คาร์ล มาร์กซ์ (เมื่ออายุ 17 ปี )
[1] ธรรมชาติโดยตัวของมันเองแล้วย่อมจำกัดขอบเขตพฤติกรรมซึ่งสัตว์โลกจะสามารถ แสดงออก และสัตว์โลกเองต่างก็แสดงพฤติกรรมอย่างเป็นปกติวิสัยภายในข้อจำกัดเช่นว่า นั้น โดยมิได้พยายามที่จะฝืนหรือขืนขัดต่อปกติวิสัยเช่นนั้นแต่อย่างใด ไม่...แม้เพียงจะระลึกรู้ได้ถึงสิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้นเลยด้วยซ้ำ สำหรับมนุษย์ก็เช่นกัน พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานจุดหมายปลายทางเบื้องหน้าไว้ให้แล้ว ได้แก่ การสร้างสรรค์ประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติและแก่ตนเอง แต่กระนั้น พระองค์ก็ทรงปล่อยให้มนุษย์แสวงหาหนทางในอันที่จะบรรลุจุดหมายปลายทางดัง กล่าว ทรงประทานโอกาสแก่มนุษย์ที่จะเลือกตำแหน่งแห่งที่อันเหมาะสมที่สุดแก่ตนเอง ในชีวิตทางสังคม และเริ่มจากตำแหน่งแห่งที่ที่ว่านี้เอง เขาย่อมสร้างสรรค์ประโยชน์เกื้อกูลทั้งแก่ตนเองและแก่สังคมรอบข้างได้อย่างดียิ่ง
[2] ความสามารถที่จะเลือกหนทางดั่งว่านี้ นับเป็นสิทธิพิเศษยิ่งของมนุษย์เหนือปวงสรรพชีวิตอื่นที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นจากพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ในขณะเดียวกันการเลือกหนทางข้างต้นก็อาจเป็นพฤติการณ์ที่สามารถทำลายชีวิตมนุษย์ผู้นั้นลงโดยสิ้นเชิง อาจเป็นอุปสรรคขวางกั้นความปรารถนาทั้งหลายของเขาผู้นั้น และกำจัดเสียซึ่งความสุขของเขาผู้นั้นเองในที่สุด ด้วยเหตุนี้ การพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบในการเลือกหนทางดังกล่าว ย่อมเป็นหน้าที่อันพึงกระทำเป็นประการแรกสุดทีเดียวสำหรับคนหนุ่มสาวผู้ กำลังจะเริ่มต้นชีวิตการงาน และไม่ปรารถนาจะปล่อยสิ่งสำคัญที่สุดของเขาในเรื่องนี้ให้ลอยล่องไปตามโชค ชะตา
[3] แต่ละคนล้วนมีความมุ่งปรารถนาประการใดประการหนึ่งอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น และสำหรับคนผู้นั้นแล้ว อย่างน้อยย่อมจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และยิ่งจะเป็นเช่นนั้นด้วย หากก้นบึ้งแห่งจิตสำนึกและเสียงเรียกร้องจากภายในดวงใจได้ยืนยันสำทับต่อสิ่ง ๆ นั้นด้วยแล้ว เนื่องจากว่า พระผู้เป็นเจ้าไม่เคยเลยที่จะละทิ้งมนุษย์ไว้แต่เพียงผู้เดียวโดยปราศจากประทีปนำทาง พระองค์จะทรงตรัสอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่นเสมอ
[4] แต่เสียงจากพระองค์เช่นที่ว่านี้ อาจถูกกลบลบเลือนไปจากโสตประสาทได้โดยง่าย และสิ่งที่เราถือเอาเป็นแรงบันดาลใจก็อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะหนึ่ง ๆ ซึ่งอาจถูกทำลายให้สิ้นสูญไปในภายหลังก็เป็นได้เช่นกัน เป็นไปได้ด้วยว่า จินตนาการของเราอาจพุ่งโพลงขึ้นเช่นเปลวไฟ ความรู้สึกของเราโลดแล่นหวั่นไหว เจตภูตหลายตนฉวัดเฉวียนอยู่ต่อหน้าต่อตาของเรา และเราขาดสติในสิ่งซึ่งสัญชาตญาณอันไร้เหตุผลได้ชี้นำไป ซึ่งเราได้จินตนาการไปเองว่า นั่นคือสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงชี้แนะแก่เราด้วยพระองค์เอง แต่ไม่ช้านานนัก สิ่งซึ่งเรากระหือรือที่จะฉวยไว้แก่ตนเช่นนี้ย่อมหวนคืนมาสนองแก่เราเอง และเราจะได้เห็นชีวิตทั้งสิ้นของเราที่ดำรงอยู่นี้เป็นแต่ซากปรักหักพัง
[5] ดังนั้น เราต้องพินิจตรวจสอบอย่างรอบคอบยิ่งว่า เรามีแรงบันดาลใจอย่างแท้จริงในหนทางแห่งชีวิตการงานที่เราได้เลือกหรือไม่ เสียงเรียกร้องจากภายในได้สำทับยืนยันในสิ่งนั้นแล้วหรืออย่างไร หรือว่าแรงบันดาลใจเช่นนี้เป็นสิ่งหลอกลวง และที่เราตระหนักในเรื่องนี้ว่าเป็นเสียงเรียกร้องจากองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะเป็นการหลอกลวงตนเองให้หลงผิดด้วยหรือไม่ แต่เราจะตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรกัน หากมิได้สืบค้นไปถึงบ่อเกิดแห่งแรงบันดาลใจของเรานั้นเอง ?
[6] สิ่งซึ่งเป็นดุจระยับแสงอันชัชวาลยิ่งนั้น ประกายสะท้อนของมันย่อมกระตุ้นซึ่งความใฝ่ทะยานอยาก และความใฝ่ทะยานอยากก็นำมาซึ่งแรงบันดาลใจ หรือสิ่งที่เราคิดเอาว่าเป็นแรงบันดาลใจของการกระทำได้ไม่ยากนัก แต่ถึงกระนั้นก็ดี ความมีเหตุมีผลคงมิอาจฉุดรั้งบุคคลผู้ซึ่งถูกชักจูงไปโดยปีศาจแห่งความใฝ่ทะยานอยากได้อีกต่อไป และเขาผู้นั้นย่อมขาดสติในสิ่งซึ่งสัญชาตญาณอันไร้เหตุผลได้ชี้นำไป อีกนัยหนึ่ง เขาผู้นั้นหาได้เลือกตำแหน่งแห่งที่ของตนในชีวิตแต่อย่างใดเลย แท้จริงกลับถูกกำหนดโดยโชคชะตาและสิ่งหลอกลวงเสียแล้ว
[7] ที่ว่ามานี้ มิได้หมายความว่า เราถูกเรียกร้องให้รับเอาชีวิตการงานซึ่งจะนำเราไปสู่ความสำเร็จอันงดงาม ยิ่งแต่อย่างใดเลย ด้วยเหตุที่ว่า แม้ในช่วงกาลนานปีที่เราอาจต้องประกอบกิจการงานอยู่เช่นนั้น ก็มิใช่ว่าจะเป็นชีวิตการงานที่ปลดเปลื้องเราโดยสิ้นเชิงจากความเหนื่อยล้า หรือว่าเป็นชีวิตการงานที่อาจหนุนเนื่องความมีชีวิตชีวาของเราไว้ได้โดยตลอด หรือแม้แต่จะมีส่วนยับยั้งมิให้ความกระตือรือร้นของเราลดน้อยถอยลงจนถึงกลับตายซากไปได้ในที่สุด แต่กลับจะเป็นสิ่งซึ่งเราจะเห็นในไม่ช้านักว่า ความปรารถนาทั้งหลายทั้งปวงของเรานั้นจะกลายเป็นหมัน ความคิดของเราจะปราศจากสิ่งอันพึงประสงค์ และเราจะประณามพระผู้เป็นเจ้าและแช่งชักต่อมนุษยชาติทั้งปวง
[8] แต่หาใช่ความใฝ่ทะยานอยากเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่อาจเร่งเร้าให้เกิดแรงบันดาลใจขึ้นในทันทีทันใดต่อการงานอาชีพอย่างใด อย่างหนึ่ง เรายังอาจใช้จินตนาการซึ่งวาดสิ่งนั้นให้ดูงดงามในห้วงความคิดของเราเอง และยังวาดภาพสิ่งนั้นจนถึงขนาดที่ปรากฏแก่เราว่า สิ่งนี้นี่เองเป็นสิ่งสูงสุดเท่าที่ชีวิตจะนำไปได้ เมื่อเราขาดการพินิจพิเคราะห์ในสิ่งนั้น มองข้ามภาระที่จะติดตามมาทั้งปวงเสียสิ้น รวมไปถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ซึ่งจะตกอยู่แก่เราแล้ว นั่นหมายความว่า เราเพียงแต่แลดูสิ่งนั้นจากระยะไกล และภาพระยะไกลก็ย่อมเป็นภาพลวง
[9] ความมีเหตุมีผลของเราก็มิอาจเป็นที่ปรึกษาให้ได้ ณ ที่นี้ เพราะว่ายังขาดทั้งประสบการณ์และการพินิจอย่างลึกซึ้ง กล่าวคือ ยังถูกชักจูงไปโดยอารมณ์ความรู้สึกและถูกปิดบังโดยความคิดที่เลื่อนลอยไร้สาระ ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราควรจะหันไปหาผู้ใด ? ใครเล่าที่จะช่วยเราได้ในกรณีที่เหตุผลของเราเองนั้นมิอาจพึ่งพาได้เสียแล้ว ?
[10] บิดามารดาของเราไงล่ะ ผู้ที่ได้ท่องไปแล้วบนหนทางชีวิตและมีประสบการณ์จากความโหดร้ายแห่งโชคชะตา นี่คือเสียงจากภายในใจที่ร้องบอกแก่เรา
[11] และหลังจากนั้น หากความกระตือรือร้นของเรายังมิได้เสื่อมคลายไป ถ้าเรายังมั่นคงในศรัทธาที่มีให้แก่ชีวิตการงานอย่างหนึ่งอย่างใด และเชื่อด้วยว่า ตนเองถูกเรียกร้องเพื่อสิ่งนั้น เมื่อได้พินิจพิจารณาด้วยใจที่เป็นกลาง เมื่อภารกิจต่าง ๆ ในชีวิตการงานเช่นนั้นได้เป็นที่ประจักษ์แก่เรา และเราตระหนักเป็นอย่างดีถึงอุปสรรคปัญหาทั้งปวงในชีวิตการงานเช่นนั้นแล้ว จึงควรเลือกรับเอาชีวิตการงานเช่นนั้นไว้แก่ตน และนับแต่นี้ไป ความพลุ่งพล่านแห่งใจก็จะไม่เป็นอุปสรรคใด ๆ แก่เรา พอ ๆ กันกับการที่เราเองจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความใจเร็วด่วนได้อีกต่อไป
[12] แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่แน่ว่า เราจะประคองตนให้เข้าสู่หนทางที่เราเชื่อว่าได้ถูกเรียกให้มุ่งไปยังสิ่ง นั้นได้เสมอไป ด้วยเหตุว่า สัมพันธภาพของเราทั้งหลายในทางสังคมนั้น อาจกล่าวได้ในแง่หนึ่งว่า ได้เริ่มก่อตัวขึ้นก่อนที่เราจะอยู่ในฐานะอันอาจกำหนดสัมพันธภาพนั้นได้เอง เสียแล้ว
[13] บ่อยครั้ง สภาพทางสรีระของเราโดยตัวมันเองมักจะเป็นอุปสรรคขัดขวาง และไม่พึงให้ใครกล่าวเยาะหยันถึงความควรหรือไม่ควรในสภาพเหล่านี้ด้วย
[14] เป็นความจริงที่ว่า เราสามารถข้ามพ้นปัญหาที่ว่านี้ได้โดยตัวของเราเอง แต่เมื่อเรากลับดิ่งลงสู่หายนะด้วยความเร็วรุดนั้น เราเสี่ยงต่อการวางหลักปักฐานบนมวลซากอันเรี่ยราย แล้วชีวิตของเราทั้งสิ้นจะกลายเป็นการต่อสู้อย่างปวดร้าวระหว่างมิติทางจิต และมิติทางสรีระ แต่ผู้ที่ไม่อาจจะประสานความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในตนได้ เขาผู้นั้นจะสามารถทานรับต่อสภาพกดดันอันเกรี้ยวกราดในชีวิตได้ละหรือ เขาผู้นั้นจะสามารถแสดงออกโดยไม่กระทบกระทั่งต่อผู้อื่นได้เพียงไร และจากสันติภาวะเท่านั้น ที่การกระทำอันยิ่งใหญ่และละเมียดละไมจะปรากฏตัวขึ้น กล่าวคือ สันติภาวะเป็นดุจดั่งผืนดินเดียวซึ่งบรรดาไม้ผลอันบ่มเพาะจนถึงกำหนด จะได้แก่รอบสุกงอมอย่างเต็มที่
[15] แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำการงานได้เป็นเวลานาน และแทบจะไร้ความสุขใด ๆ เนื่องด้วยสภาพทางสรีระซึ่งไม่เหมาะแก่ชีวิตการงานของเราก็ตาม ถึงกระนั้น ความคิดอ่านก็จะยังคงเป็นไปในหนทางแห่งการอุทิศชีวิตความเป็นอยู่ของเรา เพื่อหน้าที่ และการกระทำอย่างแข็งขัน แม้ว่าเราจะอ่อนแอ แต่หากเราได้เลือกชีวิตการงานซึ่งเราหาได้มีความถนัดในสิ่งนั้น เราคงจะไม่สามารถลงมือทำสิ่งนั้นในเชิงสร้างสรรค์ได้เลย ในไม่ช้า เราจะตระหนักด้วยความละอายถึงความไร้ศักยภาพของตัวเรา และบอกแก่ตนเองว่า เราเป็นชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยเปล่าประโยชน์ เป็นสมาชิกของสังคมผู้ไร้ซึ่งความสามารถที่จะทำให้ความปรารถนาของตนบริบูรณ์ได้ ผลโดยธรรมชาติที่สุดซึ่งจะตามมาย่อมได้แก่ การสูญสิ้นไปซึ่งความเชื่อมั่นและศักดิ์ศรีแห่งตน ความรู้สึกใดเล่าจะเจ็บปวดและด้อยค่ายิ่งไปกว่าที่โลกภายนอกควรจะคาดหวังได้นี้อีกแล้ว การสูญสิ้นไปซึ่งความเชื่อมั่นและศักดิ์ศรีแห่งตนเปรียบเสมือนงูซึ่งฉกติดอยู่บนแผ่นอก กลืนกินเอาโลหิตชีวิตไปจากหัวใจของเขาผู้นั้น และเจือผสมลงไปด้วยพิษแห่งความชิงชังและสิ้นหวัง
[16] ความผิดพลาดในการประเมินความเหมาะสมของตัวเราเอง ต่อชีวิตการงานอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเราพยายามพิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้ว จะเป็นความบกพร่องซึ่งจะหวนกลับมาสนองคืนแก่เราเอง และแม้ว่ามันจะมิได้เผชิญกับคำติเตียนใด ๆ จากโลกภายนอกก็ดี แต่มันกลับก่อให้เกิดความรวดร้าวในดวงใจของเราเสียยิ่งกว่าคำติเตียนใด ๆ จากภายนอกจะก่อให้เกิดขึ้นได้
[17] หากเราได้พิจารณาเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด และหากเงื่อนไขต่าง ๆ ในชีวิตของเราเปิดโอกาสแก่เราในอันที่จะเลือกอาชีพการงานที่เราชมชอบ เราอาจเลือกเอาไว้สักอย่างหนึ่งซึ่งเป็นประกันได้ว่า นั่นจะเป็นสิ่งมีค่าอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเรา เป็นชีวิตการงานซึ่งวางฐานอยู่บนความคิดซึ่งสัจจะธรรมในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับอาชีพการงานเช่นนั้น เราเองได้ตระหนักแน่แก่ใจเป็นอย่างดีแล้ว เป็นชีวิตการงานที่จะชี้ชวนให้เราเห็นถึงขอบเขตอันกว้างขวางที่สุด ซึ่งเราจะลงมือประกอบกิจนั้นเพื่อมนุษยชาติ และเพื่อตนเองด้วยในอันที่จะขยับเข้าใกล้เป้าหมายเบื้องหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป กล่าวคือ เป็นเป้าหมายสุดท้ายซึ่งไม่ว่าชีวิตการงานอย่างใด ๆ ก็ล้วนเป็นแต่วิถีทางแห่งการเข้าถึงในที่สุด นั่นก็คือ การพัฒนาตนเองให้สมบูรณ์พร้อม
[18] สิ่งอันมีคุณค่านั้น หมายถึง สิ่งใด ๆ ก็ตามซึ่งโดยส่วนมากย่อมเป็นไปเพื่อการยกระดับมนุษย์คนหนึ่ง ๆ เป็นสิ่งซึ่งทำให้การกระทำและความวิริยะอุตสาหะทั้งหลายของเขาคนนั้นควรค่า แก่การสรรเสริญยิ่งขึ้นไป เป็นสิ่งซึ่งจรรโลงให้เขาผู้นั้นแข็งแกร่ง และปรากฏเป็นที่ชื่นชมและเชิดชูขึ้นในหมู่ชนทั้งหลายด้วยอีกโสดหนึ่ง
[19] แต่ถึงกระนั้น สิ่งอันมีคุณค่าจะบังเกิดขึ้นได้ก็แต่โดยการประกอบอาชีพการงานใด ๆ ซึ่งเรามิได้ตกเป็นมือไม้ที่เฝ้าคอยแต่รับใช้ทำงานดังกล่าวเท่านั้น หากแต่เป็นงานซึ่งเราสามารถลงมือทำการงานนั้นได้อย่างเป็นอิสระในวงเขตอัน เป็นการเฉพาะของเรา นั่นหมายถึง สิ่งอันมีคุณค่าจะมีได้ก็แต่โดยอาชีพการงานซึ่งเป็นกิจกรรมปราศจากโทษต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพียงโทษที่แลเห็นได้แม้จากภายนอกหรือไม่ก็ดี กล่าวคือ เป็นอาชีพการงานใด ๆ ซึ่งผู้ที่มีศักยภาพสูงสุดก็ย่อมประกอบกิจนั้นได้ด้วยความภาคภูมิใจ อาชีพการงานใดซึ่งนำไปสู่สิ่งที่กล่าวมานี้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ อาจมิใช่เป็นอาชีพการงานอันสูงส่งที่สุดเสมอไปก็เป็นได้ แต่มักจะเป็นอาชีพการงานที่พึงปรารถนาที่สุดเสมอ
[20] หากกล่าวถึงชีวิตการงานที่ปราศจากคุณค่าซึ่งได้ฉุดรั้งเราไว้นั้น เป็นที่แน่นอนว่า เราคงจะยอมจำนนต่อภาระต่าง ๆ มากมายซึ่งเราเองจะได้ตระหนักในภายหลังว่า ล้วนเป็นความคิดอันผิดพลาด
[21] ในภาวะเช่นว่านี้ เรายังหวังถึงวิถีทางแก้ไขอื่นใดอีกเล่า นอกเสียจากที่ได้หลอกลวงตนเองไว้ และการจะกอบกู้ให้กลับคืนมาที่หวังได้เสมอเพียงแสงอันริบหรี่นั้นย่อมเป็นไป ได้ก็ด้วยการหักหลังตนเอง !
[22] อาชีพการงานทั้งหลายที่ว่ามานี้ ซึ่งยังมิได้ผสานตัวชีวิตเองเข้าไว้ในการงานมากพอที่จะไม่เป็นแต่เพียงสัจจะสูงส่งเชิงนามธรรมนั้นย่อมเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด ทั้งต่อคนผู้ซึ่งหลักการต่าง ๆ ของเขายังมิได้ตกผลึกแน่นหนา และต่อคนผู้ซึ่งการตระหนักรู้ทั้งปวงของเขายังคงลอยคว้างและง่อนแง่นคลอนแคลนอยู่ไม่น้อย แต่ในขณะเดียวกัน อาชีพการงานเหล่านี้เองอาจจะดูน่าตื่นใจยิ่งนัก หากมันได้หยั่งรากลึกลงในดวงใจของเราแล้ว และหากเราสามารถอุทิศชีวิตของเราและความวิริยะอุตสาหะทั้งปวงเพื่อสาระอันมีอยู่ในอาชีพการงานเหล่านั้นได้
[23] อาชีพการงานเหล่านี้ย่อมนำมาซึ่งความสุขแด่คนผู้มีแก่ใจแท้จริงในงานนั้น แต่มันจะทำลายล้างเขาผู้ซึ่งรนรานที่จะเลือกอาชีพการงานเอาไว้ โดยปราศจากการพินิจไตร่ตรองและยอมตนลงให้แก่แรงผลักดันอันมีอยู่เพียงชั่วขณะ
[24] ในทางตรงกันข้าม การประเมินอันสูงค่าซึ่งเรามีให้แก่บรรดาความคิดซึ่งเป็นสาระเบื้องหลังในอาชีพการงานของเรานั้น จะช่วยยกฐานะเราให้สูงเด่นยิ่งขึ้นในสังคม เปิดโอกาสให้เราได้แสดงศักยภาพอันมีคุณค่าให้ปรากฏ อีกทั้งช่วยให้การกระทำของเราทั้งหลายนั้นเป็นที่ยอมรับ
[25] คนผู้เลือกอาชีพการงานอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเขาประเมินค่าไว้สูงยิ่งนั้น ย่อมจะมองข้ามความคิดที่เห็นว่า ตนไม่คู่ควรแก่การงานดังกล่าว เพราะฉะนั้น เขาจะลงมือกระทำการในงานอย่างเต็มภาคภูมิก็เพียงเพราะเห็นว่า ตำแหน่งแห่งที่ของเขาในสังคมนั้นก็เป็นสิ่งอันมีคุณค่าเช่นกัน
[26] แต่สิ่งชี้นำที่สำคัญในการเลือกอาชีพการงานอย่างใดอย่างหนึ่งสำหรับเรานั้น ย่อมได้แก่ประโยชน์สุขแห่งมนุษยชาติและการพัฒนาตนเองให้สมบูรณ์พร้อม ในกรณีนี้ไม่พึงคิดเลยว่าประโยชน์ทั้งสองนี้จะขัดแย้งไม่ลงรอยกัน กล่าวคือ สิ่งหนึ่งย่อมจะขจัดอีกสิ่งหนึ่งออกไปเสีย ในทางตรงกันข้าม ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมโน้มเอียงอยู่แล้วที่จะเข้าถึงภาวะแห่งความสมบูรณ์พร้อมแห่งตน ก็แต่โดยลงมือประกอบการงานเพื่อความบริบูรณ์เต็มเปี่ยม และเพื่อความดีงามของเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ เท่านั้น
[27] แต่หากเขาประกอบการงานเพียงเพื่อตนเองเท่านั้น บางทีเขาผู้นั้นอาจกลายมาเป็นบุรุษผู้มีชื่อเสียงในทางวิชาความรู้ เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ หรือนักกวีอันยอดเยี่ยม แต่เขาจะไม่เคยเป็นมนุษย์ผู้เต็มเปี่ยม และเป็นมหาบุรุษที่แท้จริงเลย
[28] ประวัติศาสตร์เรียกขานบรรดามนุษย์เหล่านั้นในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ซึ่งโดดเด่นขึ้นด้วยการงานที่เป็นไปเพื่อความดีงามร่วมกัน ประสบการณ์ต่างขนานนามบุคคลผู้มอบความสุขแด่มวลชนทั้งหลายส่วนข้างมากที่สุดนั้นว่า มนุษย์ผู้เป็นสุขยิ่งนัก ศาสนธรรมนั้นเองสอนเราว่าบุรุษในอุดมคติอันผู้คนทั้งปวงต่างประสงค์จะเดินตามรอยเท้าของเขานั้น ล้วนอุทิศตนเองแล้วเพื่อความดีงามของมนุษยชาติ แล้วใครกันที่กล้าที่จะลุกขึ้นมาบอกได้ว่า นี่เป็นสิ่งไร้สาระ ?
[29] หากเราได้เลือกแล้วซึ่งจุดยืนในชีวิต ที่เราสามารถประกอบกิจการงานส่วนใหญ่เพื่อมนุษยชาติได้ ย่อมไม่มีภารกิจอื่นใดที่จะชี้นำเราได้อีกต่อไป ด้วยเหตุที่กิจการงานเหล่านั้นได้พลีไว้เพื่อประโยชน์แห่งมนุษย์ทุกผู้ทุก นามร่วมกันแล้ว ต่อแต่นี้ไป ประสบการณ์ของเราจะมิใช่ประสบการณ์แห่งความสุขอันเจือด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างคับแคบ แต่ความสุขของเรานั้นจะเป็นสมบัติแห่งมหาชนเรือนล้าน คุณูปการทั้งหลายของเรา แม้จะซ่อนคงไว้ในความเงียบเชียบ แต่จะดำรงอยู่ชั่วกาลนาน และบนเถ้าถ่านแห่งเรือนกายของเรานี่เองจะเป็นที่หลั่งรดซึ่งน้ำตาแห่งมหาบุรุษทั้งปวง
No comments:
Post a Comment