ขนาดแค่ลูกเดินหายไปพ้นจากสาย ตาไม่กี่ก้าว นายอภิสิทธิ์ยังตกใจแต่ ดิฉันต้องสูญเสียลูกสาวไปไม่มีวันได้คืน มันต่างกันหรือไม่จึงอยากฝากไปถึงนายอภิสิทธิ์ให้คิดถึงหัว อกคนเป็นแม่ที่ต้องสูญเสียลูกไป คิดถึงญาติพี่น้องของ 91 ศพที่ตายไป เขาจะรู้สึกอย่างไร คิดบ้างไหม”
ความรู้สึกของนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด “น้องเกด” อายุแค่ 25 ปี1 ในเหยื่อ 6 ศพวัดปทุมวนารามหลัง จากมีรายงานข่าวว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมนางพิมพ์เพ็ญ ภริยาและ น.ส.ปราง เวชชาชีวะ “น้องปราง” บุตรสาว ไปใช้สิทธิเลือกตั้งซ่อมเขต 2 กรุงเทพฯเมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา
แต่ “น้องปราง” หลบหนีกล้องผู้สื่อข่าวหลังจากใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วขณะที่นายอภิสิทธิ์อยู่ในวงล้อม ผู้สื่อข่าวแต่สีหน้าตื่นตระหนกเมื่อไม่เห็นบุตรสาวและหันไปถามนางพิมพ์เพ็ญว่า “ลูกล่ะ” ซึ่งตอบว่า “ลูกหายไปไหนไม่รู้”นายอภิสิทธิ์จึงหันมาพูดเสียงดังลั่นว่า “ลูกสาวผมหาย” ก่อนแหวกวงล้อมออกไปตามหาและพบหน้าบุตรสาวที่ยืนรออยู่ด้านหน้า
ก่อนจะถอนหายใจและเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มร่าเดินเข้าไปโอบไหล่บุตรสาวขึ้นรถออกไปทันทีซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงหัวอกคนเป็นพ่อแม่ที่มีความรักต่อลูก แต่กรณีนางพะเยาว์ไม่ใช่ลูกหายแต่ถูกยิงอย่างโหดเหี้ยม ทั้งที่ทำหน้าที่เป็นพยาบาลอาสาช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์7 เดือนยังเงียบเชียบแต่กว่า 7 เดือนที่ผ่านมากลับไม่มีความคืบหน้าของคดีเลยนางพะเยาว์จึงต้องต่อสู้ร่วมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)และญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” รวมทั้งสิ้น 91 ศพเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม
ซึ่งนายอภิสิทธิ์และผู้เกี่ยวข้องในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้แม้การต่อสู้จะถูกอิทธิพลต่างๆขัดขวางและข่มขู่ แต่นางพะเยาว์และคนเสื้อแดงก็ไม่เคยหมดหวังกับการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับ 91 ศพ
โดยเฉพาะนางพะเยาว์ที่ออกมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมทุกวันอาทิตย์หรือการจัดงานรำลึกวาระต่างๆในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”รวมทั้งการต่อสู้ทางคดีทั้งในประเทศและศาลอาญาระหว่างประเทศการให้ข้อมูลกับประชาคมโลกทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนและสื่อต่างๆต่อสู้จนกว่าได้ความยุติธรรม“ยกเลิกหรือไม่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องคดี
เรื่องการฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมเพราะยังมี พ.ร.บ.ความมั่นคงมาครอบไว้อยู่ดี เราได้คุยในกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทุกคนเห็นด้วยที่จะตั้งองค์กรเพื่อเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมและต่อสู้ทางคดีต่อไปเราไม่เคยเชื่อรัฐบาล เพราะวันนี้เขามีอำนาจมากเหลือเกิน เรามองไม่เห็นกลไกอะไรไปต่อสู้เขาได้แม้แต่กระบวนการยุติธรรมในประเทศ เราจึงจะยื่นหนังสือกับทุกสถานทูตและศาลระหว่างประเทศ”
นางพะเยาว์ให้ความเห็นหลังรัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ไม่เชื่อว่าการสอบสวนและชันสูตร 91 ศพจะคืบหน้า เพราะกว่า 7 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลพยายามปกปิดหรือบิดเบือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วทั้งยังใช้อำนาจขัดขวางและข่มขู่ผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมแม้แต่นางพะเยาว์เองก็ถูกโทร.มาขู่ให้หยุดความเคลื่อนไหว
ไม่เช่นนั้นอาจจะเสี่ยงกับชีวิตแต่นายณัทพัช อัคฮาด น้องชายของ “น้องเกด” ได้ตอบกลับผู้โทรศัพท์มาขู่ว่าถ้าเป็นลูกหรือญาติพี่น้องของคนโทรศัพท์เข้ามาจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยหรือไม่แต่ไม่มีเสียงตอบ จึงยืนยันไปว่าจะไม่หยุดและไม่กลัว แต่จะเคลื่อนไหวหนักและมากกว่าเดิมอีกสภาพศพ “น้องเกด”ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของนางพะเยาว์จึงมีความสำคัญยิ่งกับการเรียกร้องความยุติธรรม
เพราะการสังหารโหด 6 ศพในวัดปทุมวนารามเป็นข่าวที่สร้างความ สะเทือนใจคนไทยอย่างยิ่งเพราะอยู่ในเขตวัดและประกาศเป็นเขตอภัยทานแล้วโดยเฉพาะการชันสูตรพลิกศพ “น้องเกด” ของสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อต้นเดือนมิถุนายน พบว่ามีบาดแผลยิงทะลุผิวหนังมากถึง 10 แห่งโดยบาดแผลที่ 1 กระสุนยิงที่หลังผ่านขึ้นด้านบน ผ่านแนวลำคอหลังทะลุผ่านกะโหลกศีรษะซีกซ้ายทะลุสมองน้อยและสมองใหญ่
พบชิ้นส่วนโลหะคล้ายหัวกระสุนหุ้มทองแดง 1 ชิ้นค้างที่กะโหลกด้านขวาทิศทางจากล่างขึ้นบน หลังไปหน้า ขวาไปซ้ายเล็กน้อย ลักษณะหมอบลงกับพื้น หน้าหันลงพื้นดินบาดแผลที่ 2-4 ถูกยิงเข้าบริเวณอก บาดแผลที่ 5-10 ถูกยิงบริเวณแขนและขา
ลักษณะถูกระดมยิงสาเหตุการตาย กระสุนทะลุหลังเข้าไปทำลายสมองแม้แพทย์ผู้ตรวจไม่สามารถระบุได้ว่าถูกยิงจากบนลงล่างหรือไม่แต่จากการสันนิษฐานเชื่อว่า “น้องเกด” หลบหน้าแนบพื้นก่อนถูกระดมยิงจากด้านหลังซึ่งการตรวจสอบที่แน่ชัดต้องมีพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาประกอบด้วยเพราะการจำลองใช้เลเซอร์มาวางแนว วิถีกระสุนทำไม่ได้เนื่องจากหัวกระสุนไปถูกกระดูกและกระดอนไปมาทำให้ร่างกายเสียหายมากจนไม่สามารถจำลองแนวการยิงได้อย่างแน่ชัด
ส่วนรายละเอียดผลการชันสูตรอีก 5 ศพก็โหดเหี้ยมไม่แตกต่างกันนักคือนายรพ สุขสถิตย์ อายุ 66 ปีนายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปีนายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปีนายสุวัน ศรีรักษา อายุ 31 ปี และนายอัครเดช ขันแก้ว อายุ 22 ปี (ผู้ช่วยพยาบาลอาสา)
ทั้งหมดถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูงและมีบาดแผลทำลายจุดสำคัญของร่างกายจนเสียชีวิตหลักฐานทหารยิง?ยิ่งล่าสุดที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. อ้างบันทึกการสอบสวนและการชันสูตรศพของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ใน 4 เหตุการณ์คือ
1.การตายของประชาชนในวัดปทุมวนาราม
2.การตายของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพชาวญี่ปุ่นประจำสำนักข่าวรอยเตอร์
3.การตายของเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ดุสิต
4.การตายของพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ว่าเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติการเกี่ยวข้อง
ซึ่ง รายงานการตรวจพิสูจน์ของกองพิสูจน์หลักฐานกลางพบกระสุนปืนขนาด .223 (5.56 มม.) หัวกระสุนสีเขียวเช่นเดียวกันเกือบทุกศพโดยเฉพาะ 6 ศพในวัดปทุมวนารามมีทั้งหลักฐานภาพถ่าย พยานบุคคลหลาย สิบปากและคำสารภาพของเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติการเองว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้ามาในบริเวณวัดรวมทั้งยิงเข้าไปในเต็นท์พยาบาลขณะที่ยุติการชุมนุมแล้ว
ข้อมูลดังกล่าวตรงข้ามกับที่นายนายอภิสิทธิ์และดีเอสไอเคยชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่าผลการชันสูตรศพผู้เสียชีวิต 4 ใน 6 รายในวัดปทุมวนารามเกิดจากวิถีกระสุนแนวราบทั้งยังยืนยันคำพูดของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ.ในขณะนั้นว่าไม่มีกำลังทหารอยู่บริเวณรางรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสยามสแควร์ซึ่งขัดแย้งกับหลักฐานที่ดีเอสไอตรวจพบปลอกกระสุนปืน
“น้องเกด” ไม่ตายฟรีนางพะเยาว์จึงยืนยันว่าจะเดินหน้าค้นหาความจริงให้ปรากฏไม่ว่าหน่วยงานไหนจะเกรงกลัวอิทธิพลของรัฐบาลก็จะเสนอความจริงให้ปรากฏให้จงได้ไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหน ต้องมีสักรัฐบาลที่ค้นหาความจริงให้ปรากฏน้องเกดจะไม่ตายฟรีหรือเปล่าประโยชน์เพราะยังมีแม่และเพื่อนร่วมงานที่พร้อมจะต่อสู้จนกว่าจะได้ตัวผู้กระทำความผิดยิงประชาชนและคนสั่งการมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม
ขณะเดียวกันครอบครัว “น้องเกด” ยังเตรียมสร้างหุ่นขี้ผึ้งรูป “น้องเกด” สูงเท่าตัวจริงเพื่อนำไปตั้งบริเวณที่น้องเกดเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ซึ่งยังไม่ทราบว่าต้องใช้ค่าใช้จ่ายเท่าใดแต่หากใครต้องการร่วมทำบุญบริจาคก็ยินดีเมื่อสร้างหุ่นขี้ผึ้งเสร็จแล้วจะไปพบนายอภิสิทธิ์เพื่อขออนุญาตตั้งหุ่นขี้ผึ้งน้องเกดภายในวัดสาเหตุที่ไปพบนายกฯเนื่องจากเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดตั้งองค์กรญาติผู้เสียชีวิตกดดัน
นอกจากนางพะเยาว์จะประกาศรวบรวม 5,000-10,000 รายชื่อเพื่อยื่นให้สำนักนายกรัฐมนตรีปลดนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ออกจากตำแหน่งแล้วยังจะจัดตั้งองค์กรญาติผู้เสียชีวิตเป็นองค์กรที่อิสระ เคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บอย่างเป็นทางการประมาณต้นเดือนมกราคม 2554
ซึ่งได้ติดต่อญาติของนายฮิโรยูกิและญาติของนายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพอิสระชาวอิตาลีที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม มาร่วมกันเคลื่อนไหวด้วยจากนั้นจะเดินสายชี้แจงข้อเท็จจริงไปตามสถานทูตต่างๆและเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ออกมารับผิดชอบต่อการใช้ความรุนแรงกับประชาชน“คดี 91 ศพนี้นายธาริตก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ศอฉ. และร่วมเซ็นลงนามในการสั่งฆ่าประชาชนเช่นกันเมื่อโอนคดีเข้ามาอยู่ในดีเอสไอ การสืบสวนสอบสวนต่างๆ
ผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับฝ่ายรัฐบาลอย่างเดียวไม่ใช่ตกอยู่ที่ประชาชน เท่ากับว่าทั้ง 91 ศพตายฟรี และ คนที่ร่วมกระทำผิดแต่กลับมาสืบสวนคดีเป็นเรื่องตลก
”แม้แต่นิตยสารไทม์ยังจัดให้การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงติดอันดับ 10 ข่าวใหญ่ของโลกส่วนนายเดวิด เชลสซิงเกอร์ หัวหน้ากองบรรณาธิการสำนักข่าวรอยเตอร์ได้เรียกร้องให้รัฐบาลแถลงผลการสอบสวน ฉบับเต็มในกรณีของนายฮิโรยูกิว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและใครเป็นผู้รับผิดชอบที่แท้จริง เพราะทางการไทยตกเป็นหนี้ครอบครัวของนายฮิโรยูกิฆาตกรรมโหดแห่งปีเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
จึงตอกย้ำว่าเป็น “การฆาตกรรมโหดแห่งปี”และยังประจานการใช้อำนาจรัฐไทยและกลุ่มอำนาจนอกระบบว่าไม่ต่างกับ “รัฐทหาร”อย่างที่องค์การสิทธิมนุษยชนเอเชียระบุ การละเมิดสิทธิมนุษยชนจึงเกิดขึ้นอย่างหน้าตาเฉยโดยผู้มีอำนาจและกองทัพไม่รู้สึกผิดแปลกอะไร
ทั้งที่ประเทศไทยเป็นประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติแต่กลับถูกประชาคมโลกประณามว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ทำให้ประชาคมตั้งคำถามกับสหประชาชาติว่าทำไมจึงไม่มีการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
และในปี 2554 ประเทศไทยจะส่งรายงานเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างไรขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆและกลุ่มภาคประชาชนได้ทำรายงานว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยอย่างชัดเจนรวมทั้งการฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศการสังหารโหด 91 ศพแม้รัฐบาลและกองทัพจะพยายามบิดเบือนและโฆษณาชวนเชื่อต่างๆแต่ในที่สุด “ความจริง” ก็ต้องปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะไม่ใช่แค่นางพะเยาว์และคนเสื้อแดงที่ประกาศเอาชีวิตเข้าแลกเท่านั้นองค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลกย่อมไม่ปล่อยให้เรื่องนี้หายไปโดยไม่มีผู้กระทำผิดมารับผิดชอบโดยเฉพาะการฆ่าโหดในเขตอภัยทานกลางกรุงเทพฯ
คนไทยแห่งปีของ “โลกวันนี้”นางพะเยาว์ อัคฮาด จึงเปรียบเสมือน“แกนนำภาคประชาชนผู้บริสุทธิ์”หรือสัญลักษณ์ของผู้เสียชีวิต ไปโดยปริยาย
ทีมข่าว“โลกวันนี้” จึงมีมติยกย่องให้“นางพะเยาว์ อัคฮาด” มารดาของ “น้องเกด” เป็น “คนไทยแห่งปี” ของประเทศไทยในพุทธศักราชนี้ในวาระเดียวกัน
ทีมข่าว “โลกวันนี้” ยังมีมติยกย่อง“จูเลียน พอล แอสแซงจ์” ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ “วิกิลีกส์” เป็น “บุคคลแห่งปี” ของโลกที่ทำให้รัฐบาลและ องค์กรต่างๆทั่วโลกต้องหวาดผวากับเอกสารและข้อมูลลับที่จะถูกแฉพฤติกรรมและนโยบายฉาวต่างๆที่คนทั่วโลกแทบไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย “วิกิลีกส์”
ก็ทำให้ผู้มีอำนาจและผู้อาวุโสหลายคนต้องหัวหดและปิดปากสนิทไม่ว่าจะเป็นกรณี “วิคเตอร์ บูท” หรือรัฐประหาร 19 กันยายน 2549ที่สื่อและคนไทยทั้งแผ่นดินมีสภาพเหมือน “น้ำท่วมปาก” พูดอะไรไม่ได้ขณะที่รัฐบาลไทยก็ใช้อำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินปิดกั้นเว็บไซต์ http://www.wikileaks.org/ ในประเทศไทย โดยอ้างความมั่นคงแต่ทั่วโลกกลับประณามว่าใช้อำนาจเยี่ยงรัฐบาลเผด็จการหรือ “รัฐทหาร”(อ่านบทความประกอบ “จับกระแสการเมือง” หน้า ด้วยเลือดและน้ำตา...หัวอกของคนเป็น “แม่”...
“พะเยาว์ อัคฮาด”...มารดาของ “น้องเกด”เธอคือ “คนไทยแห่งปี” โดยทีมข่าว “โลกวันนี้” และเชื่อว่าเธอคือ “บุคคลแห่งปี”ที่กำลังสะท้อนสะเทือน อารมณ์ของหัวอกคน เป็น “พ่อ-แม่” ที่ผู้ที่ มีจิตใจปรกติ...หาใช่ “ผีห่าซาตาน” ที่ไหน ก็มิอาจปฏิเสธได้!