Saturday, June 12, 2010

เสียงเพรียกจากค่ายกักกันอดิศร สระบุรี


เสียงเพรียกจากค่ายกักกันอดิศรสระบุรี
ของสมยศ พฤษภาเกษมสุข บก. Voice of TAKSIN
(ของฝากจากทหารแตงโม ๗ มิถุนายน ๒๕๕๓ )


ขอขอบคุณพี่น้องประชาชน คณาจารย์ นักศึกษา และผู้ใช้แรงงานทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่ร่วมเคลื่อนไหวคัดค้านการใช้อำนาจเผด็จการของรัฐบาลตัวแทนอำมาตย์ อภิสิทธิ์-สุเทพ ที่จับกุมพี่น้องประชาชน รวมทั้งตัวผมอย่างไม่เป็นธรรมและเป็นการใช้กฎหมายเลือกปฏิบัติ (สองมาตรฐาน)

ผมถูกออกหมายจับเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2553 โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในภาวะฉุกเฉิน ด้วยเพียงเพราะผมกับอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ยืนให้สัมภาษณ์ว่า “จะจัดให้มีการชุมนุมในอนาคต” คือจะชุมนุมในวันที่ 24 มิถุนายน เพื่อตามหาวันชาติดังเช่นที่เคยทำมาแล้วในปีก่อน เพียงเท่านี้ก็เป็นความผิดที่ ศอฉ.ได้ยัดเยียดคุกตะรางให้ผม แต่ในเวลาเดียวกันพวกเสื้อ(เหลือง)หลากสีได้จัดชุมนุมในปัจจุบันยื่นข้อเรียกร้องให้ถอดถอน ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคนที่เข้าร่วมต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยร่วมกับคนเสื้อแดง กลับมีเสรีภาพชุมนุมเกิน 5 คนได้ทั้งๆ ที่อยู่ภายใต้กฎหมายภาวะฉุกเฉินเช่นเดียวกับผมแต่กลับไม่มีความผิด

ผมและอาจารย์สุธาชัยได้แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่หลบหนีจึงเดินไปมอบตัว แต่ปรากฏว่ากลับถูกจับกุมห้ามเยี่ยมห้ามประกันในช่วงแรก และสุดท้ายพวกเขาปล่อยตัวอาจารย์สุธาชัยก่อน เพราะทนแรงกดดันจากเพื่อนคณาจารย์และนักศึกษาไม่ได้ แต่ตัวผมยังถูกจองจำเหมือนเดิมทั้งๆที่ถูกจับด้วยข้อหาเดียวกันเวลาเดียวกัน และมอบตัวพร้อมกัน

ผมมาพิจารณาดูน่าจะเป็นเพราะว่าอาจารย์สุธาชัยมีสถานภาพเป็นข้าราชการอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนตัวผมไม่มีสถานภาพความเป็นข้าราชการ เพราะผมเป็นเพียงประชาชนเช่นคนเสื้อแดงทั่วไปที่ถูกจับกุมตัวโดยไม่มีความผิด และไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเหมือนกัน ผมไม่โกรธการตัดสินใจของ ศอฉ.เช่นนี้เพราะอย่างน้อยที่สุดทำให้ผมได้ลิ้มรสของคำว่า “ไพร่” อย่างเป็นจริง

รัฐบาลตัวแทนอำมาตย์อภิสิทธิ์-สุเทพ ใช้อำนาจตามกฎหมายภาวะฉุกเฉินเองแต่ก็ทำผิดกฎหมายนั้นเอง กล่าวคือตามมาตรา 12 กำหนดว่า “จะควบคุมตัวผู้ถูกจับกุมอย่างผู้ต้องหาไม่ได้” แต่ตัวผมถูกควบคุมหนักกว่าผู้ต้องหา ซึ่งสถานที่ควบคุมตัวผมและอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ที่ค่ายทหารอดิศร สระบุรี นั้นไม่ต่างอะไรกับค่ายกักกันในสมัยพรรคนาซีเรืองอำนาจในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2ผมและอาจารย์สุธาชัยถูกจับให้นอนอยู่ในเต็นท์กลางแดดตั้งแต่วันแรกจนถึงขณะนี้โดยมีลวดหนามเป็นขดสูง 2 ชั้นล้อมรอบไว้ และมีทหารถือปืนควบคุมตัว แต่ต่างจากสมัยนาซีตรงที่ทหารบางคนที่ควบคุมตัวนั้นมีจิตใจรักความเป็นธรรมหรือที่เรียกว่า ทหารแตงโม ผมและคนเสื้อแดงทุกคนที่ถูกจองจำทีนี่ถูกห้ามไม่ให้ดูโทรทัศน์ และฟังข่าวสารใดๆ ทั้งจากวิทยุ และหนังสือพิมพ์ รวมตลอดทั้งจะอ่านหนังสือประเทืองความรู้ใดๆ ก็ไม่ได้นอกจาก หนังสือนิตยสารเรื่องม้าเป็นบางเล่มเท่านั้นที่พวกเขาหยิบยื่นให้

การควบคุมตัวในแต่ละวันไม่มีการสอบสวนอะไรในทางกฎหมายมีแต่ทหารมานั่งคุยและคุยอยู่เรื่องเดียวที่วนเวียนซ้ำซาก และต้องการจะให้ผมพูดความเท็จว่าหนังสือพิมพ์ Voice of TAKSIN หรือเสียงทักษิณ ของผมเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และได้รับเงินสนับสนุนจากทักษิณซึ่งผมก็ปฏิเสธไปครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ไม่ใช่” ส่วนการใช้ชื่อหนังสือพิมพ์ว่า “ทักษิณ” ซึ่งพวกทหารของศอฉ.เขาติดใจมากและอยากให้ผมเปลี่ยนชื่อหนังสือนั้นผมก็อธิบายว่าเป็นเทคนิคทางการตลาดไม่ต่างอะไรกับกรณีที่มีคนผลิตขายสินค้ายาชูกำลังที่ชื่อ “ทักษิณสู้” แต่ดูเหมือนว่าพวกทหารที่มาคุยกับผมจะไม่เข้าใจกลไกตลาดโดยเฉพาะธุรกิจหนังสือพิมพ์ที่เป็นกลไกตลาดทางความคิดเลย

ผมลงทุนหนังสือพิมพ์ครั้งแรกไม่เกิน 5 แสนบาท และก็ยืนอยู่ได้มาเกือบปีกว่าแล้วก่อนถูกอำนาจเผด็จการปิดก็โดยอาศัยบุคคลต่างๆ ที่มีชื่อเสียงทางสังคม โดยไปกราบเขาขอให้ผมใช้ชื่อเขามาตีพิมพ์เป็นประธานบ้างที่ปรึกษาบ้าง เพื่อหนังสือพิมพ์จะได้รับความเชื่อถือและสามารถขายได้ บุคคลเหล่านั้น เช่น คุณสุธรรม แสงปทุม และ คุณวีระ มุสิกพงศ์ ก็กลายเป็นว่าผมรับเงินจากทักษิณผ่านคนเหล่านั้นทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง

ผมพยายามอธิบายให้พวกทหารสมุนอำมาตย์ที่ดูจะโง่เง่ามากในเรื่องสินค้าความคิดว่าชื่อ “ทักษิณ” วันนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมทางการเมืองหรือต่อสู้กับภาวะ 2 มาตรฐาน ซึ่งมันฝังลึกอยู่ในใจประชาชนไทยมานานแล้ว และมันได้ระเบิดขึ้นจากรูปธรรมของการรวมศูนย์อำนาจรัฐของอำมาตย์พุ่งเข้าทำร้ายไปที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มานานติดต่อกันเกือบ 4 ปีแล้ว

ดังนั้นชื่อหนังสือพิมพ์ Voice of TAKSIN จึงเป็นชื่อที่จำได้ง่ายและกินใจประชาชน แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นวันนี้ชื่อทักษิณ และสีแดง ได้กลายเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นผมก็ขอให้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญเสียเลยจะดีไหม?

จริงๆ ผมสามารถจะได้รับการปล่อยตัวทันทีหากลงลายมือชื่อยืนยันว่าผมได้รับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณมาพิมพ์หนังสือ ผมเข้าใจว่าพวก ศอฉ.คงจะเอาหลักฐานนี้ไปปรักปรำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้ายอย่างแน่นอน ซึ่งการปฏิเสธของผมไม่ใช่เป็นการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะผมกับพ.ต.ท.ทักษิณโดยส่วนตัวไม่รู้จักกันและไม่เคยเดินทางไปพบไม่ว่าที่ใดๆ แต่ผมช่วยให้ความจริงปรากฏในบรรณพิภพ ว่าผมสร้างหนังสือพิมพ์นี้ด้วยกำลังกายและด้วยกำลังสมองของผมเอง เพียงแต่อาศัยจิตสำนึกวิญญาณของประชาชนที่โหยหาเสรีภาพ ความเสมอภาค และความเป็นธรรม เป็นตัวผลักดันผ่านชื่อ “ทักษิณ” ซึ่งคำว่าทักษิณเป็นคำสามัญที่แปลว่า “ทิศใต้”

ผมยอมเสียเสรีภาพ แต่จะไม่ยอมสูญเสียความเป็นมนุษย์ และสูญเสียจิตวิญญาณแห่งอิสระทางความคิดของการเป็นนักหนังสือพิมพ์อย่างเด็ดขาด

พบกันบนเส้นทางแห่งเสรีภาพทางความคิด

No comments:

Post a Comment