Monday, December 27, 2010

"บุคคลแห่งปี" ของนิตยสารโลกวันนี้.. “พะเยาว์ อัคฮาด”


ขนาดแค่ลูกเดินหายไปพ้นจากสาย ตาไม่กี่ก้าว นายอภิสิทธิ์ยังตกใจแต่ ดิฉันต้องสูญเสียลูกสาวไปไม่มีวันได้คืน มันต่างกันหรือไม่จึงอยากฝากไปถึงนายอภิสิทธิ์ให้คิดถึงหัว อกคนเป็นแม่ที่ต้องสูญเสียลูกไป คิดถึงญาติพี่น้องของ 91 ศพที่ตายไป เขาจะรู้สึกอย่างไร คิดบ้างไหม”


ความรู้สึกของนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด “น้องเกด” อายุแค่ 25 ปี1 ในเหยื่อ 6 ศพวัดปทุมวนารามหลัง จากมีรายงานข่าวว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมนางพิมพ์เพ็ญ ภริยาและ น.ส.ปราง เวชชาชีวะ “น้องปราง” บุตรสาว ไปใช้สิทธิเลือกตั้งซ่อมเขต 2 กรุงเทพฯเมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา

แต่ “น้องปราง” หลบหนีกล้องผู้สื่อข่าวหลังจากใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วขณะที่นายอภิสิทธิ์อยู่ในวงล้อม ผู้สื่อข่าวแต่สีหน้าตื่นตระหนกเมื่อไม่เห็นบุตรสาวและหันไปถามนางพิมพ์เพ็ญว่า “ลูกล่ะ” ซึ่งตอบว่า “ลูกหายไปไหนไม่รู้”นายอภิสิทธิ์จึงหันมาพูดเสียงดังลั่นว่า “ลูกสาวผมหาย” ก่อนแหวกวงล้อมออกไปตามหาและพบหน้าบุตรสาวที่ยืนรออยู่ด้านหน้า

ก่อนจะถอนหายใจและเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มร่าเดินเข้าไปโอบไหล่บุตรสาวขึ้นรถออกไปทันทีซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงหัวอกคนเป็นพ่อแม่ที่มีความรักต่อลูก แต่กรณีนางพะเยาว์ไม่ใช่ลูกหายแต่ถูกยิงอย่างโหดเหี้ยม ทั้งที่ทำหน้าที่เป็นพยาบาลอาสาช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์7 เดือนยังเงียบเชียบแต่กว่า 7 เดือนที่ผ่านมากลับไม่มีความคืบหน้าของคดีเลยนางพะเยาว์จึงต้องต่อสู้ร่วมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)และญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” รวมทั้งสิ้น 91 ศพเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม

ซึ่งนายอภิสิทธิ์และผู้เกี่ยวข้องในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้แม้การต่อสู้จะถูกอิทธิพลต่างๆขัดขวางและข่มขู่ แต่นางพะเยาว์และคนเสื้อแดงก็ไม่เคยหมดหวังกับการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับ 91 ศพ

โดยเฉพาะนางพะเยาว์ที่ออกมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมทุกวันอาทิตย์หรือการจัดงานรำลึกวาระต่างๆในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”รวมทั้งการต่อสู้ทางคดีทั้งในประเทศและศาลอาญาระหว่างประเทศการให้ข้อมูลกับประชาคมโลกทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนและสื่อต่างๆต่อสู้จนกว่าได้ความยุติธรรม“ยกเลิกหรือไม่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องคดี

เรื่องการฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมเพราะยังมี พ.ร.บ.ความมั่นคงมาครอบไว้อยู่ดี เราได้คุยในกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทุกคนเห็นด้วยที่จะตั้งองค์กรเพื่อเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมและต่อสู้ทางคดีต่อไปเราไม่เคยเชื่อรัฐบาล เพราะวันนี้เขามีอำนาจมากเหลือเกิน เรามองไม่เห็นกลไกอะไรไปต่อสู้เขาได้แม้แต่กระบวนการยุติธรรมในประเทศ เราจึงจะยื่นหนังสือกับทุกสถานทูตและศาลระหว่างประเทศ”

นางพะเยาว์ให้ความเห็นหลังรัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ไม่เชื่อว่าการสอบสวนและชันสูตร 91 ศพจะคืบหน้า เพราะกว่า 7 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลพยายามปกปิดหรือบิดเบือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วทั้งยังใช้อำนาจขัดขวางและข่มขู่ผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมแม้แต่นางพะเยาว์เองก็ถูกโทร.มาขู่ให้หยุดความเคลื่อนไหว

ไม่เช่นนั้นอาจจะเสี่ยงกับชีวิตแต่นายณัทพัช อัคฮาด น้องชายของ “น้องเกด” ได้ตอบกลับผู้โทรศัพท์มาขู่ว่าถ้าเป็นลูกหรือญาติพี่น้องของคนโทรศัพท์เข้ามาจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยหรือไม่แต่ไม่มีเสียงตอบ จึงยืนยันไปว่าจะไม่หยุดและไม่กลัว แต่จะเคลื่อนไหวหนักและมากกว่าเดิมอีกสภาพศพ “น้องเกด”ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของนางพะเยาว์จึงมีความสำคัญยิ่งกับการเรียกร้องความยุติธรรม

เพราะการสังหารโหด 6 ศพในวัดปทุมวนารามเป็นข่าวที่สร้างความ สะเทือนใจคนไทยอย่างยิ่งเพราะอยู่ในเขตวัดและประกาศเป็นเขตอภัยทานแล้วโดยเฉพาะการชันสูตรพลิกศพ “น้องเกด” ของสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อต้นเดือนมิถุนายน พบว่ามีบาดแผลยิงทะลุผิวหนังมากถึง 10 แห่งโดยบาดแผลที่ 1 กระสุนยิงที่หลังผ่านขึ้นด้านบน ผ่านแนวลำคอหลังทะลุผ่านกะโหลกศีรษะซีกซ้ายทะลุสมองน้อยและสมองใหญ่

พบชิ้นส่วนโลหะคล้ายหัวกระสุนหุ้มทองแดง 1 ชิ้นค้างที่กะโหลกด้านขวาทิศทางจากล่างขึ้นบน หลังไปหน้า ขวาไปซ้ายเล็กน้อย ลักษณะหมอบลงกับพื้น หน้าหันลงพื้นดินบาดแผลที่ 2-4 ถูกยิงเข้าบริเวณอก บาดแผลที่ 5-10 ถูกยิงบริเวณแขนและขา

ลักษณะถูกระดมยิงสาเหตุการตาย กระสุนทะลุหลังเข้าไปทำลายสมองแม้แพทย์ผู้ตรวจไม่สามารถระบุได้ว่าถูกยิงจากบนลงล่างหรือไม่แต่จากการสันนิษฐานเชื่อว่า “น้องเกด” หลบหน้าแนบพื้นก่อนถูกระดมยิงจากด้านหลังซึ่งการตรวจสอบที่แน่ชัดต้องมีพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาประกอบด้วยเพราะการจำลองใช้เลเซอร์มาวางแนว วิถีกระสุนทำไม่ได้เนื่องจากหัวกระสุนไปถูกกระดูกและกระดอนไปมาทำให้ร่างกายเสียหายมากจนไม่สามารถจำลองแนวการยิงได้อย่างแน่ชัด

ส่วนรายละเอียดผลการชันสูตรอีก 5 ศพก็โหดเหี้ยมไม่แตกต่างกันนักคือนายรพ สุขสถิตย์ อายุ 66 ปีนายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปีนายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปีนายสุวัน ศรีรักษา อายุ 31 ปี และนายอัครเดช ขันแก้ว อายุ 22 ปี (ผู้ช่วยพยาบาลอาสา)

ทั้งหมดถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูงและมีบาดแผลทำลายจุดสำคัญของร่างกายจนเสียชีวิตหลักฐานทหารยิง?ยิ่งล่าสุดที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. อ้างบันทึกการสอบสวนและการชันสูตรศพของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ใน 4 เหตุการณ์คือ


1.การตายของประชาชนในวัดปทุมวนาราม

2.การตายของนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพชาวญี่ปุ่นประจำสำนักข่าวรอยเตอร์

3.การตายของเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ดุสิต

4.การตายของพลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ ว่าเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติการเกี่ยวข้อง

ซึ่ง รายงานการตรวจพิสูจน์ของกองพิสูจน์หลักฐานกลางพบกระสุนปืนขนาด .223 (5.56 มม.) หัวกระสุนสีเขียวเช่นเดียวกันเกือบทุกศพโดยเฉพาะ 6 ศพในวัดปทุมวนารามมีทั้งหลักฐานภาพถ่าย พยานบุคคลหลาย สิบปากและคำสารภาพของเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติการเองว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้ามาในบริเวณวัดรวมทั้งยิงเข้าไปในเต็นท์พยาบาลขณะที่ยุติการชุมนุมแล้ว

ข้อมูลดังกล่าวตรงข้ามกับที่นายนายอภิสิทธิ์และดีเอสไอเคยชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่าผลการชันสูตรศพผู้เสียชีวิต 4 ใน 6 รายในวัดปทุมวนารามเกิดจากวิถีกระสุนแนวราบทั้งยังยืนยันคำพูดของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ.ในขณะนั้นว่าไม่มีกำลังทหารอยู่บริเวณรางรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสยามสแควร์ซึ่งขัดแย้งกับหลักฐานที่ดีเอสไอตรวจพบปลอกกระสุนปืน


“น้องเกด” ไม่ตายฟรีนางพะเยาว์จึงยืนยันว่าจะเดินหน้าค้นหาความจริงให้ปรากฏไม่ว่าหน่วยงานไหนจะเกรงกลัวอิทธิพลของรัฐบาลก็จะเสนอความจริงให้ปรากฏให้จงได้ไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหน ต้องมีสักรัฐบาลที่ค้นหาความจริงให้ปรากฏน้องเกดจะไม่ตายฟรีหรือเปล่าประโยชน์เพราะยังมีแม่และเพื่อนร่วมงานที่พร้อมจะต่อสู้จนกว่าจะได้ตัวผู้กระทำความผิดยิงประชาชนและคนสั่งการมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม


ขณะเดียวกันครอบครัว “น้องเกด” ยังเตรียมสร้างหุ่นขี้ผึ้งรูป “น้องเกด” สูงเท่าตัวจริงเพื่อนำไปตั้งบริเวณที่น้องเกดเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ซึ่งยังไม่ทราบว่าต้องใช้ค่าใช้จ่ายเท่าใดแต่หากใครต้องการร่วมทำบุญบริจาคก็ยินดีเมื่อสร้างหุ่นขี้ผึ้งเสร็จแล้วจะไปพบนายอภิสิทธิ์เพื่อขออนุญาตตั้งหุ่นขี้ผึ้งน้องเกดภายในวัดสาเหตุที่ไปพบนายกฯเนื่องจากเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดตั้งองค์กรญาติผู้เสียชีวิตกดดัน

นอกจากนางพะเยาว์จะประกาศรวบรวม 5,000-10,000 รายชื่อเพื่อยื่นให้สำนักนายกรัฐมนตรีปลดนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ออกจากตำแหน่งแล้วยังจะจัดตั้งองค์กรญาติผู้เสียชีวิตเป็นองค์กรที่อิสระ เคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บอย่างเป็นทางการประมาณต้นเดือนมกราคม 2554

ซึ่งได้ติดต่อญาติของนายฮิโรยูกิและญาติของนายฟาบิโอ โปเลนกี ช่างภาพอิสระชาวอิตาลีที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม มาร่วมกันเคลื่อนไหวด้วยจากนั้นจะเดินสายชี้แจงข้อเท็จจริงไปตามสถานทูตต่างๆและเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ออกมารับผิดชอบต่อการใช้ความรุนแรงกับประชาชน“คดี 91 ศพนี้นายธาริตก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ศอฉ. และร่วมเซ็นลงนามในการสั่งฆ่าประชาชนเช่นกันเมื่อโอนคดีเข้ามาอยู่ในดีเอสไอ การสืบสวนสอบสวนต่างๆ

ผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับฝ่ายรัฐบาลอย่างเดียวไม่ใช่ตกอยู่ที่ประชาชน เท่ากับว่าทั้ง 91 ศพตายฟรี และ คนที่ร่วมกระทำผิดแต่กลับมาสืบสวนคดีเป็นเรื่องตลก


”แม้แต่นิตยสารไทม์ยังจัดให้การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงติดอันดับ 10 ข่าวใหญ่ของโลกส่วนนายเดวิด เชลสซิงเกอร์ หัวหน้ากองบรรณาธิการสำนักข่าวรอยเตอร์ได้เรียกร้องให้รัฐบาลแถลงผลการสอบสวน ฉบับเต็มในกรณีของนายฮิโรยูกิว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและใครเป็นผู้รับผิดชอบที่แท้จริง เพราะทางการไทยตกเป็นหนี้ครอบครัวของนายฮิโรยูกิฆาตกรรมโหดแห่งปีเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”


จึงตอกย้ำว่าเป็น “การฆาตกรรมโหดแห่งปี”และยังประจานการใช้อำนาจรัฐไทยและกลุ่มอำนาจนอกระบบว่าไม่ต่างกับ “รัฐทหาร”อย่างที่องค์การสิทธิมนุษยชนเอเชียระบุ การละเมิดสิทธิมนุษยชนจึงเกิดขึ้นอย่างหน้าตาเฉยโดยผู้มีอำนาจและกองทัพไม่รู้สึกผิดแปลกอะไร

ทั้งที่ประเทศไทยเป็นประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติแต่กลับถูกประชาคมโลกประณามว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ทำให้ประชาคมตั้งคำถามกับสหประชาชาติว่าทำไมจึงไม่มีการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

และในปี 2554 ประเทศไทยจะส่งรายงานเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างไรขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆและกลุ่มภาคประชาชนได้ทำรายงานว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยอย่างชัดเจนรวมทั้งการฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศการสังหารโหด 91 ศพแม้รัฐบาลและกองทัพจะพยายามบิดเบือนและโฆษณาชวนเชื่อต่างๆแต่ในที่สุด “ความจริง” ก็ต้องปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะไม่ใช่แค่นางพะเยาว์และคนเสื้อแดงที่ประกาศเอาชีวิตเข้าแลกเท่านั้นองค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลกย่อมไม่ปล่อยให้เรื่องนี้หายไปโดยไม่มีผู้กระทำผิดมารับผิดชอบโดยเฉพาะการฆ่าโหดในเขตอภัยทานกลางกรุงเทพฯ


คนไทยแห่งปีของ “โลกวันนี้”นางพะเยาว์ อัคฮาด จึงเปรียบเสมือน“แกนนำภาคประชาชนผู้บริสุทธิ์”หรือสัญลักษณ์ของผู้เสียชีวิต ไปโดยปริยาย

ทีมข่าว“โลกวันนี้” จึงมีมติยกย่องให้“นางพะเยาว์ อัคฮาด” มารดาของ “น้องเกด” เป็น “คนไทยแห่งปี” ของประเทศไทยในพุทธศักราชนี้ในวาระเดียวกัน

ทีมข่าว “โลกวันนี้” ยังมีมติยกย่อง“จูเลียน พอล แอสแซงจ์” ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ “วิกิลีกส์” เป็น “บุคคลแห่งปี” ของโลกที่ทำให้รัฐบาลและ องค์กรต่างๆทั่วโลกต้องหวาดผวากับเอกสารและข้อมูลลับที่จะถูกแฉพฤติกรรมและนโยบายฉาวต่างๆที่คนทั่วโลกแทบไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย “วิกิลีกส์”

ก็ทำให้ผู้มีอำนาจและผู้อาวุโสหลายคนต้องหัวหดและปิดปากสนิทไม่ว่าจะเป็นกรณี “วิคเตอร์ บูท” หรือรัฐประหาร 19 กันยายน 2549ที่สื่อและคนไทยทั้งแผ่นดินมีสภาพเหมือน “น้ำท่วมปาก” พูดอะไรไม่ได้ขณะที่รัฐบาลไทยก็ใช้อำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินปิดกั้นเว็บไซต์ http://www.wikileaks.org/ ในประเทศไทย โดยอ้างความมั่นคงแต่ทั่วโลกกลับประณามว่าใช้อำนาจเยี่ยงรัฐบาลเผด็จการหรือ “รัฐทหาร”(อ่านบทความประกอบ “จับกระแสการเมือง” หน้า ด้วยเลือดและน้ำตา...หัวอกของคนเป็น “แม่”...


“พะเยาว์ อัคฮาด”...มารดาของ “น้องเกด”เธอคือ “คนไทยแห่งปี” โดยทีมข่าว “โลกวันนี้” และเชื่อว่าเธอคือ “บุคคลแห่งปี”ที่กำลังสะท้อนสะเทือน อารมณ์ของหัวอกคน เป็น “พ่อ-แม่” ที่ผู้ที่ มีจิตใจปรกติ...หาใช่ “ผีห่าซาตาน” ที่ไหน ก็มิอาจปฏิเสธได้!

Wednesday, December 15, 2010

ข้อพินิจบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งถึงหนทางแห่งชีวิตการงาน ?


คาร์ล มาร์กซ์ (เมื่ออายุ 17 ปี )


[1] ธรรมชาติโดยตัวของมันเองแล้วย่อมจำกัดขอบเขตพฤติกรรมซึ่งสัตว์โลกจะสามารถ แสดงออก และสัตว์โลกเองต่างก็แสดงพฤติกรรมอย่างเป็นปกติวิสัยภายในข้อจำกัดเช่นว่า นั้น โดยมิได้พยายามที่จะฝืนหรือขืนขัดต่อปกติวิสัยเช่นนั้นแต่อย่างใด ไม่...แม้เพียงจะระลึกรู้ได้ถึงสิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้นเลยด้วยซ้ำ สำหรับมนุษย์ก็เช่นกัน พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานจุดหมายปลายทางเบื้องหน้าไว้ให้แล้ว ได้แก่ การสร้างสรรค์ประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติและแก่ตนเอง แต่กระนั้น พระองค์ก็ทรงปล่อยให้มนุษย์แสวงหาหนทางในอันที่จะบรรลุจุดหมายปลายทางดัง กล่าว ทรงประทานโอกาสแก่มนุษย์ที่จะเลือกตำแหน่งแห่งที่อันเหมาะสมที่สุดแก่ตนเอง ในชีวิตทางสังคม และเริ่มจากตำแหน่งแห่งที่ที่ว่านี้เอง เขาย่อมสร้างสรรค์ประโยชน์เกื้อกูลทั้งแก่ตนเองและแก่สังคมรอบข้างได้อย่างดียิ่ง


[2] ความสามารถที่จะเลือกหนทางดั่งว่านี้ นับเป็นสิทธิพิเศษยิ่งของมนุษย์เหนือปวงสรรพชีวิตอื่นที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นจากพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ในขณะเดียวกันการเลือกหนทางข้างต้นก็อาจเป็นพฤติการณ์ที่สามารถทำลายชีวิตมนุษย์ผู้นั้นลงโดยสิ้นเชิง อาจเป็นอุปสรรคขวางกั้นความปรารถนาทั้งหลายของเขาผู้นั้น และกำจัดเสียซึ่งความสุขของเขาผู้นั้นเองในที่สุด ด้วยเหตุนี้ การพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบในการเลือกหนทางดังกล่าว ย่อมเป็นหน้าที่อันพึงกระทำเป็นประการแรกสุดทีเดียวสำหรับคนหนุ่มสาวผู้ กำลังจะเริ่มต้นชีวิตการงาน และไม่ปรารถนาจะปล่อยสิ่งสำคัญที่สุดของเขาในเรื่องนี้ให้ลอยล่องไปตามโชค ชะตา

[3] แต่ละคนล้วนมีความมุ่งปรารถนาประการใดประการหนึ่งอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น และสำหรับคนผู้นั้นแล้ว อย่างน้อยย่อมจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และยิ่งจะเป็นเช่นนั้นด้วย หากก้นบึ้งแห่งจิตสำนึกและเสียงเรียกร้องจากภายในดวงใจได้ยืนยันสำทับต่อสิ่ง ๆ นั้นด้วยแล้ว เนื่องจากว่า พระผู้เป็นเจ้าไม่เคยเลยที่จะละทิ้งมนุษย์ไว้แต่เพียงผู้เดียวโดยปราศจากประทีปนำทาง พระองค์จะทรงตรัสอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่นเสมอ


[4] แต่เสียงจากพระองค์เช่นที่ว่านี้ อาจถูกกลบลบเลือนไปจากโสตประสาทได้โดยง่าย และสิ่งที่เราถือเอาเป็นแรงบันดาลใจก็อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะหนึ่ง ๆ ซึ่งอาจถูกทำลายให้สิ้นสูญไปในภายหลังก็เป็นได้เช่นกัน เป็นไปได้ด้วยว่า จินตนาการของเราอาจพุ่งโพลงขึ้นเช่นเปลวไฟ ความรู้สึกของเราโลดแล่นหวั่นไหว เจตภูตหลายตนฉวัดเฉวียนอยู่ต่อหน้าต่อตาของเรา และเราขาดสติในสิ่งซึ่งสัญชาตญาณอันไร้เหตุผลได้ชี้นำไป ซึ่งเราได้จินตนาการไปเองว่า นั่นคือสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงชี้แนะแก่เราด้วยพระองค์เอง แต่ไม่ช้านานนัก สิ่งซึ่งเรากระหือรือที่จะฉวยไว้แก่ตนเช่นนี้ย่อมหวนคืนมาสนองแก่เราเอง และเราจะได้เห็นชีวิตทั้งสิ้นของเราที่ดำรงอยู่นี้เป็นแต่ซากปรักหักพัง


[5] ดังนั้น เราต้องพินิจตรวจสอบอย่างรอบคอบยิ่งว่า เรามีแรงบันดาลใจอย่างแท้จริงในหนทางแห่งชีวิตการงานที่เราได้เลือกหรือไม่ เสียงเรียกร้องจากภายในได้สำทับยืนยันในสิ่งนั้นแล้วหรืออย่างไร หรือว่าแรงบันดาลใจเช่นนี้เป็นสิ่งหลอกลวง และที่เราตระหนักในเรื่องนี้ว่าเป็นเสียงเรียกร้องจากองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะเป็นการหลอกลวงตนเองให้หลงผิดด้วยหรือไม่ แต่เราจะตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรกัน หากมิได้สืบค้นไปถึงบ่อเกิดแห่งแรงบันดาลใจของเรานั้นเอง ?


[6] สิ่งซึ่งเป็นดุจระยับแสงอันชัชวาลยิ่งนั้น ประกายสะท้อนของมันย่อมกระตุ้นซึ่งความใฝ่ทะยานอยาก และความใฝ่ทะยานอยากก็นำมาซึ่งแรงบันดาลใจ หรือสิ่งที่เราคิดเอาว่าเป็นแรงบันดาลใจของการกระทำได้ไม่ยากนัก แต่ถึงกระนั้นก็ดี ความมีเหตุมีผลคงมิอาจฉุดรั้งบุคคลผู้ซึ่งถูกชักจูงไปโดยปีศาจแห่งความใฝ่ทะยานอยากได้อีกต่อไป และเขาผู้นั้นย่อมขาดสติในสิ่งซึ่งสัญชาตญาณอันไร้เหตุผลได้ชี้นำไป อีกนัยหนึ่ง เขาผู้นั้นหาได้เลือกตำแหน่งแห่งที่ของตนในชีวิตแต่อย่างใดเลย แท้จริงกลับถูกกำหนดโดยโชคชะตาและสิ่งหลอกลวงเสียแล้ว


[7] ที่ว่ามานี้ มิได้หมายความว่า เราถูกเรียกร้องให้รับเอาชีวิตการงานซึ่งจะนำเราไปสู่ความสำเร็จอันงดงาม ยิ่งแต่อย่างใดเลย ด้วยเหตุที่ว่า แม้ในช่วงกาลนานปีที่เราอาจต้องประกอบกิจการงานอยู่เช่นนั้น ก็มิใช่ว่าจะเป็นชีวิตการงานที่ปลดเปลื้องเราโดยสิ้นเชิงจากความเหนื่อยล้า หรือว่าเป็นชีวิตการงานที่อาจหนุนเนื่องความมีชีวิตชีวาของเราไว้ได้โดยตลอด หรือแม้แต่จะมีส่วนยับยั้งมิให้ความกระตือรือร้นของเราลดน้อยถอยลงจนถึงกลับตายซากไปได้ในที่สุด แต่กลับจะเป็นสิ่งซึ่งเราจะเห็นในไม่ช้านักว่า ความปรารถนาทั้งหลายทั้งปวงของเรานั้นจะกลายเป็นหมัน ความคิดของเราจะปราศจากสิ่งอันพึงประสงค์ และเราจะประณามพระผู้เป็นเจ้าและแช่งชักต่อมนุษยชาติทั้งปวง


[8] แต่หาใช่ความใฝ่ทะยานอยากเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่อาจเร่งเร้าให้เกิดแรงบันดาลใจขึ้นในทันทีทันใดต่อการงานอาชีพอย่างใด อย่างหนึ่ง เรายังอาจใช้จินตนาการซึ่งวาดสิ่งนั้นให้ดูงดงามในห้วงความคิดของเราเอง และยังวาดภาพสิ่งนั้นจนถึงขนาดที่ปรากฏแก่เราว่า สิ่งนี้นี่เองเป็นสิ่งสูงสุดเท่าที่ชีวิตจะนำไปได้ เมื่อเราขาดการพินิจพิเคราะห์ในสิ่งนั้น มองข้ามภาระที่จะติดตามมาทั้งปวงเสียสิ้น รวมไปถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ซึ่งจะตกอยู่แก่เราแล้ว นั่นหมายความว่า เราเพียงแต่แลดูสิ่งนั้นจากระยะไกล และภาพระยะไกลก็ย่อมเป็นภาพลวง


[9] ความมีเหตุมีผลของเราก็มิอาจเป็นที่ปรึกษาให้ได้ ณ ที่นี้ เพราะว่ายังขาดทั้งประสบการณ์และการพินิจอย่างลึกซึ้ง กล่าวคือ ยังถูกชักจูงไปโดยอารมณ์ความรู้สึกและถูกปิดบังโดยความคิดที่เลื่อนลอยไร้สาระ ถ้าเช่นนั้นแล้ว เราควรจะหันไปหาผู้ใด ? ใครเล่าที่จะช่วยเราได้ในกรณีที่เหตุผลของเราเองนั้นมิอาจพึ่งพาได้เสียแล้ว ?


[10] บิดามารดาของเราไงล่ะ ผู้ที่ได้ท่องไปแล้วบนหนทางชีวิตและมีประสบการณ์จากความโหดร้ายแห่งโชคชะตา นี่คือเสียงจากภายในใจที่ร้องบอกแก่เรา


[11] และหลังจากนั้น หากความกระตือรือร้นของเรายังมิได้เสื่อมคลายไป ถ้าเรายังมั่นคงในศรัทธาที่มีให้แก่ชีวิตการงานอย่างหนึ่งอย่างใด และเชื่อด้วยว่า ตนเองถูกเรียกร้องเพื่อสิ่งนั้น เมื่อได้พินิจพิจารณาด้วยใจที่เป็นกลาง เมื่อภารกิจต่าง ๆ ในชีวิตการงานเช่นนั้นได้เป็นที่ประจักษ์แก่เรา และเราตระหนักเป็นอย่างดีถึงอุปสรรคปัญหาทั้งปวงในชีวิตการงานเช่นนั้นแล้ว จึงควรเลือกรับเอาชีวิตการงานเช่นนั้นไว้แก่ตน และนับแต่นี้ไป ความพลุ่งพล่านแห่งใจก็จะไม่เป็นอุปสรรคใด ๆ แก่เรา พอ ๆ กันกับการที่เราเองจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความใจเร็วด่วนได้อีกต่อไป


[12] แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่แน่ว่า เราจะประคองตนให้เข้าสู่หนทางที่เราเชื่อว่าได้ถูกเรียกให้มุ่งไปยังสิ่ง นั้นได้เสมอไป ด้วยเหตุว่า สัมพันธภาพของเราทั้งหลายในทางสังคมนั้น อาจกล่าวได้ในแง่หนึ่งว่า ได้เริ่มก่อตัวขึ้นก่อนที่เราจะอยู่ในฐานะอันอาจกำหนดสัมพันธภาพนั้นได้เอง เสียแล้ว


[13] บ่อยครั้ง สภาพทางสรีระของเราโดยตัวมันเองมักจะเป็นอุปสรรคขัดขวาง และไม่พึงให้ใครกล่าวเยาะหยันถึงความควรหรือไม่ควรในสภาพเหล่านี้ด้วย


[14] เป็นความจริงที่ว่า เราสามารถข้ามพ้นปัญหาที่ว่านี้ได้โดยตัวของเราเอง แต่เมื่อเรากลับดิ่งลงสู่หายนะด้วยความเร็วรุดนั้น เราเสี่ยงต่อการวางหลักปักฐานบนมวลซากอันเรี่ยราย แล้วชีวิตของเราทั้งสิ้นจะกลายเป็นการต่อสู้อย่างปวดร้าวระหว่างมิติทางจิต และมิติทางสรีระ แต่ผู้ที่ไม่อาจจะประสานความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในตนได้ เขาผู้นั้นจะสามารถทานรับต่อสภาพกดดันอันเกรี้ยวกราดในชีวิตได้ละหรือ เขาผู้นั้นจะสามารถแสดงออกโดยไม่กระทบกระทั่งต่อผู้อื่นได้เพียงไร และจากสันติภาวะเท่านั้น ที่การกระทำอันยิ่งใหญ่และละเมียดละไมจะปรากฏตัวขึ้น กล่าวคือ สันติภาวะเป็นดุจดั่งผืนดินเดียวซึ่งบรรดาไม้ผลอันบ่มเพาะจนถึงกำหนด จะได้แก่รอบสุกงอมอย่างเต็มที่


[15] แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำการงานได้เป็นเวลานาน และแทบจะไร้ความสุขใด ๆ เนื่องด้วยสภาพทางสรีระซึ่งไม่เหมาะแก่ชีวิตการงานของเราก็ตาม ถึงกระนั้น ความคิดอ่านก็จะยังคงเป็นไปในหนทางแห่งการอุทิศชีวิตความเป็นอยู่ของเรา เพื่อหน้าที่ และการกระทำอย่างแข็งขัน แม้ว่าเราจะอ่อนแอ แต่หากเราได้เลือกชีวิตการงานซึ่งเราหาได้มีความถนัดในสิ่งนั้น เราคงจะไม่สามารถลงมือทำสิ่งนั้นในเชิงสร้างสรรค์ได้เลย ในไม่ช้า เราจะตระหนักด้วยความละอายถึงความไร้ศักยภาพของตัวเรา และบอกแก่ตนเองว่า เราเป็นชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยเปล่าประโยชน์ เป็นสมาชิกของสังคมผู้ไร้ซึ่งความสามารถที่จะทำให้ความปรารถนาของตนบริบูรณ์ได้ ผลโดยธรรมชาติที่สุดซึ่งจะตามมาย่อมได้แก่ การสูญสิ้นไปซึ่งความเชื่อมั่นและศักดิ์ศรีแห่งตน ความรู้สึกใดเล่าจะเจ็บปวดและด้อยค่ายิ่งไปกว่าที่โลกภายนอกควรจะคาดหวังได้นี้อีกแล้ว การสูญสิ้นไปซึ่งความเชื่อมั่นและศักดิ์ศรีแห่งตนเปรียบเสมือนงูซึ่งฉกติดอยู่บนแผ่นอก กลืนกินเอาโลหิตชีวิตไปจากหัวใจของเขาผู้นั้น และเจือผสมลงไปด้วยพิษแห่งความชิงชังและสิ้นหวัง


[16] ความผิดพลาดในการประเมินความเหมาะสมของตัวเราเอง ต่อชีวิตการงานอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเราพยายามพิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้ว จะเป็นความบกพร่องซึ่งจะหวนกลับมาสนองคืนแก่เราเอง และแม้ว่ามันจะมิได้เผชิญกับคำติเตียนใด ๆ จากโลกภายนอกก็ดี แต่มันกลับก่อให้เกิดความรวดร้าวในดวงใจของเราเสียยิ่งกว่าคำติเตียนใด ๆ จากภายนอกจะก่อให้เกิดขึ้นได้


[17] หากเราได้พิจารณาเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด และหากเงื่อนไขต่าง ๆ ในชีวิตของเราเปิดโอกาสแก่เราในอันที่จะเลือกอาชีพการงานที่เราชมชอบ เราอาจเลือกเอาไว้สักอย่างหนึ่งซึ่งเป็นประกันได้ว่า นั่นจะเป็นสิ่งมีค่าอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเรา เป็นชีวิตการงานซึ่งวางฐานอยู่บนความคิดซึ่งสัจจะธรรมในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับอาชีพการงานเช่นนั้น เราเองได้ตระหนักแน่แก่ใจเป็นอย่างดีแล้ว เป็นชีวิตการงานที่จะชี้ชวนให้เราเห็นถึงขอบเขตอันกว้างขวางที่สุด ซึ่งเราจะลงมือประกอบกิจนั้นเพื่อมนุษยชาติ และเพื่อตนเองด้วยในอันที่จะขยับเข้าใกล้เป้าหมายเบื้องหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป กล่าวคือ เป็นเป้าหมายสุดท้ายซึ่งไม่ว่าชีวิตการงานอย่างใด ๆ ก็ล้วนเป็นแต่วิถีทางแห่งการเข้าถึงในที่สุด นั่นก็คือ การพัฒนาตนเองให้สมบูรณ์พร้อม


[18] สิ่งอันมีคุณค่านั้น หมายถึง สิ่งใด ๆ ก็ตามซึ่งโดยส่วนมากย่อมเป็นไปเพื่อการยกระดับมนุษย์คนหนึ่ง ๆ เป็นสิ่งซึ่งทำให้การกระทำและความวิริยะอุตสาหะทั้งหลายของเขาคนนั้นควรค่า แก่การสรรเสริญยิ่งขึ้นไป เป็นสิ่งซึ่งจรรโลงให้เขาผู้นั้นแข็งแกร่ง และปรากฏเป็นที่ชื่นชมและเชิดชูขึ้นในหมู่ชนทั้งหลายด้วยอีกโสดหนึ่ง


[19] แต่ถึงกระนั้น สิ่งอันมีคุณค่าจะบังเกิดขึ้นได้ก็แต่โดยการประกอบอาชีพการงานใด ๆ ซึ่งเรามิได้ตกเป็นมือไม้ที่เฝ้าคอยแต่รับใช้ทำงานดังกล่าวเท่านั้น หากแต่เป็นงานซึ่งเราสามารถลงมือทำการงานนั้นได้อย่างเป็นอิสระในวงเขตอัน เป็นการเฉพาะของเรา นั่นหมายถึง สิ่งอันมีคุณค่าจะมีได้ก็แต่โดยอาชีพการงานซึ่งเป็นกิจกรรมปราศจากโทษต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพียงโทษที่แลเห็นได้แม้จากภายนอกหรือไม่ก็ดี กล่าวคือ เป็นอาชีพการงานใด ๆ ซึ่งผู้ที่มีศักยภาพสูงสุดก็ย่อมประกอบกิจนั้นได้ด้วยความภาคภูมิใจ อาชีพการงานใดซึ่งนำไปสู่สิ่งที่กล่าวมานี้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ อาจมิใช่เป็นอาชีพการงานอันสูงส่งที่สุดเสมอไปก็เป็นได้ แต่มักจะเป็นอาชีพการงานที่พึงปรารถนาที่สุดเสมอ


[20] หากกล่าวถึงชีวิตการงานที่ปราศจากคุณค่าซึ่งได้ฉุดรั้งเราไว้นั้น เป็นที่แน่นอนว่า เราคงจะยอมจำนนต่อภาระต่าง ๆ มากมายซึ่งเราเองจะได้ตระหนักในภายหลังว่า ล้วนเป็นความคิดอันผิดพลาด


[21] ในภาวะเช่นว่านี้ เรายังหวังถึงวิถีทางแก้ไขอื่นใดอีกเล่า นอกเสียจากที่ได้หลอกลวงตนเองไว้ และการจะกอบกู้ให้กลับคืนมาที่หวังได้เสมอเพียงแสงอันริบหรี่นั้นย่อมเป็นไป ได้ก็ด้วยการหักหลังตนเอง !


[22] อาชีพการงานทั้งหลายที่ว่ามานี้ ซึ่งยังมิได้ผสานตัวชีวิตเองเข้าไว้ในการงานมากพอที่จะไม่เป็นแต่เพียงสัจจะสูงส่งเชิงนามธรรมนั้นย่อมเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด ทั้งต่อคนผู้ซึ่งหลักการต่าง ๆ ของเขายังมิได้ตกผลึกแน่นหนา และต่อคนผู้ซึ่งการตระหนักรู้ทั้งปวงของเขายังคงลอยคว้างและง่อนแง่นคลอนแคลนอยู่ไม่น้อย แต่ในขณะเดียวกัน อาชีพการงานเหล่านี้เองอาจจะดูน่าตื่นใจยิ่งนัก หากมันได้หยั่งรากลึกลงในดวงใจของเราแล้ว และหากเราสามารถอุทิศชีวิตของเราและความวิริยะอุตสาหะทั้งปวงเพื่อสาระอันมีอยู่ในอาชีพการงานเหล่านั้นได้


[23] อาชีพการงานเหล่านี้ย่อมนำมาซึ่งความสุขแด่คนผู้มีแก่ใจแท้จริงในงานนั้น แต่มันจะทำลายล้างเขาผู้ซึ่งรนรานที่จะเลือกอาชีพการงานเอาไว้ โดยปราศจากการพินิจไตร่ตรองและยอมตนลงให้แก่แรงผลักดันอันมีอยู่เพียงชั่วขณะ


[24] ในทางตรงกันข้าม การประเมินอันสูงค่าซึ่งเรามีให้แก่บรรดาความคิดซึ่งเป็นสาระเบื้องหลังในอาชีพการงานของเรานั้น จะช่วยยกฐานะเราให้สูงเด่นยิ่งขึ้นในสังคม เปิดโอกาสให้เราได้แสดงศักยภาพอันมีคุณค่าให้ปรากฏ อีกทั้งช่วยให้การกระทำของเราทั้งหลายนั้นเป็นที่ยอมรับ


[25] คนผู้เลือกอาชีพการงานอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเขาประเมินค่าไว้สูงยิ่งนั้น ย่อมจะมองข้ามความคิดที่เห็นว่า ตนไม่คู่ควรแก่การงานดังกล่าว เพราะฉะนั้น เขาจะลงมือกระทำการในงานอย่างเต็มภาคภูมิก็เพียงเพราะเห็นว่า ตำแหน่งแห่งที่ของเขาในสังคมนั้นก็เป็นสิ่งอันมีคุณค่าเช่นกัน


[26] แต่สิ่งชี้นำที่สำคัญในการเลือกอาชีพการงานอย่างใดอย่างหนึ่งสำหรับเรานั้น ย่อมได้แก่ประโยชน์สุขแห่งมนุษยชาติและการพัฒนาตนเองให้สมบูรณ์พร้อม ในกรณีนี้ไม่พึงคิดเลยว่าประโยชน์ทั้งสองนี้จะขัดแย้งไม่ลงรอยกัน กล่าวคือ สิ่งหนึ่งย่อมจะขจัดอีกสิ่งหนึ่งออกไปเสีย ในทางตรงกันข้าม ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมโน้มเอียงอยู่แล้วที่จะเข้าถึงภาวะแห่งความสมบูรณ์พร้อมแห่งตน ก็แต่โดยลงมือประกอบการงานเพื่อความบริบูรณ์เต็มเปี่ยม และเพื่อความดีงามของเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ เท่านั้น


[27] แต่หากเขาประกอบการงานเพียงเพื่อตนเองเท่านั้น บางทีเขาผู้นั้นอาจกลายมาเป็นบุรุษผู้มีชื่อเสียงในทางวิชาความรู้ เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ หรือนักกวีอันยอดเยี่ยม แต่เขาจะไม่เคยเป็นมนุษย์ผู้เต็มเปี่ยม และเป็นมหาบุรุษที่แท้จริงเลย


[28] ประวัติศาสตร์เรียกขานบรรดามนุษย์เหล่านั้นในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ซึ่งโดดเด่นขึ้นด้วยการงานที่เป็นไปเพื่อความดีงามร่วมกัน ประสบการณ์ต่างขนานนามบุคคลผู้มอบความสุขแด่มวลชนทั้งหลายส่วนข้างมากที่สุดนั้นว่า มนุษย์ผู้เป็นสุขยิ่งนัก ศาสนธรรมนั้นเองสอนเราว่าบุรุษในอุดมคติอันผู้คนทั้งปวงต่างประสงค์จะเดินตามรอยเท้าของเขานั้น ล้วนอุทิศตนเองแล้วเพื่อความดีงามของมนุษยชาติ แล้วใครกันที่กล้าที่จะลุกขึ้นมาบอกได้ว่า นี่เป็นสิ่งไร้สาระ ?


[29] หากเราได้เลือกแล้วซึ่งจุดยืนในชีวิต ที่เราสามารถประกอบกิจการงานส่วนใหญ่เพื่อมนุษยชาติได้ ย่อมไม่มีภารกิจอื่นใดที่จะชี้นำเราได้อีกต่อไป ด้วยเหตุที่กิจการงานเหล่านั้นได้พลีไว้เพื่อประโยชน์แห่งมนุษย์ทุกผู้ทุก นามร่วมกันแล้ว ต่อแต่นี้ไป ประสบการณ์ของเราจะมิใช่ประสบการณ์แห่งความสุขอันเจือด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างคับแคบ แต่ความสุขของเรานั้นจะเป็นสมบัติแห่งมหาชนเรือนล้าน คุณูปการทั้งหลายของเรา แม้จะซ่อนคงไว้ในความเงียบเชียบ แต่จะดำรงอยู่ชั่วกาลนาน และบนเถ้าถ่านแห่งเรือนกายของเรานี่เองจะเป็นที่หลั่งรดซึ่งน้ำตาแห่งมหาบุรุษทั้งปวง

Monday, December 13, 2010

ทาง 3 แพร่ง ของ“ทักษิณ” และ “คนเสื้อแดง”!!

by "Schopenhauer"

“เพราะผลประโยชน์ของชนชั้นกรรมาชีพ กับชนชั้นนายทุนเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน และไม่อาจจะประนีประนอมกันได้”

เมื่อก่อน เพื่อการปลดแอกตนเอง ชนชั้นกรรมาชีพต้องโค่นชนชั้นนายทุน
ต้องยึดอำนาจรัฐ และสถาปนา “เผด็จการปฏิวัติ” ของตนเองขึ้น!!!

แต่บัดนี้ ปัญหานี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว – การเปลี่ยนผ่านจากสังคมทุนนิยม พัฒนาไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์นั้น
จะต้องผ่าน “ระยะเปลี่ยนผ่านทางการเมือง”
และรัฐในระยะเปลี่ยนผ่านนี้ จะต้องเป็น “รัฐเผด็จการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ”เท่านั้น!!!

“คาร์ล มาร์กซ Karl Heinrich Marx “


เหตุผลสำคัญ ที่นำมาซึ่งเหตุการณ์ยืดอำนาจ 19 ก.ย. 2549 ก็คือ
ความไม่แน่ใจว่า “ลัทธิทักษิณ” จะนำพาประเทศไปทางไหน (เมื่อเดินไปถึง) เส้นทาง 3 แพร่ง
(จะ 5 ปี แล้ว ยังไม่เลิกพูดถึง “คนคนนี้” ดังนั้นผมจึงขอใช้คำว่า “ลัทธิทักษิณ”)

เส้นทาง 3 แพร่ง คืออะไร?

ทางแรก คือ เส้นทางการเมืองแบบผลประโยชน์นิยม (Utilitarianism) – ที่ย้ำเท้ากันมาตลอด 78 ปี
ทางที่สองเลี้ยวขวา คือเส้นทางทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย (Liberal democratic capitalism) - ประชาธิปไตยของคนส่วนน้อย
ทางที่สามเลี้ยวซ้าย คือเส้นทางสังคมนิยมประชาธิปไตย" (Social-Democracy)
ประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่ ที่คนส่วนน้อย กลัวกันนักหนา!!!

เมื่อระบอบผลประโยชน์นิยมเห็นว่า “ลัทธิทักษิณ” ไม่อาจจะคาดเดาได้ – (ว่าถ้าให้เดินต่อไป) จะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา
เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ด้วยสัญชาตญาณ และความเคยชิน 78 ปี สอนว่า “ต้องยึดอำนาจ”!!!
และหันกลับเข้าสู่เส้นทางสายแรก คือเส้นทางผลประโยชน์นิยม – ต่อไป - - ใครมีปัญหาอะไร ก็ว่ามา???


ปีหน้าจะครบ 5 ปี – ที่ประเทศนี้ ยังย้ำเท้าอยู่บนเส้นทางผลประโยชน์นิยม – แล้วประชาชน “คนส่วนใหญ่ได้อะไร”???

วันนี้คนเสื้อแดงได้ผ่านประสบการณ์ - ได้เรียนรู้ (ด้วยตัวเอง) แล้วว่าระบอบผลประโยชน์นิยม พร้อมที่จะทำทุกอย่าง
พร้อมที่จะใช้ความรุนแรง โหดร้าย ป่าเถื่อน – ปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน แล้ว“ทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ”

สุดท้ายแล้ว เส้นทางเดินของคนเสื้อแดง ก็จะต้องไปถึงทาง 3 แพร่ง ที่ต้องเลือกเดิน เช่นกัน
เหมือนกับที่ ครั้งหนึ่งท่านทักษิณได้เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว – แต่เขายังไม่ทันได้เลือก
ปัญหาจึงมีว่า – คนเสื้อแดงจะเลือกเดินไปทางไหน???



และระหว่างทาง (ที่เลือก) เดินของคนเสื้อแดง เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทาง – คนเสื้อแดงจะต้องพบกับอะไร?
ทางสายดั้งเดิม 78 ปี คือ เส้นทางผลประโยชน์นิยม – ผลประโยชน์ของคนกระจุกเดียว - คนเสื้อแดงย่อมไม่เดินไปทางนั้นแน่นอน
ทางที่สองเลี้ยวขวา คือเส้นทางทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย - “ผู้คนข้างทาง” (กลุ่มทุนผูกขาด, ทุนข้ามชาติ) จะเสนอคนเสื้อแดงว่า
จะต้องทำให้ “ประชาธิปไตยของคนส่วนน้อย” กลายเป็นประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่ (ประชาธิปไตยแบบกินได้ของท่านทักษิณ)

ทางที่สามเลี้ยวซ้าย คือเส้นทางสังคมนิยมประชาธิปไตย" – “ผู้คนข้างทาง” (สารพัดกลุ่ม [แกนนำ] แดง, แดงสยาม, อ.สมศักดิ์,
อ.สุรชัย,...)
ก็จะอาศัยติดตามขบวนคนเสื้อแดง เพื่อหวังจะให้คนเสื้อแดง ได้ทำตาม “ความฝันของตัวเอง”.

ทาง 3 แพร่ง ของคนเสื้อแดงจึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย (สติปัญญา) สุดๆ!!!