Sunday, May 2, 2010

ขยายพื้นที่การต่อสู้ สู่กรรมาชีพ



29 เม.ย. 53

โดย วัฒนะ วรรณ

องค์กรเลี้ยวซ้ายที่มา – Redsiam
เป็นที่แน่ชัดเสียเหลือเกินว่า การต่อสู้รอบนี้ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยธรรมดาๆ แต่มันได้กลายเป็นการต่อสู้ทางชนชั้นแบบสมบูรณ์แล้ว ถึงแม้ว่าเป้าหมายในการต่อสู้ระยะสั้น จะเน้นไปที่การต่อสู้ทางการเมือง คือการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ แต่มวลชนจะไม่พอใจเพียงแค่นี้ เพราะเหตุผลแต่แรกในการต่อสู้มาจากเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และพัฒนามาสู่จิตสำนึกทางการเมือง


ชาวบ้านออกมาปกป้องรัฐบาลพรรคไทยรักไทย เพราะเป็นรัฐบาลพรรคแรกที่ให้ผลประโยชน์กับคนจนที่จับต้องได้จริง แต่เมื่อการต่อสู้พัฒนาตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา มันเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของพี่น้องคนจนแล้วว่า การจะปกป้องผลประโยชน์ปากท้อง ของตนเองนั้น จำเป็นต้องเขาไปสู้ในด้านการเมืองด้วย แต่มันจะไปได้ไกลแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับเราจะขยายการต่อสู้ไปสู่เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพได้มาก น้อยแค่ไหน


ในเมื่อการต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อทางชนชั้น เป็นการต่อสู้ของชนชั้นล่างที่ยากจน กับชนชั้นบนผู้มั่งมี แต่มันซับซ้อนกว่านั้น ที่ว่าผู้นำของชนชั้นล่างเป็นนายทุนหรือพรรคของนายทุนที่ให้ประโยชน์กับคนจน และในขบวนการประชาธิปไตยเองก็จะมีคนชนชั้นอื่นๆ สนับสนุนอยู่ด้วย แต่โดยหลักใหญ่ใจความแล้วการต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ของคนจน ที่ชนชั้นอื่นๆ บางคน บางกลุ่ม ได้ประโยชน์ด้วย แต่มันไม่ได้ให้ภาพการต่อสู้ทางชนชั้นลดน้อยลงเลย


ดังนั้นเราจึงต้องมาพิจารณาว่า ถ้าจะเผด็จศึกครั้งนี้ให้สำเร็จ เราต้องทำอย่างไรกันบ้าง แกนหลักด่านหน้า ในการต่อสู้ครั้งนี้คือคนในชนบท แต่การต่อสู้ที่ยาวนานในกรุงเทพ นับตั้งแต่วันที่ 12 มีนา เป็นต้น ได้แสดงให้เห็นว่า มีคนจนเมืองเข้าร่วมขบวนเป็นจำนวนมาก เช่นกัน และจำนวนไม่น้อยเป็นแรงงานในภาคบริการ ลูกจ้างร้านอาหาร โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า บริษัทธุรกิจต่างๆ แล้วก็เป็นแรงงานในภาคการผลิต ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม บางคนมาแบบปัจเจก บางคนมากับกลุ่มของชุมชน แต่ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่ตอนนี้เรายังมองไม่เห็นพลังซ่อนเร้นของ กรรมาชีพเหล่านี้


พลังที่ซ่อนเร้น ที่กล่าวมา เป็นสิ่งที่นักสังคมนิยม ให้ความสำคัญมาโดยตลอด เนื่องจากในระบบทุนนิยมที่ประเทศไทยดำเนินอยู่นั้น ปัจจัยในการขับเคลื่อนหรือเป็นหัวใจของระบบทุนนิยมก็คือแรงงาน เพราะเป็นผู้ดัดแปลงทรัพยากรธรรมชาติมาเป็นผลผลิตให้กับสังคมได้บริโภค แต่ผลผลิตเหล่านี้ หรือความร่ำรวยเหล่านี้ กลับตกไปอยู่ในมือของพวกอำมาตย์และบริวาร และพวกนี้ก็ใช้ความร่ำรวยที่ได้มาด้วยการปล้นมาจากคนในสังคม สร้างอำนาจ ผ่านเครื่องมือเครื่องไม้ต่างๆ ตามมา เพื่อกล่อมเกลาให้เราเชื่อว่า สังคมที่มีคนจน คนรวย คนมีบุญ คนด้อยบุญวาสนานั้น เป็นเรื่องธรรมชาติ คนจนต้องยอมจำนน ต่อสภาพสังคมเช่นนี้ต่อไปจนสิ้นลมหายใจ


แต่การเกิดขึ้นของมวลชนคนเสื้อแดง ได้พังทลายความเชื่อเช่นว่านี้ให้สิ้นไปแล้ว เรารู้ว่าเราจนเพราะอะไร มิใช่ไร้บุญวาสนาที่เหล่าพวกอำมาตย์พรางตามาเนิ่นนาน แต่ความจนมันเกิดขึ้นเพราะโครงสร้างสังคมที่พวกอำมาตย์มันพยายามปกป้องอยู่ ตอนนี้ มีการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรมต่างหาก


ในเมื่อเราทราบแล้วว่าพวกอำมาตย์มีพลังอำนาจ บารมี ที่ปรากฏอยู่ ก็ด้วยการทำงานของคนจน ทำไมเราถึงไม่ทำลายอำนาจนั้นไปเสีย ด้วยการหยุดทำงานให้กับพวกอำมาตย์ หยุดทำงานให้ระบบทุนนิยมที่พวกอำมาตย์อาศัยทำมาหากิน กดขี่ ขูดรีด ปล้นสะดม เอาหยาดเหงื่อแรงงาน ความรัก ความหวังของเราไป


การพูดเช่นว่านี้ใช่ว่าจะเกิดได้โดยง่าย แต่ก็ใช่ว่าเป็นสิ่งเพ้อฝัน เกิดขึ้นเป็นจริงไม่ได้ แต่มันกลับเป็นเรื่องจำเป็นที่ขบวนการประชาธิปไตยยากหลีกเลี่ยง ถ้าใฝ่ฝันถึงสังคมใหม่ที่มีความเท่าเทียมโดยแท้จริง เพราะการต่อสู้ที่ กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน มันเป็นเพียงการต่อสู้ขั้นแรกของการต่อสู้รอบใหม่ ซึ่งอาจจะเริ่มต้นจาก 2475 เท่านั้นเอง และบทเรียนในประวัติศาสตร์ได้สอนให้เห็นแล้วว่า พวกอำมาตย์จะไม่มีทางยอมจำนนท์ ละทิ้งอำนาจที่ตนเองมีอยู่ไปโดยง่าย ถ้าเราไม่กำจัดมันให้สิ้น มันก็จะกลับมาสร้างความเจ็บปวดให้เราได้อีก


ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วสหาย ที่จะต้องนั่งขบคิด ทบทวน หาหนทางขยายการต่อสู้ไปสู่กรรมาชีพให้จงได้ เพื่อเสริมกำลังฝ่ายประชาธิปไตยให้กล้าแข็งยิ่งขึ้น เราอาจจะคาดหวังผลเลิศในระยะเวลาอันสั้นไม่ได้ แต่เราจำเป็นต้องเริ่มลงมือทำแล้วในวันนี้ เพื่อหวังผลสำเร็จระยะต่อไป แล้วจงเลิกหวังกับพวกชนชั้นกลางที่มีแนวโน้มสนับสนุนเผด็จการได้แล้ว เพราะไม่คุ้มกับการเสียเวลา ในฐานะที่มิใช่เป็นคนกลุ่มใหญ่ ที่จะเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้ขั้นต่อไป

No comments:

Post a Comment