โดย : ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประเทศไทยของเราเจริญช้า จนถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้าไปมากมายแล้ว ผมไม่ได้นิยมประเทศอื่นมากกว่าไทย แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่น่าวิตกและปฏิเสธไม่ได้ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในไทยมีจริง ทำไมบรรดา “ผู้หลักผู้ใหญ่” จึงปล่อยให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ ใครที่ทำให้ประเทศชาติของเรามีชะตากรรมเช่นนี้
ผมเคยเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังเวียดนาม และอินโดนีเซีย และยังเคยเดินทางและไปบรรยายด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศแถบนี้ทั้งเนปาล บรูไน พม่า ลาว มาเลเซีย และอินเดีย รวมทั้งยังสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบปูพรมได้มากที่สุดทั่วกรุงจาการ์ตา กรุงพนมเปญ กรุงมะนิลา และนครโฮชิมินห์ ได้พบภาพเปรียบเทียบมาให้เห็น จะได้ช่วยกันฉุกคิดและสำรวจตรวจสอบกันบ้าง เผื่ออนาคตของลูกหลานไทยเราจะไม่เผชิญภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด
เหลียวมองรอบบ้าน
ประเทศที่รวยกว่าไทยอย่างชัดเจนได้แก่ มาเลเซีย ที่ในสมัยก่อนด้อยกว่าไทย ขนาดตนกู อับดุล ราห์มัน อดีตนายกรัฐมนตรีและพี่น้องอีก 3 คนยังเคยมาเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ที่ผมเองก็เป็นนักเรียนเก่าเช่นกัน <1> แต่ ณ ปัจจุบันนี้รายได้ประชาชาติต่อหัวของมาเลเซียกลับสูงกว่าไทยถึงเกือบ 2 เท่า <2> และ สิงคโปร์ ก็รวยกว่าไทยอย่างชัดเจน โดยมีรายได้ต่อหัวถึง 6.14 เท่าของประเทศไทย <3> ทั้งที่ประเทศนี้ไม่มีทรัพยากรอะไรเลยนอกจากคน สำหรับบรูไน คงไม่ต้องกล่าวถึงเพราะเขามีน้ำมันมหาศาล
ในกรณีประเทศจีนนั้น แม้มีรายได้ต่อหัวเท่ากับ 71% ของไทยซึ่งก็เป็นเพราะเขามีประชากรนับพันล้านคน แต่จีนเจริญกว่าเรามาก ผมจำได้ว่าเมื่อปี 2529 ขณะไปเรียนที่เบลเยียม สถาปนิกจบใหม่ชาวจีนในกรุงปักกิ่งมีรายได้เดือนละ 400 บาท แต่ขณะนี้ที่เมืองลี่เจียงในมณฑลยูนานที่ห่างไกล ข้าราชการใหม่ผู้จบปริญญาตรีทั่วไป จะได้เงินเดือนประมาณ 11,000 บาท แถมสวัสดิการอีกมากมาย นี่ถือว่าแซงหน้าประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว
ที่ประเทศจีน เขาทำให้องค์กรของรัฐกะทัดรัด มีประสิทธิภาพสูง เป็นเสมือนบริษัทที่ดีที่สุดที่คนจีนมุ่งมั่นจะเข้าไปทำงานด้วย ต่างจากไทยที่อาชีพรับราชการเป็นอาชีพที่หัวกระทิไม่พึงปรารถนานัก แต่กลับเป็นที่พึงปรารถนาของผู้ที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะด้อยกว่า นี่อาจเป็นสาเหตุที่เราจึงมีข้าราชการบางส่วนที่เป็นภัยสังคม คือเข้าไปเป็นกาฝาก ทำงานเช้าชามเย็นชามและโกงชาติเมื่อมีโอกาส
น่าสงสัยจริง ๆ
ประเทศเหล่านี้ใช้เวลาประมาณ 25 ปี แซงหน้าประเทศไทยได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน ถ้าพระสยามเทวาธิราชมีจริง หรือประเทศไทยเดินมาถูกทางแล้ว ทำไมเราจึงถูกประเทศที่เล็กกว่า เช่น สิงคโปร์ ประเทศที่เคยเป็นประเทศราชหรืออดีตอาณานิคม เช่น มาเลเซีย หรือประเทศที่จนดักดาน เช่น จีนที่ปู่ย่าตายายของผมที่หนีความอดอยากมาเมื่อ 80 ปีก่อน แซงหน้าเราไปได้
ถ้าไทยเรามีคนดี หรือผู้มีคุณธรรมสุดเลิศเลอจริง เราจะมีบ่อนเถื่อน เจ้ามือหวยเถื่อน ยาบ้าเกลื่อนเมืองและเพิ่มขึ้นทุกวันเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร เราจะปล่อยให้มีการโกงกินกันมโหฬารทั้งในส่วนท้องถิ่น ส่วนภูมิภาคและส่วนกลางได้อย่างไร เราจะปล่อยให้ประเทศไทยมีขอทานเขมร แรงงานพม่า และแท็กซี่เถื่อนทำมาหากินตบหน้าประเทศชาติอยู่ได้อย่างไร
ถ้าเรามีตงฉินปกครองเมือง ไม่ใช่มีกังฉินชักใยอยู่เบื้องหลัง เราคงทำอย่างจีนที่ลงโทษผู้โกงกินอย่างเด็ดขาด เช่น จับไปยิงเป้าหรือติดคุกตลอดชีวิตเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ในเวียดนามนักฟุตบอลทีมชาติที่ไปล้มบอลในกีฬาซีเกมส์ที่กรุงมะนิลาเมื่อ พ.ศ.2548 ถูกจับติดคุก 5 ปี ส่วนพี่ไทยนั้น ยิ่งล้ม ยิ่งรวย นอกจากนี้กัปตันเครื่องบินเวียดนามที่ซื้อเครื่องเสียงหนีภาษีเข้าประเทศ ก็โดนไล่ออก แต่ของไทยเรานำเข้ามาจนเจ๊เล้งรวย! <4>
ระบบคนดีที่ควรถูกตรวจสอบ
เมื่อพูดถึงการโกง บางคนอาจมองไปที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งต้องพิสูจน์กันต่อไป ผมไม่ได้ให้ร้ายหรือแก้ต่างแทนใคร แต่กระบวนการโกงชาติในทุกวันนี้สร้างความวิบัติยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่าพันทวี เพราะเป็นระบบการโกงที่ฝังรากลึกในวงราชการ ยิ่งเรามุ่งพุ่งเป้าไปที่คน ๆ เดียว เราก็ยิ่งถูกหลอกให้ลืมมองเห็นคนโกงอื่น โดยเฉพาะพวกผู้ดีเปี่ยมคุณธรรมทั้งหลายที่มักพูดปาว ๆ เสียงดังฟังชัดว่ารักชาตินั้น พวกนี้เป็นผู้ดีจอมปลอม เพราะถ้าเป็นของจริง ทำไมจึงมีเรื่องโกงกินเกิดขึ้นมากมาย และเพิ่มขึ้นทุกทีแม้ในรัฐบาล “เทพประทาน” ชุดนี้ <5>
การที่พวกผู้ดีเปี่ยมคุณธรรมเอาหูไปนาตาไปไร่อยู่เสียที่ไหนจึงไม่เคยแตะต้องคนโกงชาติเลย เราจึงควรทบทวนกันระบบยศถาบรรดาศักดิ์ของไทย การเคยเป็นนายพล ปลัด อธิบดี หรือได้สายสะพายกี่เส้น ก็ไม่ได้รับประกันการเป็นคนดีหรือเป็นคนไม่โกง ในทางตรงกันข้ามยศศักดิ์เหล่านี้แหละที่ช่วยให้โกงได้แนบเนียนยิ่งขึ้น
ภาพลักษณ์ที่ดีก็เพียงช่วยให้การโกงกินดูไม่มูมมามเหมือนพม่าที่เป็นแบบบุฟเฟ่ คือแบ่งกันกินกันใช้อย่างโจ๋งครึ่มเท่านั้น บรรดาคนดีเหล่านี้อาจพึ่งโจรเพื่อค้ำจุนภาพพจน์และอำนาจเสมือนหนึ่งพระเจ้าสุทโธทนะที่ไม่กล้ากำจัดขุนนางจอมโกงกินที่ห้อมล้อมอยู่ เพราะพวกเขาคือผู้ค้ำจุนอำนาจ จนทำให้เจ้าชายสิทธัตถะรู้แจ้งเห็นจริงถึงระบบการเมืองที่ล้มเหลวและหันเข้าหาทางหลุดพ้น <6>
การโกงกินที่กัดกร่อน
การโกงกินสำคัญทำให้งบประมาณแผ่นดินปีละเกือบ 2 ล้านล้านบาท ตกหล่นไปมหาศาลในแต่ละปีจาก:
1. การมีระบบราชการที่ใหญ่โตเทอะทะและเลี้ยงคนไว้เป็นกาฝากแทนที่จะมารับใช้ประชาชนและพัฒนาชาติ
2. การที่เงินไปเข้ากระเป๋าข้าราชการประจำและนักการเมืองท้องถิ่นทั่วประเทศ
ระบบการโกงกินในบ้านเมืองของเราในยุคคุณธรรมนำการเมืองนี่แหละที่สร้างความวิบัติต่อชาติของเราอย่างสุดแนบเนียน ถ้าไม่มีการโกงกิน ทำงานเป็นกาฝากดูดเลือดและน้ำเลี้ยงจากภาษีอากรของประชาชน ป่านนี้เรามีทางด่วน รถไฟฟ้า ทางหลวง และสาธารณูปโภคทั้งในเมืองและชนบทกันมหาศาลผิดหูผิดตาเช่นที่เกิดขึ้นในจีน มาเลเซียและสิงคโปร์แล้ว
แก้กันอย่างไร
ทางแก้สำคัญก็คือการขุดรากถอนโคนรากเหง้าของระบบการโกงกิน ได้แก่:
1. เลิกระบบที่ผู้น้อยต้องตบเท้าอวยพรผู้ใหญ่ หากต้องการรับศีลรับพร ก็รับกันทางอื่นแทนที่จะต้องกลายเป็นประเพณีในการตบเท้าเข้าคารวะผู้ (ยิ่ง) ใหญ่ ซึ่งสาระแท้ ๆ ก็คือเพื่อไปแสวงหาการถูกโปรดปรานเพื่อการไต่เต้า ตราบที่ความก้าวหน้าจะมีได้ด้วยการ ‘เลีย’ ผู้ (ยิ่ง) ใหญ่ ตราบนั้นการโกงกินย่อมแก้ไขไม่ได้
2. โค่นล้มพวกเจ้ามือหวยเถื่อน บ่อนเถื่อน ด้วยการทำให้เป็นบ่อนถูกกฎหมาย ทำให้รายได้เข้ารัฐแทนที่จะเข้าไปสู่มือพวกนอกกฎหมาย และรณรงค์ให้การศึกษากับประชาชนเพื่อให้มีวิจารณญาณต่ออบายมุขต่าง ๆ
3. ปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง เพื่อตัดทางทำมาหากินของผู้มีอิทธิพลเถื่อนที่สมคบกับข้าราชการขี้ฉ้อทั้งหลาย
4. มีระบบการตรวจสอบข้าราชการทุจริตอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และมีบทลงโทษที่เฉียบขาด ทันท่วงที
5. ปฏิวัติระบบราชการให้ข้าราชการมีสำนึกรับใช้ประชาชน ถือประชาชนเป็นนาย
ประเด็นสำคัญคือจะมีมหาบุรุษ รัฐบุรุษ หรือนักการเมืองผู้สง่างามใดกล้าเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อประเทศชาติ หรืออยากเพียงมีชิวิตที่สวยงามและตายไปอย่างไร้ค่าคนแล้วคนเล่า
ประเทศไทยต้องเร่งปราบการโกงกิน ก่อนจะล่มจม ผมไม่อยากให้อาม่าของผมเสียใจที่ย้ายมาผิดที่ (แต่ผมก็ภูมิใจในความเป็นไทย และขอตายที่นี่)
No comments:
Post a Comment