Friday, May 7, 2010

กาชาดวันนี้เป็นสีดำ


โดย จักรภพ เพ็ญแขที่มา


คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๓


น่าจะถูกจำจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์การเมืองของไทยใหม่ เพราะนอกจากเหตุการณ์ที่มีลักษณะพิเศษ ณ สี่แยกคอกวัวเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๐ และเหตุยิงระเบิดที่แยกศาลาแดงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนแล้ว ยังมีละครโรงใหญ่เรื่องโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ให้ชมกันทั่วประเทศอีกด้วย


สองเหตุการณ์แรกมีคนตายและบาดเจ็บ จึงไม่ใช่เหตุแห่งความปีติอย่างใดทั้งสิ้น แต่เหตุการณ์นั้นเองที่ทำให้ฝ่ายกุมอำนาจรัฐในระบอบเผด็จการไทยเดิมตระหนักรู้เป็นครั้งแรกว่าฝ่ายตนมิได้เป็นผู้ผูกขาดการใช้กำลังอาวุธอย่างที่เป็นมาหลายสิบปีอีกต่อไป และฝ่ายต่อต้านอำนาจเผด็จการที่ซ่อนรูปอยู่หลังรัฐบาล “ประชาธิปไตย” เริ่มจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปธรรมและขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน


เพราะสังคมไทยที่ขาดแคลนความยุติธรรมและอยู่ในภาวะสองมาตรฐานจนถึงขนาดถ้าไม่มีเหตุการณ์ในวันที่ ๑๐ และ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ คงจะปราบปรามประชาชนทั้งที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์จนเลือดท่วมท้องช้างไปเสียนานแล้ว การสาดกระสุนจริงและใช้อาวุธสงครามเพื่อกำจัดประชาชนที่ไม่มีอาวุธใดๆ ในมือ เว้นแต่ข้าวของที่คว้าได้จากแถวนั้นเพื่อป้องกันตัว เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าความเมตตาปรานีไม่มีอยู่ในระบบความคิดของอ้ายอีที่สั่งการ ชีวิตผู้บริสุทธิ์จะถูกคร่าไปอีกกี่ศพก็ไม่อาจรู้ได้ หากฝ่ายเขาไม่โดน “หยุด” ด้วยการต่อต้านอันเป็นประวัติศาสตร์นั้น


แต่สองเหตุนั้นบวกกันก็ยังไม่เท่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพราะชี้อะไรได้ชัดเจนกว่า กรณีนี้เริ่มต้นด้วยการถกเถียงกันมานานหลายสัปดาห์ว่า บนตึกสูงหลายหลังของโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้ถูกใช้เป็นที่ซุ่มซ่อนตัวของมือปืนในและนอกเครื่องแบบที่ฝ่ายตรงข้ามกับเวทีประชาธิปไตยหรือไม่ จนในที่สุดก็มีการแสดงหลักฐานสาธารณะว่ามีผู้ถืออาวุธสงครามอยู่จริง โดยซ่อนตัวอยู่ในที่จอดรถของตึก สื่อมวลชนทั่วไปก็ตีพิมพ์ภาพเหล่านั้นกันอย่างแพร่หลาย


แกนนำเสื้อแดงโดยอดีต ส.ส.พายัพ ปั้นเกตุ ก็นำกำลังจำนวนหนึ่งไปยังโรงพยาบาลจุฬาฯ จุดประสงค์คือต้องการข้อเท็จจริงว่าคนในเครื่องแบบพร้อมอาวุธสงครามเหล่านี้มีอยู่จริงหรือไม่ ก็เข้าทางเขา สื่อมวลชนและกลไกโฆษณาชวนเชื่อที่เตรียมไว้แล้วก็ออกข่าวอย่างครึกโครมในทันทีว่าโรงพยาบาลถูกบุกจู่โจมโดยแกนนำ นปช.ฯ เข้าแล้ว ผู้อำนวยการโรงพยาบาล นายแพทย์อดิศร ภัทราดูลย์ เปิดแถลงข่าวเรื่องย้ายผู้ป่วยออกจากตึกทุกตึกที่อยู่ใกล้ชิดที่ชุมนุม


โดยแสดงสุ้มเสียงประหนึ่งว่าคนเสื้อแดงจะยกพวกเข้ามาถล่มโรงพยาบาลเหมือนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันประกาศหยุดบริการทั้งหมดของโรงพยาบาล โดยบอกเสียด้วยว่า ตั้งมาเก้าสิบปีไม่เคยหยุดให้บริการจนมาคราวนี้ ตามด้วยรายงานข่าวยาวๆ เกี่ยวกับเกียรติคุณของโรงพยาบาลจุฬาฯ และความรันทดใจที่ต้องหยุดให้บริการประชาชน ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการเข้าไปคนเสื้อแดง


ในวันนั้นต่อมาก็แถลงว่าได้เชิญเสด็จสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ประทับรักษาพระองค์อยู่ที่นั่นไปยังโรงพยาบาลศิริราชแทน โทรทัศน์ของรัฐก็แสดงภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากรถเข็นทรงและรถพระประเทียบที่นำพระองค์ออกไป อย่างโกลาหลเหมือนระเบิดลง โดยที่เราไม่ได้เห็นพระพักตร์แม้แต่เพียงแวบเดียวของประมุขสงฆ์ เพราะกลัวว่าเห็นแล้วจะรู้ว่าโดยพระสังขารนั้นก็ชัดเจนว่าไม่รู้พระองค์อีกต่อไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น


ตามด้วยคำให้สัมภาษณ์ของ นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พ่อของอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ตอกย้ำหัวตะปูว่า เหตุการณ์นี้เสียหายร้ายแรงมากท้ายที่สุดคือการเสด็จพระราชดำเนินมายังโรงพยาบาลจุฬาฯ ของสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ซึ่งตามข่าวแล้วเสด็จฯ แบบมีหมายกำหนดการและแบบส่วนพระองค์หลายครั้งในเวลาไม่กี่ชั่วโมง โทรทัศน์ก็อัญเชิญพระราชกระแสมาว่าทรงห่วงใยคณะแพทย์ พยาบาล บุคลากร และผู้ป่วยของโรงพยาบาล


ซึ่งได้กลายเป็นข่าวทางสื่อต่างๆ ของรัฐเป็นปริมาณมากและยาวนานหลายวัน แล้วนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการ ศอฉ. ก็ให้สัมภาษณ์ในท่อนท้ายของฉากแรกนี้ว่า จากนี้ไปจะปราบปรามอย่างเต็มที่ ถ้าแกนนำหรือผู้ชุมนุมจะต้องล้มตายกันบ้างในกระบวนการนั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ชัดเจน เป็นระบบ ได้อารมณ์ หากเป็นบทละครหรือบทภาพยนตร์ก็ควรได้รับรางวัลจากผู้มีวิชาชีพนี้ โดยกรรมการตัดสินคงจะเห็นเป็นเอกฉันท์


ลำดับความมาทั้งหมดนี้เพื่อจะบอกนิดเดียวล่ะครับว่า กาชาดไทยซึ่งมีความผูกพันใกล้ชิดอยู่กับโรงพยาบาลจุฬาฯ นั้น ควรเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่วางตัวเหนือความขัดแย้งทางการเมืองใดๆ และไม่ควรอย่างเด็ดขาดที่จะให้ใครเขาค่อนได้ว่าเล่นการเมืองการชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้นอยู่แนบข้างโรงพยาบาลจุฬาฯ มานานหลายสัปดาห์ และการเข้าไปในพื้นที่โรงพยาบาลเพื่อขอทราบความจริงว่ามีอะไรที่เสี่ยงอันตรายต่อคนที่มาชุมนุมโดยสงบบ้างหรือไม่นั้นก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว


ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เหตุไฉนจึงถือโอกาสนี้ส่งเสียงร้องกรีดดังและไม่ยอมหยุดส่งเสียงจนกว่ามือปืนประจำตัวจะมาถึงละครเรื่องนี้มีความจำเป็นขึ้นมา เพราะข้อกล่าวหาเรื่องการก่อการร้าย ขบวนการล้มเจ้า ที่ระดมใส่ขบวนประชาธิปไตยกันตลอดมาสองสามสัปดาห์นี้ล้มเหลวในการโน้มน้าวมติมหาชนและไม่อาจเร้าความสนใจของประชาคมระหว่างประเทศได้ใช่ไหม?


นี่ยังไม่รวมข้อสงสัยที่ไม่เคยมีใครแถลงตอบเป็นทางการว่า รถของกาชาดไทยถูกใช้เป็นพาหนะย้ายทหารและอาวุธสงครามในระหว่างการปราบปรามประชาชนก่อนหน้านี้


แม้ปลอกแขนกาชาดไทยยังถูกนำมาใช้คล้องแขนทหารที่เข้าปราบปรามประชาชนมือเปล่าใช่ไหม?ครับ คำถามเหล่านี้ควรจะมีคนตอบ แต่เมื่อเห็นชัดว่าไม่ตอบ มวลชนที่ก้าวหน้าเขาก็แสวงหาคำตอบของเขากันเอง จะเป็นกาชาด หรือกาทมิฬ เขาตอบของเขาอยู่ในใจได้ครับ

No comments:

Post a Comment