Friday, October 29, 2010

องค์กรตุลาการกับประชาธิปไตย*




(ขอขอบคุณ อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล)


รัฐใดที่ประกาศตนเป็นนิติรัฐ ย่อมหลีกหนีไม่พ้นที่จะยอมรับบทบาทขององค์กรตุลาการ ในฐานะเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารไม่ให้เป็นไปตามอำเภอใจ การควบคุมฝ่ายบริหาร ก็ได้แก่ การควบคุมการความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของฝ่ายปกครอง ในขณะที่การควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ได้แก่ การควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา
องค์กรตุลาการในนิติรัฐสมัยใหม่จึงมีบทบาทสำคัญ ไม่เพียงแต่บทบาทในการพิทักษ์ความชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพันธกิจในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐ และการปกปักรักษาประชาธิปไตยอีกด้วย


อย่างไรก็ตาม ด้วยบทบาทอันกว้างขวางขององค์กรตุลาการเช่นนี้ นำมาซึ่งความขัดแย้งกันเองกับคำว่าประชาธิปไตย กล่าวคือ ด้านหนึ่ง นิติรัฐ-ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม ก็เรียกร้องให้องค์กรตุลาการเข้ามามีบทบาทในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และควบคุมไม่ให้เกิดการปกครองที่เสียงข้างมากใช้อำนาจไปตามอำเภอใจ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งนั้น เมื่อองค์กรตุลาการเข้าไปควบคุมการใช้อำนาจรัฐเข้า ก็เกิดการเผชิญหน้ากันกับองค์กรที่มีฐานความชอบธรรมทางการเมืองอย่างรัฐสภาและรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ในขณะที่องค์กรตุลาการปราศจากความชอบธรรมทางการเมืองเช่นว่า
ความขัดแย้งดังกล่าว จะมีวิธีการประสานกันอย่างไร?


แน่นอนที่สุด หากเราตัดอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตุลาการออกไป นิติรัฐนั้นก็กลายเป็นนิติรัฐที่ไม่สมประกอบ เพราะปราศจากซึ่งองค์กรที่เป็นกลางและอิสระทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เช่นกัน หากแก้ไขให้องค์กรตุลาการมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ก็คงไม่เหมาะสมเป็นแน่ เพราะ จะทำให้องค์กรตุลาการสูญสิ้นความอิสระไปเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรตุลาการต้องคำนึงถึงคะแนนนิยมตลอดเวลา วิธีเหล่านี้จึงเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง


วิธีที่จะพอแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ได้ คือ การจัดวางตำแหน่งแห่งที่ขององค์กรตุลาการและการดำรงตนขององค์กรตุลาการให้สอดคล้องกับนิติรัฐ-ประชาธิปไตย


ในรายละเอียด ผู้เขียนขอแบ่งเป็น ๖ ประการ ดังนี้


ประการแรก ความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการ


โดยทั่วไป รัฐธรรมนูญในรัฐเสรีประชาธิปไตยต่างรับรองความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการเอาไว้ เช่น การจัดตั้งศาลต้องทำโดยกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา การจัดตั้งศาลเฉพาะเพื่อคดีใดคดีหนึ่งไม่อาจกระทำได้ การโยกย้ายผู้พิพาษาต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิพากษานั้นด้วย การแต่งตั้งและโยกย้ายตลอดจนการดำเนินการทางวินัยเป็นอำนาจของคณะกรรมการตุลาการ การบริหารงบประมาณของศาลเป็นไปอย่างอิสระ เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของผู้พิพากษาสูงกว่าอาชีพอื่นๆ เป็นต้น


อาจสงสัยกันว่าความเป็นอิสระของผู้พิพากษานี้ปราศจากความรับผิดชอบใดๆเลยหรือ? แน่นอน ในระบอบประชาธิปไตยย่อมไม่มีองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐใดที่ใช้อำนาจโดยปราศจากความรับผิดชอบ แต่ความรับผิดชอบขององค์กรตุลาการนั้นแตกต่างจากองค์กรนิติบัญญัติและบริหารซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองโดยแท้ กล่าวคือ องค์กรตุลาการไม่อาจถูกฝ่ายการเมืองแต่งตั้งโยกย้ายหรืออภิปรายไม่ไว้วางใจ และตำแหน่งผู้พิพากษาไม่ได้มาโดยการเลือกตั้งของประชาชน ตรงกันข้าม องค์กรตุลาการรับผิดชอบการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองโดยผ่านเหตุผลประกอบคำพิพากษานั่นเอง ด้วยการให้สังคมได้มีโอกาสวิจารณ์คำพิพากษาอย่างเต็มที่


บางครั้งอาจมีกรณีตอบโต้การใช้อำนาจระหว่างองค์กรนิติบัญญัติกับองค์กรตุลาการ หรือองค์กรบริหารกับองค์กรตุลาการ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติอาจตรากฎหมายที่มีผลเป็นการ “ลบ” หลักการที่คำพิพากษาของศาลได้วางบรรทัดฐานเอาไว้ หรือในฝรั่งเศส สมัยวิกฤติแอลจีเรีย ประธานาธิบดีเดอโกลล์และรัฐบาลเร่งผลักดันรัฐบัญญัติจัดตั้งศาลทหารพิเศษในดินแดนแอลจีเรียเป็นการเฉพาะ ภายหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้เพิกถอนรัฐกำหนดจัดตั้งศาลทหารพิเศษเพียงไม่นาน (โปรดดูบทความของผู้เขียน, ฝ่ายการเมืองปะทะฝ่ายตุลาการ : ประสบการณ์จากฝรั่งเศส, เผยแพร่ครั้งแรกในประชาชาติธุรกิจ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๙ หรือดูได้ใน (http://www.onopen.com/2006/01/822)


ในเรื่องความประพฤติส่วนตัวหรือการทุจริต ก็มีคณะกรรมการตุลาการเป็นผู้ดูแลและมีจริยธรรมวิชาชีพกำกับไว้ หรืออาจมีกระบวนการถอดถอนออกจากตำแหน่งได้


ประการที่สอง ความเป็นกลางขององค์กรตุลาการและความเป็นภาววิสัยของคำพิพากษา


องค์กรตุลาการต้องดำรงตนอย่างเป็นกลางและปราศจากอคติ ในกระบวนพิจารณาคดี ต้องให้โอกาสคู่ความทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ในกรณีที่ผู้พิพากษามีส่วนได้เสียกับประเด็นแห่งคดีที่ตนจะพิจารณา ผู้พิพากษานั้นต้องถอนตัวออกจากการพิจารณาคดี ดังสุภาษิตในภาษาละตินที่ว่า ไม่มีใครสามารถตัดสินคดีความที่เกี่ยวข้องกับตนเอง (Nemo judex in re sua) ด้วยเหตุนี้ จึงเห็นกันว่าผู้พิพากษาทั้งหลายไม่ควรเข้าไป “เล่น” การเมืองด้วยการไปดำรงตำแหน่งในรัฐบาล ไปร่างรัฐธรรมนูญ ไปร่างกฎหมาย หากเข้าไปแล้วก็ไม่ควรกลับมาเป็นผู้พิพากษาใหม่ เพราะในวันข้างหน้าเป็นไปได้ว่า อาจมีประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับเรื่องที่ตนเคยเข้าไปเกี่ยวข้อง


ความเป็นกลางของผู้พิพากษาจะสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นภาววิสัยของคำพิพากษา เหตุผลประกอบคำพิพากษาเกิดจากการพิจารณาข้อเท็จจริงประกอบกับข้อกฎหมาย มิใช่นำรสนิยมทางการเมืองส่วนตัว ความเชื่อทางศาสนา ความนิยมชมชอบส่วนตัวเข้ามาเป็นปัจจัยประกอบการตัดสิน คำพิพากษาต้องไม่เกิดจากการตั้งธงคำตอบไว้ล่วงหน้า จากนั้นจึงค่อยหาเหตุผลเพื่อนำไปสู่ธงคำตอบนั้น ความเป็นภาววิสัยของคำพิพากษาย่อมทำให้บุคคลซึ่งแม้ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา เหตุผลของคำพิพากษา หรือผลของคำพิพากษา แต่บุคคลนั้นก็ยังคงยอมรับนับถือคำพิพากษาอยู่ดี


คำพิพากษาต้องผ่านการกลั่นกรองและพิจารณาอย่างลึกซึ้งของผู้พิพากษา โดยใช้เหตุผลทางกฎหมายประกอบ คำพิพากษาต้องสนับสนุนความชอบด้วยกฎหมายและความมั่นคงแน่นอนและชัดเจนของกฎหมายไปพร้อมๆกัน ที่ว่าต้องสนับสนุนความชอบด้วยกฎหมาย ก็เพื่อสร้างความสมเหตุสมผลทางกฎหมายและการเคารพกฎหมายตามแนวทางกฎหมายเป็นใหญ่ของหลักนิติรัฐ ส่วนที่ว่าต้องสนับสนุนความมั่นคงแน่นอนและชัดเจนของกฎหมาย ก็เพื่อสร้างความเชื่อไว้วางใจต่อระบบกฎหมาย ความสม่ำเสมอต่อเนื่องของกฎเกณฑ์ และบุคคลสามารถคาดการณ์ได้ว่าการกระทำของตนและผู้อื่นจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่


บางกรณีทั้งสองเรื่องนี้ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจนทำให้การหาจุดสมดุลของสองเรื่องนี้เป็นไปโดยยากและอาจต้องเอียงไปในทางใดทางหนึ่งมากกว่า ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้พิพากษาที่ต้องใช้เหตุผลมาอธิบายให้ได้ว่าเหตุใดจึงตัดสินใจรักษาความชอบด้วยกฎหมายมากกว่า และมีวิธีการเยียวยาความมั่นคงแน่นอนและชัดเจนของกฎหมายอย่างไร หรือเหตุใดจึงตัดสินใจรักษาความมั่นคงแน่นอนและชัดเจนของกฎหมายมากกว่า และมีวิธีเยียวยาความชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ด้วยเหตุผลดังกล่าว คำพิพากษาที่ให้ใช้กฎหมายย้อนหลังอันเป็นผลร้ายแก่บุคคลโดยไม่ได้มีการอธิบายเหตุผลทางกฎหมายเพียงพอ จึงเป็นคำพิพากษาที่ไร้มาตรฐานและไม่สมเหตุสมผล


ประการที่สาม ความเชื่อถือไว้วางใจของสังคมต่อองค์กรตุลาการ


ความน่าเชื่อถือและความศรัทธาต่อศาล ทั้งในแง่ตัวองค์กรและตัวบุคคล หาได้เกิดจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายเกี่ยวกับการ “หมิ่น” ศาลหรือละเมิดอำนาจศาล หรือการอ้างว่าผู้พิพากษาตัดสิน “ในพระปรมาภิไธย” ไม่ ตรงกันข้าม เกิดจากความสมเหตุสมผลในเหตุผลประกอบคำพิพากษา ความเป็นภาววิสัยของเหตุผลประกอบคำพิพากษา ความเป็นอิสระและการดำรงตนอย่างปราศจากอคติของผู้พิพากษา
คำพิพากษาจะมีคุณค่า นอกจากเพราะกฎหมายกำหนดให้คำพิพากษามีค่าบังคับแล้ว ยังต้องอาศัยความเชื่อถือของประชาชนประกอบด้วย จริงอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ประชาชนทุกคนเห็นด้วยกับเนื้อหาของคำพิพากษาทั้งหมด แต่อย่างน้อยวิญญูชนพิจารณาดูแล้ว ก็ต้องยอมรับในเหตุผลที่ประกอบคำพิพากษานั้น และเห็นว่าคำพิพากษานั้นมีคุณภาพได้มาตรฐาน


การสร้างความเชื่อถือไว้วางใจของสังคมต่อผู้พิพากษา ไม่ได้หมายความว่าผู้พิพากษาต้องทำตนเป็นที่นิยมของประชาชน ไม่ได้หมายความว่าผู้พิพากษาต้องยอมกระทำการที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายและสามัญสำนึกของตนเพียงเพื่อความพอใจของสาธารณชน ไม่ได้หมายความว่าผู้พิพากษาต้องตัดสินโดยฟังกระแสสังคม นี่เรียกว่า ความนิยม (Popularité) ซึ่งตรงกันข้ามกับ ความเชื่อถือไว้วางใจ (Confiance) ความเชื่อถือไว้วางใจนั้น เป็นความเชื่อถือที่มีต่อความเป็นอิสระของผู้พิพากษา ความเป็นกลางของผู้พิพากษา ความยุติธรรมของผู้พิพากษา และความเคารพในจริยธรรมวิชาชีพของผู้พิพากษา


นอกจากนี้ ความเชื่อถือไว้วางใจในตัวผู้พิพากษา ยังอาจเกิดจากวัตรปฏิบัติของผู้พิพากษาเอง เช่น การรู้ถึงขอบเขตอำนาจและข้อจำกัด การยอมรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ และการอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่หยิ่งทระนงว่าตนยิ่งใหญ่ ไม่อหังการ-มมังการ เพราะ ”หัวโขน” ผู้พิพากษา หรือเพราะคำอ้างที่ว่าตนกระทำการในนามกษัตริย์


ประการที่สี่ การตระหนักถึงขอบเขตอำนาจของตนเอง


นิติรัฐ-ประชาธิปไตยเรียกร้องเรื่องการแบ่งแยกอำนาจให้เกิดดุลยภาพระหว่างอำนาจรัฐในแขนงต่างๆ องค์กรตุลาการเองก็เช่นกัน ต้องตระหนักอยู่เสมอว่าตนเองมีอำนาจ “เชิงรับ” ศาลไม่อาจควบคุมองค์กรฝ่ายบริหารได้ในทุกกรณี ตรงกันข้าม เรื่องจะขึ้นไปสู่ศาลได้ก็ต่อเมื่อมีการริเริ่มคดีโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องเสียก่อน และศาลไม่อาจลงมาหยิบยกเรื่องใดขึ้นพิจารณาได้ด้วยตนเองการพิพากษาของศาลมิใช่กระทำได้อย่างพร่ำเพรื่อหรือปราศจากกฎเกณฑ์ กว่าที่องค์กรตุลาการจะผลิตคำพิพากษาได้นั้น ต้องผ่านขั้นตอนตั้งแต่เงื่อนไขการฟ้องคดี เช่น ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิหรือมีส่วนได้เสียในการฟ้องคดีหรือไม่ การฟ้องทำตามรูปแบบหรือไม่ ฟ้องภายในอายุความหรือไม่ ศาลมีเขตอำนาจพิจารณาหรือไม่ จากนั้นยังต้องผ่านกระบวนพิจารณาที่เป็นธรรมอีก ในท้ายที่สุดเมื่อศาลตัดสิน ก็ยังต้องพิจารณาอีกว่าคำพิพากษาของศาลนั้นมีผลเป็นการทั่วไปหรือมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความ มีผลย้อนหลังหรือมีผลไปในอนาคต


เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าองค์กรตุลาการเป็นผู้เล่นหลักคนหนึ่งในชีวิตทางการเมืองของรัฐ (Acteur politique) อย่างไรเสียองค์กรตุลาการก็ต้องมีบทบาทางการเมือง แต่บทบาททางการเมืองเช่นว่านั้น ต้องกระทำผ่านคำพิพากษาและภายใต้ความเป็นเหตุเป็นผลตามกฎหมายเท่านั้น อนึ่ง แม้องค์กรตุลาการอาจเข้าแทรกแซงทางการเมืองโดยผ่านคำพิพากษาของตน แต่องค์กรตุลาการต้องคำนึงถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจและการรักษาดุลยภาพระหว่างอำนาจไว้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องบางเรื่องเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับแนวนโยบายของรัฐบาล หรือเรื่องทางการเมืองโดยแท้ องค์กรตุลาการก็จำต้องสงวนท่าทีและควบคุมการใช้อำนาจของตนเองลง เช่น การยุบสภา การประกาศสงคราม การเลือกนายกรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี


ในบางกรณี รัฐบาลอาจดำเนินนโยบายตามที่รณรงค์หาเสียงกับประชาชนไว้ในช่วงเลือกตั้ง เมื่อได้รับเลือกตั้งเข้ามาแล้วจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ได้รับอาณัติจากประชาชนในการดำเนินนโยบายดังกล่าว ประเด็นปัญหานี้ องค์กรตุลาการอาจเข้าไปควบคุมได้แต่เพียงเฉพาะ “ความชอบด้วยกฎหมาย” ของมาตรการตามนโยบายเท่านั้น องค์กรตุลาการไม่อาจเข้าไปก้าวล่วงถึง “ความเหมาะสม” ของนโยบาย อีกนัยหนึ่ง คือ องค์กรตุลาการต้องใช้ “กฎหมาย” เป็นมาตรวัดนั่นเอง


แม้องค์กรตุลาการจะมีอำนาจในการควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร และมีอำนาจในการพิพากษาคดีความให้มีผลเป็นที่สุด (res judicata) แต่องค์กรตุลาการก็ไม่ได้มีอำนาจอย่างปราศจากขอบเขต ด้วยธรรมชาติและลักษณะพิเศษขององค์กรตุลาการที่ต้องการความเป็นอิสระทำให้ขาดความเชื่อมโยงกับประชาชนและสังคม แต่องค์กรตุลาการกลับมีอำนาจควบคุมการใช้อำนาจรัฐ กฎหมายจึงต้องออกแบบระบบไม่ให้องค์กรตุลาการใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขตด้วยการวางกลไกวิธีพิจารณาคดี ในขณะเดียวกันองค์กรตุลาการก็ต้องจำกัดการใช้อำนาจของตนเอง ไม่เข้าไปรุกล้ำในเรื่องที่เป็นนโยบายหรือการเมืองโดยแท้


นี่เป็นหลักการพื้นฐานขององค์กรตุลาการในรัฐเสรีประชาธิปไตย ไม่ใช่กระบวนการ “ตุลาการภิวัตน์” ซึ่งแอบอ้างเพื่อนำไปใช้สนับสนุนการเข้าไป “เพ่นพ่าน” ในสนามการเมือง เช่น การร่างรัฐธรรมนูญ การดำรงตำแหน่งในองค์กรเฉพาะกิจเพื่อปราบปรามศัตรู การดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ตลอดจนการแต่งตั้งบุคคลไปดำรงตำแหน่งสำคัญ


ประการที่ห้า คำพิพากษา “สาธารณะ”


จริงอยู่ ในทางกฎหมาย คำพิพากษาอาจมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความหรืออาจมีผลผูกพันองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งปวง แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำพิพากษามีผลกระทบออกไปในวงกว้าง ไม่ว่าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้และตีความกฎเกณฑ์ที่ค่อนข้างเป็นนามธรรมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม


บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่รับรองสิทธิและเสรีภาพหรือวางเงื่อนไขการใช้อำนาจรัฐมักเขียนด้วยถ้อยคำกว้างๆ เปิดโอกาสให้ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงเป็นรายกรณี การใช้และตีความกฎหมายเหล่านี้โดยศาลผ่านทางคำพิพากษาในแต่ละคดีต่างหากที่ “แปล-ขยาย” ความเหล่านั้นให้มีผลชัดเจนและจับต้องได้ เมื่อศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันซ้ำเข้ามากๆในคดีก่อนๆ ก็กลายเป็นบรรทัดฐานที่ศาลต้องเดินตามในคดีหลัง นอกเสียจากศาลจะมีเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอและรับฟังได้ หรือบริบทแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมาก ศาลก็อาจเปลี่ยนแนวจากคำพิพากษาบรรทัดฐานนั้น ลักษณะดังกล่าวนี้เอง ทำให้สำนักคิดกฎหมายสัจนิยม โดยเฉพาะเซอร์ โอลิเวอร์ เวนเดล โฮล์มส์ ถึงกับประกาศว่า “กฎหมายในความเห็นของข้าพเจ้า คือการพยากรณ์ต่อการกระทำของศาลในความเป็นจริง ไม่มีอะไรอื่นเลยนอกจากนี้”


ด้วยอานุภาพของการใช้และตีความกฎหมายของศาลดังกล่าว ทำให้คำพิพากษาไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อคดีนั้นเท่านั้น คำพิพากษาจึงไม่ควรมีขึ้นเพียงเพื่อให้ผู้พิพากษาและผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีอ่าน ตรงกันข้ามคำพิพากษาต้องพยายามสร้าง “การสื่อสารระหว่างองค์กรตุลาการกับสังคม”


ผู้พิพากษาในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยต้องตระหนักเสมอว่าการเขียนคำพิพากษานั้น ไม่ได้เขียนอธิบายความและเหตุผลให้แก่คู่ความเท่านั้น แต่เป็นการให้เหตุผลแก่บุคคลทั่วไปด้วย คำพิพากษาที่ดีจึงต้องสามารถให้การศึกษาแก่สังคม นำมาซึ่งการศึกษาค้นคว้า วิพากษ์วิจารณ์ และถกเถียงกันอย่างสร้างสรรค์ทั้งในหมู่นักกฎหมายและบุคคลทั่วไป ในกรณีที่เป็นข้อบกพร่องจากกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ เนื้อหาของคำพิพากษาต้องกระตุ้นเตือนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมาย


คำพิพากษา “สาธารณะ” จึงต้องประกอบไปด้วย ๒ ปัจจัยสำคัญ ปัจจัยแรก การเข้าถึงคำพิพากษาต้องเป็นไปโดยง่าย ภายหลังอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังแล้ว คำพิพากษาต้องเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับทราบ เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้มีโอกาสวิจารณ์ ปัจจัยที่สอง ผู้พิพากษาต้องคิดอยู่เสมอว่าการเขียนคำพิพากษานั้นเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างองค์กรตุลาการกับสังคม ไม่ใช่เขียนเพียงเพื่อตัดสินคดีให้แล้วเสร็จไป
ประการที่หก การยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์


โดยธรรมชาติขององค์กรตุลาการนั้นเป็นองค์กร “ปิด” และมีจุดเชื่อมโยงกับประชาชนน้อยกว่าองค์กรของรัฐอื่นทั้งนี้เพื่อประกันความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการ ลักษณะดังกล่าวอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงให้องค์กรตุลาการกลายเป็น “แดนสนธยา” ได้ง่ายขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว จึงจำเป็นต้องสร้างระบบการวิจารณ์การทำงานของศาล นั่นก็คือ การวิจารณ์คำพิพากษานั่นเอง


การลำพองตนของผู้พิพากษาว่าตนปฏิบัติหน้าที่ในนามของกษัตริย์ ตนมีพระราชดำรัสของกษัตริย์ที่สนับสนุนและให้กำลังใจ เป็นอุปสรรคและไม่ส่งเสริมให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษา และอาจทำให้ผู้พิพากษา “หลง” อำนาจจนละเลยสังคมและไม่ใส่ใจความเห็นขององคาพยพอื่นๆในสังคม เช่นกัน การสงวน “คำพิพากษา” ไว้ให้เฉพาะผู้พิพากษา ทนายความ หรือคู่ความก็ดี การพยายามสร้างความเชื่อที่ว่า คำพิพากษาเป็นเรื่องกฎหมาย มีแต่นักกฎหมายด้วยกันเท่านั้นที่เข้าใจก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างทัศนคติที่คับแคบในหมู่นักกฎหมายว่าในโลกนี้มีแต่นักกฎหมายที่เป็นใหญ่ และผูกขาด “ความจริง” ในนามของกฎหมาย


ในทางกลับกัน การเปิดโอกาสให้บุคคลในวงการกฎหมาย สื่อมวลชน บุคคลทั่วไปได้วิพากษ์วิจารณ์และถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ต่อคำพิพากษานั้น ย่อมทำให้คำพิพากษาและศาลได้การยอมรับนับถือ และสร้างความชอบธรรมทางประชาธิปไตยให้กับคำพิพากษาและผู้พิพากษานั้นด้วย การวิจารณ์คำพิพากษาโดยสาธารณชนยังช่วยสร้างกระบวนการประชาธิปไตยให้เข้มแข็งและลึกซึ้งขึ้นตามแนวทาง “ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ” ซึ่งเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันและขยายต่อจาก “ประชาธิปไตยทางตรง” “ประชาธิปไตยทางผู้แทน” และ “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม”


ด้วยเหตุนี้ การ “ใช้” หรือการ “ข่มขู่ว่าจะใช้” กฎหมายที่มีบทลงโทษเกี่ยวกับข้อหา “หมิ่นศาล” หรือ “ละเมิดอำนาจศาล” ต่อคนที่วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา จึงล้าสมัยและเป็นอุปสรรคต่อความเป็นประชาธิปไตยขององค์กรตุลาการ
..........................
ในรัฐเสรีประชาธิปไตยสมัยใหม่ องค์กรตุลาการมีพันธกิจ ๔ เรื่องหลักๆ ได้แก่

การวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท

การควบคุมความชอบด้วยกฎหมาย

การสร้างกฎเกณฑ์ทางกฎหมายผ่านทางการใช้และตีความกฎหมายในคำพิพากษา

และการเป็นผู้เล่นคนหนึ่งในชีวิตทางการเมืองของรัฐ การปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้บรรลุพันธกิจทั้งสี่นี้ ต้องเป็นไปโดยสอดคล้องกับหลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตยอันเป็นคุณค่าพื้นฐานที่รัฐเสรีประชาธิปไตยยึดถือ


แนวทางทั้ง ๖ ประการนี้ เป็นการสนับสนุนองค์กรตุลาการให้ปฏิบัติหน้าที่สอดคล้องกับหลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นการปฏิเสธบทบาทขององค์กรตุลาการในการตัดสินคดีอย่างก้าวหน้า แต่การตัดสินอย่างก้าวหน้าควรประกอบด้วยเหตุผลที่มีความเป็นภาววิสัย มีหลักกฎหมายรองรับ และอธิบายให้สังคมยอมรับนับถือได้ เป็นความกล้าปฏิเสธอำนาจนอกระบบและรัฐประหาร เป็นความกล้าตัดสินเพื่อแก้ “วิกฤติ” ด้วยการพิจารณาอย่างรอบคอบจากจิตสำนึกของผู้พิพากษาและยึดกฎหมายเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นการตัดสินที่ “คิดว่า” ก้าวหน้าเพื่อแก้ “วิกฤต” เพราะมีใครคนใดคนหนึ่งออกมากระตุ้นให้องค์กรตุลาการต้องตัดสิน หรือ เพราะต้องการปราบปรามศัตรูทางอุดมการณ์ทางการเมือง


จริงอยู่ ในนิติรัฐ หลักการควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารโดยองค์กรตุลาการ และหลักความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการ เป็นหลักการสำคัญอันขาดเสียมิได้ แต่หลักการดังกล่าวไม่ได้มีคุณค่าหรือสถานะสูงสุดเหนือกว่าหลักการอื่น จนทำให้องค์กรตุลาการมีอำนาจล้นฟ้าและปราศจาการตรวจสอบถ่วงดุล ตรงกันข้าม หลักการเหล่านี้เป็นหลักการในทางกลไกเพื่อพิทักษ์รักษาหลักการที่มีคุณค่าสูงสุด

คือ หลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตย กล่าวให้ถึงที่สุด อำนาจและความอิสระที่นิติรัฐหยิบยื่นให้องค์กรตุลาการนั้น ก็เพื่อให้นำมาใช้ปกป้องนิติรัฐและประชาธิปไตยนั่นเอง หาใช่ให้เพื่อนำมาใช้ทำลายนิติรัฐและประชาธิปไตยไม่


ต้องไม่ลืมว่า องค์กรตุลาการไม่ได้อยู่เหนือประชาธิปไตย แต่เป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยเช่นเดียวกันกับองค์กรอื่นๆ การปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรตุลาการให้สอดคล้องกับนิติรัฐ-ประชาธิปไตย และการสำนึกอยู่เสมอว่าตนเป็นส่วนหนึ่งในประชาธิปไตยและมีหน้าที่พิทักษ์ประชาธิปไตย เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้องค์กรตุลาการสามารถยืนหยัดอยู่ในสังคมสมัยใหม่ และสร้างความชอบธรรมให้องค์กรตุลาการในการเข้าไปตรวจสอบอำนาจรัฐ


ในทางกลับกัน หากองค์กรตุลาการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอคติ ปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือยอมพลีตนรับใช้อุดมการณ์บางอย่างด้วยการเป็นกลไกปราบปรามศัตรูแล้ว ความน่าเชื่อถือต่อองค์กรตุลาการย่อมลดน้อยถอยลง จนในท้ายที่สุด อาจไม่เหลือซึ่งการยอมรับคำพิพากษาของศาล
หากเป็นเช่นนั้น นอกจากองค์กรตุลาการจะไม่บรรลุพันธกิจปกป้องนิติรัฐ-ประชาธิปไตยแล้ว กลับกลายเป็นว่าองค์กรตุลาการนั่นแหละที่เป็นผู้ทำลายนิติรัฐ-ประชาธิปไตยเสียเอง---------------------------------------------------------------
*ตีพิมพ์ครั้งแรกใน ประชาไท และฟ้าเดียวกันออนไลน์ วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๑

Sunday, October 17, 2010

วิธีแฝงตัวเข้าไปเป็นสาย


มันมีหลายวิธี แต่วันนี้จะขอยกตัวอย่างสัก 1 วิธีซึ่งที่จริงหลายคนก็น่าจะรู้แล้วแต่อาจลืมไปแล้วง่ายๆ ถ้าเคยดูหนังพวกเจ้าพ่อมาเฟียทั้งหลายจะเห็นคนแฝงเข้ามาในองค์กรเหล่านั้นด้วยวิธีการต่างๆเพื่อให้คนคุมองค์กรนั้นๆ เชื่อใจจนไว้ใจสั่งให้ไปทำนั่นนี่

รวมไปถึงรับรู้ข้อมูลทั้งองค์กรวิธีที่จะทำให้เชื่อใจ ก็ง่ายๆ ก็คือทำให้เชื่อใจนั่นแหล่ะไม่ได้กวนแต่บอกวิธีไปก็ไม่หมดแล้ว แต่พวกนั้นจะคิดจะทำกันแต่จุดประสงค์คือทำทุกอย่างเพื่อทำให้เชื่อใจวิธีสังเกตุก็ไม่ยากแปลงร่างเป็นหนอนเป็นดักแด้สุดท้ายก็จะกลายเป็นผีเสื้อให้เห็น ดังนั้นก็ต้องสังเกตุว่าพวกเขาอยากรู้ข้อมูลอะไรในองค์กรกรณีเรื่องม็อบนั้นสิ่งที่เขาอยากรู้ก็มีหลายอย่างเท่าที่เดาๆจากข่าวที่ปรากฏออกมาก็คือ

1. ใครเป็นนายทุนหนุนม็อบเนื่องจากคุณไม่สามารถจะไว้ใจใครได้เลยถ้าคุณต้องการเป็นนายทุนหนุน ม็อบแบบไม่ต้องการให้ใครรู้ก็ต้องมีวิธีบริจาคโดยใช้รหัสลับ ชื่อแฝงไม่ใช่ใช้ชื่อจริง และให้แบบลับๆโดยคิดว่าจะเป็นความลับตลอด ซึ่งก็พอพิสูจน์มาหลายครั้งหลายหน ทั้งอดีตจนปัจจุบันแล้วว่าปิดกันไม่อยู่ แตกคอกันก็เปิดโปงกันหมดได้ถึงไม่แตกคอ แต่มีหลักฐานครบพอที่ฝ่ายตรงข้ามจะกล่าวหาได้ก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไปแต่ถ้าคุณพร้อมบริจาคแบบเปิดเผยก็ส่งตรงจากมือคุณไปเลย ไม่ต้องผ่านใครอีกเพื่อจะได้ไม่เกิดกรณีหักหัวคิว

2 . ใครร่วมขบวนการบ้างซึ่งถ้าเปิดเผยก็ไม่ต้องไปเสียเวลาหาก็เห็นๆ กันแต่สำหรับกรณีพวกไม่อยากเปิดเผยก็อย่าได้เปิดเผยกับใครเป็นอันขาดก็อย่างที่บอกอยู่แล้วว่า ความลับมักเก็บกันไม่อยู่ไม่คนที่คุณเปิดเผยด้วยจะเป็นคนเปิดเอง หรือชี้เป้าก็ฝ่ายตรงข้ามสะกดรอยตามจนเจอเองยังไงเขาก็ต้องรู้สักวัน3. คิดจะทำอะไร ยังไงอันนี้ต้องระดับวงในสุดๆ หรือเรียกว่าระดับแกนนำขึ้นไปที่จะสามารถรับรู้เรื่องเหล่านี้ได้เร็วกว่าผู้อื่นดังนั้นเขาก็ต้องหาวิธีส่งคนเข้าไปร่วมก๊วนหรือข้างๆ ก๊วนแกนนำให้ได้ก็ด้วยวิธีทำให้เชื่อใจอย่างที่บอกแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าใช้วิธีไหนบ้างเพราะมันพลิกแพลงได้เยอะและอาจไปกระทบกับคนที่เขาทำด้วยความจริงใจได้

อันที่จริงแล้วขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยไม่ใช่ขบวนการมาเฟียที่ไหนโดยเฉพาะพวกที่คิดเล่นบนดินด้วยนั่งปรึกษากันทางเว็บให้พวกนั้นรับรู้ไปด้วยยังได้เลยเช่น จะบอกว่าฉันจะฝึกม็อบให้กล้าสู้เพื่อประจันหน้าในวันปะทะจริง จะทำยังงั้นยังงี้เขารู้เขาจะใช้วิธีข่มขู่เพื่อให้กลัว ก็เท่ากับเข้าทางเราเพราะการฝึกคนให้กล้า ก็ต้องมีการทำให้กลัวถึงจะรู้ว่ากล้ากันขึ้นมารึยังไม่ยังงั้นจะรู้ได้ยังไงว่ากล้าขึ้นมาร่วมชุมนุม มาร้องรำทำเพลง ฟังปราศรัยก็กลับไม่สามารถวัดได้ว่ามีความกล้าอะไรแต่ถ้ามาในสถานการณ์ที่ฝ่ายตรงข้ามข่มขู่แล้วข่มขู่อีกอันนี้เริ่มวัดได้แล้วว่ามีคนกล้ามามากน้อยเท่าไหร่

จะเห็นได้ว่าวิธีการสู้บนดินจริงๆ นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นความลับเลยแถมยังต้องพยายามเผยแพร่ให้รับรู้ทั่วถึงกันมากๆ ด้วยซ้ำฝ่ายตรงข้ามก็ไม่รู้ว่าจะส่งคนมาหาข่าวทำไมนอกจากเปิดเว็บไซด์ล่อให้มาโพสแสดงความเห็นซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ แต่ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดแต่ถ้าพวกเล่นใต้ดิน จะมาเล่นแบบนี้ไม่ได้วิธีที่พอจะช่วยได้บ้างในสภาวะที่ไม่รู้ใครเป็นใครถ้ามีคนพยายามเข้าหาคุณ เพื่อร่วมกลุ่มกับคุณควรจะระแวงมากขึ้นเรื่อยๆไม่ใช่ไว้ใจมากขึ้นเรื่อยๆอย่างที่ผมบอก ถ้าแตกกลุ่มเหลือ 1 คน 1 กลุ่ม ก็จะไม่มีปัญหา


หรือระดับย่อยๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรมากเท่าระดับที่สามารถคุมทุน คุมคน คุมการเคลื่อนไหวของม็อบได้ระดับนี้ต้องมีการคัดคนและที่สำคัญต้องระวังตลอดเวลาอย่าเชื่อใจเพราะเขาใช้วิธีทำให้เชื่อใจมากๆ นักเช่น เขาอาจไปทะเลาะกับฝ่ายตรงข้ามเราเลยเข้ามาเป็นพวกถ้าเป็นแก๊งส์มาเฟีย พวกที่แฝงตัวเข้าไปอาจต้องยิงคนพวกเดียวกันเพื่อจะได้ทำให้เจ้านายใหญ่ของแก๊งส์มาเฟียไว้ใจเหมือนในหนังเกี่ยวกับมาเฟียทั้งหลาย

ฝากเอาไว้เรื่อง 2 ใน 13 อย่าลืมว่ามีสายสืบอยู่ทุกที่อย่าคิดว่าคนภักดีจะไม่เปลี่ยนไป


"อย่าลืมว่ามีสายสืบอยู่ทุกที่อย่าคิดว่าคนภักดีจะไม่เปลี่ยนไป"


ฝากอีกเรื่องหนึ่งถ้าคุณคิดจะสู้เพื่อประชาธิปไตยไม่ได้สู้เพื่อใคร หรือเพื่ออะไรเช่น ยศฐาบรรดาศักดิ์ หรือ เงินทองก็ไม่เห็นจำเป็นต้องดิ้นรนเข้าหาองค์กรอะไรเลยแค่ทำตัวเป็นแกนนำตนเองได้ทุกคนหรือทำตนเป็นชาวศิวิไลซ์ให้ได้ก็ร่วมกันเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงได้หลังชนะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงมาแล้วก็ยังปกป้องประชาธิปไตยนั้นๆ เอาไว้ได้ถ้าพวกเราเป็นชาวศิวิไลซ์ได้แล้วแต่ถ้าพวกเราเป็นชาวศิวิไลซ์ไม่ได้แล้วพยายามใช้ทุกวิถีทางเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้สุดท้ายพวกเราจะกลายเป็นเผด็จการชุดต่อไปเพราะพวกเราไม่ได้พัฒนาตนเองจนเอาชนะพวกเขาแต่เอาชนะพวกเขา เพราะแย่งอำนาจจากพวกเขามาเท่านั้นเอง

โดย มาหาอะไร

Tuesday, October 5, 2010

ต้นแบบกว่าจะได้ประชาธิปไตย 5 รูปแบบ จาก 5 ประเทศ

“วิญญาณของ ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยัดเยียดจากภายนอกได้

แต่เป็น สิ่งที่ต้องมาจากข้างใน…..”

Mahatma Gandhi, ค.ศ. 1869-1948 [1]


“ประชาธิปไตย ไม่เคยเป็นรางวัลที่หยิบยื่นให้โดยผู้ปกครอง

ที่มีเมตตา และสายตายาวไกล. ผู้ปกครองนั้นหรือก็คือคนที่หาทางที่จะ

สร้างความ ชอบธรรมให้แก่ตนเอง. อยากได้ประชาธิปไตยก็ต้องต่อสู้เอา

ด้วยการ แสวงหาพันธมิตรทางการเมืองที่มีผลประโยชน์-ทรัพย์สินและอำนาจ

ร่วมกัน. ประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้และมั่นคงก็ต่อเมื่อมันฝังลึกเข้าไป

ในชีวิตและ ความคาดหวังของพลเมือง และได้รับการตอกย้ำ

อย่างต่อ เนื่องในหมู่ประชาชนแต่ละรุ่น เมื่อประชาธิปไตยตั้งหลัก

ปักมั่น เช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีวันถอยหลังเป็นอื่นอย่างเด็ดขาด...”

Sean Wilentz,ค.ศ.2005 [2]


“ว่ากันว่า ประวัติศาสตร์คือ เรื่องราวความทุกข์โศกของผู้คน, การประจบสอพลอ

ครั้งแล้ว ครั้งเล่า, และความผิดและฆาตกรรมนับไม่ถ้วน แต่ที่จริง ก็ไม่ใช่เช่นนั้นตลอดเวลา

การก้มหน้า ยอมจำนนใช่ว่าจะมีอยู่ตลอดไป อย่างเช่นเมื่อ 2,600 ปีที่แล้ว

เมื่อชาว กรีกที่อยู่บริเวณชายขอบด้านอาคเนย์ของยุโรปได้ประดิษฐ์สิ่งที่

บัดนี้มี ความสำคัญระดับเดียวกับล้อรถ, แท่นพิมพ์, เครื่องจักรไอน้ำ, การโคลนนิ่ง......

ไม่ว่าที่ ไหนในโลก คำว่าประชาธิปไตยมีความหมายในเชิงพัฒนาการหรือ

ประวัติศาสตร์ อย่างลึกซึ้ง... โดยทั่วไป ประชาธิปไตยหมายถึงรูปแบบการเมืองชนิดพิเศษที่

ประชาชน หรือตัวแทนบริหารประเทศโดยมีกฎหมายรองรับ ไม่ใช่บริหารโดยระบอบ

เผด็จการ ทหาร, พรรครวบอำนาจเบ็ดเสร็จ หรือกษัตริย์...... นักคิดกลุ่มหนึ่ง

เห็นว่า บัดนี้ ระบอบประชาธิปไตยนั้นได้ชัยชนะทั่วโลกแล้ว หรืออ้างว่าประชาธิปไตย

นั้นได้ กลายเป็นคุณงามความดีระดับสากลไปแล้ว...”

John Keane, ค.ศ. 2009 [3]



ระบอบประชาธิปไตยมีหลักการสำคัญหลายข้อ ที่สำคัญมี 7 ข้อ ได้แก่

1. หลักการอำนาจอธิปไตยเป็นของ ประชาชน (People’s sovereignty),

2. หลักการการปกครองโดยประชาชนหรือ ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การปกครองตนเอง (Self-Government) ซึ่งอาจเป็นทางตรงหรือทางอ้อม,

3. หลักการเคารพเสียงข้างมาก (Majority Rule),

4. หลักการว่าด้วยความเสมอภาคทางการ เมือง (Political freedom) หมายถึงสิทธิ และเสรีภาพทางการเมืองของสมาชิกทุกคนในสังคมที่มีเท่าเทียมกัน, ไม่มีระบบอภิสิทธิ์ในสังคม, ไม่มีระบบสองมาตรฐาน

5. หลักการการปกครองโดยกฎหมาย (Rule of Law)

6. หลักการว่าด้วยกระบวนการพิจารณา ความตามกฎหมาย (Due process of law) ที่ให้ความยุติธรรมแก่สมาชิกทุกคนอย่างเสมอภาค เช่น การจับกุม, การตรวจค้น, การสอบสวน, การยื่นฟ้อง, และการตัดสินคดี ฯลฯ ไม่ใช่ทำตามอำเภอใจหรือความไม่เป็นกลางของผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐคน หนึ่งคนใด

7. หลักการการกระจายอำนาจในการ บริหาร (Administrative decentralization) รัฐบาลกลางไม่ควรผูกขาดอำนาจในการตัดสินใจในทุกเรื่อง ประชาชนในแต่ละท้องถิ่นควรมีอำนาจในการตัดสินใจดูแลและบริหารจัดการกิจการใน ท้องถิ่นของตนเอง (Local Self Government) ทั้งนี้ กิจการใดที่บริหารโดยฝ่ายรัฐบาลกลางหรือท้องถิ่นก็ควรเกิดจากการปรึกษาหารือ และตัดสินใจร่วมกัน


ด้วยความหลากหลายดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักการที่ว่าเสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ ต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ ประชาชนคือส่วนที่สำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งถ้อยคำประวัติศาสตร์ของอับราฮัม ลิงคอล์น – ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐที่ว่า “โดยประชาชน เพื่อประชาชน และของประชาชน” [4] ระบอบการปกครองนี้จึงมีมนต์เสน่ห์อย่างล้ำลึก ปลุกเร้าจิตใจของคนจำนวนมาก ด้วยเหตุนั้น แม้แต่พวกนิยมเผด็จการและระบบอภิสิทธิ์ ก็นำเอาคำว่าประชาธิปไตยไปใช้ แม้ทำสิ่งที่ขัดกับหลักการหลายข้อข้างต้น แต่ก็ยังเรียกว่าประชาธิปไตย หรือปฏิเสธข้อกล่าวหาต่างๆ ทั้งนี้เพื่อหวังให้ตนเองเป็นที่น่านับถือ มีเกียรติและความชอบธรรม และหวังที่จะให้ระบอบการปกครองดังกล่าวได้รับการยอมรับจากประชาชนว่าเป็น ประชาธิปไตย

ระบอบประชาธิปไตยอาจไม่ใช่ระบอบการ ปกครองที่ดีที่สุด แต่เมื่อพิจารณาถึงหลักการที่หลากหลายซึ่งเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ มีกติกาที่ฝ่ายต่างๆสามารถเข้าไปแข่งขันกันอย่างยุติ ธรรมและให้โอกาสแก่ทุกๆฝ่าย และเมื่อเปรียบเทียบกับระบอบการปกครองอื่นๆ และที่สำคัญพิจารณาจากประสบการณ์ในอดีตของประเทศต่างๆจำนวนมากที่ได้ผ่าน ระบอบการปกครองหลายแบบ ในที่สุด ระบอบประชาธิปไตยก็ได้พิสูจน์ให้เห็นการเป็นทางออกของการยุติความขัดแย้งใน แต่ละสังคม เกิดการแข่งขันเสรี การตรวจสอบและขัดขวางอำนาจที่ฉ้อฉล การให้รางวัลแก่ผู้ชนะและการลงโทษผู้กระทำผิด สร้างคุณธรรมให้ทุกฝ่ายเคารพกติกา รู้แพ้รู้ชนะ สังคมมีระเบียบแบบแผน เมื่อสังคมมีกติกา มีความเสมอภาคและความยุติธรรม การยอมรับระบบ ความมั่นคง ความสามัคคีและสันติสุขในสังคมก็บังเกิดขึ้น

ในหนังสือที่ยกย่องกันเป็นตำราของวิชา รัฐศาสตร์ ผู้คนมักอ้างกันเรื่อยมาคือหนังสือชื่อ Republic (สาธารณรัฐ) เขียนโดยเพลโต้ นักปรัชญาชาวกรีกผู้ยิ่งใหญ่ (Plato, 429-347 B.C.) ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนให้ความสำคัญต่อผู้นำนักปกครองที่เป็นนักปราชญ์ด้วย (Philosopher King) ซึ่งหมายถึงผู้นำจำนวนน้อยที่ทรงความรู้และมีจริยธรรม บริหารรัฐเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ การตอกย้ำแนวความคิดเช่นนี้ทำให้ในที่สุด คนที่ได้เรียนรู้จึงเห็นว่านักปราชญ์เช่นเพลโต้ มีแนวความคิดแบบชนชั้นนำ (Elitist) ไม่เชื่อในสิทธิและเสรีภาพของคนส่วนใหญ่

ที่จริง เพลโต้เขียนหนังสือหลายเล่ม เล่มที่เพลโต้เขียนในตอนบั้นปลายของชีวิตและตำรารัฐศาสตร์ของไทยแทบไม่พูด ถึงเลยก็คือ Laws (กฎหมาย) เป็นเล่มสำคัญเพราะหนังสือดังกล่าวสะท้อนให้เห็นจุดยืนเพื่อประชาธิปไตยของ เขา เพลโต้ได้เขียนว่า ความปรารถนาที่จะเป็นพลเมืองที่สมบูรณ์ (Perfect citizen) นั้นเป็นคุณธรรมหรือความดี (Virtue) อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝังกัน หาใช่สิ่งที่ติดมากับทุกคนไม่ มนุษย์เกิดมาไม่อาจเป็นพลเมืองที่สมบูรณ์โดยอัตโนมัติ แต่จะต้องได้รับการปลูกฝังให้มีคุณธรรมข้อหนึ่ง นั่นคือ ความปรารถนาแรงกล้าที่จะเป็นพลเมืองที่สมบูรณ์ และการปลูกฝังคุณธรรมข้อนั้นจะต้องเริ่มตั้งแต่เยาวชน

พลเมืองที่สมบูรณ์จะต้องรู้ทั้งหลักการ ปกครองและหลักการเป็นผู้ถูกปกครอง เป็นพลเมืองในสังคมที่ผู้บริหารมีวาระในการดำรงตำแหน่ง และประชาชนซึ่งเป็นพลเมืองที่สมบูรณ์ก็สลับกันเข้าไปบริหารรัฐตามวาระที่ กฎหมายกำหนด การเมืองไม่ใช่เรื่องของการผูกขาดอำนาจเช่นที่ทำในระบอบอำนาจนิยม ในแง่นี้ ก็หมายความว่าเพลโต้เห็นด้วยกับแนวคิดว่าด้วยความ สำคัญและบทบาทของพลเมืองและรัฐประชาธิปไตย เพลโต้มีแนวคิดชนชั้นนำในระยะ แรกๆ (เนื่องจากมวลชนตัดสินลงโทษเอาชีวิตของครูของท่าน คือ โสเครตีส (Socrates, 469-399 B.C.) แต่ตอนท้าย ท่านก็ชี้ให้เห็นความสำคัญและยอมรับแนวคิดว่าด้วยระบอบประชาธิปไตย [5] และ ต่อจากนั้น อริสโตเติ้ล (Aristotle, 384-322 B.C.) ผู้เป็นศิษย์ได้พัฒนาแนวคิดประชาธิปไตยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความสำคัญของบทบาทการมีส่วนร่วมในการเมืองและกิจการสาธารณะของ ประชาชน และศักยภาพของมนุษย์ที่จะพัฒนายิ่งๆขึ้นไปเมื่อเขาเข้าร่วมในการจัดการ กิจการสาธารณะ [6]


กำเนิดและการเติบโต

เอกสารที่ผ่านมาแทบทุกเล่มกล่าวตรงกัน ว่าประชาธิปไตยถือกำเนิดครั้งแรกที่กรีซเมื่อ 2,600 ปีก่อน ชาวกรีกในเวลานั้นเรียกระบอบการปกครองนี้ว่า Demokratia หรือระบอบการปกครองของประชาชนนั่นเอง เพราะคำว่า kratos แปลว่าการปกครอง ส่วนคำว่า demos แปลว่า ประชาชน [7] คำถามมีว่าเหตุใดระบอบดังกล่าวจึงเกิดขึ้นที่นั่น คำตอบก็คือเพราะที่นั่นมีปัจจัยสำคัญ 4 ด้าน ดังที่จะได้กล่าวต่อไป

ในปี พ.ศ. 2552 นี้ มีงานสำคัญ 2 ชิ้นปรากฏขึ้น คืองาน The Life and Death of Democracy (ชีวิตและความตายของประชาธิปไตย) เขียนโดย John Keane เป็นงานระดับสากล และงานอีกชิ้นหนึ่งเป็นงานของคนไทยคือตะวันออก-ตะวันตก...ใครสร้างโลกสมัยใหม่. เขียนโดย เอนก เหล่าธรรมทัศน์ [8] ประเด็นหนึ่งที่จอห์น คีน เสนอคือ คำว่าประชาธิปไตย มิใช่เกิดขึ้นในกรีซ แต่เกิดขึ้นในยุคไมซีเนียน (Mycenaean period) ระหว่าง 7-10 ศตวรรษก่อนหน้านั้นในบริเวณตะวันออกของกรีซ และที่สำคัญ มีการค้นพบหลักฐานว่ามีชุมชนหลายแห่งที่ปกครองตนเองโดยใช้ระบบสภาชุมชน (self-governing assemblies) ในแถบตะวันออกกลางที่ปัจจุบันนี้คือ ซีเรีย อิรัก และอิหร่าน และประเพณีประชาธิปไตยดังกล่าวได้แพร่หลายไปยังอินเดียราว 1,500 ปีก่อนคริศตกาล [9]

ข้อเสนอของจอห์น คีน สอดรับกับความเห็นหลักของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่ว่าอารยธรรมตะวันออกนั้นมีความยิ่งใหญ่ในอดีต “ในช่วง ค.ศ. 500-1800 ตะวันออกเจริญก้าวหน้ากว่าตะวันตก และอารยธรรมที่ก้าวหน้าเหล่านั้นได้เผยแพร่เข้าสู่ตะวันตก... ต่อมา ด้วยยุทธวิธีและโอกาสบางอย่างต่างหาก ที่ทำให้มหาอำนาจตะวันตกทั้งหลาย ค่อยๆไล่แซงหน้าตะวันออกไปได้ แต่นั่นก็ต้องใช้เวลาอีกราว 3 ศตวรรษ (จากปี ค.ศ. 1500 ที่ตะวันตกเริ่มบุกเบิกแล่นเรือไปสำรวจและค้าขายกับเอเชีย...จับทาสผิวดำใน อัฟริกา และยึดครองทวีปอเมริกาทั้งมวล) จึงทำได้สำเร็จ” [10]

โลกใบนี้มีประชาชนที่หลากหลาย และส่วนใหญ่ที่สุดมีความสัมพันธ์กับกลุ่มอื่นๆและเรียนรู้จากกัน แทบไม่มีกลุ่มใดที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวตลอดไป ดังนั้น การเคลื่อนย้ายและเลื่อนไหลของอารยธรรมจึงเป็นปรากฎการณ์ปกติในสังคม คำถามที่สำคัญกว่า (ถ้าหากว่าข้อเสนอทั้งสองเป็นจริง) คือ 1. หากระบอบประชาธิปไตยมีมานานแล้วในเอเชียก่อนยุคกรีซ และ 2. หากอารยธรรมของตะวันออกยิ่งใหญ่เป็นเวลานานก่อนที่จะถูกตะวันตกแซงในระยะ หลัง) อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมหนึ่งเป็นประชาธิปไตย ปัจจัยภายในของประชากร ชุมชน และรัฐมีบทบาทอย่างไร และสัมพันธ์อย่างไรกับปัจจัยระดับกลางนั่นคือสถาบันและโครงสร้างสังคมที่ ประชากรของสังคมนั้นสร้างขึ้น และสัมพันธ์อย่างไรกับปัจจัยภายนอกได้แก่สภาพสิ่งแวดล้อม เช่น ขนาดและคุณภาพของดิน แม่น้ำ อากาศ ทำเลที่ตั้งและเพื่อนบ้านโดยรอบ ปัจจัยทั้งสามนี้มีบทบาทอย่างไร และมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและนำไปสู่การสร้างบทบาทใหม่ๆต่อสังคมนั้นอย่างไร บ้าง

เอเชียเป็นทวีปใหญ่ มีประชากรมากกว่าทวีปอื่น ทั้งยังมีความหลากหลาย และกระจายตัว ผิดกับยุโรปที่มีความใกล้ชิดกันมากทั้งด้านทำเลที่ตั้ง ภูมิอากาศ สภาพเศรษฐกิจ ตลอดจนลักษณะร่วมทางภาษาและวัฒนธรรม หลายส่วนเกิดขึ้นตั้งแต่จักรวรรดิโรมันที่ทำให้ยุโรปแทบทั้งหมดอยู่ภายใต้ โครงสร้างอำนาจเดียวกัน หากเราคิดว่าตะวันออกจะกลับมายิ่งใหญ่ในศตวรรษนี้ เราก็ควรตอบคำถามว่าความยิ่งใหญ่ที่ว่านั้นคืออะไร การที่จีนประสบความสำเร็จอย่างสูงทางเศรษฐกิจ เริ่มแซงสหรัฐและยุโรปในด้านการลงทุนและการส่งออก ฯลฯ “ศตวรรษที่ 21 คือ ศตวรรษของตะวันออก” อินเดียก็ประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับญี่ปุ่น และ 4 มังกรน้อยแห่งเอเชีย (เกาหลีใต้-ไต้หวัน-ฮ่องกง-สิงคโปร์) แต่ประเทศอื่นๆ เล่า เช่น เกาหลีเหนือ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไทย พม่า เนปาล ศรีลังกา เป็นอย่างไร ตลอด 5 ศตวรรษที่ผ่านมา ไทยเคยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกในบางทศวรรษ ไม่เคยต้องเผชิญสงคราม โดดเด่นในด้านส่งเสริมการท่องเที่ยวและการติดต่อกับโลกตะวันตก และเป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญระดับโลก แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความแตกต่างระหว่างรายได้ของผู้คนในสังคมกลับนับวันเป็นปัญหาใหญ่ การเมืองเรื่องประชาธิปไตยเกิดความแตกแยกขัดแย้งกันอย่างมากโดยเฉพาะ 3-4 ปีมานี้ ฯลฯ



การเดินทางต่อของประชาธิปไตย

การปกครองตนเองในระดับชุมชนอย่างที่จอห์น คีน พูดถึงบริเวณเอเชียตะวันกลางและอินเดียเมื่อ 3 พันปีก่อน คงเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและมีในบริเวณอื่นๆอีกหลายแห่ง ขึ้นอยู่กับว่านักวิชา การมีข้อมูลมากเพียงใด และมีความสนใจที่จะศึกษาและวิเคราะห์ว่า ประชาธิปไตยมีการพัฒนาอย่างไรในพื้นที่ต่างๆ ความสำคัญในทางวิชาการจึงไม่น่าจะอยู่ที่ว่าประชาธิปไตยถือกำเนิดในดินแดนใด เป็นครั้งแรกของโลก เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้อมูลและความสามารถในการศึกษาค้นคว้าและการ วิเคราะห์ (ที่พัฒนาต่อเนื่องมาเป็นลำดับ) แต่น่าจะอยู่ที่ว่า เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากข้อมูลเท่าที่มีอยู่ และยังมีประเด็นใดอีกที่ต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม

จากหลักฐานที่ปรากฏ การปกครองแบบประชาธิปไตยในกรีซซึ่งมีชุมชนมากมายบนเกาะต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองเอเธนส์เมื่อ 2 พันกว่าปีที่แล้ว มิได้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเริ่มของชุมชนนั้น แต่เกิดขึ้นจากการต่อสู้กับระบอบราชาธิปไตยและอภิชนาธิปไตย (หรืออำมาตยาธิปไตย - Aristocracy). ประชาธิปไตยของเอเธนส์มิใช่เกิดขึ้นแบบทันทีทันใดหรือมีทฤษฎีชี้นำ [11] แต่ เป็นผลของการคลี่คลายของภาวะเศรษฐกิจ-การเมืองและสังคมของชาวเอเธนส์ เช่น ในยุคราชาธิปไตย เมืองเอเธนส์มีทั้งสภาผู้อาวุโส และสภาประชาชน (อย่างหลังประกอบด้วยชายทุกคนในกองทัพ) ตัวอย่างเช่น กรณีกษัตริย์ไม่มีผู้สืบเชื้อสาย สภาผู้อาวุโสจะเป็นผู้คัดเลือกและขอความเห็นจากสภาประชาชน หรือระบอบอภิชนาธิปไตยที่อำนาจของขุนนางเพิ่มมากขึ้นทำให้เสรีชนไม่พอใจ

ปัจจัยสำคัญ 4 ข้อที่ก่อให้เกิดระบอบประชาธิปไตยในกรีซ ก็คือ หนึ่ง วัฒนธรรมที่มีความอยากรู้อยากเห็น สงสัย ชอบตั้งคำถาม ใฝ่รู้ และแสวงหาคำตอบ มีการศึกษาค้นคว้าและลงมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ดังคำในภาษากรีกที่ว่า Philosophy ซึ่งแปลว่าความรักในความรู้ (ซึ่งส่งผลให้กรีซสร้างองค์ความรู้ที่ยอดเยี่ยมในแทบทุกสาขาวิชา) [12] อีก คำหนึ่งก็คือ historia ซึ่งแปลว่า การค้นคว้าวิจัย [13] สอง วัฒนธรรม ที่ชาวกรีกเห็นคุณค่า, บทบาทและศักยภาพของมนุษย์, ให้ความ สำคัญต่อความเป็นมนุษย์ ต่อการสร้างภูมิปัญญา และต่อความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ หรือที่เรียกว่าลัทธิมนุษยนิยม (Humanism) สาม วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยที่เน้นให้ความสำคัญของกิจการสาธารณะ (Public affairs) เหนือกว่าธุรกิจส่วนตัว และความสำคัญของการที่พลเมืองแต่ละคนควรเข้าร่วมในการบริหารจัดการกิจการดัง กล่าว หรือที่ปัจจุบันชอบเรียกว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน มีการยกย่องวัฒนธรรมเหล่านั้นและดูถูกเหยียดหยามคนที่ไม่เอาใจใส่ในเรื่อง ส่วนรวม สนใจแต่เรื่องธุรกิจและผลประโยชน์ของตนเอง [14] สี่ ทำเลที่ตั้งและทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของกรีซโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมืองท่า เกาะจำนวนมากของกรีซ สร้างเมืองท่าที่ยอดเยี่ยม มีอากาศที่ไม่หนาวจัดหรือร้อนจัด สามารถเดินเรือได้ตลอดปี ล้อมรอบด้วยเมืองใหญ่แทบทุกทิศถึง 3 ทวีปที่มีการค้าขายและต้องการสินค้าต่างๆ และ ห้า บวก กับศักยภาพทางการผลิตภาคเกษตรและหัตถกรรม มีสินค้าสำคัญที่เป็นที่ต้องการอย่างมาก เช่น เหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก เครื่องปั้นดินเผา แพรพรรณ ไม้ โลหะภัณฑ์โดยเฉพาะเครื่องมือและอาวุธที่ทำด้วยเหล็กคุณภาพดี ฯลฯ ชนชั้นพ่อค้า เจ้าของธุรกิจ ช่างฝีมือ แรงงานรับจ้างจึงเพิ่มพูนอำนาจและบทบาททางเศรษฐกิจ ต้องการแรงงานทาสจำนวนมาก ยิ่งมีการผลิตเหรียญจากโลหะ ก็ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมการค้าขายและเพิ่มพูน โภคทรัพย์ [15]

อำนาจและบทบาททางเศรษฐกิจที่เติบใหญ่ ทำให้พวกเขาคัดค้านการผูกขาดอำนาจของระบอบราชาธิปไตยและอภิชนาธิปไตย พวกเขาต้องการอำนาจ สิทธิและเสรีภาพที่ให้หลัก ประกันแก่พวกเขาในทางเศรษฐกิจ ตลอดจนอำนาจและบทบาททางการเมืองและการบริหารชุมชนของพวกเขา และนั่นคือระบอบประชาธิปไตยเพื่อพวกเขาและชุมชนของพวกเขา ประชาธิปไตยของเอเธนส์เป็นประชาธิปไตยทางตรง (Direct democracy) เป็นระบอบประชาธิป ไตยที่ชายชาวกรีกทุกคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปและผ่านการเป็นทหาร 2 ปี มีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกัน เป็นพลเมืองที่สมบูรณ์ มีสภาผู้แทนฯ พลเมืองแต่ละคนไม่ว่ามีรายได้หรือทรัพย์สินเท่าใดสามารถเข้าไปในสภาเพื่อออก ความเห็นและตัดสินใจในกิจการสาธารณะได้ทุกเรื่อง (เช่น อัตราภาษี, การบริหารเมือง, นโยบายต่างประเทศ, และศาสนา) พลเมืองผลัดเปลี่ยนกันทำงานในสภาและเป็นลูกขุนในการตัดสินคดีความต่างๆ ส่วนสตรี ทาส และคนต่างด้าวมิได้เป็นพลเมือง จึงไม่มีสิทธิเสรีภาพหรือบทบาททางการเมืองใดๆ ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น [16]

การปกครองของประชาชนชาวเอเธนส์เริ่มก่อ ร่างในสมัยโซลอน (Solon, 638-558 B.C.) ในระยะดังกล่าว พลเมืองมีสิทธิในการเลือกตั้งและสมัครรับเลือกตั้งเข้าไปเป็นผู้แทนเพื่อ ทำงานในสภาและเป็นฝ่ายบริหาร ผลัดเปลี่ยนกันเป็นลูกขุน (juror) คำที่ใช้ในเวลานั้นสำหรับระบอบการปกครองดังกล่าวมีเพียงคำว่า Eunomia (Good order – ระบอบที่ดี) ผลงานสำคัญของโซลอนคือ การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือชาวนาจน ยอมให้ช่างฝีมือต่างชาติที่อพยพเข้าไปได้เป็นพลเมืองของเอเธนส์ มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อแบ่งพลเมืองตามระดับของรายได้ ทั้งนี้เพื่อให้ชาวเอเธนส์ทุกคนไม่ว่าจะมีรายได้เท่าใดเป็นพลเมืองที่มี สิทธิเลือกตั้ง และรับการเลือกตั้งเข้าไปในสภาได้ เป็นลูกขุนได้ แต่ไม่มีสิทธิในการเข้ารับตำแหน่งบริหาร [17]

ต่อมาในยุคของไคลธีนิส (Cleisthenes, 565-500 B.C.) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเขาคือผู้สถาปนาระบอบประชาธิปไตยของเอเธนส์ (Creator of Athenian democracy) ก็ได้เกิดคำใหม่คือ Isonomia (หรือ Political equality – ความเสมอภาคทางการเมือง) เข้าแทนที่คำว่า ระบอบที่ดี ผลงานของไคลธีนิสคือ การลดอำนาจของชนชั้นขุนนาง แบ่งเขตการเมืองให้มากขึ้น พร้อมกับเพิ่มสิทธิและเสรีภาพให้แก่พลเมืองทุกคน ชาวกรีกทุกคนรวมทั้งเกษตรกรที่ไร้ที่ดินทำกินมีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน ให้พลเมืองในแต่ละเขตปกครองตนเอง แต่ละชุมชนต่างๆมีสภาของตนเอง เน้นหลักความเป็นอิสระของแต่ละชุมชน รูปแบบการปกครองของเมืองเอเธนส์ทั้งหมดจึงมีลักษณะที่ปัจจุบันเรียกว่า สมาพันธรัฐ (Confederation) ไคลธีนิส ได้จัดตั้งมาตรการที่เรียกว่า ostracism หมายถึงสภาของพลเมืองสามารถลงมติขับไล่สมาชิกที่ไม่ได้รับความไว้วางใจจาก ประชาชน ผู้ที่ถูกขับออกจากสภาจะต้องถูกเนรเทศออกจากเมืองเป็นเวลาถึง 10 ปี [18]

จนกระทั่งถึงยุคของ เพรีคลิส (Pericles, 490-429 B.C.) จึงเกิดคำว่า Demokratia เข้าแทนที่ และหมายถึงหลักการสำคัญคือ การปกครองโดยระบบกฎหมาย, เสรีภาพ และเสมอภาค ดังสุนทรพจน์ของเขาในปี 430 ก่อนคริสตกาล ต่อไปนี้


“อันรัฐบาลของเรานั้น จะได้ลอกแบบการปกครองมาจากประเทศเพื่อนบ้าน

ก็หามิได้ เราเป็นตัวอย่างให้เขา มิใช่เขาเป็นตัวอย่างให้เรา การปกครองของเรานั้น

เรียกว่าประชาธิปไตย เพราะเหตุว่ามิได้อยู่ในมือของคนจำนวนน้อย หากอยู่ในมือ

ของคนจำนวนมาก แต่กฎหมายของเราก็ให้ความยุติธรรมเสมอหน้ากันหมด... เรา

เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนในการปกครอง ประเทศ...ในทางส่วนรวม เราทำกฎหมาย

อย่างเคร่งครัด... เราเคารพกฎหมาย รวมทั้งกฎหมายอันมิได้จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร

.... พลเมืองของเราทำการทั้งเพื่อส่วนตัวและส่วนรวม และไม่ปล่อยธุรกิจส่วนตัวมาก

มายมาทำลายความเอาใจใส่เรื่องกิจการของรัฐ เราผิดกับรัฐอื่นๆ ตรงที่ถือว่าคนที่ไม่

มีส่วนร่วมใดๆในกิจการสาธารณะ สนใจแต่เพียงธุรกิจของตัวเอง นับเป็นคนไร้ค่า

และเราชาวเอเธนส์สนใจและตัดสินใจปัญหาของ ส่วนรวมก็เพื่อตัวเราเอง หรืออย่าง

น้อยก็พยายามเข้าใจปัญหาเหล่านั้นให้ดี ด้วยเชื่อมั่นว่าข้อขัดแย้งต่างๆไม่ใช่จะทำให้

เราไม่ทำอะไร ตรงกันข้าม ต้องถกเถียงกันก่อนจึงจะได้ข้อสรุป แล้วค่อยลงมือ...” [19]


ถ้อยคำข้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นจิตวิญญาณ ประชาธิปไตย (Democratic spirits) ที่ชาวเอเธนส์ได้สร้างขึ้น และห้อมล้อมหลักการที่สำคัญ 5 ข้อคือ 1. การปกครองด้วยระบบกฎหมาย 2. ความเสมอภาคทางการเมือง 3. เสรีภาพทางการเมืองของพลเมือง 4. การให้ความสำคัญต่อผล ประโยชน์สาธารณะ และ 5. หลักการการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน

การให้ความสำคัญต่อระบบกฎหมาย, สิทธิและเสรีภาพตลอดจนความเสมอภาคของประชาชนที่มีมากขึ้นเป็นลำดับ และลิดรอนอำนาจการปกครองของกษัตริย์และขุนนางได้สะท้อนให้เห็นพัฒนาการอย่าง เป็นขั้นตอนของระบอบประชาธิปไตย บทบาทและอำนาจทางเศรษฐกิจรวมทั้งจิตสำนึกของชาวกรีก โดยเฉพาะของเสรีชนที่เพิ่มขึ้นผลักดันให้ระบอบการเมืองมีลักษณะเปิดกว้างมาก ขึ้น เอื้อประโยชน์ให้แก่ประชาชนมากขึ้นๆ จนเกิดระบอบการปกครองของพลเมืองและโดยพลเมือง แทนที่ระบอบเอกาธิปไตยและคณาธิปไตย [20]

ระบอบประชาธิปไตยของเอเธนส์ ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างปี 479 – 322 ก่อนคริสตกาล (ดำรงอยู่ราว 157 ปี) มิได้ตกลงมาจากฟ้าหรือได้รับการมอบให้จากชนชั้นนำซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อย แต่เป็นการผลักดันและต่อสู้เพื่อให้อำนาจ สิทธิและเสรีภาพเป็นของเสรีชนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ [21] การปฏิวัติ ประชาธิปไตยของเอเธนส์เกิดขึ้นและพัฒนาขณะที่รัฐอื่นๆของกรีซที่อยู่ใกล้ เคียงปกครองด้วยระบอบคณาธิปไตย ด้วยเหตุนี้ เอเธนส์จึงถูกรัฐอื่นมองเป็นศัตรู และเพื่อมิให้ลุกลามไปยังรัฐอื่นๆ เอเธนส์จึงถูกรุกรานและทำลายในเวลาต่อมา [22]

การที่โรมันเป็นจักรวรรดิ ที่ครอบครองดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล และปกครองประชา ชนจำนวนมาก และเพื่อธำรงรักษาสถานภาพและอำนาจดังกล่าว ระบอบการปกครองที่ให้สิทธิและเสรีภาพตลอดจนความเสมอภาคแก่ประชาชนจึงไม่อาจ เกิดขึ้นได้ ความหมายของคำว่าพลเมืองที่กรีกใช้โดยหมายถึงผู้มีสิทธิเสรีภาพและอำนาจใน การบริหารรัฐ จึงเปลี่ยนไปเป็นราษฎร หรือผู้ถูกปกครอง (Subjects) ที่ไม่มีสิทธิเสรีภาพใดๆ มีเพียงหน้าที่ที่ต้องฟังคำสั่งจากผู้ปกครองและปฏิบัติตาม แต่แม้ไม่มีการพัฒนาประชาธิปไตยในจักรวรรดิโรมัน แต่การให้ความสำคัญต่อกฎหมายและเคารพกฎหมายในจักรวรรดิโรมันก็ได้กลายเป็น หลักการสำคัญของการปกครองในยุคต่อๆมารวมทั้งยุคของระบอบประชาธิปไตย[23]

ระบอบประชาธิปไตยกลับมาอีกครั้งอย่าง ค่อยเป็นค่อยไปในทวีปยุโรปเมื่อได้เกิดการเติบโตของการค้าและชนชั้นพ่อค้าใน ตอนปลายของยุคกลาง (Middle Ages, ค.ศ. 476-1300) การค้าขายที่ขยายตัวทำให้เกิดเมืองอันเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนและศูนย์ขน ถ่ายสินค้าตามจุดต่างๆทั่วทั้งทวีป เมืองเหล่านั้นกลายเป็นที่ส้องสุมของพ่อค้าที่ร่ำรวยทั้งกำลังทรัพย์, ประสบการณ์ และความรู้-ความคิดอ่านที่สะสมมาจากการค้าขายในทุกสารทิศ เกิดความต้องการในสินค้า ทำให้ต้องเพิ่มการผลิต ต้องการแรงงานเพิ่ม เกิดการรวมตัวกันของช่างฝีมือเป็นสมาคมช่างฝีมือ (Gilds) ยิ่งผลักดันให้แรงงานไพร่หลบหนีออกจากแว่นแคว้นศักดินาเข้ามาอยู่ในเมือง จนเกิดความขัดแย้งกับระบอบศักดินาซึ่งต้องการควบคุมแรงงานไพร่ทาสไว้ ฯลฯ

ในที่สุด ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา เมืองเหล่านี้จึงเติบโตขึ้นและแตกต่างจากแว่นแคว้นศักดินาทั้งหลายเพราะ เมืองเป็นศูนย์กลางของเหล่าพ่อค้าและแรงงานเสรี ชาวเมืองสามารถบริหารเมืองได้อย่างเป็นอิสระ อีกทั้งได้รับการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สิน โดยพ่อค้าได้ให้เงินตราและ/หรือสินค้าแก่กษัตริย์และเจ้าแคว้นศักดินาต่างๆ เป็นการตอบแทน มีการจัดทำข้อตก ลงระหว่างทั้งสองฝ่ายเรียกว่าข้อตกลงเมือง (City Charter) ไพร่ทาสหนีการจองจำของแว่นแคว้นศักดินาเพื่อแสวงหาเสรีภาพและโอกาสใหม่ๆใน เมือง

สิทธิของพ่อค้าและแรงงานเสรีในเมือง ทำให้เกิดความจำเป็นในการดูแลและบริหารเมือง มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งเพื่อดูแลปัญหาต่างๆของเมือง ซึ่งค่อยๆนำไปสู่การเสริมสร้างจิตสำนึกของชาวเมือง และเล็งเห็นความจำเป็นในการจัดการปัญหาต่างๆของเมืองโดยชาวเมือง เช่น ถนน สะพาน แสงสว่างริมถนน น้ำประปา ที่อาบน้ำสาธารณะ ขยะ ทางเท้า ฯลฯ นี่คือกำเนิดของประชาธิปไตยของเมืองหรือของท้องถิ่น (Local democracy) ชาวเมืองเห็นความสำคัญของการเลือกตั้งตัวแทนเข้าไปนั่งในสภาท้องถิ่นเพื่อทำ หน้าที่ออกข้อกฎข้อบังคับและแต่งตั้งผู้บริหารชุมชนนั้น สิทธิและหน้าที่ของชาวเมือง การสร้างอัตลักษณ์ของเมืองหรืออัตลักษณ์ท้องถิ่น ฯลฯ

การปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น (Local self government) มิใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่เป็นผลพวงของการเติบโตของการค้า การผลิต รายได้ที่เพิ่มพูนของพ่อค้า เจ้าของธุรกิจต่างๆ ช่างฝีมือ และแรงงานเสรีที่เพิ่มขึ้นๆ บวกกับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การเรียนรู้จากเมืองต่างๆ หมายความว่าเศรษฐกิจที่เติบโตบวกกับวัฒนธรรมที่หลากหลาย นำไปสู่การปฏิเสธระบบศักดินา และการสร้างระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบใหม่ที่สมาชิกแต่ละคนมีบทบาทในการบริหาร พื้นที่ ประชาธิปไตยท้องถิ่นที่เติบใหญ่ในระหว่างศตวรรษที่ 10 ถึง 14 ได้กลายเป็นลักษณะพื้นฐานทางการเมืองอันจะนำไปสู่ประชาธิปไตยระดับชาติใน ขั้นถัดไป [24]

นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา มีเมืองที่เติบโตจากการค้าขายและการผลิตเป็นจำนวนมาก เช่น เวนิส เจนัว ฟลอเรนซ์ มิลาน ในอิตาลี, มาร์เซยส์ ดีจ็อง ตูลูส ปารีส ในฝรั่งเศส, สตร๊าสบวร์ก ไมนซ์ โคโลญจ์ ในเยอรมนี, บรู๊จ ก๊องต์ บรัสเซลส์ ในเบลเยี่ยม, อันทเวิร์ป ในฮอแลนด์ อ๊อกซฟอร์ด, นอริช ลอนดอน ในอังกฤษ, วอร์ซอว์ เคียฟ โนฟการัด โพสท์นัน คราโคว์ ในยุโรปตะวันออก และแต่ละเมืองล้วนมีประสบการณ์ในการสร้างระบบการปกครองตนเองเพิ่มขึ้นเป็น ลำดับ [25]

แต่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 – 18 มีปัจจัยสำคัญอีกหลายอย่างนอกจากการเติบโตของเมืองและการเติบโตของ ประชาธิปไตยในท้องถิ่น ที่ทำให้เกิดการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระดับชาติ ได้แก่ การเสื่อมและสิ้นสุดลงของระบบศักดินา, การเติบโตของรัฐชาติและระบอบกษัตริย์, การเกิดขึ้นของการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) ซึ่งนำไปสู่การให้ความสำคัญแก่ลัทธิมนุษยนิยม (Humanism) การพัฒนาการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ซึ่งนำไปสู่การเสนอทฤษฎีว่าด้วยโลกกลม, การเดินทางพบโลกใหม่, ลัทธิล่าอาณานิคม, ลัทธิพาณิชย์นิยม (Mercantilism), การปฏิรูปศาสนา (Reformation), และการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)

เราจะพบว่าเมื่อ John Locke (ค.ศ. 1623-1704) เสนอแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยที่ว่า “ระบอบการปกครองที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของประชาชน” ความคิดดังกล่าวก็คือความคิดของคนชั้นกลางในอังกฤษที่เกิดหลังจากความพยายาม ของขุนนางอังกฤษที่ต้องการมีสิทธิมีเสียงในการบริหารประเทศของกษัตริย์ อังกฤษเริ่มเมื่อ 4 ศตวรรษก่อน แต่ในความเป็นจริง กลุ่มคนที่เรียกร้องเสรีภาพในการนับถือศาสนาในอังกฤษและคนชั้นกลางที่ใฝ่หา เสรีภาพทางการเมืองได้เริ่มมีบทบาทแล้วตั้งแต่สมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 (ค.ศ. 1491-1547) จนกระทั่งพวกเขาหนีไปตั้งรกรากในอเมริกา ไม่ยอมรับลัทธิล่าอาณานิคม ต้องการสถาปนารัฐประชาธิปไตย เช่นเดียวกับการลุกขึ้นคัดค้านระบบศักดินาของคนชั้นกลางและชั้นล่างใน ฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 [26]

จากการสำรวจการเกิดขึ้นและพัฒนาการของ ประชาธิปไตยระดับชาติในประเทศที่พัฒนาแล้ว เราพบรูปแบบพัฒนาการของประชาธิปไตยอย่างน้อย 5 รูปแบบ คือ 1. รูปแบบวิวัฒนาการ (Evolution model) 2. รูปแบบการปฏิวัติของอเมริกัน (American Revolution model) 3. รูปแบบการปฏิวัติของฝรั่งเศส (French Revolution model) 4. รูปแบบการสถาปนาระบอบประชาธิปไตย (Creation of Democratic Regime model) และ 5. รูปแบบการสถาปนาเผด็จการทหารและถูกพลังประชาธิปไตยขับไล่ (Creation of Military Dictatorship model)


1. รูปแบบวิวัฒนาการ


“โดยธรรมชาติ คนเราล้วนเกิดมามีเสรี เท่าเทียมกัน และมีอิสรภาพ

ไม่มีใครที่จะถูกผลักไสออกจากที่พักของตน หรือต้องตกอยู่ใต้อำนาจ

การปกครองของผู้อื่น โดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอมพร้อมใจ...”

John Locke, ค.ศ. 1632-1704



หมายถึงระบอบประชาธิปไตยที่มีพัฒนาการมา ยาวนาน ผ่านการต่อสู้ระหว่างสถาบันต่างๆ และได้จัดการแก้ไขข้อขัดแย้งต่างๆมาแล้วหลายครั้ง จนฝ่ายต่างๆยอมรับกติกาต่างๆร่วมกัน ส่งผลให้สถาบันดั้งเดิมและสถาบันใหม่อยู่ร่วมกันได้ ตัวอย่างสำคัญของรูปแบบนี้คืออังกฤษ ที่ขุนนางคัดค้านการใช้อำนาจของกษัตริย์ (พระเจ้าจอห์น, ค.ศ. 1199-1216) เกิดการบังคับให้กษัตริย์ยอมรับกฎบัตร ที่เรียกว่า Magna Carta ในปี ค.ศ. 1215 ซึ่งระบุว่ากษัตริย์ต้องอยู่ใต้กฎหมายเช่น เดียวกับคนอื่นๆในรัฐ และไม่อาจเก็บภาษีหากมิได้รับการยินยอมจากขุนนาง Magna Carta จึงถือเป็นจุดสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของอังกฤษ ส่วนรัฐสภาซึ่งประกอบ ด้วยขุนนาง พ่อค้า และสามัญชนหรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นตัวแทนของทุกฝ่ายรวมทั้งเมือง และชนบทได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1295 และแม้ว่ามีกษัตริย์หลายพระองค์ที่ไม่ยอมรับกฎบัตรดังกล่าว มีการต่อสู้และขัดแย้งกันหลายครั้ง จนกษัตริย์บางองค์ถูกขุนนางถอดถอน บางองค์ถูกประหาร เช่น ชาร์ลสที่ 1 ในปี ค.ศ. 1649 เนื่องจากพระองค์ยุบสภาในปี ค.ศ. 1625 บริหารประเทศแบบเอกาธิปไตย และได้ฉ้อฉลอำนาจหลายครั้ง [27] การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution, 1688-89) จบลงด้วยการถอดถอนกษัตริย์ เจมส์ที่ 2 เนื่องจากบริหารประเทศแบบเผด็จการ รัฐสภาได้ยึดกุมอำนาจการบริหารและแต่งตั้งกษัตริย์องค์ใหม่ ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สิ้นสุดลง และเป็นจุดเริ่มต้นของระบอบกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญมาจนถึงยุคปัจจุบัน [28]



2. รูปแบบการปฏิวัติอเมริกัน


“ข้าพเจ้าได้สาบานต่อหน้าแท่นแห่ง พระผู้เป็นเจ้าว่า จะขอ

เป็นปฏิปักษ์กับทรราชทุกรูปแบบที่ครอบงำ จิตใจผู้คนตราบชั่วนิรันดร์”

Thomas Jefferson, ค.ศ. 1743-1825


การปฏิวัติของอเมริกันในปี ค.ศ. 1776 เป็นการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่มีลักษณะ เฉพาะหลายด้าน ที่สำคัญคือ ผู้คนส่วนใหญ่ที่ประกอบกันเป็นชาวอเมริกันรุ่นแรกๆนั้นหลบหนีภัยของระบอบ เผด็จการในอังกฤษ หลายคนในหมู่พวกเขามีอุดมการณ์เพื่อสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ ความเสมอภาค และระบอบการปกครองที่เป็นธรรม พวกเขามีการศึกษาดี บวกกับการสร้างชุมชนบนแผ่นดินที่ไม่ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมศักดินา โอกาสในการจัดระบบการปกครองตน เองในระดับท้องถิ่นตลอดจนโลกใหม่ที่มีดินแดนกว้างใหญ่ มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และเปิดโอกาสให้แก่ทุกคนในการสร้างสรรค์ชีวิต ใหม่ เมื่ออังกฤษปกครองอาณานิคมในแผ่นดินใหม่แบบกดขี่ข่มเหงเกินกว่าที่เสรีชนจะ รับได้ พวกเขาจึงลุกขึ้นสู้ด้วยระบบการจัดองค์กรและกองทัพประชาชน และด้วยอุดมการณ์แบบเสรีชนที่นำมาจากโลกเก่าผสมผสานกับวัฒนธรรมที่เกิดขึ้น ในสังคมใหม่ พวกเขาได้สถาปนาสาธารณรัฐขึ้นพร้อมกับกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ประกันสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของเสรีชน เคารพอำนาจและสิทธิของแต่ละรัฐ วางหลักประกันการตรวจสอบรัฐบาล และระบบการถ่วงดุลอำนาจของ 3 ฝ่าย เพื่อป้องกันมิให้เกิดระบอบทรราชย์เช่นในยุโรป และเคารพหลักการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น [29]

แต่คำว่าประชาธิปไตยที่รับรู้กันในโลก ยุคปัจจุบันก็ไม่เคยปรากฏในคำประกาศอิสรภาพของคนอเมริกันแม้แต่ครั้ง เดียว [30] ทั้งนี้เป็นเพราะ “คนอเมริกันมิได้เกิดมามีเสรีและเป็นประชาธิป ไตยตามนิยามในยุคปัจจุบัน พวกเขาเป็นประชาธิปไตย ที่สำคัญก็เพราะการปฏิวัติในปี ค.ศ. 1776 นั่นเอง” [31] ในการปฏิวัติครั้งนั้น คนอเมริกันเป็นกบฏต่อระบบกษัตริย์ของอังกฤษ พวกเขาดิ้นรนเสาะหาการปกครองแบบใหม่ที่สอดรับกับสังคมใหม่ ท่ามกลางผู้คนที่หลากหลายทั้งความคิด เชื้อชาติ วัฒนธรรม ชนชั้นนำการปฏิวัติอเมริกันได้วางรากฐานของระบอบการเมืองที่เคารพสิทธิและ เสรีภาพของประชาชน ความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย การตรวจสอบฝ่ายบริหาร ระบบตัว แทนของมลรัฐและความเป็นอิสระของท้องถิ่น ประกันเสรีภาพในการพัฒนาชีวิตและแสวงหาความสุข

ด้วยรากฐานดังกล่าว ระบอบการเมืองของสหรัฐจึงมีลักษณะเปิด และขยายโอกาสให้พลเมืองกลุ่มอื่นๆได้สิทธิเสรีภาพเท่าเทียมในภายหลัง เช่น การยกเลิกระบบทาส ให้คนผิวดำมีสิทธิเท่าเทียมกับคนผิวขาวหลังสงครามกลางเมืองในปี ค.ศ. 1870 ส่วนสตรีทุกผิวสีมีสิทธิเลือกตั้งทัดเทียมกับชายในปี ค.ศ. 1920 และผ่านการต่อต้านการเหยียดผิว และต่อสู้เพื่อความเสมอภาคของคนผิวดำในช่วงทศวรรษ 1950-60 มาจนถึงการเลือกตั้งบารัก โอบาม่าเป็นประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 2008 [32] สะท้อนให้เห็นอุดมการณ์ที่ก้าวหน้า, วิสัยทัศน์และความสามารถของคนอเมริกันในศตวรรษที่ 18 ที่ออกแบบระบอบการเมืองให้มีความสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด 2 ศตวรรษเศษที่ผ่านมา ใครจะคิดว่าจะมีผู้คนในประเทศใดที่สู้เพื่อเอกราช สร้างรัฐใหม่และสามารถแปรอุดมการณ์และวิสัยทัศน์แบบประชาธิปไตยให้เป็นจริง และยั่งยืนได้เมื่อปี ค.ศ. 1776 หรือ พ.ศ. 2319 ขณะที่ในเวลาเดียวกันนั้น อยุธยาถูกทำลายย่อยยับ สยามรัฐเพิ่งขับไล่พม่าออกไป และกำลังจะมีเมืองหลวงแห่งใหม่คือกรุงเทพฯ แต่ระบอบการเมืองการปกครองยังคงเป็นแบบเก่า


3. รูปแบบการปฏิวัติฝรั่งเศส


“รัฐบาลปฏิวัติก็คือระบอบเผด็จการของ เสรีภาพที่อยู่เหนือระบอบทรราชย์"

Maximilien Robespiere, ค.ศ. 1758-1794


การเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองการปกครอง ของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 ถือกันว่าเป็นการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่เพราะเป็นการลุกขึ้นสู้ของประชาชนทั่ว ประเทศเพื่อต่อต้านและล้มล้างระบอบการปกครองและสังคมเก่า (Ancien regime). เป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญที่สุดครั้งแรกของโลก เพราะนี่คือการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่จากล่างสู่บนเป็นครั้งแรก (การปฏิวัติอเมริกันเกิดก่อนการปฏิวัติของฝรั่งเศสก็จริง แต่เป็นเพียงการต่อสู้เพื่อเอกราช ขับไล่ลัทธิอาณานิคมออกไป ส่วนโครงสร้างทางการเมืองและสังคมเป็นการสถาปนาของใหม่ขึ้นมา ไม่มีการโค่นล้มสังคมแบบเก่า การปฏิวัติของฝรั่งเศสเริ่มต้นที่สามัญชนปฏิเสธสภาขุนนางแล้วสถาปนาสภา ประชาชนขึ้นแทน คุกบาสติลในฐานะคุกที่กักขังนักโทษการเมืองถูกทำลาย หมายถึงการสิ้นสุดลงของโซ่ตรวนทางความคิดและร่างกาย พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีถูกสภาประชาชนตัดสินให้ประหารชีวิต ชาวนาในชนบทลุกขึ้นโค่นล้มชนชั้นเจ้าที่ดิน จับกุมเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะฝ่ายเก็บภาษีอากร ยึดทรัพย์สินของคนรวยมาแบ่งสรรให้คนจน ยึดศาสนจักรที่ถูกควบคุมโดยพระชั้นสูง สถาปนาองค์กรปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น และให้สภาประชาชนออกกฎหมายทำลายระบอบเศรษฐกิจ-การเมืองและสังคมแบบเก่าที่ เอื้อประโยชน์แก่คนชั้นสูงในสังคม ฯลฯ [33]

เนื่องจากการลุกฮือของคนค่อนประเทศเพื่อ ต่อต้านสังคมเก่าในทุกๆด้านเป็นงานใหญ่และมีความสลับซับซ้อน เมื่อเกิดการลุกฮืออย่างฉับพลันและขาดองค์กรนำที่มีความชัดเจนในด้านอุดม การณ์และนโยบายการสถาปนารูปแบบการปกครอง สังคมจึงเกิดการต่อสู้กันระหว่างสำนักต่างๆอีกหลายครั้ง มีการรื้อฟื้นระบบจักรพรรดิ เช่น นโปเลียน โบนาปาร์ต (ค.ศ. 1804-1814, 1814-15), นโปเลียนที่ 3 (ค.ศ. 1852-1870) มีการสถาปนาสาธารณรัฐถึง 3 ครั้งในช่วง 1 ศตวรรษหลังการปฏิวัติใหญ่ในปี 1789 [34]

แน่นอน การปฏิวัติใหญ่ในปี 1789 ปลดปล่อยทำลายสังคมเก่าและวัฒนธรรมแบบเก่าไปได้มากก็จริง แต่เมื่อขาดอุดมการณ์ที่เป็นเอกภาพ การต่อสู้ขัดแย้งทางความคิดจึงเกิดขึ้น ระบอบอำนาจนิยมแบบเก่าจึงหวนคืนมาได้โดยอาศัยการทำสงครามกับประเทศ เพื่อนบ้านคอยปลุกใจประชาชนให้รักชาติและหันไปยอมรับผู้ปกครอง แต่ถึงกระนั้น พลังปฏิวัติที่ยังมีอยู่ก็ผลักดันให้ผู้ปกครองแบบอำนาจนิยมต้องยอมดำเนิน นโยบายที่ก้าวหน้าบางส่วน เป็นการประนีประนอม เช่น ปล่อยนักโทษการเมือง ให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น พัฒนาคุณภาพของหนังสือพิมพ์ ให้สภามีอำนาจในการซักถามเพื่อตรวจสอบฝ่ายบริหาร ฯลฯ นอกจากนั้น ผลสะเทือนของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษทำให้เศรษฐกิจทุนนิยมขยายตัวมาก ขึ้นเป็นลำดับในฝรั่งเศส และด้วยเหตุนั้น ระบอบสาธารณรัฐในฝรั่งเศสก็เข้าแทนที่ระบบจักรพรรดิได้อย่างมั่นคงตั้งแต่ ทศวรรษ 1870 เป็นต้นมา หรือ 80 ปีหลังการปฏิวัติใหญ่ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789 [35]


4. รูปแบบการสถาปนาระบอบประชาธิปไตย


“อเมริกาคือผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์ที่จะส่อง ทางไปสู่ระบอบศีลธรรมสากล

เราจะต้องนำ พรบ.ว่าด้วยสิทธิ, คำประกาศอิสรภาพ, รัฐธรรมนูญของเรา, สินค้าอุตสาหกรรมอัน

ยอดเยี่ยมของเรา, และทักษะทางเทคนิคไปมอบให้ประชาชนทั่วโลก”

Henry R. Luce, “The American Century,” February 17, 1941 [36]


“การประชุมยัลต้า (Yalta Conference) (กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945) ฝ่ายพันธมิตรตัดสินใจไม่แยก

เยอรมนีออกจากกัน แต่ได้วางพื้นฐานสำหรับการปลดอาวุธอย่างเบ็ดเสร็จ กองกำลังทหาร

ของเยอรมนีจะถูกยกเลิก และอาวุธทั้งหมดจะถูกทำลาย...”

Reiner Pommerin, “The U.S. & the Armament of the FRG”, 1997 [37]



“ฝ่ายพันธมิตรแต่งตั้งคณะกรรมการตะวันออก ไกลซึ่งมีกรรมการ 11 คน

แต่สหรัฐมีอำนาจสูงสุด เช่น ถ้าคณะกรรมการหาข้อตกลงเรื่องนโยบายไม่ได้ สหรัฐ

จะได้รับอำนาจให้ตัดสินใจ ที่ญี่ปุ่นมีตัวแทนควบคุมอยู่ 4 ชาติคือสหรัฐ

สหราชอาณาจักร สหภาพโซเวียตและจีน เรียกว่าสภาพันธมิตรปกครองญี่ปุ่น

(the Allied Council for Japan) แต่อำนาจแท้จริงอยู่ที่นายพลแม็คอาเธอร์ ของสหรัฐ”

Mikiso Hane, Modern Japan. 3rded, 2001[38]


เยอรมนีกับญี่ปุ่นเป็น 2 ประเทศสำคัญที่ก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939-1945) สู้กับฝ่ายพันธมิตรซึ่งประกอบด้วยสหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต และจีน 2 ประเทศนั้นก่อสงครามก็เนื่องจากการแบ่งสรรผลประโยชน์ระดับสากลอันไม่ เป็นธรรม ญี่ปุ่นกับเยอรมนีเป็นประเทศที่พัฒนาอุตสาหกรรมทีหลังและดำเนินนโยบายล่า อาณานิคมช้ากว่าประเทศอื่นๆ จึงเป็นประเทศที่เรียกว่าผู้มาทีหลัง (Late comer) หรือผู้พัฒนาทีหลัง (Late developer) ขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศสพัฒนาอุตสาหกรรมล่วงหน้าไปก่อนและยึดครองอาณานิคม ทั่วโลก ได้ชื่อว่าเป็นผู้มาก่อน (Early comer) หรือผู้พัฒนาก่อน (Early developer) [39]

ประเทศที่พัฒนาทีหลังก่อสงครามโลกครั้ง ที่ 1 (ค.ศ. 1914-1918) แล้วก็พ่ายแพ้ แต่เมื่อไม่ยอมแพ้พ่าย จึงก่อสงครามอีกครั้ง หวังเป็นผู้ชนะเพื่อจะได้กุมอำนาจในการแบ่งสรรผลประโยชน์ระดับสากลเสียใหม่ อังกฤษ ฝรั่งเศสและสหรัฐมีอาณานิคมหลายแห่ง โดยเฉพาะอังกฤษที่ครอบ ครองเมืองขึ้นแทบทุกมุมโลก พวกเขาจึงร่วมมือกันและย่อมสู้ทุกอย่างเพื่อชัยชนะในสงครามอีกครั้ง สาเหตุของสงครามโลกแต่ละครั้งจึงเป็นปัญหาระดับโครงสร้าง ความขัดแย้งส่วนบุคคลอาจมีส่วนบ้าง เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง แต่มิใช่ปัจจัยหลัก

ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมนีเปิดฉากการรบ ได้บุกเข้าไปโจมตีทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ และสหภาพโซเวียตซึ่งแม้ทั้งสามเป็นผู้ชนะในสงครามนั้นแต่ก็เสียหายอย่างหนัก และเนื่องจากประเทศผู้แพ้ตัวสำคัญมีทำเลกลางใจยุโรปและห้อมล้อมโดยประเทศผู้ ชนะ ผู้ชนะซึ่งเป็นมหา อำนาจถึง 4 ชาติและเห็นว่าเนื่องจากเยอรมนีคือผู้ก่อสงครามโลกถึง 2 ครั้ง จึงได้จัดการประชุมโพสต์ดัม (Postdam Conference) (17 ก.ค.-2 ส.ค. ค.ศ. 1945) และตกลงรับหลักการสำคัญ 4 ข้อ ในการสร้างประเทศเยอรมนีเสียใหม่ คือ 1. การลดความเป็นเผด็จการนาซี (denazification), 2. การลดกำลังทหาร (demilitarization) 3. การกระจายอำนาจด้านเศรษฐกิจ (economic decentralization) และ 4. การปฏิรูปการศึกษาให้เป็นประชาธิปไตย (reeducation along democratic lines). [40]

ประเทศผู้ชนะเข้าไปจัดการควบคุมผู้แพ้ ด้วยการแบ่งเยอรมนีออกเป็น 4 เขต ให้โซเวียตยึดครองเขตตะวันออก อังกฤษเข้ายึดครองตอนเหนือ ฝรั่งเศสยึดตอนกลาง และสหรัฐยึดครองตอนใต้ การจัดตั้งสาธารณรัฐเยอรมนีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1919 ซึ่งพัฒนาไปเป็นรัฐเผด็จการนาซีและก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ฝ่ายต่างๆมีความเห็นร่วมกันว่าสมควรจัดตั้งเยอรมนีให้เป็นประเทศแบบ สหพันธสาธารณรัฐ (Federal republic) ซึ่งประกอบด้วยหลายรัฐมารวมกัน ทั้งหมดนี้รับใช้เป้าหมายยุทธศาสตร์หลัก คือ ต้องการให้ประเทศนี้มีระบบการถ่วงดุลอำนาจ เป็นรัฐประชาธิป ไตย สิ้นสุดลักษณะเผด็จการ และไม่อาจก่อสงครามได้อีก [41]

สำหรับญี่ปุ่น แม้ประเทศนี้จะร่วมก่อสงครามโลกกับเยอรมนี แต่ทำเลที่ตั้งของญี่ปุ่นซึ่งอยู่ระหว่างจีน-เกาหลีเหนือกับสหรัฐ ทำให้สหรัฐมีบทบาทสำคัญที่สุดในบรรดาประเทศกลุ่มพันธมิตรที่จะควบคุมและ กำหนดทิศทางการพัฒนาอนาคตของญี่ปุ่น ทั้งนี้เพราะว่าญี่ปุ่นมีความ หมายสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงทางการทหารของสหรัฐฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก หากญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศสังคมนิยมเช่นเดียวกับจีนและเกาหลีเหนือ ฝั่งตะวันตกของสหรัฐก็จะไม่มีมิตรประเทศสำคัญหลงเหลืออยู่ มหาสมุทรแปซิฟิกที่กว้างใหญ่ก็จะกลายเป็นภัยต่อสหรัฐไปในทันที

ในฐานะผู้นำของฝ่ายพันธมิตร ปฎิบัติการของสหรัฐในญี่ปุ่นที่มีนายพลแม็คอาเธอร์เป็นแม่ทัพมีสาระสำคัญ คล้ายคลึงกับปฏิบัติการในเยอรมนี ความแตกต่างสำคัญมีเพียงญี่ปุ่นไม่ถูกแบ่งเป็นส่วนๆเหมือนเยอรมนี หลักการสำคัญในการสร้างญี่ปุ่นคือ 1. การลดบทบาททางการเมืองของจักรพรรดิให้เป็นประมุขของประเทศเท่านั้น 2. การลดกำลังทหาร 3. การพัฒนาประชาธิปไตยระดับชาติ 4. การพัฒนาประชาธิปไตยระดับท้องถิ่น 5. การพัฒนาเศรษฐกิจแบบประชาธิปไตย และ 6. การสร้างสังคมแบบประชาธิปไตย

ในประเด็นที่ 2 ลดขนาดและฐานะของกองทัพของญี่ปุ่นให้เป็นเพียงหน่วยป้องกันตนเอง (self-defense units) นายทหาร 6,000 คนถูกส่งฟ้องศาลและดำเนินคดี 930 กว่าคนถูกตัดสินประหารชีวิต ที่เหลือส่วนใหญ่ที่สุดถูกคุมขัง 3 ปีหลังสิ้นสงคราม (ค.ศ. 1948) มีคนญี่ปุ่นราว 2.2 แสนคน (ในนั้นมีนายทหาร 1.8 แสนคน) ถูกปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่ [42]

ในประเด็นที่ 3 สร้างสถาบันทางการเมืองแบบประชาธิปไตยระดับชาติให้เป็นปึกแผ่น นั่นคือ สร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ให้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองแก่ประชาชน ให้ทั้งสองสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนพรรคการเมือง และการเลือกตั้งให้มีความต่อเนื่อง ไม่ถูกโค่นล้มหรือถูกบงการครอบงำโดยกองทัพ การปรับปรุงระบบศาล สตรีญี่ปุ่นอายุ 20 ปี ขึ้นไปมีสิทธิเลือกตั้ง จากเดิม 25 ปี

ในประเด็นที่ 4 พัฒนาประชาธิปไตยระดับท้องถิ่น ด้วยการจัดตั้งกระทรวงกิจการภายใน (Ministry of Home Affairs) ทำหน้าที่ดูแลและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเป็นการเฉพาะ ให้ฝ่ายบริหารขององค์กรปกครองท้องถิ่นทั้ง 2 ระดับคือ ระดับจังหวัด (ผู้ว่าฯ) และระดับเทศบาล (นายกเทศมนตรี) มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ไม่มีหน่วยบริหารราชการส่วนภูมิภาค และเพิ่มหลักการการลงประชามติ การถอดถอนและการเสนอข้อเรียกร้องของประชาชนในการปกครองท้องถิ่นทั้ง 2 ระดับ [43]

ในประเด็นที่ 5 พัฒนาเศรษฐกิจแบบประชาธิปไตย ด้วยการทำลายการผูกขาดของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ (ที่เรียกว่า Zaibatsu) ออกกฎหมายปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร จำกัดพื้นที่การ เกษตรของเจ้าที่ดิน, ยกเลิกระบบครอบครองที่ดินที่เจ้าของอยู่ห่างไกล (Absentee landlordism) รัฐซื้อที่ดินเหล่านั้นและนำไปขายให้ชาวนาไร้ที่ดินทำกิน, รัฐปกป้องราคาสินค้าเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร, ส่งเสริมการจัดตั้งสหภาพแรงงานและประกันสิทธิและอำนาจในการต่อรองของกรรมกร, พนักงาน และครู [44]

ส่วนในประเด็นสุดท้าย สังคมประชาธิปไตยประกอบด้วยอย่างน้อย 6 ด้าน คือ การ ศึกษา ศาสนา ภาษา ศิลปวัฒนธรรม ชุมชน และครอบครัว หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการปฏิรูปสังคมญี่ปุ่นอย่างขนานใหญ่เพื่อให้เป็นสังคมแบบสมัยใหม่อย่าง ที่ไม่เคยมีมาก่อน เป้าหมายคือเพื่อกวาดล้างทัศนะนิยมทหาร, ลัทธิคลั่งชาติ, ลัทธิเผด็จการ, และลัทธิศักดินา และปลูกฝังทัศนะประชาธิปไตย เช่น ให้ครูอาจารย์ที่มีทัศนะล้าหลังออกจากตำแหน่งหน้าที่, การปรับปรุงตำรา, แก้ไขหลักสูตร, ยกเลิกการเรียนการสอนแบบท่องจำและขาดการวิเคราะห์วิจัย, เพิ่มการศึกษาภาคบังคับให้เป็น 9 ปี, ลดอำนาจรวมศูนย์ของกระทรวงศึกษา, กระจายอำนาจการจัดการศึกษาสู่สภาคนท้องถิ่นที่คนท้องถิ่นเลือกตั้ง, ลูกสาวมีสิทธิรับมรดกครอบครัวเช่นเดียวกับลูกชาย, ชายอายุ 18 ปีขึ้นไปและหญิงอายุ 16 ปีขึ้นไปมีสิทธิสมรสโดยไม่ต้องขออนุญาตจากผู้ปกครอง, สามีกับภรรยามีสิทธิเท่ากัน, ภรรยามีสิทธิครอบครองทรัพย์สินโดยอิสระ มีสิทธิฟ้องหย่าจากสามี, และมีการผ่านกฎหมายอนุญาตการทำแท้งในปี ค.ศ. 1949 ฯลฯ [45]


5. รูปแบบการสถาปนาระบอบเผด็จการทหารและถูกพลังประชาธิปไตยขับไล่


“สังคมเกาหลีกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง ในทางการเมือง เรากำลัง

สร้างประชาธิปไตย ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศและศักดิ์ศรีของมนุษย์

ประชาสังคมกำลังเติบโต....ระบบครอบครัวแบบ เจ้าขุนมูลนายได้สร้างครอบครัวที่ไม่เป็น

ประชาธิปไตยมายาวนาน ได้จองจำสมาชิกของแต่ละครอบครัวให้

ตกอยู่ใต้อำนาจของหัวหน้าครอบครัวที่เป็น ชายเท่านั้น”

Bae-hee Kwak, ประธานศูนย์ช่วยเหลือครอบครัวด้านกฎหมาย, ค.ศ. 2000 [46]


“เมื่อชีวิตที่เป็นเอกภาพของประเทศถูกแบ่ง ออกเป็นสอง...

ประเทศของเราก็เหมือนกับตะปูที่ติดอยู่ใน เส้นทางของประวัติศาสตร์”

Paek Ki-wan, ค.ศ. 2003 [47]



เกาหลีตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นเป็น เวลานาน 36 ปี (ค.ศ. 1909-1945) เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 เกาหลีก็ได้รับเอกราช ในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากเกาหลีมีที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อทั้งสหรัฐและโซเวียต โซเวียตกำลัง ขยายอิทธิพลในยุโรปตะวันออก และสนับสนุนฝ่ายคอมมิวนิสต์จีนต่อสู้กับรัฐบาลเจียงไคเช็ค สหรัฐจึงไม่เพียงแต่ดูแลญี่ปุ่น หากยังต้องใส่ใจในสถานการณ์ของเกาหลีและจีนด้วย ด้วยเหตุนี้การแบ่งเขตแดนกองกำลังของ 2 มหาอำนาจ ที่เส้นรุ้งที่ 38 หลังยุติสงครามโลก จึงสะท้อนให้เห็นความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างมหาอำนาจริมมหาสมุทรแปซิฟิก ฝั่งเอเชียตะวันออก

การที่สหรัฐเข้ายึดครองญี่ปุ่นหลัง สิ้นสุดสงคราม การที่สหรัฐส่งกำลังทหารเข้าไปในเกาหลีและจัดตั้งรัฐบาลทหาร1 เดือนหลังสงครามสิ้นสุดจึงส่งความไปถึงทั้งสหภาพโซเวียตและ กองกำลังกู้ชาติของเกาหลี ส่งผลให้มีการจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนประชาธิปไตยเกาหลี (เหนือ) (DPRK) ในปี ค.ศ. 1948 ยิ่งพรรคคอมมิวนิสต์สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในตอนปลายปี 1949 ด้านหนึ่งทำให้ฝ่ายสังคมนิยมต้องการเอาชนะฝ่ายทุนนิยม และอีกด้านหนึ่ง ยิ่งสร้างความหวั่นเกรงให้แก่ฝ่ายทุนนิยม และทำให้ฝ่ายทุนนิยมต้องการทำลายฝ่ายสังคมนิยม ด้วยเหตุนี้ สงครามเกาหลีจึงเกิดขึ้นในระหว่าง ค.ศ. 1950-53 เกาหลีเหนือรบกับเกาหลีใต้ โดยมีมหาอำนาจโซเวียตและสหรัฐหนุนหลังทั้งสองฝ่าย ทหารและประชาชนชาวเกาหลีเสียชีวิตเกิน 2.5 ล้านคน

ในระยะแรกๆหลังสงครามโลกยุติไม่นาน สาธารณรัฐเกาหลี (ใต้) ที่สถาปนาในปี ค.ศ. 1948 มีลักษณะประชาธิปไตย สหรัฐออกแบบให้เกาหลีมีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย นั่นคือ การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ออกกฎหมายความเป็นอิสระของท้องถิ่นในปี 1949 ให้มีรูปแบบสภา-นายกฯ หรือฝ่ายบริหารมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม และเปลี่ยนเป็นการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีโดยตรงในระหว่างปี 1956-1960 สร้างระบบเศรษฐกิจแบบประชาธิปไตย ด้วยการยกเลิกการถือครองที่ดินของเจ้าที่ดิน และกระจายการถือครองที่ดินให้แก่เกษตรกร

หลังจากนั้น เมื่อเกาหลีใต้กลายเป็นรัฐเผด็จการทหารเริ่มในยุคนายพลปาร์ค จุงฮี (ค.ศ. 1961-1979) และนายพลชุน ดู ฮวาน (ค.ศ. 1980-1988) รวมเวลาถึง 3 ทศวรรษ ความเป็นอิสระของการปกครองท้องถิ่นก็ถูกทำลายลง พร้อมๆกับการควบคุมหรือทำลายพรรคการเมืองและองค์กรที่ต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตย [48] ในด้านเศรษฐกิจ สหรัฐเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก (Export-led Industrialization) เนื่องจากเกาหลีใต้มีภาคเกษตรกรรมที่มีขีดจำกัด และสอดรับกับการขยายตัวของเศรษฐกิจทุนนิยมโลก และให้รัฐจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ [49]

ในกระแสความขัดแย้งระหว่าง 2 ค่ายอุดมการณ์ที่รุนแรงขึ้น สหรัฐก็ออกแบบให้เกาหลีใต้เป็นรัฐเผด็จการทหารที่มีลักษณะสำคัญอย่างน้อย 4 อย่าง คือ 1. ให้เกาหลีมีกองทัพที่แข็งแกร่ง กองทัพได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวนมหาศาลทุกปีและความช่วยเหลืออย่างมากจาก สหรัฐ 2. ให้นายทหารยึดอำนาจรัฐ ตำแหน่งประธานาธิบดีไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรงหรือโดยอ้อม แต่เนื้อหาก็คือการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จของผู้นำที่สนับสนุนนโยบายของสหรัฐ แข็งกร้าวต่อเกาหลีเหนือและคุกคามพรรคการเมืองที่มีความเห็นต่าง 3. จัดตั้งระบบความมั่นคงภายในและเคซีไอเอ (KCIA) ที่มีอำนาจล้นฟ้า เพื่อร่วมมือกับกองทัพในการสนับสนุนรัฐเผด็จการ ปราบ ปรามผู้เดินขบวนต่อต้านรัฐบาลเผด็จการอย่างรุนแรงและจับกุมคนที่วิพากษ์ วิจารณ์รัฐบาลและเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง และ 4. ทำลายการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่น ยกเลิกสภาท้องถิ่น และต่อมา ยอมให้มีองค์กรปกครองท้องถิ่น แต่รัฐบาลทหารทำหน้าที่แต่งตั้งฝ่ายบริหาร [50]

แต่ไม่ว่ารัฐเผด็จการทหารของเกาหลีใต้จะ เข้มแข็งและพยายามกดขี่ข่มเหงไว้เพียงใด ตลอด 4 ทศวรรษแรกหลังจากสถาปนารัฐเผด็จการ มีประธานาธิบดีที่เป็นขุนนางและนายพลทั้งหมด และแต่ละคนอยู่ในอำนาจนานด้วยวิธีฉ้อฉล แต่พลังประชาธิปไตยของประชาชนชาวเกาหลีก็ไม่เคยย่อท้อหรือหวั่นเกรง พลังประชาธิปไตยดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา ปัญญาชน กรรมกรชาวนา พนักงาน นักธุรกิจ และองค์กรพัฒนาเอกชน ฯลฯ ได้รวมตัวกันต่อสู้และเรียกร้องให้ระบอบประชาธิปไตยปรากฏเป็นจริงขึ้นเป็น ลำดับ

จากการต่อต้านการเลือกตั้งที่สกปรกและ การปราบปรามประชาชนและในปี 1960 จนทำให้ซิง มานรีต้องลาออกและหลบหนีออกนอกประเทศ ถึงการต่อต้านระบอบเผด็จการของนักศึกษาประชาชนและถูกรัฐบาลนายพลปาร์ค จุงฮีปราบปรามอย่างหนัก เกิดวิกฤตทางการเมือง จนกระทั่งปาร์ค จุงฮีถูกสังหารในปี 1979; การจับกุมนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะคิม แดจุง ที่ถูกจับกุมหลายครั้ง การตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีของนักสู้ เช่น คิม ยงซัม, การต่อต้านรัฐบาลเผด็จการและการถูกปราบปรามที่เมืองกวางจูในปี 1980 แต่พลังประชาธิปไตยก็ไม่เคยย่อท้อจนสามารถบีบบังคับให้ประธานาธิบดีรอ แทวู (ค.ศ. 1988-1992) ซึ่งแม้จะเป็นอดีตนายพลและเคยร่วมมือกับรัฐบาลเผด็จการในอดีตก็ต้องยอมรับ นโยบายบางข้อของฝ่ายประชาธิปไตย เช่น ให้สมาชิกสภาท้องถิ่นทั้งระดับเทศบาลและจังหวัดมาจากการเลือกตั้งในปี 1991

และแล้วปลายปี ค.ศ. 1992 ก็เกิดก้าวใหญ่ของประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ นั่นคือผู้ชนะการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นนักการเมืองพลเรือนเป็น ครั้งแรก และยังเป็นนักสู้ที่มุ่งมั่นเพื่อประชาธิปไตย (คิม ยงซัม, ค.ศ. 1993-1998) และคนต่อไปก็คือคิม แดจุง (ค.ศ. 1998-2003) ประธานาธิบดีคิม ยงซัม ได้ดำเนินนโยบายปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นและการพัฒนาประชาธิป ไตย เช่นในช่วงปี 1995-1997 ได้มีการจับกุมและฟ้องร้องนายทหารและข้าราชการชั้นสูงรวม 19 คน (รวมทั้ง 2 นายพลคือ ชุน ดูฮวาน และรอ แทวู) ที่ร่วมกันทำรัฐประหารและปราบปรามประชาชนอย่างโหดเหี้ยมในปี 1979 ผลการพิพากษาคือ นายพลชุน ดู ฮวาน ถูกตัดสินประหารชีวิต และนายพลรอ แทวูถูกตัดสินจำคุก 22 ปีครึ่ง, มีการฟ้องร้อง จับกุมและลงโทษข้าราชการและนักธุรกิจหลายพันคนเกี่ยวกับคดีคอรัปชั่น และต้นปี 1995 คิม ยงซัมได้ผ่านกฎหมายกำหนดให้ หัวหน้าฝ่ายบริหารท้องถิ่นทุกระดับมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน, ประธานาธิบดีคิม แดจุง มุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์อันดีกับเกาหลีเหนือ และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2000 ฯลฯ[51]

การที่ระบอบประชาธิปไตยได้ชัยชนะเหนือ ทั้งหมดนี้เกิดจากปัจจัยสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ คือ 1. การที่เกาหลีใต้ตกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมแบบตะวันตกมายาวนานทำให้รูปแบบ สังคมประชาธิปไตยของตะวันตกเป็นแบบอย่างที่ใฝ่หา 2. ความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อของนักศึกษาประชาชนชาวเกาหลีผู้รักประชาธิปไตย 3. การเติบโตอย่างมากของภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจเสรีทำให้พลังประชาธิปไตยขยาย ตัวต่อเนื่อง รัฐเกาหลีจึงพัฒนาออกห่างจากความเป็นเผด็จการสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เป็นลำดับ แม้ว่ายังต้องเผชิญอุปสรรคอีกไม่น้อย เช่น ความเข้มแข็งเกินไปของฝ่ายทหารโดยอ้างว่าเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากเกาหลี เหนือ-โซเวียต-จีนซึ่งเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ตลอดจนวัฒนธรรมทางการเมืองแบบอำนาจนิยมที่ตกค้างจากยุคศักดินาและได้รับการ ค้ำจุนในยุคเผด็จการทหาร

การต่อสู้ที่องอาจกล้าหาญของชาวเกาหลี ใต้เพื่อประชาธิปไตยจนประสบผลสำเร็จในระยะหลังและความทุ่มเทในการพัฒนา เศรษฐกิจของประเทศทำให้เกาหลีใต้ผงาดขึ้นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อันดับที่ 11 ของโลกในปี 1995 ได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์กรประเทศที่พัฒนาแล้ว (OECD) หลังจากได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกก่อนหน้านั้น เรียกได้ว่าแม้จะออกแบบรัฐเผด็จการทหารเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้รัฐในการ ต่อสู้และต่อต้านลัทธิสังคมนิยม แต่ในที่สุดพลังประชาธิปไตยก็สามารถเอาชนะรัฐเผด็จการทหารได้ [52]


สรุปภาพรวมของรูปแบบทั้ง 5

ประการแรก ระบอบประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นทั้ง 5 รูปแบบล้วนได้มาจากการต่อสู้ ชาวอังกฤษต้องต่อสู้กับระบอบราชาธิปไตยเป็นเวลานานมาก ชาวอเมริกันหลบหนีภัยเผด็จการในอังกฤษและยุโรปหรือแสวงหาอุดมการณ์ในการ สร้างศาสนาของตนเองเพื่อสร้างรัฐใหม่ แต่ในที่สุด พวกเขาก็ต้องเผชิญกับลัทธิล่าอาณานิคมของอังกฤษ ชาวฝรั่งเศสลุกขึ้นต่อสู้กับระบอบศักดินา และต้องใช้เวลาถึง 7 ทศวรรษกว่าจะสามารถสถาปนาระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตยได้อย่างถาวร และในกรณีของเกาหลีใต้ แม้ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของรัฐเผด็จการทหารเพราะสหรัฐต้องการให้กองทัพเป็น กำลังหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและปกป้องการรุกรานของฝ่ายสังคมนิยม แต่ในที่สุด รัฐเผด็จการทหารของเกาหลีใต้ก็ไม่อาจต้านทานการเติบใหญ่และความมุ่งมั่นของ พลังประชาธิปไตยของประชาชน-นักศึกษาชาวเกาหลีใต้ได้

ดังนั้น การต่อสู้เรียกร้องของประชาชน ทวงเอาหลายๆครั้ง ต้องทรหดอดทน ต้องสูญ เสียเลือดเนื้อ อวัยวะ ทรัพย์สิน ความรู้สึกและทัศนะ กระทั่งต้องสูญเสียชีวิตจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญชี้ขาด ระบอบประชาธิปไตยในประวัติศาสตร์จึงไม่เคยเป็นผลไม้ที่ตกลงมาเองจากต้นไม้ หากประชาชนไม่เรียกร้องต่อสู้ ประชาธิปไตยก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น

ประการที่สอง เส้นทางการต่อสู้ของทั้ง 5 รูปแบบสะท้อนให้เห็นระยะเวลาการต่อสู้ในแต่ละประเทศ ไม่มีประเทศไหนที่สามารถสถาปนาระบอบประชาธิปไตยได้ในเวลาอันสั้น หลายประเทศต้องเดินบนเส้นทางคดเคี้ยวเลี้ยวลด ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการปฏิรูปแบบอังกฤษ หรือความพยายามในการสร้างสาธารณรัฐและปฏิเสธระบบจักรพรรดิของฝรั่งเศส ประชาชนมีแต่ต้อง สรุปบทเรียนความพ่ายแพ้ แก้ไขจุดอ่อนข้อบกพร่อง ไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตยในประเทศใดที่ผู้ปกครองมอบให้แก่ประชาชนด้วยความ เต็มใจ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือมีการกล่าวว่าจะให้อำนาจแก่ประชาชน แล้วก็ลืมสัญญา หรือให้เล็กน้อย หรือส่งกำลังออกปราบปรามประชาชนแทน

ประการที่สาม รูปแบบของการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในของแต่ละประเทศ และอาจมีปัจจัยภายนอกบางอย่างที่มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ในกรณีของสหรัฐซึ่งแม้มีการสถาปนารัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษรเป็น ประเทศแรก เมื่อมีการวางกรอบของกฎหมายสูงสุดบนพื้นฐานหลักการสิทธิและเสรีภาพของ ประชาชน และความเท่าเทียมกัน แต่สตรีอเมริกันผิวขาวและคนผิวดำทั้งสองเพศก็หาได้มีสิทธิเสรีภาพเช่นชายผิว ขาวในระยะแรกๆไม่ จนเกิดการลุกขึ้นของคนผิวดำและสตรีผิวขาวในศตวรรษที่ 19-20 ใช้เวลายาวนานกว่าที่พวกเขาจะได้ชัยชนะ หรือการวางโครงสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยให้แก่เยอรมนีและญี่ปุ่นหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่ยอมให้ระบอบอำนาจนิยมและกองทัพเข้าแทรกแซงทางการเมืองได้อีก เยอรมนีและญี่ปุ่นจึงพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็ว และประเทศทั้งสองก็ไม่ต้องเสียเวลาปฏิวัติระบอบการเมืองของประเทศตนเอง

และ ประการสุดท้าย หลักการ ประชาธิปไตยทั้ง 7 ข้อ ไม่ว่าจะสำคัญหรือมีความเลิศหรูเพียงใดก็ตาม หากปราศจากจิตใจของประชาชนส่วนใหญ่ที่เห็นความสำคัญของระบอบดังกล่าวและการ ลงมือทำเพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยปรากฏเป็นจริง เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันเพื่อสร้าง, ปกป้อง, หรือพัฒนา ก็ยากนักที่ระบอบประชาธิปไตยจักเกิดขึ้น ยิ่งมีปัจจัยบางส่วนในสังคมที่ไม่ยอมรับ โดยเฉพาะผู้มีอำนาจและได้รับประโยชน์จากระบอบสังคมเก่า สั่งการให้ใช้กำลังล้มระบอบ ฉีกรัฐธรรมนูญและปราบปรามเข่นฆ่าฝ่ายที่ต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ ทั้งหมดนี้ต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้น มากน้อยแค่ไหนและสังคมดังกล่าวเลือกเดินทางสายใด และต้องประสบความล่าช้าและปัญหาสังคมมากเพียงใด

ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างและบทเรียนจากการ ต่อสู้เพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยในประเทศต่างๆ คือเส้นทางของระบอบประชาธิปไตยที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ

บัดนี้ ได้เวลาที่ประชาชนไทยจะต้องหันกลับมาศึกษาและพิจารณาการเดินทางของระบอบ ประชาธิปไตยในประเทศของเขาเอง เห็นความสำคัญของการศึกษาประวัติศาสตร์ เก็บรับบท เรียนอันล้ำค่าจากประเทศต่างๆในอดีต และนำบทเรียนเหล่านั้นมาย้อนพินิจอดีตและปัจจุบันของประชาธิปไตยไทย เพื่อนำไปสร้างสรรค์สังคมไทยปัจจุบันและอนาคตที่ดีกว่า.