก ที่ปัจเจกภาพของบุคคลมีโอกาสเติบโตเป็นตัวของตัวเอง มนุษย์แทบทุกคนถูกหล่อหลอมขึ้นมาให้มีคุณสมบัติทั้งสองด้านในแต่ละบุคคล แต่ละด้านมีคุณอนันต์ไปคนละแบบ และหากมีมากไปก็ก่อให้เกิดผลเสียได้เช่นกันทั้งต่อสังคมและ ต่อบุคคลนั้นๆ เอง ทั้งสองด้านไม่มีทางหนีกันพ้น แต่ทั้งสองด้านมักไม่ประสานลงรอยกัน หรือคงไม่มีใครบอกได้ว่าทางสายกลางระหว่างทั้งสองด้านอยู่ตรงไหน</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ปัจเจก ภาพจึงสามารถเป็นอันตรายต่อสังคมที่เรียกร้องการขึ้นต่อองค์รวม กลายเป็นความไม่สามัคคี ก่อความแตกแยก ละเมิดประเพณีศีลธรรมอันดีงาม ไม่กตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษที่วางขนบธรรมเนียมมาเป็นเวลานาน เป็นต้น การเรียกร้องให้ขึ้นต่อองค์รวมจึงสามารถบั่นทอนทำลายปัจเจกภาพ ความเป็นตัวของตัวเอง ทำลายความคิดสร้างสรรค์ จิตใจวิพากษ์วิจารณ์ และวิญญาณขบถ</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">อะไรคือกุญแจของปัจเจกภาพ ความเป็นตัวของตัวเอง</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">? </span><span style="font-size: 100%;">อะไรคือยาขนานเอกเพื่อขัดขวางต่อสู้อำนาจเผด็จการของสังคมที่เน้นองค์รวมและความจงรักภักดีของจักรเฟือง</span><span style="font-size: 130%; color: rgb(255, 0, 0); ">?</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ตอบ การวิจารณ์ </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(criticism)</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">หาก ไม่มีการวิจารณ์และจิตใจวิพากษ์วิจารณ์ย่อมไม่มี ทางพัฒนาปัจเจกภาพขึ้นมา เพราะไม่มีทางพัฒนาปัญญาที่เป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง ความรู้ข่าวสารที่มีมากมายล้นหลามในขณะนี้ โดยตัวมันเองไม่ใช่ทางออกสู่แสงสว่างทางปัญญา เพราะเปรียบเหมือนมีห้องสมุดขนาดใหญ่อยู่ในบ้าน แต่กลับไม่สามารถจัดการกับแหล่งความรู้ท่วมหัวดังกล่าวได้ เพราะไม่รู้จักการวิจารณ์เพื่อจำแนก หรือรู้จักใช้ข่าวสารข้อมูลอย่างเหมาะสมและเป็นนายของข้อมูล ปัญหาของสังคมที่อุดมไปด้วยNewspeak, Minitru และการควบคุมบงการ ความคิดไม่ว่าจะโดยรัฐหรือโดยสาธารณชน ไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนข้อมูลข่าวสาร แต่อยู่ที่ขาดแคลนประชาชนที่มีคุณภาพ รู้จักวิจารณ์อย่างเป็นตัวของตัวเอง คุณภาพดังกล่าวไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรเพราะสังคมนั้นๆ กลัวปัจเจกภาพ กลัวการแตกแถว จึงกดปราบความเป็นตัวของตัวเอง แต่กลับเน้นความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เน้นการประสานกลมกลืนกับองค์รวมแทน</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ออร์เวลล์ใน หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่ ไม่ได้เน้นเรื่องการวิจารณ์แต่อย่างใด แต่เขาอาศัยความรักเป็นทางสู่ปัจเจกภาพ หรือความเป็นตัวของตัวเองของจูเลียและวินสตัน ความรักชนิดนี้จึงถูกจับตามองและต้องทำให้ยุติ</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ในความเป็นจริง ปัจเจกภาพมีได้หลายลักษณะ หลายระดับ ไม่จำเป็นต้องเป็นขบถเสมอไป ปัจเจกบุคคลที่เป็นตัวของตัวเองและกล้าวิพากษ์วิจารณ์แต่ไม่เป็นอันตรายต่อ องค์รวมก็มีเป็นปกติ โดยมากสามารถเป็นใหญ่เป็นโต มีอำนาจมากกว่าสมาชิกสังคมที่มีปราศจากปัจเจกภาพด้วยซ้ำไป โอไบรอันเป็นตัวแบบที่ดี ตัวอย่างในสังคมไทยก็มีมาก อาทิเช่น ปัญญาชนชั้นนำหลายๆ คนของสังคมไทยที่ได้รับการยอมรับนับถือกว้างขวาง หลายคนคงสามารถแสดงบทเป็นโอไบรอันได้ดีทีเดียว พวกเขาสามารถสะกดวิญญาณขบถจำนวนมากให้ยอมสยบอยู่ใต้บารมีของเขา กลายเป็นลูกน้องเขา เพื่อเปลี่ยนแปลงพัฒนาสังคมตามสถานภาพเดิมๆ ให้ก้าวหน้าขึ้นอย่างเป็นองค์รวม ปัญญาชนชั้นนำเหล่านี้ กล่อมเกลาพวกขบถอย่างที่โอไบรอันทำต่อวินสตัน ได้ผลกว่าจอ ทีวีของ Big Brother เป็นไหนๆ</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">แต่ปัจเจกบุคคลที่ขบถต่อองค์รวมก็ยังมีได้หลายแบบ จูเลียต่างจากวินสตันเพราะจูเลียไม่เชื่อไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่โตไป กว่าความขบถของตนเอง ส่วนวินสตันคิด การใหญ่กว่า เป็นอันตรายต่อสถานภาพเดิมขององค์รวมมากกว่า แต่ลงท้ายขบถที่คิดการใหญ่อย่างวินสตันมักต้องเผชิญทางเลือกที่ตัดสินใจยาก </span><span style="font-size: 100%; color: rgb(153, 51, 0); ">(dilemma)</span><span style="font-size: 100%;"> ระหว่างการมีชีวิตอยู่แต่ไม่มีวิญญาณขบถของปัจเจกภาพอีกต่อไป กับการรักษาปัจเจกภาพที่เป็นขบถต่อองค์รวม ทว่าอาจไม่มีชีวิตอยู่ หรือหากไม่ตายก็อาจไม่อยู่ร่วมกับใครในสังคมอีกต่อไป เขาเผชิญการทรมาน เผชิญกับสิ่งที่เขากลัวที่สุดซึ่งอยู่ลึกๆ ในใจของเขาเอง ไม่ใช่ความรุนแรงเจ็บปวดสาหัสสากรรจ์จนสุดแสนจะทนทาน แต่เป็นความกลัวที่จะต้องสูญเสียสิ่งที่ตนเองรักและหวงแหนที่สุด นั่นคือ ความเป็นตัวของตัวเองและคนที่เขารัก</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">ความพ่ายแพ้ของวินสตันไม่ใช่การขายพรรคหรือขายขบวนการปฏิวัติ</span><br /><br /><span style="font-size: 100%;">โอ ไบรอันไม่จำเป็นต้องทำให้วินสตันเชื่อในสิ่งที่วินสตันคงไม่ยอมเชื่อ เขาเพียงแต่ทำให้วินสตันยอมขายคนที่เขารัก ขายความรักอันเกิดจากปัจเจกภาพของเขาและจูเลีย เพียงแค่นี้ ไอโบรอันก็ปล่อยตัววินสตันออกไปได้</span><br /><br /><br /><span style="font-size: 180%; color: rgb(204, 0, 0); ">ธงชัย วินิจจะกูล</span><br /><br /><br /><span ><br /></span></p></div></div></div></div></div></div> </div></div> <div id="footer-wrapper" style="font-size: 100%; "> <div class="footer section" id="footer"><div class="widget Image" id="Image2"> <div class="widget-content"></div></div></div></div></div>กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-48453242580861092372012-01-04T21:18:00.001+07:002012-01-04T21:21:16.341+07:00เจาะใจ“ดร.ไชยันต์” เสนอยกเลิก ม.112 กับเหตุผลที่มากกว่า “ความจงรักภักดี”<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgYL3vpfugOZD5lxB5HhG2QHxtuiuonXAPCXhTBtn77FZjx0GBPXAJiiYRLQSszZVaKFjIf4hN5YtNF7_nsG6XZK6Tfrqi9etMB6YEtHmTNtLlnwePwfnhEcL4CG_Gqj4Di_l0Cj3PHSu0/s1600/13256778651325677950l.jpg" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 240px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgYL3vpfugOZD5lxB5HhG2QHxtuiuonXAPCXhTBtn77FZjx0GBPXAJiiYRLQSszZVaKFjIf4hN5YtNF7_nsG6XZK6Tfrqi9etMB6YEtHmTNtLlnwePwfnhEcL4CG_Gqj4Di_l0Cj3PHSu0/s320/13256778651325677950l.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5693781472037824962" /></a><br /><span class="Apple-style-span" style=" color: rgb(37, 37, 37); line-height: 20px; font-family:Tahoma, 'MS Sans Serif';font-size:medium;"><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">หนึ่งในประเด็นร้อนส่งท้ายปีเก่า ส่อสุมไฟให้ปีใหม่ 2555 ได้มีการปะทะทางความคิดอย่างจริงจัง คือการแก้ไขหรือไม่แก้ไข ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” โดยล่าสุด “15อาจารย์” ได้ร่วมลงชื่อเรียกร้องให้มีการจัดตั้ง "คณะกรรมการกลั่นกรองการฟ้องร้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112" อันเป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้ง 15 ท่าน ต่างมีจุดยืนทางการเมืองแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น “เสื้อแดงสุดขั้ว” หรือ “เสื้อเหลืองสุดขีด” ต่างเห็นร่วมกันในการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ดังกล่าว</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">“มติชนออนไลน์”<span style="color:#ee00ee;"> สัมภาษณ์ ดร.ไชยันต์ ไชยพร ภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย</span> 1 ในอาจารย์ผู้ไม่ใช่เสื้อแดงและไม่เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้น่าเคลือบแคลงสงสัยในความจงรักภักดี เปิดเผยมุมมองที่น่าสนใจเพราะไม่บ่อยนัก ที่จะได้รับฟังความเห็นของผู้ต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยเหตุชุดที่เหนือกว่า “อารมณ์ความรู้สึก” โดยมีประเด็นสำคัญ เรื่องต้นทุนทางสังคมวัฒนธรรมที่สังคมไทยสอดคล้องกับระบอบนี้ รวมถึงความจำเป็นในการถกเถียงเพื่อหาบทสรุปจัดวางบทบาทสถาบันและความจำเป็นใน “การเล่นไพ่หลายหน้า” เพื่อถ่วงดุลทางการเมือง</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><br /></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><strong><span style="color:#0000ff;">ท่าที ผบ.ทบ. ระบุว่าไม่ควรพูดเรื่องแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 และใครไม่เห็นด้วยก็ควรออกนอกประเทศ</span></strong> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">ผบ.ทบ. น่าจะเปิดกว้างรับฟังเหตุผลของคนที่ต้องการให้แก้ ม.112 ถ้าไม่รับฟังแล้วให้ไปอยู่ประเทศอื่น ก็จะเป็นผลเสียต่อ ผบ.ทบ.ในฐานะผู้นำกองทัพ แต่ท่านอาจจะพูดในฐานะประชาชนคนหนึ่งเพราะกองทัพทั้งหมดอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><br /></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><strong><span style="color:#0000ff;"></span></strong> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><strong><span style="color:#0000ff;">อาจเป็นเพราะความเชื่อว่า ถ้าใครจงรักภักดี ก็ต้องไม่คิดแก้มาตรานี้หรือเปล่า</span></strong></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">ผมถึงบอกว่า เราต้องฟังเหตุผลของคนที่อยากให้แก้กฎหมายมาตรานี้ ว่าเหตุผลคืออะไร แล้วถ้าไม่เห็นด้วย และมีเหตุผลที่ดีก็ต้องโต้แย้ง ส่วนผมในฐานะ 1 ใน 15 คนที่ลงชื่อ ก็อยากให้มีคณะกรรมการคอยกลั่นกรองในการดำเนินการมาตรานี้ ไม่อยากให้ใครไปจ้างความกล่าวหาใครก็ได้</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><br /></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> <strong><span style="color:#0000ff;">ตอนลงชื่อแถลงการณ์ อาจารย์คิดว่าตัวเองเป็นคนเสื้อสีอะไรหรือไม่</span></strong></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> คือคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นสีไหน ทั้ง 15 คน ต่างคนก็มีจุดยืนทางการเมืองแตกต่างกัน แต่ว่าเราเห็นพ้องต้องกันในเรื่องนี้ ก็ยิ่งดี แสดงให้เห็นว่านักวิชาการที่มีจุดยืนทางการเมืองแตกต่างก็สามารถสนับสนุนเรื่องนี้ได้ ซึ่งสังคมน่าจะลองคิดดูว่าทำไมนักวิชาการที่คิดแตกต่างเคยขัดแย้งกันสามารถเห็นพ้องต้องกัน อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ กับ อาจารย์พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ก็ยิ่งต่างกันใหญ่ อีกฝ่ายเสื้อแดง อีกฝ่ายเสื้อเหลือง</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><br /></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><strong><span style="color:#0000ff;">อาจารย์หวังว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะเอาด้วยไหม เพราะอย่างน้อย รองนายกฯ ก็บอกว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรานี้</span></strong></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> คือตอนนี้ เน้นเรื่องสบัญญัติ วิธีพิจารณาความอาญามากกว่าไปแก้สารบัญญัติ เพราะว่ากระบวนการฟ้องร้องกล่าวหากล่าวโทษ ไม่น่าจะให้คนทั่วไปทำได้ แต่เนื้อหาข้อความ ก็อาจจะไม่ต้องแตะต้อง เพียงแต่ไปเพิ่มหรือแก้ไข วิธีพิจารณาความอาญา ขณะที่ “นิติราษฎร์” เขาพูดชัดว่าจะแก้ ม. 112 แต่แถลงการณ์อาจารย์ 15 คน ก็ทราบว่าการแก้สารบัญญัติเป็นเรื่องใหญ่ จึงเห็นว่าเบื้องต้น ต้องป้องกัน ไม่ให้ใครใช้มาตรานี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ใช้กันเปรอะไปหมด</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><br /></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><strong><span style="color:#0000ff;">จุดยืนส่วนตัวของอาจารย์คืออะไร</span></strong></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">จุดยืนส่วนตัวของผมในขณะที่มีคนบอกว่าให้แก้ไข แต่ผมเห็นว่าควรยกเลิก มาตรา 112 แต่ต้องประชาพิจารณ์ ที่ผมคิดแบบนี้ เพราะเรามีมาตรา 8 ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้วที่คุ้มครององค์พระมหากษัตริย์ แล้วจำเป็นต้องประชาพิจารณ์ เพื่อให้ประชาชนถกเถียงพูดคุยกันว่า ตกลงแล้วสถานะและบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในระบอบการปกครองที่เรามีอยู่จะเป็นอย่างไร แล้วเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์จะมีแค่ไหน และการวิพากษ์วิจารณ์กับการหมิ่นประมาทต่างกันอย่างไร แล้วคนในสังคมจะวางระเบียบให้ตัวเอง ซึ่งถ้าแก้ไขกันเงียบๆ ก็ไม่ได้ช่วยอะไร</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">นอกจากนั้น ยังมีประเด็นว่า กฎหมายนี้คุ้มครองใครบ้าง คำว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จะรวมใครบ้าง หรือแยกออก เพราะในกรณีพระบรมวงศานุวงศ์ ทำสิ่งซึ่งกระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์ เราจะทำอย่างไร จะวิพากษ์วิจารณ์ได้ไหม ถ้าคนที่ไม่ใช่พระมหากษัตริย์ แต่เป็นคนใกล้ชิดสถาบันพระมหากษัตริย์ แทรกแซงกิจการราชการ หรือมีพฤติกรรมที่ไปเกี่ยวข้องกับระบบราชการแล้วทำให้เกิดความเสียหาย แล้วคนเหล่านี้จริงๆ ต้องถือว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนะ ทำให้คนเป็นห่วงสถาบัน ห่วงองค์พระมหากษัตริย์</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">ฉะนั้น การวิพากษ์วิจารณ์ทำให้เกิดการปรับตัว ทำให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ กับประชาชน ในแนวที่ไม่ใช่เป็นแนวดิ่งถึงขนาดต้องรอการเชื่อฟัง แต่ถ้าแนวความสัมพันธ์บนลงล่างที่เอนลง ลดความชันลงมาหน่อย ไม่ถึงขนาดเสมอภาคหรอก แต่พอสื่อสารกันได้ ไม่ได้อยู่ในระนาบสูงเกินไป ก็จะทำให้เกิดความมั่นคง ความปรับตัวขึ้น เพราะมักมีข่าวลือ ที่ทำให้เราไม่สบายใจเกี่ยวข้องกับอนาคตสถาบันด้วย ถ้าเราต้องการให้สถาบันมีความเข้มแข็ง ก็ต้องทำให้คนรอบข้างสถาบันไม่ทำอะไรที่กระทบกระเทือนการปกครองระบอบนี้ </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><br /></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><strong><span style="color:#0000ff;"> คนที่ไม่อยากให้แก้ไข ม. 112 ก็มองว่าในเมื่อใครไม่ได้ทำผิด ก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนมาตรานี้ ขณะที่หลายคดีก็ยังเป็นที่สงสัยว่าเข้าข่ายความผิดจริงหรือไม่</span></strong></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> เราแยกแยะชัดเจนได้หรือยัง ระหว่างวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน กับการหมิ่นประมาทดูแคลนอาฆาตมาดร้าย ถ้ามาหมิ่นประมาทด่าสาดเสียเทเสีย แน่นอนก็น่าจะผิดและต้องแจ้งความฟ้องร้อง</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><br /></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><strong><span style="color:#2222ff;"> จะพิสูจน์ความจงรักภักดีอย่างไร ขณะที่ตัวเองเสนอให้แก้กฎหมายไม่ว่าจะเป็นวิธีสบัญญัติหรือสารบัญญัติเกี่ยวกับมาตรานี้</span></strong></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">คำว่าจงรักภักดีหมายความว่าต้องไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรเลยเหรอ ได้ยินข่าวลือที่ไม่ดีก็ทำอะไรไม่ได้เลยหรือ ต้องให้ประชาชนจำนน ยอมรับสิ่งเหล่านี้ ทั้งที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">ในทางรัฐศาสตร์ ถ้าจะจงรักภักดีก็ต้องมีเหตุผลและความชอบธรรม ไม่ใช่มืดบอดหลับหูหลับตาจงรักภักดีหรือด้วยความเกรงกลัวอย่างไพร่ทาสกลัวนาย</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><br /></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> <strong><span style="color:#2222ff;">คนที่บอกว่ารักสถาบัน เขาไม่ไว้ใจคนที่ออกมาเคลื่อนไหวให้แก้ไขมาตรานี้ โดยมีสมมติฐานสำคัญว่า คนเหล่านั้นไม่จงรักภักดี</span></strong></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">คือเราปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่เอาเจ้า แล้วปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนคิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบการปกครอง เขามีอยู่จริง ทีนี้ ถ้าเราไม่เปิดโอกาสให้เขาอธิบายเหตุผลของเขา เขาไปพูดใต้ดินในช่องทางอินเตอร์เนต มันก็จะผสมกับเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้างหมิ่นประมาทไปใหญ่ แต่ถ้าเราเปิดกว้างให้เขาได้พูดด้วยเหตุผลว่า เขาไม่ต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะอะไร</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">ผมต้องการให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ต่อไปด้วยเหตุผลทางรัฐศาสตร์ ผมไม่ได้ตอบด้วยแค่คำว่าจงรักภักดี แต่ผมตอบด้วยหลักทางรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสังคมไทย ฉะนั้น ผมพูดเพื่อให้สถาบันดำรงอยู่ ผมพูดได้อย่างไม่มีอุปสรรค แต่คู่ต่อสู้ทางความคิดของผมสิ(คนที่คิดแตกต่าง) เขาพูดไม่ได้ ผมอยากให้เปิดโอกาสให้เขากับผม มาโต้เถียงกันอย่างเสรี ผมก็มั่นใจในเหตุผลของผมที่จะโต้กับเขา แต่ถ้ายิ่งมีกฎหมายไปห้าม มีเงื่อนไขทางสังคมที่ไปปิดกันเขาออกไป มันก็ยิ่ง ไปยืนยันว่าสิ่งที่เขาต้องการให้เปลี่ยน มันสมควรต้องเปลี่ยน มันยืนยันสิ่งที่เขาตำหนิว่าเราไม่ใช่ประชาธิปไตย แล้วก็เราเป็นระบอบราชาธิปไตยที่กดขี่เป็นเผด็จการ แต่ถ้าเขาหมิ่นประมาทเรื่องส่วนตัวที่ทำให้สาธารณะเสียหาย คนอื่นก็ควรพูดได้ตั้งคำถามได้ แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับสาธารณะก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับความเป็นสถาบัน</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">ถ้าจะชกกันก็ชกกันอย่างแฟร์ๆ การวิพากษ์วิจารณ์ระบอบการปกครอง รับได้ในเงื่อนไขเดียวคือต้องการให้ระบอบการปกครองนั้นเป็นระบอบที่ดีต่อประชาชน แก้ปัญหาและตอบสนองประชาชนได้ ฉะนั้น คนที่มองว่าระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญทำงานได้ไม่ดี ก็ต้องแจกแจงมาสิ ว่าเป็นยังไง ไม่ใช่คิดแต่เรื่องความเสมอภาค เพราะสิ่งที่เหนือกว่าความเสมอภาคเสรีภาพก็คือชีวิตที่ดี ถ้ามีความเสมอภาคกันแล้วแต่ชีวิตไม่ดี ก็ไม่รู้จะมีไปทำไม</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><br /></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><strong><span style="color:#2222ff;">บทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ ในแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน</span></strong></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">สถาบันกษัตริย์ในประเทศด้อยพัฒนา ก็คงมีปัญหาเยอะมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างน้อยประเทศในแถบสแกนดิเนเวียน ก็คงไม่มีปัญหาต้องให้กษัตริย์ต้องลงมาดูแลโครงการพัฒนาชนบทหรอกมันไม่เหมือนกัน ส่วนกษัตริย์ในประเทศด้อยพัฒนา ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็คงถูกด่าเหมือนกันว่านั่งกินนอนกินไปเฉยๆ ถ้าทำก็หาว่าไปแทรกแซง หาว่าสร้างอิทธิพลสร้างอำนาจบารมีขึ้นมา คือถูกด่าทั้งขึ้นทั้งร่องถ้าคนจะหาเรื่องด่า</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">อย่างกรณีของหนังสือ Saying the Unsayable: Monarchy and Democracy in Thailand, edited by Soren Ivarsson and Lotte Isager, (2010) บางตอนของบทนำของหนังสือเล่มนี้ได้เขียนไว้ว่า มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจินตนาการได้เลย (unthinkable) ที่กษัตริย์ของเดนมาร์กจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโครงการพัฒนาชนบท (rural development) เหมือนอย่างที่กษัตริย์ไทย (King Bhumibol) ทำ เพราะเขามองว่า กษัตริย์ ไม่ควรทำอะไรเลย เขาก็อ้างของเขาว่ากษัตริย์เดนมาร์คไม่ทำอะไรแบบนี้ ซึ่งผมก็ต้องถามต่อว่า เดนมาร์ค ไม่เคยด้อยพัฒนา เขาเป็นประเทศนำความเป็นสมัยใหม่ตลอดเวลา ถามว่าถ้ากษัตริย์ไทยไม่เคยทำอะไรเลยตั้งแต่ปี 2500 ก็คงถูกว่าเหมือนกัน ถูกด่าหนักด้วยว่าคนก็ยากจน คอมมิวนิสต์ก็คงบอกว่ากษัตริย์ไม่ทำอะไรแล้วมีไว้ทำไม ซึ่งตอนนั้นท่านทำอะไรก็ไม่มีใครว่า แต่พอมาตอนนี้กลับมาวิพากษ์วิจารณ์ย้อนหลังว่าสิ่งที่พระองค์ทำไปนั้นไม่ถูกต้องเพราะทำให้เกิดอำนาจบารมีขึ้นมา กลายเป็นว่าทำก็แย่ไม่ทำก็แย่ </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><br /></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><strong><span style="color:#0000ff;">การถกเถียง จะทำให้คนไทย ไม่กลัวสถาบันหรือเปล่า</span></strong></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">คนที่ทำให้คนอื่นกลัวสถาบัน คงเป็นข้าราชการบางกลุ่ม และกลุ่มคนที่จงรักภักดีไม่ลืมหูลืมตา ผมว่าความกลัวเกิดขึ้นโดยไม่เกี่ยวข้องกับสถาบัน แต่มีคนที่ไปแจ้งความ ทั้งที่สถาบันไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลยทำให้เกิดความน่ากลัว ถ้าจะกลัวคือกลัวที่จะเอาสถาบันมาอ้างอิงในการเล่นงานคนอื่นมากกว่า</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">ผมเห็นว่าควรมีประชาพิจารณ์หากจะยกเลิกกฎหมาย 112 เพราะต้องให้โอกาสคนที่วิพากษ์วิจารณ์ได้ เช่น ตั้งคำถามกับสำนักงานทรัพย์สิน หรือตั้งคำถามกับข่าวลือว่า คนในพระบรมวงศานุวงศ์ ไปให้หน่วยงานราชการต้องไปทำอะไรให้ ซึ่งหน่วยงานราชการเอาเงินที่ไหนไปทำ เป็นเงินภาษีประชาชนหรือเปล่า ถ้าเป็นภาษีประชาชนก็ต้องถูกต้องคำถามได้</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">ในฐานะที่ผมยืนยันว่าต้องมีสถาบัน ผมจะไปอธิบายปกป้องสถาบัน ในเรื่องเหล่านี้ผมก็พูดไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงคนที่มีสิทธิพูดก็คงพูดได้ว่าทำไมเขาใช้อำนาจอะไร ที่ทำให้ข้าราชการเอางบประมาณไปใช้ตรงนั้น แล้วหน่วยงานนั้นเขาจะจัดสรรยังไงอธิบายยังไง หรือข้าราชการต้องเอาเงินส่วนตัวไปทำหรืออย่างไร ถ้ามันเป็นข่าวลือก็ต้องพูดออกมาตรงๆ แล้วมีหน่วยงานที่จะตอบว่าเป็นข่าวลือ</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><br /></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><strong><span style="color:#0000ff;">เหตุผลทางรัฐศาสตร์ที่อาจารย์เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องดำรงอยู่ คืออะไร</span></strong></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">ถ้าเราไม่เอาระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ก็จะไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ เป็นประชาธิปไตยที่ไม่มีกษัตริย์ ซึ่งมีให้เลือก 1)แบบสหรัฐอเมริกา 2)กึ่งประธานาธิบดีกึ่งรัฐสภา หรือเปลี่ยนประมุขของรัฐจากกษัตริย์เป็นประธานาธิบดี ถ้าเลือกตั้งทางอ้อม ตัวสภาซึ่งกำหนดตัวนายกฯ และประธานาธิบดี จะทำให้เสียงข้างมากในสภาเลือกนายกฯ และประธานาธิบดีไม่ต่างกัน แล้วจะถ่วงดุลกันยังไง แต่ถ้าเลือกตั้งทางตรง แล้วคุณคิดว่าเสียงข้างมากที่เลือกพรรคหนึ่งเข้าสภาแล้วจะเลือกคนที่ไม่ใช่พรรคนั้นได้หรือเปล่า ก็เป็นเรื่องยากเพราะฐานเสียงกลุ่มเดียวกัน เป็นปัญหาการถ่วงดุล ต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะในการลงคะแนนเสียง </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">ถ้าเราเปลี่ยนการปกครองแบบไม่มีกษัตริย์อาจจะต้องใช้เวลาอีกนานมาก กว่าจะลงตัวในการเลือกตั้งทางตรงหรืออ้อม เพราะตั้งแต่ 2475 เปลี่ยนแปลงการปกครองก็ล้มลุกคลุกคลานพอสมควร</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><br /></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><strong><span style="color:#0000ff;">ต่อให้ต้องใช้เวลานาน แล้วปัญหาคืออะไร กลุ่มอีลีทเปลี่ยนกลุ่มหรือเปล่า</span></strong></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">กลุ่มอีลีทเก่าอาจจะหมดไป แล้วกลุ่มอีลีทใหม่ครอบงำทั้งหมดเลย ซึ่งประธานาธิบดีต้องเป็นที่เกรงใจและสามารถคัดค้านนายกรัฐมนตรีในบางกรณีได้ด้วย อย่างประสบการณ์ของประเทศสิงคโปร์ สมัยลีกวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีหลายสมัย ประธานาธิบดี เรียก ลีกวนยูว่า “บอส” แล้วประธานาธิบดีไม่มีความหมาย แต่พอลีกวนยูจะเลิกเล่นการเมือง ก็แก้รัฐธรรมนูญ อยากให้ประธานาธิบดีเข้มแข็ง เพราะเขาไม่แน่ใจว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะดีเท่าเขาหรือเปล่า เพราะเขาเพิ่งรู้ เขาไม่อยากให้นายกฯและประธานาธิบดีเกี้ยเซี๊ยอย่างที่ผ่านมา</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> แล้วเรา “จำเป็น” ต้องเปลี่ยนระบอบด้วยหรือ? อย่างที่อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ พูด ในเมื่อเรามีต้นทุนอยู่แล้ว ประมุขที่สืบสายโลหิต ย่อมไม่จำเป็นต้องพึ่งคะแนนเสียงเลือกตั้ง แล้วเขาสามารถที่จะเป็นกลาง สามารถเล่นไพ่ได้หลายหน้า เขาไม่จำเป็นต้องเข้าข้างพรรคใดพรรคหนึ่ง ก็สามารถถ่วงดุลรัฐบาลได้แน่นอน</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญก็มีทั้งสำเร็จและล้มเหลว ที่สำเร็จก็เป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องว่ามีมาตรฐานชีวิตดีที่สุดในโลก คือแถบสแกนดิเนเวีย เป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองสูงสุดมากกว่าสหรัฐและอังกฤษ เพราะอังกฤษ อาจจะไม่ได้ดูแลชีวิตผู้คนได้ดีเท่ากับยุโรปเหนือ ส่วนประเทศที่ล้มเหลวในการปกครองระบอบนี้ ล่าสุดก็คือเนปาล</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">ประเทศไทยมีตำแหน่งแห่งที่ในการประสบความสำเร็จอยู่ตรงไหน เราคงเทียบกับสแกนดิเนเวียไม่ได้ แต่เราก็ไม่ได้แย่ขนาดเนปาล</p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "><br /></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> <strong><span style="color:#0000ff;">ถ้ามีคนบอกว่า ต่อให้ใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลง ก็ยอมเสียเวลา แล้วอาจารย์คิดว่าการใช้เวลาเป็นปัญหาหรือเปล่า</span></strong></p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; "> </p><p style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; list-style-type: none; ">คือถ้ามันเป็นกิจกรรมอื่น ก็น่าลองผิดลองถูก แต่เรื่องนี้มันชีวิตคนทั้งประเทศ ต้องไปลองด้วยหรือ เอาแค่คุณทักษิณทดลองให้คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีมาเรียนรู้งาน ผมว่ามันก็แย่เต็มทีแล้วนะ การทดลองแบบนี้อันตรายขนาดไหน แล้วประชาชนจำนวนหนึ่งก็ยังอุตส่าห์ยอมให้ทดลองอีก มันไม่ได้ ชีวิตคนเกิดมาช่วงชีวิตหนึ่งไม่ใช่ให้คุณมาทดลองทางการเมือง กรณีคุณยิ่งลักษณ์ แค่จะต่อรองทางการเมือง เขาก็ไม่มีประสบการณ์ หรือแม้เขาเรียนรู้การต่อรองได้ แต่การตัดสินใจสุดท้าย ไม่ได้อยู่ที่เขา อันนี้ก็แย่ คุณไม่แคร์ว่าประชาชนจะเป็นยังไง คุณไม่แคร์ว่าการบริหารราชการแผ่นดินจะเป็นยังไงเลยนะ คุณเอามาเสี่ยงเพื่อสนองความต้องการอะไรบางอย่างของคุณ</p></span>กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6054786499234940771.post-13543163225595529882012-01-04T20:54:00.001+07:002012-01-04T20:57:41.402+07:00วรเจตน์ ภาคีรัตน์ กับภารกิจนิติราษฎร์ปี 55<object width="425" height="239" data="http://www.voicetv.co.th/flowplayer/flowplayer.commercial-3.2.5.swf" type="application/x-shockwave-flash"><param name="flashvars" value="config=http%3A%2F%2Fwww.voicetv.co.th%2Fcontent%2Fembedconfig%2F%3Fid%3D2%25AD%25A4%25BBn%258Cp%257D%25DE%258A%2521%252B%253Cy%25F0%25E4%26embed%3D1"><param name="movie" value="http://www.voicetv.co.th/flowplayer/flowplayer.commercial-3.2.5.swf?"><param name="allowfullscreen" value="true"><param name="bgcolor" value="#000000"><embed src="http://www.voicetv.co.th/flowplayer/flowplayer.commercial-3.2.5.swf?config=http%3A%2F%2Fwww.voicetv.co.th%2Fcontent%2Fembedconfig%2F%3Fid%3D%25B9%258FV%2585%2586C%2526%25EC%25143T%257B%25EEB%259A%25F4%26embed%3D1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="239"></embed> </object>กลุ่มเชียงใหม่เลี้ยวซ้ายhttp://www.blogger.com/profile/16025029892293969806noreply@blogger.com0