การสร้างพลเมืองกับการพัฒนาประชาธิปไตยไทย – วรเจตน์ ภาคีรัตน์
“สำหรับในมุมมองของผม ในเบื้องต้นจะต้องมีความเข้าใจว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองซึ่ง มองว่ามนุษย์ทุกคนในสังคมล้วนแล้วแต่มีผลประโยชน์ในทางการเมืองทั้งสิ้น”
คอลัมน์ บทสัมภาษณ์ความเห็นทางวิชาการ
ชื่อเรื่อง รองศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์  ภาคีรัตน์1. อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เรื่อง “การสร้างพลเมืองกับการพัฒนาประชาธิปไตยไทย” เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๓  ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ผู้เขียน กองบรรณาธิการจุลนิติ
จุลนิติ : 
หลักการของการปกครองระบอบประชาธิปไตยของนานาอารยประเทศในโลกนี้ได้วางหลัก
การพื้นฐานอันถือได้ว่าเป็นสาระสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยไว้อย่าง
ไร
รศ. ดร. วรเจตน์ฯ :
 คำว่า “ประชาธิปไตย” หมายถึงการปกครองโดยประชาชนเป็นใหญ่ 
เป็นรูปแบบหนึ่งของระบอบการปกครอง (Regime of Government) 
เราคงทราบว่าในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้น 
ได้ผ่านรูปแบบการปกครองมาแล้วหลายรูปแบบด้วยกัน 
โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นประเด็นที่นับว่าเป็นคำถามที่สำคัญที่สุด คือ “อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยควรเป็นของใครหรือควรอยู่ที่ใคร”
 
ซึ่งในที่สุดแล้วพัฒนาการของแนวความคิดทางด้านการเมืองโดยเฉพาะในยุคสมัย
ใหม่เป็นต้นมา ได้ให้การยอมรับและถือว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ “ควรเป็นของประชาชน”
ดังนั้น 
เมื่อกล่าวถึงการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว 
หลักการพื้นฐานหรือหัวใจที่มีความจำเป็นต้องพิจารณาและคำนึงถึงคือ 
อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศนั้นเป็นของใคร ฉะนั้น 
ถ้าหากว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของพระเจ้าหรือผู้แทนของพระเจ้า
บนพื้นพิภพ หรือเป็นของพระมหากษัตริย์ 
หรือเป็นของนักวิชาการหรือนักปราชญ์แล้ว 
การปกครองในรูปแบบนั้นไม่ถือว่าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศต้องเป็นของประชาชน
 
หลักการนี้คือหลักการพื้นฐานอันถือได้ว่าเป็นสาระสำคัญหรือนิยามที่สั้นที่
สุดของการปกครองระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ 
ให้พิจารณาในแง่ของตัวผู้ที่เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศว่า
เป็นใคร 
อย่างไรก็ตามการแสดงออกซึ่งอำนาจของประชาชนนั้นอาจเป็นไปได้ในหลายลักษณะ 
ดังนั้นการใช้อำนาจสูงสุดจึงอาจมีรูปลักษณ์แตกต่างกันไปได้ เช่น 
การออกเสียงเลือกตั้ง การออกเสียงประชามติ 
การให้องค์กรของรัฐที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยเป็นผู้ใช้อำนาจ เป็นต้น
จุลนิติ : ในทัศนะของอาจารย์มีความเห็นว่าปัจจุบันประชาชนชาวไทยมีความรู้ความเข้าใจในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด
รศ. ดร. วรเจตน์ฯ :
 เดิมสมัยที่ผมเป็นนักศึกษาและเรียนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัย 
ผมถูกสอนให้เชื่อหรือเข้าใจเหมือนกับที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันว่า 
ประชาชนของประเทศไทยยังไม่มีความรู้ความเข้าใจว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตย
คืออะไร 
หรือยังไม่มีความเข้าใจว่าตนเองเป็นผู้ที่ทรงอำนาจหรือเป็นเจ้าของอำนาจ
อธิปไตยอย่างไร 
และผมถูกสอนให้เชื่ออีกว่าสาเหตุที่ทำให้ระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยมี
ปัญหานั้น 
สืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ 
โดยคณะราษฎร2. เป็นการชิงสุกก่อนห่าม 
เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยกลุ่มนักเรียนนอกหรือกลุ่มบุคคลซึ่ง
เป็นคนหัวก้าวหน้าและได้รับอิทธิพลแนวความคิดมาจากตะวันตก 
พอกลับมาประเทศไทยจึงรีบร้อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 
โดยที่ประชาชนของประเทศยังไม่มีความรู้ความเข้าใจว่าการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยคืออะไร จนส่งผลทำให้เกิดเป็นปัญหาของประเทศมาจนถึงปัจจุบันนี้
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ผมได้ตระหนักแล้วว่าสิ่งที่ผมเคยรับรู้มานั้นน่าจะเป็นแนวความคิดที่ผิด และถ้า
หากถามผม ณ 
ปัจจุบันนี้ว่าประชาชนชาวไทยโดยส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในหลักการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด 
ผมเชื่อว่าในปัจจุบันนี้ประชาชนชาวไทยโดยส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจดี
 อย่างน้อยที่สุดก็ตระหนักรู้ในสิทธิในเสียงของตนเอง ทั้งนี้ 
โดยพิจารณาจากพัฒนาการในทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วง ๓ ถึง ๔ ปี 
ที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนในฝ่ายใดหรือสีใดก็ตาม 
ผมเชื่อว่าเขามีความเข้าใจและตระหนักดีว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศแท้
จริงแล้วมันเป็นอำนาจของเขา 
เพียงแต่วิธีการในการแสดงออกหรือการใช้อำนาจและแนวความคิดบางอย่างอาจจะไม่
ตรงกันเท่านั้น 
และบางส่วนอาจจะยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการเคารพเสียงข้างมากอย่างพียง
พอ คือคิดว่าเสียงข้างน้อย (ที่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นนำ) ถูกต้อง 
เมื่อถูกต้องเสียแล้วจึงมีความชอบธรรมที่จะทำอะไรแม้แต่จะกระทบกับแก่นของ
ประชาธิปไตยก็ได้เป็นความคิดที่ผิด
จุลนิติ : 
ปัญหาและอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การพัฒนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย
ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรนั้นเกิดจากสาเหตุใด 
และกระบวนการในการสร้างประชาธิปไตยโดยเฉพาะการสร้างจิตสำนึกของประชาชนให้
ได้มีโอกาสเข้าถึงวิถีชีวิตแบบสังคมประชาธิปไตยที่ถูกต้องนั้นควรมีแนว
ทางอย่างไร
รศ. ดร. วรเจตน์ฯ :
 สำหรับคำถามประเด็นนี้อาจจะตอบยาก 
เพราะว่าปัญหาและอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การพัฒนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยใน
ประเทศไทยไม่ประสบผลสำเร็จเป็นปัญหาที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบการ
เมืองของไทยในปัจจุบัน กล่าวคือ 
กลุ่มชนชั้นนำของสังคมไทยในปัจจุบันยังมีการโต้เถียงกันว่าแท้จริงแล้ว
ประชาชนชาวไทยมีความพร้อมหรือมีความเข้าใจในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย
หรือไม่ ฝ่ายหนึ่งมีความเห็นว่ายังไม่พร้อม 
เนื่องจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาทำให้ได้นักการเมืองเข้ามาทุจริตคอร์รัปชั่น
 และกระบวนการในการเลือกตั้งยังมีการซื้อเสียง 
รวมทั้งมีความเชื่อว่านักธุรกิจที่เข้าสู่ระบบการเมืองอาจจะผูกขาดอำนาจทาง
การเมืองโดยผ่านกลไกพรรคการเมือง และอาจจะนำไปสู่ระบบเผด็จการนายทุนได้ 
ดังนั้น จึงทำให้มีความเข้าใจหรือความเชื่อว่าประชาชนชาวไทยยังไม่พร้อมกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย
สำหรับในมุมมองของผม 
ในเบื้องต้นจะต้องมีความเข้าใจว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองซึ่ง
มองว่ามนุษย์ทุกคนในสังคมล้วนแล้วแต่มีผลประโยชน์ในทางการเมืองทั้งสิ้น 
เป็นเรื่องปัจเจกของบุคคลแต่ละคนหรือของกลุ่มบุคคลแต่ละกลุ่ม 
ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ชาวไร่ชาวนา คนขับรถแท็กซี่ ข้าราชการ 
หรือทุกคนที่อยู่ในระบบนี้ ล้วนแล้วแต่มีผลประโยชน์ในทางการเมืองทั้งสิ้น 
ดังนั้น ระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นระบอบที่พยายามจัดสรรผลประโยชน์ในทางการเมืองให้มีความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายภายใต้หลักนิติรัฐ
หากถามว่าเพราะเหตุใดประเทศไทยยังคงมีปัญหาเรื่องนี้อยู่ในปัจจุบัน ผมคิดว่ามีสาเหตุ
สำคัญมาจากความไม่ลงตัวของดุลอำนาจหรือความไม่ลงตัวของโครงสร้างการเมืองการ
ปกครอง นับตั้งแต่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ กล่าว
คือ ก่อนปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 
ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของพระมหา
กษัตริย์ 
แต่ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่พระมหา
กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของ
ประชาชนทั้งหลายซึ่งหากพิจารณาในทางหลักการแล้วอาจจะมีการเปลี่ยน
แปลง แต่หากพิจารณาในแง่ของดุลอำนาจจริง ๆ แล้ว 
ผมมีความเห็นว่าอาจจะไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตาม 
ในช่วงประมาณ ๑๕ ปีแรก 
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองอาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ระบบกำลัง
ดำเนินไปในทิศทางของประชาธิปไตยเป็นลำดับ แต่ก็มาสะดุดเอาเมื่อมีการทำรัฐประหารในปี พ.ศ. ๒๔๙๐3. และนับแต่นั้นเป็นต้นมาอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศแทบจะไม่ได้ตกมาอยู่ในมือหรือเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง เพราะเหตุที่มักจะมีกระบวนการที่พยายามสกัดกั้นพัฒนาการของประชาธิปไตยมาโดยตลอด นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เรื่อยมา และ
ส่งผลทำให้ประเทศไทยเข้าสู่วงจรการทำรัฐประหาร การยึดอำนาจ 
ฉีกทำลายรัฐธรรมนูญ จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 
มีการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และสุดท้ายก็มีการยึดอำนาจ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
สาเหตุประการหนึ่งซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การพัฒนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยไม่ประสบผลสำเร็จคือ ความล้มเหลวหรือความพ่ายแพ้ของคณะราษฎรในการสถาปนาอุดมการณ์ประชาธิปไตยหรือนิติรัฐให้เป็นอุดมการณ์ของสังคม
 กล่าวคือ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 
คณะราษฎรไม่สามารถที่จะทำให้อุดมการณ์ประชาธิปไตยหรือนิติรัฐแทรกซึมผ่าน
เข้าไปในกลุ่มคนหรือองค์กรที่มีอำนาจในทางวินิจฉัยชี้ขาดหรือตัดสินปัญหา
สำคัญ ๆ ของประเทศได้ เราอาจพูดถึงองค์กรได้หลายองค์กร 
แต่อาจจะยกตัวอย่างให้เห็นเด่นชัดได้ เช่น กองทัพหรือองค์กรตุลาการ 
หากกล่าวเฉพาะองค์กรตุลาการ เราจะเห็นว่าองค์กรตุลาการเป็นองค์กร
ที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นน้อยที่สุดภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 
เนื่องจากได้รับเอาโครงสร้างขององค์กรตุลาการเดิมก่อนมีการเปลี่ยนแปลงการ
ปกครองมาเกือบทั้งหมด 
รวมทั้งมีบทบาทในการพิทักษ์และคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนหรือมีส่วน
ในการพัฒนาประชาธิปไตยน้อยมาก ดังนั้น 
พลังในการที่จะผลักหรือขับเคลื่อนประชาธิปไตยในช่วงเวลานั้นจึงอ่อนแรงลง 
ประกอบกับการต่อสู้กันของกลุ่มชนชั้นนำหรือกลุ่มอำนาจเดิมก่อนมีการเปลี่ยน
แปลงการปกครองซึ่งมีความชาญฉลาดในการที่จะดึงอำนาจกลับคืนมาทีละเล็กทีละ
น้อยผ่านบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 
จนทำให้อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศไม่ได้เป็นของประชาชน
อย่างแท้จริง 
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงกองทัพที่แทบจะไม่มีอุดมการณ์ในเรื่องการรักษาคุณค่าของ
ระบอบประชาธิปไตยหรือการพิทักษ์คุ้มครองรัฐธรรมนูญเลย
ความล้มเหลวหรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของคณะราษฎรอาจมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งภายในคณะราษฎรเอง
 กล่าวคือ ภายหลังจากที่ได้อำนาจมา 
นอกจากจะต้องต่อสู้กับกลุ่มอำนาจเก่าแล้ว 
ในคณะราษฎรเองความคิดเห็นบางอย่างยังไม่ลงรอยกัน 
และความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกันนี้ทำให้เกิดการต่อสู้กัน 
จนมาถึงจุดที่ทำให้สถานการณ์ผันแปรไป 
คือภายหลังเหตุการณ์สวรรคตของรัชกาลที่ ๘ และเป็นเหตุที่ทำให้ ศ. ดร. 
ปรีดี  พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม แกนนำของคณะราษฎรฝ่ายก้าวหน้า 
ผู้ก่อตั้งและผู้ประศาสน์การของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง 
ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ
เหตุการณ์ดังกล่าวและต้องได้รับผลร้ายจนเป็นเหตุให้ต้องลี้ภัยการเมืองไปยัง
ต่างประเทศและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทางการเมือง เหตุการณ์ดังกล่าวนับว่า
เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในทางประวัติศาสตร์ในความคิดเห็นของผม 
เพราะถ้าไม่มีเหตุการณ์หรือจุดเปลี่ยนตรงนั้น 
ปัจจุบันนี้ประชาธิปไตยของประเทศไทยอาจมีพัฒนาการไปอีกระดับหนึ่งแล้ว
ปัญหาดังกล่าว
ได้กลายเป็นปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น 
เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ 
ได้สร้างกลไกให้รัฐบาลมีความเข้มแข็งและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น 
และรัฐบาลที่มีความเข้มแข็งดังกล่าวเป็นรัฐบาลชุดที่มีนโยบายและการทำงานถูก
ใจประชาชนส่วนใหญ่ 
แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลชุดดังกล่าวได้ถูกกล่าวหาหรือมีข้อครหาเกี่ยวกับการ
ทุจริตคอร์รัปชั่นและผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้นำ 
ในที่สุดปัญหาหรือแนวความคิดในสองด้านนี้ได้มาปะทะกัน และคนในสังคมไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าปัญหาเรื่องใดเป็นเรื่องหลัก ปัญหาเรื่องใดเป็นเรื่องรอง
 จึงได้ยกเอาเรื่องที่เป็นเรื่องรองกลายมาเป็นเรื่องหลัก กล่าวคือ 
ยกเอาเรื่องการจัดการกับอดีตนายกรัฐมนตรีมาเป็นเรื่องหลัก 
ซึ่งภายใต้แนวความคิดแบบนี้จึงเป็นต้นเหตุในการทำลายอุดมการณ์ประชาธิปไตยโดยไม่รู้ตัว
 เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งภายใต้หลักเกณฑ์ของประชาธิปไตย 
ในส่วนของข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นและผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น
 ต้องดำเนินการหรือจัดการไปตามระบบหรือกลไกของประชาธิปไตย 
ซึ่งผมไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าต้องใช้เวลานานเพียงใด 
เพราะขึ้นอยู่กับตัวระบบที่จะแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง 
ถ้าเราเชื่อในระบบหรือกลไกของประชาธิปไตย  
แต่ถ้าหากเราไม่เชื่อว่าระบบหรือกลไกของประชาธิปไตยจะสามารถแก้ไขปัญหาด้วย
ตัวเองได้ แล้วเราจะมาเรียกร้องประชาธิปไตยกันทำไม
ดังนั้น 
ผมจึงอยากให้พิจารณาให้ถ่องแท้ว่าต้นเหตุที่ทำให้การพัฒนาการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยในประเทศไทยไม่ประสบผลสำเร็จอยู่ตรงไหน 
ต้นเหตุของปัญหาอยู่ที่ประชาชนจริงหรือไม่ 
สำหรับผมแล้วผมคิดว่าเราคงไม่สามารถกล่าวได้ว่าประชาชนไทยทุกคนหรือแม้
กระทั่งในโลกนี้มีวิจารณญาณในการตัดสินใจที่เท่ากัน 
ตอนที่ผมเรียนหนังสืออยู่ในเยอรมัน 
ผมได้ศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมัน 
ทำให้ทราบว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งของประเทศเยอรมันได้วางหลักเกณฑ์
เกี่ยวกับการเลือกตั้งไว้ค่อนข้างสลับซับซ้อน 
และผมลองถามชาวบ้านเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ 
และเงื่อนไขเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ว่ามีหลักเกณฑ์ วิธีการ 
และเงื่อนไขอย่างไรบ้าง ชาวบ้านตอบว่าไม่รู้และไม่มีทางที่จะรู้ได้ 
เพราะว่าเป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อนมาก 
แต่อย่างน้อยชาวบ้านรู้ว่ามีหน้าที่ต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งและรู้ว่าอำนาจ
สูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของเขา 
ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องในทางเทคนิคที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย
สำหรับประเทศ
ไทย 
ผมมีความเห็นว่าปัจจุบันนี้กลุ่มชนชั้นนำของสังคมไทยหรือกลุ่มคนที่อยู่ใน
ระดับผู้นำของประเทศน่าจะยังมีความไม่พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา
เป็นระบอบประชาธิปไตยซึ่งอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชนอย่าง
แท้จริง เพราะอาจกลัวว่าจะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของตนเอง 
และกลัวว่าประชาชนจะถูกหลอกโดยนักการเมืองฉ้อฉล 
ด้วยความกลัวดังกล่าวจึงทำให้คนกลุ่มนี้ 
รวมทั้งนักวิชาการและข้าราชการระดับสูง 
ได้พยายามแสวงหาวิธีการหรือระบอบการปกครองในอีกลักษณะหนึ่ง 
ซึ่งไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตย 
ถึงแม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน มาตรา ๒ และมาตรา ๓ 
จะได้วางหลักการไว้ว่าประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา
กษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยก็ตาม แต่หากพิจารณาลึกลงไปในทางเนื้อหาของรัฐธรรมนูญแล้ว จะเห็นว่ามีกลไกบางประการที่ไม่สอดคล้องกับหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย
 เช่น หลักการเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง 
และการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการ
เมืองซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยกับการกระทำความผิด 
เพราะเท่ากับไปทำลายการรวมกลุ่มกันเพื่อแสดงเจตจำนงในทางการเมืองของประชาชน
 อีกทั้งหลักการดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แต่ประการใด 
หรือหลักการที่กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามีที่มาจากการสรรหาส่วนหนึ่ง 
หรือการกำหนดให้ตุลาการมีบทบาทและอำนาจเพิ่มมากขึ้นโดยที่ไม่สามารถที่จะ
วิพากษ์วิจารณ์ได้หรือวิพากษ์วิจารณ์ได้ด้วยความยากลำบาก เป็นต้น
โดยสรุปแล้วปัญหา
และอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การพัฒนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยไม่
ประสบผลสำเร็จ คือ 
การที่อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศยังไม่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
 ดังนั้น วิธีการหรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ง่ายที่สุด 
คือการยอมรับกันในหลักการเบื้องต้นก่อนว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยอำนาจ
สูงสุดในการปกครองประเทศจะต้องเป็นของประชาชน หากประชาชนตัดสินใจอย่างใด 
ต้องยอมรับในการตัดสินใจนั้น และการแก้ไขปัญหาจะต้องแก้ไขไปตามระบบ 
นักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชั่นจะต้องมีการจัดการตามระบบของกฎหมาย 
มิใช่พอเห็นว่ามีปัญหาเกิดขึ้นก็นำกำลังทหารออกมายึดอำนาจ 
ซึ่งเท่ากับทำให้พัฒนาการของประชาธิปไตยสะดุดหรือหยุดชะงักลง 
สิ่งนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาธิปไตยของประเทศไทยไปไม่ถึงไหน
จุลนิติ : 
เมื่อสักครู่อาจารย์ได้กล่าวว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้การพัฒนาการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยในประเทศไทยไม่ประสบผลสำเร็จ คือ 
ความล้มเหลวหรือพ่ายแพ้ของคณะราษฎรในการสถาปนาอุดมการณ์ประชาธิปไตยหรือนิติ
รัฐให้เป็นอุดมการณ์ของสังคม ดังนั้น หากสามารถย้อนเวลากลับไปในปี พ.ศ. 
๒๔๗๕ ได้ 
และอาจารย์เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมกับคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 
อาจารย์จะดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร
รศ. ดร. วรเจตน์ฯ :
 ในฐานะที่ผมเป็นนักนิติศาสตร์ 
ผมคงจะทำได้ในแง่ของการจัดโครงสร้างของระบบกฎหมาย 
ซึ่งแน่นอนว่าการดำเนินการเพียงแค่นี้อาจจะไม่เป็นการเพียงพอ เนื่องจากการ
สถาปนาอุดมการณ์ประชาธิปไตยหรือนิติรัฐให้เป็นอุดมการณ์ของสังคมนั้น 
ไม่ได้อาศัยเพียงเฉพาะตัวบทกฎหมายที่เป็นตัวหนังสือดำ ๆ 
บนแผ่นกระดาษเท่านั้น เพราะยังหมายถึง สำนึก วิธีคิด อุดมการณ์ และความเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรม ดังนั้น การปลูกฝังระบอบประชาธิปไตยให้เป็นอุดมการณ์ของสังคมจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการในหลาย ๆ ด้านไปพร้อม ๆ กัน
ดังนั้น ส่วนหนึ่งที่ผมจะทำคือการจัดวางโครงสร้างของระบบกฎหมายให้มีความสอดคล้องหรือรองรับกับอุดมการณ์ในทางประชาธิปไตย รวมทั้งในทางวัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจด้วย สำหรับกฎเกณฑ์ในทางรัฐธรรมนูญ ผมคิดว่าสิ่งที่จะต้องทำคือจัดการความสัมพันธ์ของโครงสร้างอำนาจในทางรัฐธรรมนูญให้รับกับตัวระบบ หมาย
ความว่า 
อำนาจของรัฐทุกอำนาจที่ใช้จะต้องมีความเชื่อมโยงกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของ
อำนาจ ทั้งในด้านนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ 
ตลอดจนความสัมพันธ์ของอำนาจเหล่านี้กับประมุขของรัฐหรือพระมหากษัตริย์ด้วย
 โดยจะต้องจัดวางให้ได้ดุลยภาพภายใต้หลักการของความรับผิดชอบต่อประชาชน 
นั่นหมายความว่าองค์กรของรัฐองค์กรใดมีอำนาจโดยขาดความเชื่อมโยงในทาง
ประชาธิปไตยกับประชาชนหรือใช้อำนาจโดยไม่ต้องรับผิดชอบกับการใช้อำนาจนั้น 
จะต้องปรับเปลี่ยนการมีและการใช้อำนาจในลักษณะเช่นนั้นเสีย 
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าในช่วงประมาณ ๑๕ ปีแรก 
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 
เป็นช่วงเวลาที่ระบบกำลังดำเนินไปในทิศทางของประชาธิปไตยเป็นลำดับ 
โดยเฉพาะการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ 
ซึ่งผมมีความเห็นว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่มีความก้าวหน้ามาก 
โดยได้วางหลักการเกี่ยวกับอำนาจนิติบัญญัติไว้ค่อนข้างดี 
และถ้าผมมีส่วนในการยกร่าง คงจะต้องแก้ไขเพิ่มเติมหลักการในบางประการ เช่น ทำให้อำนาจของตุลาการมีความเชื่อมโยงกับประชาชน ให้มีผู้ตรวจการทหารซึ่งรัฐสภาแต่งตั้งทำหน้าที่ตรวจสอบกองทัพ เป็นต้น
 
อย่างไรก็ตามนี่เป็นการตอบบนพื้นฐานของรัฐธรรมนูญในช่วงสิบห้าปีแรกหลัง
เปลี่ยนแปลงการปกครอง 
แต่ถ้าถามถึงรัฐธรรมนูญในปัจจุบันนี้คงจะมีจุดที่ต้องปรับเปลี่ยนเยอะกว่า
นี้มาก เรียกว่าต้องยกเครื่องใหม่ทีเดียว
จุลนิติ : 
การพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งมั่นคงและยั่งยืน 
ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา
กษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง ตามหลักการที่ว่าเป็น 
“การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” 
นั้นควรจะต้องมีการพัฒนาอย่างไรจึงจะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้
รศ. ดร. วรเจตน์ฯ :
 
วิธีการที่ง่ายที่สุดคือการทำให้กลุ่มชนชั้นนำของสังคมไทยหรือกลุ่มคนที่
อยู่ในระดับผู้นำของประเทศมีความตระหนักและควรรู้ว่าในที่สุดจะไม่สามารถ
ทัดทานกระแสประชาธิปไตยได้ 
เพราะแนวความคิดทางด้านการเมืองการปกครองของโลกได้พัฒนามาถึงจุดสุดท้ายแล้ว
 หรืออาจกล่าวได้ว่าประชาธิปไตยคือคำตอบสุดท้าย 
ส่วนที่เหลือที่จะต้องมีการพัฒนาต่อไปเป็นเพียงรายละเอียดในแง่ของรูปแบบ
ประชาธิปไตยเท่านั้น 
เนื่องจากปัจจุบันผมยังมองไม่เห็นว่ามีระบอบการปกครองใดที่จะดีไปกว่าระบอบ
ประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ระบอบการปกครองในโลกนี้ไม่ว่าระบอบใดต่าง
ก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ระบอบประชาธิปไตยก็มีปัญหาในตัวเอง 
แต่การมีปัญหาของระบอบประชาธิปไตยยังมีข้อดีคือ 
การเปิดโอกาสหรือการมีเสรีภาพในการที่จะวิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความเห็นได้ 
ซึ่งถือเป็นคุณค่าสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำมากที่สุดในการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งมั่นคงและยั่งยืน ตามหลักการที่ว่าเป็น “การ
ปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” นั้น 
คือการทำให้อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชน 
และประชาชนสามารถที่จะใช้อำนาจนั้นได้อย่างแท้จริง 
ต้องเคารพการใช้อำนาจของประชาชน 
และการแสดงออกซึ่งอำนาจของประชาชนที่มีความชัดเจนที่สุดคือการเลือกตั้งกับ
การออกเสียงประชามติ ถึงแม้การเลือกตั้งอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดของประชาธิปไตย 
แต่ประชาธิปไตยในโลกปัจจุบันนี้เกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีการเลือกตั้ง 
หรืออาจกล่าวได้ว่าการเลือกตั้งมิใช่คำตอบทุกคำตอบของประชาธิปไตย แต่เป็นสาระสำคัญของประชาธิปไตย หากใครปฏิเสธการเลือกตั้งเท่ากับเป็นการปฏิเสธประชาธิปไตยในบั้นปลาย และโดยส่วนตัวผมมีความเห็นว่าปัญหาในการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยอยู่ที่ชนชั้นนำ ปัญหาไม่ได้อยู่ทีประชาชน
 
แน่นอนว่าในรายละเอียดคงจะต้องพูดถึงเรื่องการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น
ของประชาชน เรื่องการกระจายอำนาจอะไรเหล่านี้ แต่สิ่งนี้มาทีหลัง 
ดังนั้นเวลาพูดว่าประชาชนไม่พร้อมเพราะยังไม่มีการศึกษา 
ต้องให้การศึกษากับประชาชน 
ซึ่งเป็นคำพูดมาตรฐานเวลาพูดถึงปัญหาประชาธิปไตยไทย 
ผมว่าอาจจะต้องพูดถึงการให้การศึกษาเรื่องประชาธิปไตยและการปลูกจิตสำนึก
ประชาธิปไตยให้กับคนที่มีการศึกษาเสียก่อน  
ส่วนประเด็นเรื่องนักการเมืองไม่ดี พรรคการเมืองไม่ดี 
ปัญหาพวกนี้ค่อยๆแก้ไขไปได้ ซึ่งการวางระบบกฎหมายรัฐสภา 
กฎหมายพรรคการเมืองที่ดีก็จะช่วยได้ส่วนหนึ่ง
จุลนิติ : บทสรุปส่งท้ายและข้อเสนอแนะอื่นๆ
รศ. ดร. วรเจตน์ฯ : 
การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองที่อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ
เป็นของประชาชน ประชาชนจะต้องตระหนักและรู้ว่าตนเองเป็นเจ้าของอำนาจนั้น 
ดังนั้น 
หน้าที่สำคัญของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยคือการไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือการ
ไปออกเสียงประชามติ อันเป็นการแสดงออกซึ่งอำนาจของตน
สำหรับในส่วนของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนั้น ผมมีความเห็นว่าควรมีการเพิ่มเติมสิทธิบางประการให้แก่ประชาชน เช่น สิทธิในการถอนคืนตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรภายในเขตเลือกตั้ง ใน
กรณีที่ปรากฏว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นประพฤติหรือปฏิบัติตนไม่เหมาะสมที่
จะทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกต่อไป 
แม้การกระทำดังกล่าวจะไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ตาม 
แต่หากประชาชนมีความรู้สึกว่าถ้าให้ทำหน้าที่ต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหาย
ได้ และเมื่อผ่านช่วงระยะเวลาหนึ่งไปควรมีกลไกให้ประชาชนในเขตเลือก
ตั้งมีสิทธิเข้าชื่อกันเพื่อถอนคืนตำแหน่งแล้วเลือกคนใหม่เข้าไปทำหน้าที่
แทน ดีกว่าการให้วุฒิสภามีอำนาจในการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง 
เป็นต้น 
และควรมีการจัดความสัมพันธ์ของโครงสร้างอำนาจในทางรัฐธรรมนูญให้มีความสอด
คล้องกับหลักการประชาธิปไตย 
โดยเฉพาะวิธีการในการเข้าสู่ตำแหน่งผู้พิพากษาตุลาการในศาลสูงควรที่จะให้มี
ความเชื่อมโยงกับประชาชน เช่น 
จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา 
(ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย) ก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง 
กำหนดระบบการถอดถอนออกจากตำแหน่งโดยเคารพหลักความเป็นอิสระของผู้พิพากษา
ตุลาการ และจะต้องมีกลไกในการตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจดังกล่าวได้ 
เช่นการมีผู้พิพากษาสมทบที่เป็นประชาชนธรรมดาในศาลระดับล่าง 
การกำหนดหลักการประกาศองค์คณะให้ประชาชนทราบตัวผู้พิพากษาที่จะตัดสินคดีใน
แต่ประเภทคดีในแต่ละปีการการตัดสินคดี การมีกฎหมายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 
สมาชิกวุฒิสภา 
กฎหมายรัฐมนตรีซึ่งกำหนดกฎเกณฑ์การแสดงออกซึ่งอำนาจรัฐและการรับผลตอบแทน 
การขจัดประโยชน์ที่ได้รับมาโดยไม่สมควร เป็นต้น
ตามที่กล่าวมาในเบื้อง
ต้น เป็นสิ่งหรือกลไกที่จะต้องมีการคิดและเพิ่มเติมไว้ในรัฐธรรมนูญ 
และกฎหมายระดับพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง 
แต่สังเกตว่ากลไกที่ต้องเพิ่มเติมดังกล่าวส่วนใหญ่แล้วจะไปลดทอนอำนาจของชน
ชั้นนำทั้งนั้น 
ประเด็นปัญหาจึงมีว่าจะสามารถทำได้สำเร็จหรือไม่ในสถานการณ์การเมืองที่
ต่อสู้และแย่งชิงกันในปัจจุบัน ดังนั้น สถานการณ์ในปัจจุบันจึงอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยได้เดินมาถึงจุดซึ่งเป็นทางเดินสองทางที่แยกออกจากกัน และไม่มีวันที่จะมาบรรจบกันได้เรา
จะต้องเลือกเดินไปในทางใดทางหนึ่ง ระหว่างทางที่เป็นประชาธิปไตยจริง ๆ 
กับทางที่เป็นประชาธิปไตยปลอม ๆ 
หากถามว่าแนวโน้มในปัจจุบันสังคมไทยจะเดินไปในทิศทางใด ผมมีความเชื่อว่าในที่สุดแล้วสังคมไทยจะเดินไปสู่สังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง
 
ซึ่งในระหว่างทางที่เดินนี้หากสามารถที่จะประนีประนอมกันได้ความรุนแรงอาจจะ
มีไม่มาก เช่น ในประเทศอังกฤษซึ่งเขาก็มีการต่อสู้และประนีประนอมกัน 
เนื่องจากในปัจจุบันสภาขุนนาง (House of Lords)4.
 ของอังกฤษ ยังประกอบด้วยสมาชิกประเภทขุนนางสืบตระกูล (Hereditary Peers) 
ซึ่งมีที่มาจากการสืบทอดตำแหน่งทางสายโลหิตอยู่ แต่สมาชิกประเภทนี้จะค่อย ๆ
 ถูกลดจำนวนให้น้อยลงจนในที่สุดผมเชื่อว่าจะเลิกไป 
เพราะประเทศอังกฤษรู้ว่าระบบแบบนี้มีความไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตยจึงต้อง
มีการปฏิรูประบบการปกครองให้ไปในทิศทางประชาธิปไตยมากขึ้น เป็นต้น
ดังนั้น 
จึงพิจารณาเห็นได้ว่าปัจจุบันทุกประเทศมีแนวโน้มที่จะเดินไปในทิศทางนี้หมด 
อย่างไรก็ตาม ประชาธิปไตยอาจจะนำมาซึ่งปัญหาใหม่ ๆ เช่น 
ปัญหาการใช้ทรัพยากรที่เกินขนาดและนำมาสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น 
แต่ว่าปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขและจัดการได้ภายใต้ระบอบ
ประชาธิปไตยที่มีโครงสร้างและมีกลไกที่ดีและยอมรับว่าอำนาจสูงสุดเป็นของ
ประชาชน
นอกจากนี้ ในปัจจุบันมีการพูดถึงรัฐสวัสดิการ (Welfare state)5.
 
รวมทั้งมีความพยายามที่จะปฏิรูปประเทศเนื่องจากมีความเห็นว่าสังคมไทยมี
ปัญหาความเหลื่อมล้ำ หรือการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรมนั้น 
ผมมีความเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่สามารถที่จะสำเร็จได้ตราบใดที่โครง
สร้างของประเทศยังไม่เป็นประชาธิปไตยก่อน เพราะการที่จะปฏิรูปประเทศไปสู่รัฐสวัสดิการหรือสังคมแบบนั้นได้จะต้องผ่านสังคมที่มีความเป็นประชาธิปไตยก่อนทั้งสิ้น
 
การจัดทำกฎหมายว่าด้วยภาษีที่ดินจะสำเร็จได้อย่างไรถ้าชนชั้นนำของประเทศยัง
ถือครองที่ดินจำนวนมหาศาลอยู่ ใครจะยอมให้มีกฎหมายแบบนี้มาบังคับใช้ 
เพราะคนที่กุมอำนาจในการกำหนดนโยบายของประเทศไม่ใช่ประชาชนที่แท้จริง 
พรรคการเมืองใดที่คิดจะทำนโยบายในลักษณะนี้จะต้องถูกขัดขวางจากกลุ่มที่เป็น
ชนชั้นนำของประเทศที่ถือครองที่ดินอยู่ 
เพราะนโยบายดังกล่าวจะกระทบกับผลประโยชน์ของคนกลุ่มนี้โดยตรง ดังนั้น 
ในการที่จะไปสู่รัฐสวัสดิการหรือปฏิรูปประเทศสิ่งที่จะต้องดำเนินการก่อนใน
เบื้องต้นคือการทำให้โครงสร้างของประเทศเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงก่อน โดยต้อง
เริ่มต้นทำให้อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง 
รวมทั้งการทำให้สถาบันการเมืองหรือสถาบันในรัฐธรรมนูญทุกสถาบันอยู่ใน
ตำแหน่งแห่งที่ที่ตนจะต้องอยู่ไม่มาก้าวก่ายกัน 
และแสดงบทบาทเท่าที่เป็นบทบาทที่อยู่ในรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยหากมีปัญหาเกิดขึ้นต้องมีการแก้ไขปัญหาไปตามระบบ ให้ระบบค่อย ๆ ปรับตัวเอง แล้วในที่สุดจะไปสู่รัฐสวัสดิการอย่างที่ต้องการได้
————————————————————————
1. 
Doctor der Rechte (summa cum laude) Universität Göttingen ประเทศเยอรมัน,
 ปัจจุบันเป็นอาจารย์ภาควิชากฎหมายมหาชน ประจำคณะนิติศาสตร์ 
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
2. 
“คณะราษฎร” 
เกิดขึ้นจากการรวมตัวของกลุ่มนักเรียนไทยซึ่งเป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง
ในประเทศฝรั่งเศสเป็นแกนนำ 
และต่อมาได้ร่วมมือกับกลุ่มนายทหารในประเทศไทยอีกจำนวนหนึ่งก่อตั้งเป็นคณะ
ราษฎรขึ้น 
โดยคณะราษฎรได้ทำการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับ
เรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ ณ 
หอพักแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในถนนซอมเมอราร์ด กรุงปารีส 
โดยมีสมาชิกเข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ จำนวน ๗ คน ได้แก่ ๑) นายปรีดี  
พนมยงค์ ๒) ร้อยโท ประยูร  ภมรมนตรี ๓) ร้อยโท แปลก  ขีตตะสังคะ ๔) ร้อยตรี
 ทัศนัย  มิตรภักดี ๕) นายตั้ว  ลพานุกรม ๖) หลวงศิริราชไมตรี และ ๗) 
นายแนบ  พหลโยธิน ซึ่งต่อมาคณะราษฎรได้ชักชวนนายทหารในประเทศ ๔ นาย 
ซึ่งได้รับสมญานามว่า “สี่ทหารเสือ” เข้าร่วมกลุ่มด้วย ได้แก่ ๑) พันเอก 
พระยาพหลพลพยุหเสนา  (พจน์  พหลโยธิน)  ๒) พันเอก พระยาทรงสุรเดช (เทพ  
พันธุมเสน)  ๓) พันเอก พระยาฤทธิอัคเนย์ (สละ  เอมะศิริ) และ ๔) พันโท 
พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน  ชูถิ่น).
3. 
การรัฐประหารเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ 
เป็นการยึดอำนาจโดยคณะทหารบก ซึ่งผู้นำส่วนใหญ่เป็นนายทหารนอกประจำการ 
โดยมีพลโท ผิน  ชุณหะวัณ เป็นผู้นำ และประกอบด้วย นาวาเอก กาจ  กาจสงคราม, 
พันโท ก้าน  จำนงภูมิเวท, พันเอก สวัสดิ์  สวัสดิเกียรติ, พันเอก สฤษดิ์  
ธนะรัชต์ และพันเอก เผ่า ศรียานนท์  
ได้นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลของพลเรือตรี ถวัลย์  ธำรงนาวาสวัสดิ์ 
ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นให้ลาออกจากตำแหน่ง 
เมื่อทำการรัฐประหารได้สำเร็จ คณะรัฐประหารได้สนับสนุนให้ จอมพล ป. 
พิบูลสงคราม  ขึ้นเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร 
และแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย  
และได้ประกาศยุบสภาและยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ 
โดยได้นำร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉะบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐
 หรือ “รัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม” ร่างโดยนาวาเอก กาจ  กาจสงคราม 
ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ในรัฐธรรมนูญฯ 
ฉบับดังกล่าว มาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๗ ได้กำหนดให้รัฐสภาประกอบด้วย 
วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร 
โดยพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรซึ่งราษฎรเป็นผู้เลือกตั้ง และได้มอบหมายให้นายควง  อภัยวงศ์ 
เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดตั้งรัฐบาลต่อไป.
4. 
สภาขุนนาง (House of Lords) หมายถึง สภาสูงของสหราชอาณาจักร 
ประกอบไปด้วยสมาชิกที่เรียกว่า ลอร์ดส (Lords) หรือ เพียร์ส (peers) ประมาณ
 ๗๐๐ กว่าคน ซึ่งมาจากการแต่งตั้งทั้งหมด โดยแบ่งเป็น ๔ ประเภท คือ
(๑) ขุนนางชั่วชีพ 
(Life Peers) มาจากการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี และจะดำรงตำแหน่งไปตลอดชีวิต
 ปัจจุบันสมาชิกของเฮาส์ออฟลอร์ดสจำนวนมากอยู่ในประเภทนี้
(๒) ขุนนางสืบตระกูล 
(Hereditary Peers) มาจากการสืบทอดตำแหน่งทางสายเลือด 
ในสมัยก่อนนั้นเฮาส์ออฟลอร์ดสมีเฉพาะสมาชิกประเภทนี้เท่านั้น 
แต่ปัจจุบันถูกลดจำนวนเหลือเพียงแค่ ๙๒ คน โดย Parliament Act ๑๙๙๙ ซึ่ง ๙๐
 คนมาจากการเลือกตั้งโดย Hereditary Peers ด้วยกัน 
และอีกสองคนเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งซึ่งเกี่ยวเนื่องกับรัฐสภาโดยตรงอยู่ก่อน
แล้ว ได้แก่ Great Lord Chamberlain และ Earl Marshall
(๓) ขุนนางศาสนา (Spiritual Peers) มาจากตัวแทนของศาสนา เช่น บิชอปและอาร์คบิชอปต่าง ๆ
(๔) ขุนนางนิติ (Law 
Lords) เป็นสมาชิกที่มีความรู้ด้านกฎหมาย 
และทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหราชอาณาจักรด้วย 
ประกอบไปด้วยผู้พิพากษาจำนวน ๒๖ คน (ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org).
5. 
รัฐสวัสดิการ (Welfare state) 
เป็นระบบทางสังคมที่รัฐให้หลักประกันแก่ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันใน
ด้านปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการมีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น 
หลักประกันด้านสุขภาพ ที่ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับบริการป้องกันและรักษาโรคฟรี 
หลักประกันด้านการศึกษา 
ที่ทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาตามความสามารถโดยได้รับทุนการศึกษาฟรีจนทำงาน
ได้ตามความสามารถในการเรียน หลักประกันด้านการว่างงาน 
ที่รัฐต้องช่วยให้ทุกคนได้งานทำ 
ใครยังหางานไม่ได้รัฐต้องให้เงินเดือนขั้นต่ำไปพลางก่อน 
หลักประกันด้านชราภาพ ที่รัฐให้หลักประกันด้านบำนาญสำหรับผู้สูงอายุทุกคน 
หลักประกันด้านที่อยู่อาศัย ที่ดินทำกิน เป็นต้น
ประเทศที่มีระบบรัฐ
สวัสดิการจะใช้ระบบการเก็บภาษีแบบก้าวหน้า 
คือเก็บภาษีจากคนรวยในอัตราต่อรายได้สูงกว่าคนจนมาก 
เก็บจากชนชั้นกลางในระดับพอประมาณ และเก็บจากคนจนน้อยหรือไม่เก็บเลย 
นอกจากนั้นอาจมีการเก็บเบี้ยประกันสังคมจากคนที่มีงานทำตามอัตราเงินเดือน 
เงินที่เก็บได้ทั้งหมดรัฐก็จะนำมาใช้จ่ายสำหรับบริการทางสังคมทั้งหมดในระบบ
รัฐสวัสดิการ ระบบนี้จึงเป็นการ “เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข” 
คนที่มีรายได้ดีต้องช่วยจ่ายค่าบริการทางสังคมส่วนหนึ่งแก่คนที่ยากจนกว่า 
(ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org).


