ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ << "ความเชื่อ" มักไม่ได้รองรับด้วยเหตุผล "ความเชื่อ" มักไม่ทนต่อความจริง "ความเชื่อ" มักอิงสิ่่งที่พิสูจน์ไม่ได้ >>
Sunday, January 31, 2010
ทางลัดคือทางตัน เราต้องสู้เพื่ออุดมการณ์ด้วยวิธีอุดมการณ์
คนเสื้อแดงไม่ควรเลือกเส้นทางการต่อสู้ของทหารหรือนักการเมืองอันธพาลเสธ. แดง พัลลภ ปิ่นมณี หรือ เฉลิม อยู่บำรุง ไม่ใช่คำตอบ
ขบวนการคนเสื้อแดงเป็นขบวนการ มวลชนเพื่อประชาธิปไตยแท้ สิ่งนี้พวกเราไม่ควรลืม ขบวนการมวลชนเสื้อแดงประกอบไปด้วยชาวบ้านชาวเมืองทุกวัย ส่วนใหญ่เป็นคนจนมากกว่าที่จะเป็นคนชั้นกลางหรือคนรวย เราต่อสู้เพื่อล้มอำมาตย์ เพราะอำมาตย์เป็นพวกอภิสิทธิ์ชนที่ใช้ความรุนแรงในการปล้นประชาธิปไตยและ ความเป็นธรรมทางสังคมจากพลเมืองไทย อำมาตย์มีความสุขกับความเหลื่อมล้ำและการใช้เส้นใช้สายกอบโกยผลประโยชน์ พวกเราออกมาเคลื่อนไหวเพราะเราเริ่มเข้าใจว่าถ้าเราไม่ออกมาสู้หรือถ้าเรา ปล่อยให้คนไม่กี่คนสู้ เราจะไม่ชนะและเราจะเป็นทาส
ฝ่ายอำมาตย์และกองเชียร์ของอำมาตย์ในหมู่ชนชั้นกลาง ซึ่งอ้างว่าตัวเองฉลาดมีการศึกษา ย่อมดูถูกประชาชนเป็นธรรมดาว่า “โง่” “เข้าไม่ถึงข้อมูล” “ไม่เข้าใจประชาธิปไตย” “ทำอะไรเองไม่ได้” หรือมีการป้ายร้ายว่า “ถูกทักษิณซื้อ” คนเสื้อแดงจำนวนมากรัก ทักษิณ แต่รักด้วยเหตุผลเพราะ ทักษิณ เป็นนายกคนแรกที่เอาใจใส่ชีวิตคนจน ความรักนี้มีเหตุผลมากกว่าการรัก อำมาตย์ หลายเท่า เพราะ อำมาตย์ ไม่เคยทำอะไรให้พลเมืองส่วนใหญ่ มีแต่การเข้าข้างทหารเผด็จการและการสอนให้คนจนอยู่อย่างสงบท่ามกลางความยาก จนในขณะที่ตัวเองและครอบครัวร่ำรวยมหาศาล
สรุปแล้ว ขบวนการคนเสื้อแดงเป็นขบวนการของ “คนดีคนธรรมดาของสังคม” เราเชื่อมั่นว่ามวลชนปลดแอกตนเองได้ เพราะเราไม่ใช่วัวหรือควาย เราไม่ต้องรอให้คนอื่นมาปลดแอกเรา
พลเมืองไทย เจ็บปวดมานาน ตั้งแต่รัฐประหาร ๑๙ กันยา และการเบ่งอำนาจของอำมาตย์ อำมาตย์และพันธมารฯ ใช้ทุกวิธีทางเลวทรามที่จะทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเรา และแน่นอนปัญหาใหญ่ที่เผชิญหน้าเราทุกวันคือ เราจะล้มอำมาตย์อย่างไร
ในการต่อสู้ ทุกยุคทุกสมัยมีการถกเถียงเรื่องแนวทาง มีการเดินหน้าและถอยหลัง บ่อยครั้งท่ามกลางการถกเถียงเราอาจได้ยินคนเสนอว่า “วิธีการไม่สำคัญ ขอให้ได้ผลก็แล้วกัน” หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “the end justifies the means” แต่ ความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่ผิดพลาดมหาศาล เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง วิธีที่เราใช้ในการต่อสู้มีสายใยผูกพันกับผลเสมอ ไม่แตกต่างจากการขึ้นรถไฟ ถ้าขึ้นรถไฟไปหาดใหญ่ เราไม่มีวันไปถึงเชียงใหม่ได้ มันคนละทาง ถ้าเราชาวเสื้อแดงต้องการประชาธิปไตยแท้ที่ไม่มีอำมาตย์ ไม่มีผู้ใหญ่ที่ใช้เส้นสาย ถ้าเราต้องการสังคมที่เคารพพลเมืองทุกคน และมองว่าพลเมืองจำนวนมากที่ยากจนต้องมีส่วนร่วม เพื่อกำจัดความเหลื่อมล้ำ และเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ เราไม่สามารถใช้วิธีการเดียวกับอำมาตย์ในการต่อสู้ได้ เราต้องใช้วิธีประชาธิปไตย
วิธี ประชาธิปไตย ไม่ได้แตกต่างจากวิธีของอำมาตย์ในเรื่องความรุนแรง ความดุเดือด ความเข้มข้น หรือความกล้าหาญแต่อย่างใด แต่จะแตกต่างในแง่ของวิธีการใช้สิ่งเหล่านั้น วิธีอำมาตย์งอกมาจากผลประโยชน์ของคนชั้นสูงซึ่งเป็นคนส่วนน้อย เขาเลยใช้ความรุนแรงของกองกำลังคนส่วนน้อยที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา (ทหารนั้นเอง) นอกจากนี้เขาใช้อำนาจเงินและอำนาจการเมืองเพื่อควบคุมสื่อและกระบวนการ ยุติธรรม ซึ่งทั้งหมดกระทำไปโดยไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ไม่มีสิทธิเสรีภาพ และไม่มีส่วนร่วม เวลาเขาใช้ม็อบก็เป็นม็อบคนชั้นกลางหรือม็อบรับจ้าง แนวคิดของอำมาตย์ย่อมเป็นแนวที่กำหนดจากเบื้องบนและสั่งลงมา และมักเป็นเรื่องหลอกลวงเพราะอำมาตย์เป็นคนส่วนน้อยที่อยากจะหลอกคนส่วนใหญ่ เนื่องจากผลประโยชน์เขาขัดกับคนส่วนใหญ่เสมอ นั้นคือวิธีการของอำมาตย์ ผลคือการครองอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจของคนส่วนน้อยที่กดขี่ขูดรีดคนส่วน ใหญ่
วิธีการ ประชาธิปไตย เน้นเสรีภาพ ความโปร่งใส การถกเถียงแลกเปลี่ยนด้วยปัญญา และที่สำคัญที่สุดคือมีการรวมตัวกันของมวลชนจำนวนมาก เป็นแสนเป็นล้าน ด้วยความสมัครใจ ในไทยมีการต่อสู้แบบประชาธิปไตยประชาชนในช่วง ๒๔๗๕, ๑๔ ตุลา และพฤษภา๓๕ ตรงนี้ชัดเจน เพราะมวลชนพลเมืองธรรมดาออกมาสู้อย่างที่เห็นได้ชัด และเป้าหมายก็ชัดคือ ประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ การต่อสู้ในช่วงพฤษภา ๓๕ ยังทำให้นักการเมืองไทยรักไทยเข้าใจอีกว่าเขาต้องมองคนจนในมิติใหม่ คือการเป็นผู้ร่วมพัฒนาประเทศ แม้แต่การต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็เป็นวิธีการแบบประชาธิปไตยในหลายแง่มุม เพราะมีการให้ความสำคัญกับมวลชน และมีเป้าหมายเพื่อโค่นอำมาตย์และลดความเหลื่อมล้ำ
เวลาอำมาตย์ ใช้กองกำลังและอาวุธ มันเป็นการกระทำของคนส่วนน้อย มันดูเหมือนมีระเบียบวินัย เพราะเป็นการกระทำของกองทัพภายใต้คำสั่งของผู้ใหญ่ รถถังออกมา ทหารออกมา และกราดยิงประชาชน สื่อก็ร่วมด่าประชาชน ฯลฯ แต่เวลาประชาชนใช้กองกำลังและอาวุธในวิธีประชาธิปไตย มันวุ่นวาย มันมีชีวิต มันมีความหลากหลายและเสรีภาพ ลองนึกภาพคนเสื้อแดงยึดรถถังเมื่อปีที่แล้ว ลองนึกภาพการบุกเข้าไปในการประชุมที่พัทยา ลองนึกภาพการไปด่าประท้วงอภิสิทธิ์หรือคนอื่นในจังหวัดต่างๆ เราจะเห็นความต่าง การปฏิวัติของประชาชนจะเป็นแบบนี้ แต่มันมีพลังมหาศาลเพราะมวลชนเรามากกว่าและเราครองใจคนส่วนใหญ่ได้ ในสถานการณ์แบบนี้พี่น้องทหารและตำรวจระดับล่างจะมีความมั่นใจและจะเปลี่ยน ข้างมาอยู่ฝ่ายเรา แต่ที่สำคัญคือประชาชนจะนำทหาร ไม่ใช่ทหารนำประชาชน และจะมีการต่อสู้ภายใต้อุดมการณ์
วิธีการ ต่อสู้แบบประชาธิปไตย เป็นวิธีการที่กระทำภายใต้อุดมการณ์แห่งเสรีภาพและความเป็นธรรม มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจในสังคม ไม่ใช่เปลี่ยนจากอำมาตย์ “ก” ไปสู่อำมาตย์ “ข” และเพื่อรับประกันว่าจะเกิดประชาธิปไตยจริง มวลชนจำนวนมากต้องมีส่วนในการนำ ในการเคลื่อนไหว และในการเป็น “เจ้าของ” การต่อสู้ ไม่ใช่ปล่อยให้คนหยิบมือเดียวทำให้แทน นี่คือสาเหตุที่วิธี “ก่อการร้าย” เช่นการวางระเบิด การลอบยิง ฯลฯ เป็นวิธีการที่สวนทางกับวิธีประชาธิปไตย ยิ่งกว่านั้นการก่อการร้ายนำไปสู่การปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดโดยอำมาตย์ จุดจบคือขบวนการประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถูกทำลาย มันมีบทเรียนจากหลายๆ ประเทศเช่น ญี่ปุ่น อิตาลี่ ปาเลสไตน์ ฯลฯ
วิธีการ “ก่อการร้าย” เป็นหนึ่งในแนวทางของคนที่จะหาทางลัดท่ามกลางการต่อสู้ที่ยากลำบาก แต่ทางลัดนี้เปรียบเสมือนทางเข้าซอยเล็กๆ ในกรุงเทพฯ ที่จบลงด้วยทางตัน ในขณะนี้คนเสื้อแดงบางส่วนกำลังหาทางลัดแบบนี้ เพราะไม่มั่นใจในการนำของแกนนำเสื้อแดง และมองไม่ออกว่าจะชนะอย่างไร ผมเองและคนเสื้อแดงหลายกลุ่มหลายคน มองว่าเราต้องสู้เพื่อระบบประชาธิปไตยที่ไม่เหลือซากอำมาตย์ เราต้องตัดอำนาจกองทัพ และเราต้องใช้มวลชนในการกดดันต่อสู้และยึดอำนาจ แกนนำสามเกลออาจมองต่างมุมบ้าง แต่สามเกลอก็มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย เขามีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้มีการสร้างมวลชนเสื้อแดงแต่แรก และเวลาเขาเคลื่อนไหวเขาจะเน้นมวลชน
แต่ปัญหาคือในขบวนการเสื้อแดงมีคนที่หาทางลัดที่เป็นทางตัน เขาเชิดชูทหารอันธพาล อย่าง เสธ.แดง หรือ พัลลภ ปิ่นมณี ซึ่งเป็นคนที่ไม่เคยแสดงอุดมการณ์ประชาธิปไตย ไม่เคยเสนอว่าเราต้องมีสวัสดิการเพื่อแก้ปัญหาความยากจน ไม่เคยพูดถึงการปฏิรูปสังคมอย่างจริงจัง ไม่เคยต่อต้านระบบอำมาตย์ และแถมมีประวัติในการเป็นอันธพาลหรือในการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยการฆ่า ประชาชน(ในกรณีพัลลภ ปิ่นมณี) คนเหล่านี้ โดยเฉพาะ เสธ.แดง ใช้วิธีการของกองกำลังลับๆ ที่มีส่วนคล้ายการก่อการร้าย พวกเราฟังเขาพูดแล้วอาจ “มัน” ฟังเสียงระเบิดแล้วอาจ “สะใจ” แต่หลังจากที่ควันระเบิดจางหายไป เราจะพบว่าเป้าหมายประชาธิปไตยแท้ไม่ได้มาถึงแต่อย่างใด เพียงแต่มีคนบาดเจ็บตาย ร้ายสุดก็กลายเป็นข้ออ้างในการปราบคนเสื้อแดง และดีที่สุดก็แค่มีการเปลี่ยนบุคลากรข้างบน โดยที่โครงสร้างสังคมไม่ได้เปลี่ยนเลย ที่เอ่ยถึงชื่อ เสธ. แดงในครั้งนี้ ไม่ได้แปลว่าผมเห็นด้วยกับการที่อำมาตย์จะกลั่นแกล้งเขาด้วยกฎหมายสอง มาตรฐานแต่อย่างใด แต่เพื่อเสนอว่าเราไม่ควรเดินตามแนวของเขาต่างหาก เพราะมันเป็นทางตันที่จะจบด้วยโศกนาฏกรรม
คนเสื้อแดง บางส่วนเลือกทางลัดที่เป็นทางตันในรูปแบบนักการเมืองอันธพาลด้วย นักการเมืองพวกนี้ถูกเลือกมาเพราะบางคนคิดว่าหัวแข็ง ปากจัด ไม่กลัวใคร แต่นั้นเป็นคุณสมบัติเพียงพอจริงหรือ? การเลือกคุณสมัครมาเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งๆ ที่คุณสมัครเคยรับใช้เผด็จการและมีส่วนในเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา มีปัญหา แย่กว่านั้นการทำงานร่วมกับนักการเมืองอันธพาลแบบ เฉลิม อยู่บำรุง ก็มีปัญหามาก มันไม่ช่วยให้ประชาธิปไตยเกิดเร็วขึ้นแต่อย่างใด
การหาทางลัด กับอันธพาลจะสร้างอุปสรรค์กับประชาธิปไตย และที่สำคัญมันเสี่ยงกับการทำให้ขบวนการเสื้อแดงมีลักษณะคล้ายๆ พันธมารฯ เราเคยวิจารณ์การ์ดพันธมารฯว่ามันเป็นโจร แล้วภาพของนักรบพระเจ้าตากจะเป็นอย่างไร? เรามีการเปิดโปงความชั่วของนักการเมืองฝ่ายอำมาตย์ แล้วนักการเมืองฝ่ายเราดีงามทุกคนหรือไม่? เราไม่ควรใช้วิธีการและสองมาตรฐานเหมือนอำมาตย์ใช้ ผมไม่ใช่พวก “สองไม่เอา” ที่หาความบริสุทธิ์โดยไม่เลือกข้างแล้วตั้งตัวขึ้นมาเป็นผู้พิพากษา ผมเลือกเป็นคนเสื้อแดง เพราะขบวนการคนเสื้อแดงไม่เหมือนพันธมารฯ และอำมาตย์
ทางลัดคือทางตัน เราต้องสู้เพื่ออุดมการณ์ด้วยวิธีอุดมการณ์
รัฐบาลพลัดถิ่น
แล้ววลี “กงล้อแห่งประวัติศาสตร์” ก็มีน้ำหนักขึ้นในทันทีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ประกาศคำว่า “รัฐบาลพลัดถิ่น” ออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ ระหว่างการปราศรัยผ่านดาวเทียมกับมวลมหาประชาชนที่กำลังชุมนุมทวงแผ่นดินคืนจากอำมาตย์ ณ เขาสอยดาว จันทบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๓ ผมทราบว่าหลายท่านน้ำตาไหล และหลายท่านหายใจอย่างโล่งอกว่านี่แหละเกียรติภูมิที่ควรเป็นของขบวนการประชาธิปไตยตัวผมนั่งอยู่อีกมุมโลกหนึ่ง รู้สึกประหนึ่งว่าเราชนะแล้วด้วยซ้ำไปรัฐบาลพลัดถิ่นคืออะไร ทำไมสำคัญถึงขนาดนี้ เราจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้จริงหรือ ทั่วโลกเขาจะเอากับเราหรือ?ผมได้ยินคำถามดังออกมาจากหัวใจของพวกเราที่ร่วมต่อสู้และปรารถนาจะเห็นชัยชนะอย่างไม่มีเงื่อนไขของฝ่ายประชาชน วันนี้ต้องตอบคำถามเหล่านั้นให้ชัดเจนหรืออย่างน้อยต้องลดความสงสัยลงบ้าง รัฐบาลพลัดถิ่น หรือ government-in-exile เป็นวิถีทางต่อสู้อย่างหนึ่งของขบวนการการเมืองในแต่ละประเทศ เมื่อการต่อสู้ในประเทศตนไม่อาจเป็นไปได้แล้ว โลกหรือประชาคมระหว่างประเทศ โดยองค์การสหประชาชาติคือผู้ประกันสิทธิตามธรรมชาติในข้อนี้ของขบวนการการเมืองใดๆ ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างบริสุทธิ์ใจจากมวลชนจำนวนมากในประเทศนั้นๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นกลไกการต่อสู้ที่โลกยอมรับ และถือเป็นการรณรงค์ทางการเมืองโดยสันติวิธีอย่างหนึ่งรัฐบาลพลัดถิ่นจึงไม่ใช่รัฐบาลเถื่อน มิหนำซ้ำ หากรัฐบาลนั้นๆ ตั้งขึ้นบนความยอมรับนับถือของประชาคมระหว่างประเทศและได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอในประเทศของตนแล้ว ยังเกิดผลอีกอย่างหนึ่งคือทำให้รัฐบาลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามในขณะนั้น หมดสิ้นความชอบธรรมลงไปทันที มหาประชาชนจะฉุดกระชากลากลงมาจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเสียเมื่อไหร่ก็ได้ ครับ ถ้า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาได้สำเร็จ รัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลสุรยุทธ์ รัฐบาลปีย์ รัฐบาลเปรม และรัฐบาลเขายายเที่ยงบวกกับตาเที่ยง หรือรัฐบาลเวรกรรมใดๆ ที่มาจากการปล้นอำนาจรัฐจากประชาชนด้วยกำลังกองทัพ ตุลาการวิบัติ หรือองค์กรอิสระ (แต่เป็นทาสอำมาตย์) จะกลายสภาพเป็นรัฐบาลเถื่อนในทันทีการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นคำประกาศว่าใครคือรัฐบาลตัวจริงรัฐบาลตัวจริงหมายถึงรัฐบาลที่มีความชอบธรรมอย่างแท้จริง และรัฐบาลมีฐานประชาชนหนุนอย่างเพียงพอ ไม่ใช่รัฐบาลที่มีคนเรียกฝ่ายตุลาการออกมาวางแผนปล้นให้ ไม่ใช่รัฐบาลที่คอยแก้ไขปัญหาปากคอกอย่างเพลี้ยสีน้ำตาลหรือทะเลกัดเซาะชายฝั่งที่ปักษ์ใต้ โดยไม่ได้แก้ไขปัญหาจากเหตุปัจจัยหลัก เพราะทำเพียงเพื่อจะหาทางผันงบประมาณออกมาใช้กันให้อ้วนท้วนไปตามๆ กันเท่านั้นที่มาของรัฐบาลก็ต้องชอบธรรม การทำงานในขณะเป็นรัฐบาลหรือขณะที่ถืออำนาจรัฐอยู่ก็ต้องชอบธรรม เรียกว่าชอบธรรมตั้งแต่หัวจรดเท้าและยาวนานตลอดวาระการดำรงตำแหน่งรัฐบาลเฮียดึงหรือเจ๊ดันอย่างรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์และนายอภิสิทธิ์จึงขาดชอบธรรมอย่างเด็ดขาด จะดูที่มาของรัฐบาลหรือวิธีการใช้อำนาจรัฐ ก็ขาดด้วนหมด ไม่ต่างอะไรจากคนเป็นสมีปาราชิก แต่ไปหลอกสาธุชนว่าเป็นพระ ให้ศีลให้พรคนจนยุ่งไปหมด เผลอๆ ยังหน้าด้านไปทำหน้าที่อุปัชฌาย์หรือเป็นพระพี่เลี้ยงนวกะสร้างพระใหม่อีกต่างหากแล้วจะตั้งได้หรือ รัฐบาลพลัดถิ่นที่ว่านี้?เจ้าของประเทศไทยคือประชาชนส่วนมากอาจจะยังไม่ทราบว่า วันที่เราถูกปล้นอำนาจรัฐในวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เราเกือบจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นกันแล้ว ในวันนั้นนายกรัฐมนตรีของเราก็อยู่ที่องค์การสหประชาชาติพร้อมกับผู้นำทั่วโลกอีกมากมาย ต่างฝ่ายต่างมาร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติประจำปีกันในโอกาสนั้นทั้งสิ้นเลขาธิการสหประชาชาติในเวลานั้นคือนายโคฟี่ อันนัน ก็ย้ำคำเชิญให้นายกรัฐมนตรีทักษิณขึ้นกล่าวปราศรัยตามกำหนดการเดิม โดยไม่คำนึงถึงการรัฐประหาร เป็นการประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดว่าองค์การสหประชาชาติยอมรับรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่รับรัฐบาลที่ซากเดนศักดินาร่วมกันตั้งขึ้นในเมืองไทยเราสามารถตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้อย่างง่ายดายราวดีดนิ้วเหตุที่ไม่ได้ตั้ง เพราะเจตนาในขณะนั้นคือความสมานฉันท์ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ในขณะที่ “สติ” ยังตามไม่ทัน “จิต” ไม่รู้ว่าเขาพูดคำว่าสมานฉันท์แบบย้ำๆ ยานๆ เพื่อให้มีเวลาบรรจุกระสุนปืน หรือไม่ก็มีเวลาผสมยาพิษให้เต็มแก้วเรียนปริญญาตรีก็ใช้เวลาในราว ๔ ปี ปีแรกอาจไร้เดียงสา ทำตัวเหมือนอยู่ชั้นมัธยม ปีสองและปีสามแก่กล้าขึ้นบ้าง ทั้งในทางปัญญาและอารมณ์ จนถึงปีสี่ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนจบ ถึงขั้นจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ก็ถือว่าประเสริฐ ไม่มีอะไรสูญเปล่าสามปีที่ผ่านมาคือช่วงเวลาบ่มเพาะทั้งความพร้อมเพรียงและความมั่นใจในตัวเองของขบวนการประชาธิปไตย เรารักกัน เราทะเลาะกัน เราเห็นด้วย เราเห็นแย้ง เราขาดความเชื่อมั่น เราเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ในที่สุดเราก็เดินมาถึงยุทธศาสตร์เดียวกันถึงวันนี้ใครที่ถือยุทธศาสตร์คนละเล่มก็ถือว่าอยู่กันคนละสนามแล้ว ถ้าสามปียังคิดไม่ได้ ก็คงไม่ต้องคิด เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะเป็นไพร่และเป็นทาสต่อไปเหมือนนกติดยาในกรงเหล็กที่เขาขังไว้ขายคนชอบปล่อยนก แต่เราจะไม่ยอมให้คนเหล่านั้นเข้ามาทำลายยุทธศาสตร์หลักของเราเป็นอันขาดรัฐบาลพลัดถิ่นเป็นสิ่งที่ทำได้ และต้องทำเมื่อเกิดเงื่อนไขที่เหมาะสมในทางการเมืองการยึดอำนาจรัฐประหารเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น ตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งแปลว่าสังคมขาดความยุติธรรมอย่างร้ายแรง มนุษย์ทุกคนมิได้เสมอภาคกันตามกฎหมายอย่างที่เขาโฆษณาชวนเชื่อ ก็เป็นเหตุได้การใช้ความรุนแรงกับมวลมหาประชาชนที่ใช้สิทธิ์ในการประท้วงอย่างสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ ก็เป็นเหตุได้การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง อย่างคำกล่าวของผู้บริหารองค์การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ หรือ Human Rights Watch ที่ว่า “...ถึงบางครั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะกล่าวถึงสิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่การกระทำของนายอภิสิทธิ์กลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม รัฐบาลชุดนี้ได้บั่นทอนการเคารพสิทธิมนุษยชนและนิติธรรมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง...” หรือ “...ประชาธิปไตยในประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ บรรยากาศแห่งความหวาดกลัวได้ปกคลุมสังคมอินเตอร์เน็ต เนื่องจากการที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เพิ่มระดับการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น...” สภาพความพิการล่าสุดของเมืองไทยภายใต้อำมาตย์อย่างนี้ ก็เป็นเหตุได้รัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นสมบัติสาธารณะและเป็นกลไกของเราในฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ต้องไปฟังความเห็นของเหล่าขี้ข้าอำมาตย์ในรัฐบาลหรอกครับ เพราะเราไม่ได้ต้องพึ่งอะไรเขาในการจัดตั้งถึงเวลาอันเหมาะสม เราตั้งได้แน่ครับ.
**********************************************************************************************************************ที่มา : คอลัมน์ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 35 (ศุกร์ที่ 29 ม.ค. 53)
Wednesday, January 27, 2010
การปฏิวัติของประชาชนในประเทศไทย
บัดนี้ ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยได้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า พร้อมแล้วที่จะแตกหักกับฝ่ายประชาธิปไตย เพราะพวกเขาหมดเวลารอคอยและหมดทางเลือกที่จะเดิน การปราบปรามผู้รักประชาธิปไตยที่กำลังจะมาถึงจะนำไปสู่ “การปฏิวัติของประชาชน” ที่มวลชนผู้รักสันติไม่ได้ต้องการ แต่ฝ่ายเผด็จการนั่นแหละที่จะเป็นผู้ก่อขึ้น ผลลัพธ์จะไม่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงส่วนตัวของผู้ใด แต่จะกำหนดโดยพลวัตของประวัติศาสตร์ที่การเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากจะต้องมาถึงไม่ช้าก็เร็ว
1. รัฐประหาร 19 กันยายน ที่ยังไม่เสร็จสิ้น
ในตลอดกว่าสามปีมานี้ ความผิดพลาดสำคัญที่สุดของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยคือ การก่อรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 อันนำมาซึ่งผลที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้ถึงปัจจุบัน
นับแต่รัฐประหารปี 2500 เป็นต้นมา พวกเขาได้สถาปนาระบอบเผด็จการจารีตนิยมขึ้นมาอย่างมั่นคง โดยมีเปลือกนอกที่สลับกันระหว่างเผด็จการทหารที่เปิดเผยกับระบอบรัฐสภาที่มีรัฐบาลเลือกตั้งเป็นหุ่นเชิด พวกเขาเผยโฉมหน้าที่แท้จริงที่เป็นเผด็จการและก่อรัฐประหารแต่ละครั้งเมื่อพวกเขาต้องใช้กำลังรุนแรงเพื่อแก้ไขความขัดแย้งกันเองในกลุ่มปกครอง หรือเพื่อปราบปรามประชาชน (เช่น รัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519) หรือเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่บังเอิญมีนายกรัฐมนตรีที่พวกเขาไม่พึงประสงค์ (รัฐประหาร 2534 และ 2549) หลังจากนั้น พวกเขาก็จะยอมให้มีระบอบรัฐธรรมนูญและรัฐสภา ใช้เป็นหน้ากากปกปิดใบหน้าปีศาจที่แท้จริงของพวกเขา เพื่อหลอกลวงทั้งประชาชนไทยและชาวโลก โดยเนื้อในอำนาจรัฐก็ยังคงเป็นการใช้อำนาจแฝงเร้นของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยอยู่เหมือนเดิม
ในอดีต พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างเด็ดขาดทุกครั้งในการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลในระบอบรัฐสภา ภายหลังรัฐประหารแต่ละครั้ง พวกเขาก็ร่างรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อในเป็นเผด็จการ ให้มีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลหุ่นเชิดของตน ในขณะที่อดีตผู้นำรัฐบาลที่ถูกโค่นล้มไปแล้ว ล้วนหมดอำนาจและสถานะทางการเมืองโดยไม่สามารถย้อนกลับมาท้าทายอำนาจเผด็จการแฝงเร้นได้อีก พวกเขาจึงเชื่อมั่นว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จะเป็นเหมือนทุกครั้งในอดีต แต่การณ์กลับไม่เป็นไปตามคาด เนื่องจากผู้นำรัฐบาลพรรคไทยรักไทยยังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากประชาชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบท อีกทั้งผลสะเทือนของรัฐธรรมนูญ 2540 และผลสำเร็จของรัฐบาลช่วงปี 2544-2548 ทำให้เกิดการตื่นตัวทางประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนชั้นล่างจำนวนมาก ก่อตัวเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารขึ้นมาอย่างช้า ๆ
ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไม่เข้าใจว่า โครงสร้างเศรษฐกิจและดุลกำลังทางชนชั้นของไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เป็นต้นมา พวกเขาจึงประเมินศักยภาพของอดีตผู้นำพรรคไทยรักไทยและการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารต่ำเกินไป หลังจากยัดเยียดรัฐธรรมนูญเผด็จการฉบับ 2550 แล้ว ก็ให้มีการเลือกตั้ง โดยเชื่อมั่นว่า ด้วยการหนุนช่วยอย่างทั่วด้านจากกองทัพ หน่วยราชการ และองค์กรหุ่นตามรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์อันเป็นตัวแทนเผด็จการจารีตนิยมจะชนะเลือกตั้งเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลได้ตามประสงค์ แต่การณ์กลับเป็นว่า พรรคพลังประชาชนภายใต้การสนับสนุนของฝ่ายประชาธิปไตยชนะเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาได้
พวกเขาจึงต้องส่งกลุ่มอันธพาลการเมืองเสื้อเหลืองออกมาสร้างสถานการณ์จลาจลบนท้องถนน ยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบิน สร้างสถานการณ์วุ่นวายเพื่อบั่นทอนรัฐบาล ประสานกับพรรคประชาธิปัตย์และองค์กรตามรัฐธรรมนูญทำลายพรรคพลังประชาชนและคณะรัฐบาล แล้วให้กองทัพก่อรัฐประหารเงียบจัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นหุ่นเชิดได้สำเร็จในที่สุด อันเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของรัฐประหาร 19 กันยายน
การเคลื่อนไหวของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยโดยใช้เครือข่าย “สี่ขาหยั่ง” อันได้แก่ กลุ่มอันธพาลการเมืองเสื้อเหลือง พรรคประชาธิปัตย์ องค์กรรัฐธรรมนูญ และคณะนายทหาร ประสานร่วมมือกันทำลายรัฐบาลพรรคพลังประชาชน บรรลุเป็นรัฐประหารเงียบเมื่อเดือนธันวาคม 2551 จึงเป็นการต่อเนื่องของรัฐประหาร 19 กันยายนที่ยังไม่เสร็จสิ้นนั่นเอง
2. รัฐบาลเลือกตั้งที่อ่อนแอและทุจริตคือความจงใจของอำมาตยาธิปไตย
ระบอบรัฐธรรมนูญ 2550 และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นกรณีตัวอย่างรวบยอดที่แสดงถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการใช้ประโยชน์จากระบอบรัฐสภาโดยพวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตย สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ รัฐสภาที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองขนาดเล็กที่อ่อนแอ ให้มีรัฐบาลหุ่นเชิดไร้อำนาจที่แท้จริงในการบริหารแผ่นดิน แต่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจแฝงเร้นของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย เป็นรัฐบาลที่ไร้ความสามารถและไม่อาจแก้ปัญหาของประชาชนได้ เต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชั่น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย นักการเมืองคือต้นเหตุแห่งปัญหาและความเลวร้ายทั้งปวง ประชาชนไม่อาจหวังพึ่งตนเองด้วยการใช้สิทธิทางประชาธิปไตยไปเลือกนักการเมืองที่มีความสามารถเข้ามาแก้ปัญหาของพวกเขา
สิ่งที่เผด็จการอำมาตยาธิปไตยต้องการคือประชาชนไทยที่เอาแต่ชูสองมือ เงยหน้าชะเง้อรอคอยความเมตตา “หยาดฝนจากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน” จากพวกเขาที่เป็นผู้ปกครองอันเปี่ยมไปด้วยความกรุณา คุณธรรม จริยธรรม สุจริตขาวสะอาด และสูงส่งตลอดไปเท่านั้น
เราจึงได้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นหุ่นเชิดของเผด็จการ เป็นรัฐบาลที่ไร้ความสามารถทางบริหาร เต็มไปด้วยวาทศิลป์ที่เป็นเท็จ การกอบโกยผลประโยชน์ และทุจริตคอรัปชั่น ทั้งหมดนี้ นอกจากจะแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยและรัฐสภานั้นล้มเหลวดังกล่าวแล้ว จุดประสงค์อีกประการหนึ่งของพวกเขาก็คือ ในเงื่อนไขที่เหมาะสม พวกเขาก็จะใช้ความล้มเหลวในการบริหารและทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลเป็นข้ออ้างก่อรัฐประหารได้อีกครั้ง
พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุที่แท้จริงของความล้มเหลวของประชาธิปไตยและระบอบรัฐสภาในประเทศไทย เป็นที่มาของรัฐบาลเลือกตั้งที่ล้มเหลวและทุจริต นักการเมืองทรยศขายตัว และความเลวร้ายทั้งปวงที่ผู้คนหลงเข้าใจว่า เกิดจากระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม และในท้ายสุด พวกเขานั่นแหละที่เป็นรากเง่าของรัฐประหารทุกครั้งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2500
3. อำมาตยาธิปไตยมาถึงทางตัน
หนึ่งปีของรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เต็มไปด้วยความล้มเหลวและทุจริตคอรัปชั่น ตลอดจนความอยุติธรรมเลือกข้างของกระบวนการยุติธรรมที่กระทำกันอย่างโจ่งแจ้งไร้ยางอาย ทำให้ประชาชนที่มีธรรมชาติที่รักความยุติธรรมไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้ และกระตุ้นให้การเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมแผ่ขยายออกไปทั่วประเทศในหมู่ชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบท กรณี “สงกรานต์นองเลือด” มีผลเพียงทำให้ขบวนประชาธิปไตยชะงักงันไปช่วงสั้น ๆ แต่ก็สามารถฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำความอยุติธรรมที่รัฐบาล กองทัพ และกระบวนการยุติธรรมรวมหัวกันภายใต้การบงการของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยทำการกดขี่ประชาชน เปิดเผยเนื้อแท้ของระบอบอำมาตยาธิปไตยว่า พวกชนชั้นปกครองและสมุนของพวกเขานั้นคือผู้บัญญัติและใช้กฎหมายที่แท้จริง กฎหมายสำหรับพวกเขาจึงมิได้มีไว้เพื่อทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ในขณะที่กองทัพก็มิใช่กองทัพของชาติและประชาชน หากแต่เป็นเพียง “กองกำลังอาวุธส่วนตัว” ของกลุ่มเผด็จการอำมาตยาธิปไตย
ทั้งหมดนี้ได้ยกระดับความตื่นตัวรับรู้และสร้างความโกรธแค้นในมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ขบวนการประชาธิปไตยยิ่งขยายตัว ประชาชนได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญว่า ประชาธิปไตยและความเป็นธรรมไม่อาจได้มาด้วยการวิงวอนร้องขอ แต่ต้องได้มาด้วยการต่อสู้ของประชาชนเอง แม้กระทั่งกรณี “การถวายฎีกา” ก็เป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนว่า ต้องการประชาธิปไตยและความเป็นธรรม
รัฐบาลประชาธิปัตย์ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการแย่งชิงมวลชนไปจากฝ่ายประชาธิปไตย ทุกวันนี้ รัฐบาลประชาธิปัตย์และนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดเป็นที่ดูถูก เยาะเย้ย เกลียดชังอยู่ทั่วไป ในขณะที่ความเรียกร้องต้องการรัฐธรรมนูญ 2540 และอดีตผู้นำไทยรักไทยให้กลับคืนมากลับดังก้อง จึงเป็นที่แน่ชัดแก่พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยว่า จะให้มีการเลือกตั้งในขณะนี้ไม่ได้เป็นอันขาด พวกเขาจะต้องไม่ยุบสภา และหากจำต้องยุบสภา ก็จะต้องไม่ให้มีการเลือกตั้ง
บัดนี้ ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยได้มาถึงทางตันแล้ว พวกเขาได้ใช้เครื่องมือในการปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยมาจนเกือบหมดสิ้น ทั้งอันธพาลการเมืองเสื้อเหลือง กลไกตำรวจ ราชการ นักการเมืองทรยศขายตัว ในขณะที่การใช้กลไกกระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาก็มีข้อจำกัดคือ มีลักษณะจำกัดขอบเขต เชื่องช้า และไม่แม่นยำ ในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เป็นหุ่นเชิดก็อ่อนแอ ไร้ความสามารถ และขาดเอกภาพที่จะต่อกรกับอดีตผู้นำไทยรักไทยและขบวนประชาธิปไตยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประการสำคัญคือ พวกเขาตระหนักว่า “เวลาใกล้หมดแล้ว” ขณะที่ “เวลา” เป็นของฝ่ายประชาธิปไตย หากพวกเขาปล่อยให้สถานการณ์ประชาธิปไตยคลี่คลายไปดังเช่นหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเขาก็จะมีโอกาสน้อยลงเรื่อย ๆ ที่จะขจัดขบวนการประชาธิปไตยให้หมดไป
ที่ผ่านมา ได้มีสัญญาณบ่งชี้มาเป็นลำดับว่า ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยกำลังเตรียมแผนการกันอย่างขมักเขม้นเพื่อปราบปรามประชาชนในขั้นเด็ดขาด พวกเขาให้บรรดานักการเมืองและนักวิชาการขายตัวที่เป็นสมุนรับใช้ของพวกเขา เรียงหน้ากันออกมาป่าวร้องกันอย่างเปิดเผยว่า “ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง” ให้สื่อสารมวลชนกระแสหลักทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ที่เป็นสมุนเผด็จการปลุกปั่นโฆษณาชวนเชื่อ ใส่ร้ายป้ายสีอันเป็นเท็จว่า ขบวนการประชาธิปไตยเสื้อแดงเป็น “พวกโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์” และ “ขบวนการสาธารณรัฐ” การรื้อฟื้นกลุ่มอันธพาลเสื้อเหลือง การเคลื่อนไหวนอกสภาของนักการเมืองบางคนในพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยขององคมนตรีบางคนและคณะนายทหาร เป็นต้น
พวกเขาพลาดโอกาสที่จะขุดรากถอนโคนขบวนการประชาธิปไตยไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสงกรานต์ปี 2552 แต่คราวนี้ พวกเขาจะไม่พลาดโอกาสนั้นอีกแล้ว!
4. “การต่อสู้เพื่อเสรีภาพของประชาชน”
เบื้องหน้าภัยจากการปราบปรามของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องไม่ประมาท หากแต่ตระเตรียมรับมือกับการรุกของเผด็จการ การทำงานมวลชนขั้นพื้นฐานยังคงเน้นขยายฐานมวลชน จัดตั้งมวลชน เพิ่มจำนวนสมาชิก ก่อรูปคณะแกนนำหลัก และตระเตรียมคณะแกนนำสำรองในสถานการณ์ฉุกเฉิน เชื่อมต่อและสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายทั้งระดับชาติและท้องถิ่น ร่วมมือสามัคคี เน้นจุดร่วมที่มุ่งสร้างประชาธิปไตย สร้างแนวร่วมกับกลุ่มคนที่เห็นต่างที่ไม่ใช่สมุนอำมาตยาธิปไตย บริหารจัดการทรัพยากรคน วัสดุและการเงินที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ ให้มีโครงสร้างการจัดตั้งและแผนงานสำรองสำหรับสถานการณ์สู้รบที่กำลังมาถึง
แต่ในขณะที่ขบวนการประชาธิปไตยกำลังเคลื่อนเข้าสู่ “สถานการณ์สู้รบ” การเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตยต้องยึดเป้าหมายทางการเมืองเฉพาะหน้าให้ชัดเจนคือ โค่นล้มระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย นำเอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับคืนมา ขจัดอำนาจและกลไกรัฐธรรมนูญของอำมาตยาธิปไตยที่เป็นอิทธิพลแฝงเร้นคุกคามรัฐบาลเลือกตั้งและเป็นรากเหง้าของรัฐประหารมาทุกยุคสมัย ในด้านยุทธวิธีการเคลื่อนไหว การรุกทางการเมืองจะต้องดำเนินไปพร้อมกับการตระเตรียม “รับ” ในสถานการณ์ที่ฝ่ายเผด็จการตัดสินใจใช้ความรุนแรง เพื่อจำกัดและลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด และเพื่อ “การรุกตีโต้กลับ” เมื่อฝ่ายเผด็จการดำเนินจังหวะก้าวที่ผิดพลาด
คณะแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) “แดงทั้งแผ่นดิน” ที่นำโดยประธานวีระ มุสิกพงศ์ ได้พิสูจน์ตนเองท่ามกลางการต่อสู้ที่ยืดเยื้อและเสี่ยงอันตรายแล้วว่า พวกเขาเป็นแกนนำที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว อดทน ชาญฉลาด ยืดหยุ่นพลิกแพลง ไว้วางใจได้ และเสียสละอย่างสูง สมควรอย่างยิ่งที่ได้รับความรักและเชื่อมั่นศรัทธาอย่างเหนียวแน่นจากมวลชนประชาธิปไตยทั่วประเทศ
ประชาชนไม่ว่าในที่ใดในโลกล้วนต้องการสันติและประนีประนอม เพราะพวกเขามีแต่สองมือเปล่า ไม่มีอาวุธ ไม่มีกองทัพ กฎหมาย และกลไกยุติธรรมเป็นเครื่องมือ ประชาชนจึงปฏิเสธความรุนแรงเสมอมา ข้อเท็จจริงชี้ว่า ผลของความรุนแรงใด ๆ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งในประวัติศาสตร์ในแต่ละประเทศทั่วโลกคือ การบาดเจ็บสูญเสียของฝ่ายประชาชนล้วน ๆ
แต่พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยของไทยก็เหมือนกับพวกเผด็จการในประเทศอื่น ๆ คือ แม้จะเห็นประสบการณ์ซึ่งเผด็จการในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกในท้ายสุดล้วนต้องพ่ายแพ้ต่อประชาธิปไตย แต่เผด็จการในทุกประเทศก็ล้วนเชื่อเหมือน ๆ กันว่า ประเทศตนเป็นข้อยกเว้นและจะสามารถฝืนกระแสประวัติศาสตร์ไปได้ พวกเขาจึงกระทำผิดพลาดซ้ำ ๆ เหมือนกันด้วยการปฏิเสธความต้องการของประชาชนและเชื่ออย่างผิด ๆ ว่า หากใช้กำลังเด็ดขาดเข้าปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยอีกสักครั้ง ใช้ความโหดเหี้ยมสยดสยองของอำนาจรัฐ ก็จะกำราบให้ประชาชนหวาดกลัวยอมจำนน และยืดอายุอำนาจเผด็จการของพวกตนออกไปได้อีก
เผด็จการอำมาตยาธิปไตยไทยจึงเชื่อว่า พวกเขาจะฝ่าวิกฤตคราวนี้ไปได้เช่นเดียวกับที่เขาทำสำเร็จมาแล้วจากการปฏิวัติ 2475 และกระแสประชาธิปไตยหลัง 14 ตุลาคม 2516 พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่า ในเวลานี้ เงื่อนไขของสังคมไทยและสังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง วันเวลาและ “สวรรค์” ของพวกเขาใกล้หมดแล้ว การลงมือปราบปรามประชาชนที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเป็นความผิดพลาดของพวกเขา และอาจจะลุกลามออกไปเป็น “การปฏิวัติของประชาชน” ที่พวกเขาไม่อาจเอาชนะได้
การปฏิวัติของประชาชนที่จะเกิดขึ้น จะดำเนินไป “จนถึงที่สุด” เพียงใดนั้นมิใช่ฝ่ายประชาชนเป็นผู้กำหนด หากแต่ขึ้นอยู่กับการกระทำของฝ่ายเผด็จการเอง หากพวกเขาไม่ยินยอมที่จะถอยออกไปแต่โดยดีและยังใช้กำลังรุนแรงต่อประชาชน การต่อสู้ของประชาชนก็จะดำเนินไปจนถึงที่สุดโดยตัวมันเอง โดยไม่มีแกนนำคนใดหรือแม้แต่อดีตผู้นำไทยรักไทยจะคาดหมายและควบคุมได้
นักปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวไว้เมื่อสองร้อยปีมาแล้วว่า “ประวัติศาสตร์ไม่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงส่วนตนของปัจเจกชนคนใด” ไม่ว่าผู้นำจะคิดอย่างไร มีเจตจำนงทางอัตวิสัยอย่างไร มีความปรารถนาในทาง “สายกลางและประนีประนอม” สักเพียงใด หากไม่เป็นไปตามทิศทางของประวัติศาสตร์และความต้องการที่แท้จริงของมวลชนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก ผู้นำเหล่านั้นก็จะตกขบวนในที่สุด
การต่อสู้ของประชาชนเพื่อไปบรรลุประชาธิปไตยนั้น ไม่ว่าในยุคใดสมัยใดและถิ่นฐานใด ล้วนแต่ยืดเยื้อยาวนาน ยากลำบากทั้งสิ้น การเคลื่อนไหวคืบหน้าไปแล้วก็ถดถอย แล้วก็คืบหน้าอีก สู้แล้วแพ้ ก็กลับมาสู้ใหม่ เป็นกระแสขึ้นและลง การชะงักหรือถดถอยอาจเป็นเพียงชั่วครู่ไม่กี่เดือนกี่ปี ไปจนถึงยาวนานหลายสิบปีในระหว่างนั้น เแม้ประชาชนจะถูกสกัดกั้น ถูกกดขี่ ถูกใช้กำลังรุนแรงปราบปราม บาดเจ็บล้มตาย กระทั่งนองเลือดอย่างสาหัส แต่การต่อสู้ของประชาชนก็ฟื้นกลับมาเป็นกระแสใหญ่ได้อีกทุกครั้งจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
การต่อสู้ของประชาชนในสังคมและยุคสมัยที่ต่างกันอาจมีสาเหตุเฉพาะหน้าที่ต่างกัน แต่เหตุผลสำคัญที่สุดมีเพียงประการเดียวคือ “ประชาชนต้องการเสรีภาพ”
Saturday, January 23, 2010
ตรวจสอบองค์การนำ ด้วยหลักการของระบอบประชาธิปไตยรวมศูนย์
ระบอบประชาธิปไตยรวมศูนย์คือ ระบอบที่ประสานกันเข้าระหว่าง การรวมศูนย์บนพื้นฐานประชาธิปไตย และประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำของการรวมศูนย์ เป็นหลักการจัดตั้งของพรรคการเมืองชนชั้นกรรมาชีพ เป็นการแสดงออกของการเดินแนวทางมวลชนภายในองค์กร อย่างที่เราเรียกว่า มาจากมวลชน กลับไปสู่มวลชน
มันเป็นเอกภาพของด้านตรงข้ามที่วิภาษกัน (ทั้งตรงกันข้ามกันและเป็นเอกภาพกัน) มีแต่อยู่บนพื้นฐานประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ จึงจะสามารถทำการรวมศูนย์ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ มีแต่อยู่ภายใต้การรวมศูนย์ที่ถูกต้องสมบูรณ์ จึงจะสามารถมีชีวิตประชาธิปไตยที่คึกคักมีชีวิตชีวา
ถ้ามีแต่รวมศูนย์ ไม่พูดถึงประชาธิปไตย นั่นคือการรวมศูนย์แบบลัทธิขุนนาง ถ้ามีแต่ประชาธิปไตย ไม่พูดถึงการรวมศูนย์ ย่อมจะนำไปสู่ประชาธิปไตยสุดขั้วและอนาธิปไตย
ระบอบประชาธิปไตยรวมศูนย์ ได้จัดวางความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคลกับจัดตั้ง ชั้นล่างกับชั้นบน ฝ่ายนำกับฝ่ายถูกนำ ภูมิภาคกับส่วนกลาง เฉพาะส่วนกับส่วนทั้งหมด ไว้อย่างถูกต้อง สมเหตุสมผล
บุคคลขึ้นต่อจัดตั้ง คำว่าจัดตั้งหมายถึงคณะบุคคล (หน่วยพรรครวมทั้งคณะกรรมการชั้นต่าง ๆ สมาชิกพรรคทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด ล้วนต้องมีสังกัดหน่วยหรือคณะกรรมการแต่ละชั้น ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคล ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับจัดตั้ง
เช่น นาย ก. เป็นกรรมการบริหารกลาง สังกัดคณะกรรมการบริหารกลาง นาย ข. เป็นสมาชิกพรรคธรรมดา สังกัดหน่วยพรรคใดหน่วยพรรคหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างนาย ก. กับ นาย ข. เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคล ถ้านาย ก. มีความเห็นต่อปัญหาใดปัญหาหนึ่ง นาย ข. มีความเห็นแย้ง นาย ก.จะสวมหมวกให้ นาย ข. ว่าไม่ขึ้นต่อจัดตั้งไม่ได้
เพราะว่า นาย ก. เวลานี้ เป็นแค่ตัวบุคคลไม่ใช่คณะบุคคล แต่ถ้านาย ก.นำมติเกี่ยวกับปัญหาใดปัญหาหนึ่งของคณะกรรมการบริหารกลาง ลงมาถ่ายทอดต่อ นาย ข. นาย ข. ไม่ปฏิบัติตาม นั่นจึงจะเรียกว่านาย ข. ไม่ขึ้นต่อจัดตั้ง มีความผิดฐานละเมิดหลักการในระบอบประชาธิปไตยรวมศูนย์ในข้อที่ว่า บุคคลขึ้นต่อจัดตั้ง
บุคคลขึ้นต่อจัดตั้ง ยังเป็นการแสดงออกของเสียงข้างน้อยขึ้นต่อเสียงข้างมากอีกด้วย เพราะว่า มติทุกมติที่ผ่านออกมานั้น ล้วนต้องผ่านกระบวนการประชาธิปไตย แล้วรวมศูนย์ขึ้นมา กลายเป็นมติโดยเสียงข้างมากแล้วทั้งสิ้น
ชั้นล่างขึ้นต่อชั้นบน ชั้นล่างกับชั้นบนในที่นี้หมายถึง องค์การจัดตั้งไม่ใช่ตัวบุคคล เช่น คณะกรรมการบริหารชั้นต่าง ๆ ตั้งแต่หน่วยพรรค ซึ่งเป็นองค์การจัดตั้งชั้นพื้นฐานที่สุด ไปจนถึงคณะกรรมการบริหารกลาง
ชั้นล่างขึ้นต่อชั้นบนหมายถึงว่า หน่วยพรรคต้องขึ้นต่อและปฏิบัติตามคณะกรรมการบริหารตำบล คณะกรรมการบริหารตำบลขึ้นต่อและปฏิบัติตามคณะกรรมการบริหารอำเภอ คณะกรรมการบริหารอำเภอ ขึ้นต่อและปฏิบัติตามคณะกรรมการบริหารจังหวัด คณะกรรมการบริหารจังหวัดขึ้นต่อและปฏิบัติตามคณะกรรมการบริหารกลาง
นาย ก.เป็นกรรมการอยู่ในคณะกรรมการบริหารกลาง นาย ข. เป็นกรรมการอยู่ในคณะกรรมการบริหารจังหวัด นาย ก. เป็นชั้นบนของนาย ข. นาย ข. เป็นชั้นล่างของนาย ก. นาย ก. มีความเห็นต่อปัญหาใดปัญหาหนึ่ง นาย ข. ไม่เห็นด้วย ถามว่านาย ข.ผิดหลักการชั้นล่างขึ้นต่อชั้นบนหรือไม่
จะตอบปัญหานี้ได้ ก็ต้องถามว่านาย ก.แสดงความเห็นต่อปัญหานั้น ๆ ในฐานะส่วนตัวหรือว่าเป็นมติขององค์การจัดตั้งที่นาย ก.สังกัดอยู่ ถ้าเป็นความเห็นส่วนตัวของนาย ก. นาย ข.ไม่เห็นด้วย นาย ก.จะเที่ยวสวมหมวกให้นาย ข.ซึ่งเป็นชั้นล่างว่า ไม่ยอมขึ้นต่อชั้นบนไม่ได้
แต่ถ้าความเห็นของนาย ก.เป็นความเห็นโดยมติของคณะกรรมการบริหารกลางที่นาย ก.สังกัดอยู่ นำมาถ่ายทอดแก่นาย ข. นาย ข.ไม่เห็นด้วยและไม่ปฏิบัติตาม นาย ข.ก็มีความผิด ฐานละเมิดหลักการในระบอบประชาธิปไตยรวมศูนย์ ในข้อที่ว่าชั้นล่างขึ้นต่อชั้นบน
ชั้นล่างขึ้นต่อชั้นบน ยังเป็นการแสดงออกของเสียงข้างน้อย ขึ้นต่อเสียงข้างมากอีกด้วย เพราะว่า มติทุกมติที่องค์การจัดตั้งชั้นบนผ่านออกมานั้น ล้วนต้องผ่านกระบวนการประชาธิปไตย แล้วรวมศูนย์ขึ้นมา เป็นมติโดยเสียงข้างมากแล้วทั้งสิ้น
การดำเนินระบอบประชาธิปไตยรวมศูนย์ที่ถูกต้องเป็นระบบ ไม่โน้มเอียงไปทางหนึ่งทางใด ย่อมก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ ในด้านเจตจำนง การจัดตั้งและการปฏิบัติ เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน แต่หากไม่ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ มีการนำไปใช้หรือกล่าวอ้างอย่างผิด ๆ ย่อมทำให้เกิดผลในทางตรงกันข้าม และสุดท้ายระบอบที่ดีก็พลอยถูกปฏิเสธไปด้วย
อย่างเช่นปัญหาที่ดำรงอยู่ภายใน พคท. ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องระบอบประชาธิปไตยรวมศูนย์ หลาย ๆ คนมีความรู้สึกว่า ภายใน พคท. ขาดประชาธิปไตย เน้นแต่การรวมศูนย์ด้านเดียว ไม่ส่งเสริมประชาธิปไตย
ถึงแม้ว่าในทางทฤษฎี ส่งเสริมให้ทุกคนมีลักษณะริเริ่มสร้างสรรค์ กล้าคิดกล้าทำ แต่ในทางปฏิบัติ กลับเน้นการขึ้นต่ออย่างหลับหูหลับตา ให้เชื่อฟังชั้นบน เชื่อพรรคเชื่อจัดตั้ง ตัวอย่างรูปธรรมก็คือ ถ้าใครมีความเห็นแย้งกับสหายนำ มักได้ชื่อว่า เป็นพวกทัศนะพรรคไม่ดี ทัศนะจัดตั้งไม่ดี หนักหน่อยอาจโดนข้อหาค้านพรรค
ใครเชื่อฟังฝ่ายนำ ขึ้นต่ออย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีความเห็นต่าง ไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ จะได้รับการยกย่องว่าเป็นลูกที่ดีของพรรค เป็นต้น
เนื่องจากมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาก เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยรวมศูนย์ของ พคท.จึงน่าจะทำการสำรวจตรวจสอบ ค้นหาข้อดีข้อผิดพลาด เป็นการเก็บรับบทเรียนในอดีตเพื่อจะได้ระมัดวังในอนาคต
เนื้อหาพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยรวมศูนย์ก็คือ องค์การนำชั้นต่าง ๆ รวมทั้งบุคคลชั้นนำล้วนเกิดจากการเลือกตั้ง องค์การนำชั้นต่าง ๆ ต้องรับผิดชอบต่อมวลสมาชิกพรรค รายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ต่อมวลสมาชิกพรรคตามเวลาที่กำหนด (ผ่านตัวแทนของพวกเขา-สมัชชาผู้แทนชั้นต่าง ๆ)
รับฟังความคิดเห็นขององค์การจัดตั้งชั้นล่างและมวลสมาชิกพรรค รับการตรวจสอบจากมวลสมาชิกพรรค การกำหนดเข็มมุ่ง นโยบายและกฎข้อบังคับทั้งปวง รวมทั้งการจัดการปัญหาที่สำคัญ ๆ ล้วนต้องรวมศูนย์ขึ้นมา จากมวลสมาชิกชั้นล่างบนพื้นฐานประชาธิปไตย
จากนั้นจึงผ่านจากมวลสมาชิกชั้นล่างยืนหยัดลงไปสู่การปฏิบัติ องค์การนำชั้นต่าง ๆ ดำเนินหลักการนำรวมหมู่ประสานกับการแบ่งงานรับผิดชอบโดยบุคคล ซึ่งก็หมายความว่าจะต้องจัดให้มีการประชุมสมัชชาผู้แทนระดับต่าง ๆ ตามเวลาที่ได้กำหนดไว้ในระเบียบการพรรค
ข้อเรียกร้องต่าง ๆ ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น จึงจะสามารถปรากฏเป็นจริงได้ แต่โดยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของ พคท. ยังอยู่ห่างไกลจากข้อเรียกร้องเหล่านี้มาก นับแต่สมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2485 จนถึงปัจจุบันรวมเวลา 67 ปี พรรคได้ประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศรวม 4 ครั้ง ดังนี้
สมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 1 ปี พ.ศ. 2485 สมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2495 สมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 3 ปี พ.ศ. 2504 สมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 4 ปี พ.ศ. 2525
จากสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 4 ถึงปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2553 จะเห็นได้ว่าจากสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 1 ถึงครั้งที่ 2 กินเวลา 10 ปี จากสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 2 ถึงครั้งที่ 3 กินเวลา 9 ปี จากสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 3 ถึงครั้งที่ 4 กินเวลา 21 ปี จากสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 4 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 28 ปีแล้ว
ยังมองไม่เห็นปลายอุโมงค์ว่า อยู่ตรงไหนกันแน่ ทั้ง ๆ ที่ในระเบียบการพรรคได้กำหนดเงื่อนเวลาไว้อย่างชัดเจนว่า ให้ประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศกี่ปีต่อครั้ง สำหรับสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 1 กำหนดไว้ปีละครั้ง แต่ในทางปฏิบัติของ พคท. ก็ยืดยาวออกไปเป็นเวลาถึง 10 ปี
ระเบียบการพรรคซึ่งผ่านจากที่ประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศ ครั้งที่ 3 ได้กำหนดให้ประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศทุก 5 ปีต่อครั้ง แต่ในทางปฏิบัติ ก็ยืดเวลาออกไปยาวนานถึง 21 ปี เหตุผลที่ยืด ซึ่งมักถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างอิงก็คือ พรรคอยู่ในภาวะใต้ดิน สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย
ในที่ประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 4 น่าจะมีการถกเถียงปัญหานี้กันมาก เพราะมันเป็นจุดอ่อนที่สำคัญมากข้อหนึ่งของพรรค จำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงให้ได้ ไม่ควรปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ดังนั้น ในระเบียบการพรรค ที่ผ่านในสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 4 จึงได้เขียนไว้ในหมวดที่ 3 ข้อ 29 ดังนี้
“ ข้อ 29 การประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศ ให้คณะกรรมการบริหารกลางเป็นผู้กำหนดและเรียกประชุม ในสภาพปกติ ให้เรียกประชุมทุก 5 ปี ต่อครั้ง ในกรณีพิเศษ คณะกรรมการบริหารกลาง อาจเลื่อนหรือร่นเวลาการประชุมได้
แต่การเลื่อนจะต้องไม่เกินเวลา 1 เท่าตัวตามที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ต้องแจ้งเหตุผลให้องค์การพรรคชั้นจังหวัดทราบ และต้องให้องค์การพรรคชั้นจังหวัด ที่เป็นตัวแทนของสมาชิกพรรคเกินกว่าครึ่ง เห็นด้วย”
คณะกรรมการบริหารกลางชุดที่ 4 ซึ่งได้รับเลือกจาก ที่ประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ. 2525 ต้องเป็นผู้กำหนดและเรียกประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 5 ถ้ามีเหตุอันควรต้องเลื่อน ก็เลื่อนได้ไม่เกินหนึ่งเท่าตัว ทั้งต้องแจ้งเหตุผลให้องค์การจัดตั้งชั้นจังหวัดทราบ และต้องให้องค์การพรรคชั้นจังหวัดที่เป็นตัวแทนของสมาชิกพรรค เกินกว่าครึ่งเห็นชอบด้วย
แต่จนบัดนี้ พ.ศ.2553 ผ่านมาแล้ว 28 ปี ยังไม่เห็นองค์การนำชุดนี้ มีคำชี้แจงต่อสมาชิกทั้งพรรคว่า มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่ยอมเรียกประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 5 แม้แต่การประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการบริหารกลาง ซึ่งระเบียบการพรรคฉบับสมัชชา 4 กำหนดให้เรียกประชุมปีละครั้ง ก็ไม่เคยเรียกประชุม
องค์การนำชุดหนึ่ง ทำงานตามที่สมัชชาผู้แทนทั่วประเทศมอบหมายเป็นเวลา 28 ปี โดยไม่มีการรายงานผลการดำเนินงานต่อที่ประชุม ไม่ต้องรับผิดชอบต่อมวลสมาชิกพรรค ที่เลือกตั้งตนขึ้นมา ไม่ต้องให้พวกเขาสำรวจตรวจสอบการทำงาน ไม่ต้องวิจารณ์ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติงาน
องค์การนำอย่างนี้ยังมีคุณสมบัติ มีความถูกต้องชอบธรรม ที่จะเป็นองค์การนำของพรรคอยู่อีกหรือไม่ ถ้าใช้หลักการของระบอบประชาธิปไตยรวมศูนย์ เป็นบรรทัดฐานในการตรวจสอบก็จะพบว่า
องค์การนำชุดนี้ ไม่ดำรงอยู่แล้วทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย คำพูดและการกระทำของสหายนำคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในองค์การนำชุดนี้ จะถือว่าเป็นความเห็นหรือการกระทำของพรรคขององค์การจัดตั้งไม่ได้
ข้อบกพร่องผิดพลาดขององค์การนำชุดที่ 3 เกี่ยวกับปัญหาไม่เรียกประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศ ตามเวลาที่กำหนด ซึ่งได้สรุปเป็นบทเรียนในที่ประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศครั้งที่ 4 ด้วยการเขียนปิดช่องโหว่ไว้ในระเบียบพรรค เพื่อป้องกันไม่ให้ทำผิดซ้ำอีก
แต่องค์การนำชุดที่ 4 กลับซ้ำรอยประวัติศาสตร์ ไม่เรียกประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศยาวนานถึง 28 ปี แสดงว่า ไม่ได้เก็บรับบทเรียนเลย ดังนั้น ในถ้อยแถลงเนื่องในวันก่อตั้งพรรคครบรอบ 66 ปี ท่านเลขาธิการใหญ่ ธง แจ่มศรี จึงได้ออกมาแถลงในนามส่วนตัว โดยยอมรับว่า
“ นับแต่การประชุมคณะกรรมการบริหารกลางเต็มคณะสมัยที่ 2 ชุดที่ 4 ในปี พ.ศ. 2526 เป็นต้นมา เนื่องด้วยเหตุปัจจัยทั้งทางภววิสัยและอัตวิสัย โดยเฉพาะเหตุปัจจัยทางอัตวิสัย คณะกรรมการบริหารกลางชุดนี้ ก็ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะองค์การนำสูงสุด ของพรรคมาจนบัดนี้ เท่ากับได้สูญเสียบทบาทขององค์การนำไปแล้วโดยสิ้นเชิง ”
ในฐานะองค์การนำก็คือ ในฐานะของคณะกรรมการบริหารกลางนั่นเอง ในเมื่อคณะกรรมการบริหารกลาง ไม่ได้เปิดประชุมนับแต่ปี พ.ศ. 2526 มาจนบัดนี้ ก็เท่ากับไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ถ้ามีการประชุม มีการปฏิบัติหน้าที่ ย่อมต้องมีคำชี้แนะ ชี้แจง มีมติซึ่งผ่านในที่ประชุม มีหนังสือเวียน มีคำแถลง มีแถลงการณ์ต่อเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง
แต่นี่ไม่มีเลย ไม่มีการสื่อสารอย่างเป็นทางการกับมวลสมาชิกทั่วทั้งพรรค สรุปก็คือ สูญเสียบทบาทขององค์การนำไปแล้วโดยสิ้นเชิง ดังที่ท่านอดีต เลขาธิการใหญ่ ธง แจ่มศรี ชี้ไว้ในถ้อยแถลงเนื่องในวันก่อตั้งพรรคครบรอบ 66 ปี
การไม่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะองค์การนำสูงสุดของพรรค พอสรุปเป็นรูปธรรมได้ ดังนี้
- ไม่เรียกประชุมสมัชชาเพื่อแก้ปัญหาที่ดำรงอยู่ภายในพรรค ยาวนานถึง 28 ปี ทำผิดระเบียบการพรรคที่กำหนดให้เรียกประชุมสมัชชา 5 ปีต่อครั้ง โดยไม่มีเหตุผล
- แม้แต่คณะกรรมการบริหารกลาง ก็ไม่มีการประชุม นับแต่การประชุมครั้งที่ 2 ในปี 2526 เป็นต้นมา
- อาศัยเพียงกรรมการการเมืองและกรรมการบริหารกลางบางคน ตั้งสิ่งที่เรียกว่าคณะทำงานซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของของสหาย รวมทั้งกรรมการบริหารกลาง ส่วนที่ไม่อยู่ในคณะทำงานด้วย
- การทำงานของคณะทำงาน แทนที่จะจับงานใจกลางเร่งด่วน คือแก้ปัญหาการนำที่ดำรงอยู่ สรุปบทเรียน แก้วิกฤติศรัทธา แก้ข้อเคลือบแคลงสัยสัยของมวลชน ที่มีต่อพรรค ต่อการนำในปัญหาต่าง ๆ เตรียมการเรียกประชุมสมัชชาผู้แทนทั่วประเทศ
แต่กลับไปจับงานเศรษฐกิจ สุดท้ายทำความเสียหายทางด้านการเงิน เมื่อทำความเสียหายแล้ว ก็ไม่มีการสรุป วิพากษ์วิจารณ์ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น เท่ากับไม่รับผิดชอบต่อพรรค ต่อมวลสมาชิกพรรค
- ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ เพราะระหว่างกรรมการการเมืองด้วยกันเอง มีปัญหาตั้งแง่ต่อกัน ไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ปัญหาที่มีอยู่ในองค์การนำเอง ยังแก้ไม่ได้ จะไปแก้ปัญหาของมวลชนได้อย่างไร
แค่นี้ ก็เพียงพอแล้ว มิใช่หรือ กับข้อสรุปที่ว่า องค์การนำชุดที่ 4 ได้สูญเสียบทบาทการนำไปแล้วโดยสิ้นเชิง
แต่ว่า ในเอกสารคำชี้แจงภายในของการประชุมที่เรียกว่า “คณะกรรมการบริหารกลาง” ลงวันที่ 1 มกราคม ซึ่งปรากฏอยู่ในเวบบอร์ดของฟ้าเดียวกันและไฟลามทุ่ง ยืนยันว่า คณะกรรมการบริหารกลางชุดที่ 4 ยังดำรงอยู่อย่างถูกต้องทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย
และว่า ตัวเลขาธิการใหญ่ ธง แจ่มศรี ได้ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ แต่ยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารกลางต่อไป นั้น ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า การประชุมครั้งนั้น ได้ดำเนินภายหลังที่กรรมการบริหารกลางส่วนหนึ่ง รวมทั้ง ตัวเลขาธิการใหญ่ ประกาศถอนตัวออกจากที่ประชุม เนื่องจากเห็นว่าการประชุมนี้
ไม่ใช่การประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการบริหารกลางชุดที่ 4 ซึ่งได้หมดสภาพไปแล้วในทางเป็นจริงตามนัยที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าใช่ ฝ่ายที่เห็นว่าไม่ใช่ จึงขอถอนตัว ไม่ร่วมรับรู้ข้อคิดความเห็นหรือมติใด ๆ ซึ่งเกิดจากที่ประชุมแห่งนี้อีกต่อไป
และที่ว่า ตัวเลขาธิการใหญ่ ธง แจ่มศรี ยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารกลางต่อไปนั้น ก็คงจะไม่ใช่ เพราะตัวเลขาธิการใหญ่ จะทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับตัวเองได้อย่างไร
สมาชิกพรรค ที่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ มีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร ย่อมเป็นสิทธิอัตวินิจฉัยของแต่ละท่าน ที่จะพิจารณาตัดสินกันเอาเองว่า กรรมการบริหารกลางชุดที่ 4 ได้สิ้นสภาพแล้วหรือยังคงดำรงอยู่
การนำข้อเท็จจริงภายในพรรค หรือจะให้ถูกคือ ภายในองค์การนำมาเปิดเผย ไม่มีเจตนาทำลายเครดิตของการนำ ทำลายความเชื่อมั่นศรัทธาของมวลชนที่มีต่อพรรค เพราะว่า เครดิตของการนำ ย่อมเกิดขึ้นเองจากความถูกต้องของแนวทางนโยบาย และความถูกต้องชอบธรรมของการนำ
ถ้าแนวทางถูกต้อง การนำถูกต้องชอบธรรม ความเชื่อมั่นศรัทธาของมวลชน ย่อมเกิดขึ้นเอง ไม่ว่าใครคิดจะทำลาย ย่อมไม่มีทางทำได้สำเร็จ แต่ในทางกลับกัน ถ้าการนำไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม เหินห่างมวลชน สูญเสียบทบาทที่เป็นกองหน้า ล้าหลังกว่ามวลชน ถ้าเป็นอย่างนี้ ต่อให้ยกย่องเชิดชูอย่างไร ก็ไม่สามารรถทำให้มวลชนเกิดความเชื่อมั่นศรัทธาขึ้นมาได้
Friday, January 22, 2010
Sunday, January 17, 2010
รมต.กลาโหม สั่งกองทัพดำเนินการทางกฎหมายต่อเว็บไซต์จาบจ้วงสถาบัน
รมว.กลาโหมสั่งทุกหน่วยงานใช้ มาตรการข่าว การเฝ้าติดตาม ตรวจสอบ หยุดยั้ง การกระทำที่จาบจ้วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในสื่ออินเตอร์เน็ตและในเวทีปราศรัยทางการเมือง
15 มกราคม 2552 พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าวต่อสื่อมวลชนว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอดีต ผบ.ทบ และอดีตคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ( คมช.) มีคำสั่งให้ทุกเหล่าทัพต้องให้ความสำคัญในด้านการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยให้ถือเป็นวาระแห่งปี และขอให้ผู้บังคับหน่วยทุกพื้นที่จะต้องใช้ศักยภาพ ของหน่วยทุกด้านทั้งมาตรการข่าว การเฝ้าติดตาม ตรวจสอบ หยุดยั้ง การกระทำที่จาบจ้วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยใช้ช่องทางด้านกฎหมายดำเนินการต่อผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ หากตรวจสอบพบการหมิ่นสถาบันในเวบไซต์ต่างๆ ให้ประสานกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อระงับยับยั้งหรือปิดเวบไซต์ดังกล่าวรวมทั้งดำเนินคดีกับผู้ผลิตในทันที
ในขณะเดียวกันจะให้มีการเฝ้าติดตามการปราศรัยต่อสาธารณะของบุคคลในวาระต่าง ๆ หากพบการกล่าวพาดพิง จาบจ้วง ล่วงเกิน หรือหมิ่นสถาบัน ให้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการต่อไป
นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยังอนุมัติให้หน่วยขึ้นตรงและเหล่าทัพดำเนิน โครงการเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 อาทิ จัดกิจกรรมเทิดทูนสถาบันแทรกในทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเยาวชน โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นน้ำตามแนวพระราชดำริ กิจกรรมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ 8,400 ไร่ จัดบรรยายพิเศษ “การให้ความรู้เกี่ยวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” โครงการ “84 พรรษา ประชาสมานฉันท์” เป็นต้น
Thursday, January 14, 2010
รากเหง้าการโกงกินที่กัดกร่อนชาติ
ประเทศไทยของเราเจริญช้า จนถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้าไปมากมายแล้ว ผมไม่ได้นิยมประเทศอื่นมากกว่าไทย แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่น่าวิตกและปฏิเสธไม่ได้ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในไทยมีจริง ทำไมบรรดา “ผู้หลักผู้ใหญ่” จึงปล่อยให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ ใครที่ทำให้ประเทศชาติของเรามีชะตากรรมเช่นนี้
ผมเคยเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังเวียดนาม และอินโดนีเซีย และยังเคยเดินทางและไปบรรยายด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศแถบนี้ทั้งเนปาล บรูไน พม่า ลาว มาเลเซีย และอินเดีย รวมทั้งยังสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบปูพรมได้มากที่สุดทั่วกรุงจาการ์ตา กรุงพนมเปญ กรุงมะนิลา และนครโฮชิมินห์ ได้พบภาพเปรียบเทียบมาให้เห็น จะได้ช่วยกันฉุกคิดและสำรวจตรวจสอบกันบ้าง เผื่ออนาคตของลูกหลานไทยเราจะไม่เผชิญภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด
เหลียวมองรอบบ้าน
ประเทศที่รวยกว่าไทยอย่างชัดเจนได้แก่ มาเลเซีย ที่ในสมัยก่อนด้อยกว่าไทย ขนาดตนกู อับดุล ราห์มัน อดีตนายกรัฐมนตรีและพี่น้องอีก 3 คนยังเคยมาเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ที่ผมเองก็เป็นนักเรียนเก่าเช่นกัน <1> แต่ ณ ปัจจุบันนี้รายได้ประชาชาติต่อหัวของมาเลเซียกลับสูงกว่าไทยถึงเกือบ 2 เท่า <2> และ สิงคโปร์ ก็รวยกว่าไทยอย่างชัดเจน โดยมีรายได้ต่อหัวถึง 6.14 เท่าของประเทศไทย <3> ทั้งที่ประเทศนี้ไม่มีทรัพยากรอะไรเลยนอกจากคน สำหรับบรูไน คงไม่ต้องกล่าวถึงเพราะเขามีน้ำมันมหาศาล
ในกรณีประเทศจีนนั้น แม้มีรายได้ต่อหัวเท่ากับ 71% ของไทยซึ่งก็เป็นเพราะเขามีประชากรนับพันล้านคน แต่จีนเจริญกว่าเรามาก ผมจำได้ว่าเมื่อปี 2529 ขณะไปเรียนที่เบลเยียม สถาปนิกจบใหม่ชาวจีนในกรุงปักกิ่งมีรายได้เดือนละ 400 บาท แต่ขณะนี้ที่เมืองลี่เจียงในมณฑลยูนานที่ห่างไกล ข้าราชการใหม่ผู้จบปริญญาตรีทั่วไป จะได้เงินเดือนประมาณ 11,000 บาท แถมสวัสดิการอีกมากมาย นี่ถือว่าแซงหน้าประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว
ที่ประเทศจีน เขาทำให้องค์กรของรัฐกะทัดรัด มีประสิทธิภาพสูง เป็นเสมือนบริษัทที่ดีที่สุดที่คนจีนมุ่งมั่นจะเข้าไปทำงานด้วย ต่างจากไทยที่อาชีพรับราชการเป็นอาชีพที่หัวกระทิไม่พึงปรารถนานัก แต่กลับเป็นที่พึงปรารถนาของผู้ที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะด้อยกว่า นี่อาจเป็นสาเหตุที่เราจึงมีข้าราชการบางส่วนที่เป็นภัยสังคม คือเข้าไปเป็นกาฝาก ทำงานเช้าชามเย็นชามและโกงชาติเมื่อมีโอกาส
น่าสงสัยจริง ๆ
ประเทศเหล่านี้ใช้เวลาประมาณ 25 ปี แซงหน้าประเทศไทยได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน ถ้าพระสยามเทวาธิราชมีจริง หรือประเทศไทยเดินมาถูกทางแล้ว ทำไมเราจึงถูกประเทศที่เล็กกว่า เช่น สิงคโปร์ ประเทศที่เคยเป็นประเทศราชหรืออดีตอาณานิคม เช่น มาเลเซีย หรือประเทศที่จนดักดาน เช่น จีนที่ปู่ย่าตายายของผมที่หนีความอดอยากมาเมื่อ 80 ปีก่อน แซงหน้าเราไปได้
ถ้าไทยเรามีคนดี หรือผู้มีคุณธรรมสุดเลิศเลอจริง เราจะมีบ่อนเถื่อน เจ้ามือหวยเถื่อน ยาบ้าเกลื่อนเมืองและเพิ่มขึ้นทุกวันเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร เราจะปล่อยให้มีการโกงกินกันมโหฬารทั้งในส่วนท้องถิ่น ส่วนภูมิภาคและส่วนกลางได้อย่างไร เราจะปล่อยให้ประเทศไทยมีขอทานเขมร แรงงานพม่า และแท็กซี่เถื่อนทำมาหากินตบหน้าประเทศชาติอยู่ได้อย่างไร
ถ้าเรามีตงฉินปกครองเมือง ไม่ใช่มีกังฉินชักใยอยู่เบื้องหลัง เราคงทำอย่างจีนที่ลงโทษผู้โกงกินอย่างเด็ดขาด เช่น จับไปยิงเป้าหรือติดคุกตลอดชีวิตเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ในเวียดนามนักฟุตบอลทีมชาติที่ไปล้มบอลในกีฬาซีเกมส์ที่กรุงมะนิลาเมื่อ พ.ศ.2548 ถูกจับติดคุก 5 ปี ส่วนพี่ไทยนั้น ยิ่งล้ม ยิ่งรวย นอกจากนี้กัปตันเครื่องบินเวียดนามที่ซื้อเครื่องเสียงหนีภาษีเข้าประเทศ ก็โดนไล่ออก แต่ของไทยเรานำเข้ามาจนเจ๊เล้งรวย! <4>
ระบบคนดีที่ควรถูกตรวจสอบ
เมื่อพูดถึงการโกง บางคนอาจมองไปที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งต้องพิสูจน์กันต่อไป ผมไม่ได้ให้ร้ายหรือแก้ต่างแทนใคร แต่กระบวนการโกงชาติในทุกวันนี้สร้างความวิบัติยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่าพันทวี เพราะเป็นระบบการโกงที่ฝังรากลึกในวงราชการ ยิ่งเรามุ่งพุ่งเป้าไปที่คน ๆ เดียว เราก็ยิ่งถูกหลอกให้ลืมมองเห็นคนโกงอื่น โดยเฉพาะพวกผู้ดีเปี่ยมคุณธรรมทั้งหลายที่มักพูดปาว ๆ เสียงดังฟังชัดว่ารักชาตินั้น พวกนี้เป็นผู้ดีจอมปลอม เพราะถ้าเป็นของจริง ทำไมจึงมีเรื่องโกงกินเกิดขึ้นมากมาย และเพิ่มขึ้นทุกทีแม้ในรัฐบาล “เทพประทาน” ชุดนี้ <5>
การที่พวกผู้ดีเปี่ยมคุณธรรมเอาหูไปนาตาไปไร่อยู่เสียที่ไหนจึงไม่เคยแตะต้องคนโกงชาติเลย เราจึงควรทบทวนกันระบบยศถาบรรดาศักดิ์ของไทย การเคยเป็นนายพล ปลัด อธิบดี หรือได้สายสะพายกี่เส้น ก็ไม่ได้รับประกันการเป็นคนดีหรือเป็นคนไม่โกง ในทางตรงกันข้ามยศศักดิ์เหล่านี้แหละที่ช่วยให้โกงได้แนบเนียนยิ่งขึ้น
ภาพลักษณ์ที่ดีก็เพียงช่วยให้การโกงกินดูไม่มูมมามเหมือนพม่าที่เป็นแบบบุฟเฟ่ คือแบ่งกันกินกันใช้อย่างโจ๋งครึ่มเท่านั้น บรรดาคนดีเหล่านี้อาจพึ่งโจรเพื่อค้ำจุนภาพพจน์และอำนาจเสมือนหนึ่งพระเจ้าสุทโธทนะที่ไม่กล้ากำจัดขุนนางจอมโกงกินที่ห้อมล้อมอยู่ เพราะพวกเขาคือผู้ค้ำจุนอำนาจ จนทำให้เจ้าชายสิทธัตถะรู้แจ้งเห็นจริงถึงระบบการเมืองที่ล้มเหลวและหันเข้าหาทางหลุดพ้น <6>
การโกงกินที่กัดกร่อน
การโกงกินสำคัญทำให้งบประมาณแผ่นดินปีละเกือบ 2 ล้านล้านบาท ตกหล่นไปมหาศาลในแต่ละปีจาก:
1. การมีระบบราชการที่ใหญ่โตเทอะทะและเลี้ยงคนไว้เป็นกาฝากแทนที่จะมารับใช้ประชาชนและพัฒนาชาติ
2. การที่เงินไปเข้ากระเป๋าข้าราชการประจำและนักการเมืองท้องถิ่นทั่วประเทศ
ระบบการโกงกินในบ้านเมืองของเราในยุคคุณธรรมนำการเมืองนี่แหละที่สร้างความวิบัติต่อชาติของเราอย่างสุดแนบเนียน ถ้าไม่มีการโกงกิน ทำงานเป็นกาฝากดูดเลือดและน้ำเลี้ยงจากภาษีอากรของประชาชน ป่านนี้เรามีทางด่วน รถไฟฟ้า ทางหลวง และสาธารณูปโภคทั้งในเมืองและชนบทกันมหาศาลผิดหูผิดตาเช่นที่เกิดขึ้นในจีน มาเลเซียและสิงคโปร์แล้ว
แก้กันอย่างไร
ทางแก้สำคัญก็คือการขุดรากถอนโคนรากเหง้าของระบบการโกงกิน ได้แก่:
1. เลิกระบบที่ผู้น้อยต้องตบเท้าอวยพรผู้ใหญ่ หากต้องการรับศีลรับพร ก็รับกันทางอื่นแทนที่จะต้องกลายเป็นประเพณีในการตบเท้าเข้าคารวะผู้ (ยิ่ง) ใหญ่ ซึ่งสาระแท้ ๆ ก็คือเพื่อไปแสวงหาการถูกโปรดปรานเพื่อการไต่เต้า ตราบที่ความก้าวหน้าจะมีได้ด้วยการ ‘เลีย’ ผู้ (ยิ่ง) ใหญ่ ตราบนั้นการโกงกินย่อมแก้ไขไม่ได้
2. โค่นล้มพวกเจ้ามือหวยเถื่อน บ่อนเถื่อน ด้วยการทำให้เป็นบ่อนถูกกฎหมาย ทำให้รายได้เข้ารัฐแทนที่จะเข้าไปสู่มือพวกนอกกฎหมาย และรณรงค์ให้การศึกษากับประชาชนเพื่อให้มีวิจารณญาณต่ออบายมุขต่าง ๆ
3. ปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง เพื่อตัดทางทำมาหากินของผู้มีอิทธิพลเถื่อนที่สมคบกับข้าราชการขี้ฉ้อทั้งหลาย
4. มีระบบการตรวจสอบข้าราชการทุจริตอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และมีบทลงโทษที่เฉียบขาด ทันท่วงที
5. ปฏิวัติระบบราชการให้ข้าราชการมีสำนึกรับใช้ประชาชน ถือประชาชนเป็นนาย
ประเด็นสำคัญคือจะมีมหาบุรุษ รัฐบุรุษ หรือนักการเมืองผู้สง่างามใดกล้าเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อประเทศชาติ หรืออยากเพียงมีชิวิตที่สวยงามและตายไปอย่างไร้ค่าคนแล้วคนเล่า
ประเทศไทยต้องเร่งปราบการโกงกิน ก่อนจะล่มจม ผมไม่อยากให้อาม่าของผมเสียใจที่ย้ายมาผิดที่ (แต่ผมก็ภูมิใจในความเป็นไทย และขอตายที่นี่)
ยุทธศาสตร์เพื่อประชาธิปไตยของ “คนเสื้อแดง”
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะอยู่ไม่ได้ (ต้องยุบสภา) ด้วยเหตุผล 2 ประการ
1) เกิดความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาล
2) ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน
การที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยพลังประชาชน และพลังอื่น ๆ รวมกันขับไล่เหมือนกับเหตุการณ์ ‘พฤษภาทมิฬ’ (พฤษภาคม 2535 รัฐบาลสุจินดา) คงจะเป็นไปไม่ได้.
เพราะเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ‘จปร. 5’ ขึ้นมามีอำนาจ แต่ไม่สามารถเข้ากับอำมาตย์ และกลุ่มทุนเก่าได้ บวกกับความไม่พอใจของประชาชน – จึงต้องถูกล้มไปในที่สุด.
แต่ปัจจุบันรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เป็นรัฐบาลที่ตั้งขึ้นในค่ายทหาร โดยมีอำมาตย์หนุนหลัง
มีสื่อกระแสหลักคอยช่วยค้ำจุนรัฐบาล.
จึงเป็นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ลงได้ !!!
เพราะถ้านายอภิสิทธิ์ล้มเหลวไม่สามารถบริหารบ้านเมืองต่อไปได้ (ตามที่อำมาตย์คาดหวังไว้) ก็เพียงแต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์) เท่านั้นที่จะถูกเปลี่ยน !!!
ยุทธศาสตร์ของ ‘คนเสื้อแดง’ คือ “รวมพลังมวลชนหลากหลาย + ต่อสู้สันติวิธี”
ต้องมีการต่อสู้ที่หลากหลาย – ต้องมีการรวมพลังมวลชนที่หลากหลาย “นอกจากเสื้อแดง” เช่น
- ชาวบ้านที่มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ (ราคาน้ำมัน), เกษตรกรที่มีปัญหาราคาผลผลิตเกษตร
- นักกฎหมาย ตุลาการที่ไม่เห็นด้วยกับระบบ 2 มาตรฐาน (ความอยุติธรรม) ในสังคม
- นักวิชาการต้องออกมาให้ความคิดเห็น ให้ทัศนะ ให้ความรู้ต่อสังคมอย่างรอบด้าน
- สื่อสารมวลชนที่เคารพในหน้าที่ของตนเอง ก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน
‘คนเสื้อแดง’ ต้องชูภาพสันติวิธี – เพราะฝ่ายรัฐบาลได้ตอกย้ำภาพเหตุการณ์เมษา (2552)
ว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ใช้ความรุนแรง และกำลังมีการฝึกอาวุธ – เตรียมนักรบชุดดำไว้ที่ชายแดน
รัฐบาลได้มีการเตรียมการไว้แล้วที่จะ ‘จัดการ’ กับ ‘คนเสื้อแดง’ ถ้ามีการใช้ความรุนแรง !!!
‘คนเสื้อแดง’ ต้องย้ำว่าจะไม่มีการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงที่จะมีการประกาศเรื่อง 7.6 หมื่นล้าน – ต้องประกาศห้ามการใช้กำลังเข้าแตกหัก - ถ้าถูกยึดเงิน 7.6 หมื่นล้าน.
ดังนั้น เพื่อจะได้ไม่ตกเป็น ‘เหยื่อ’ การปราบปรามด้วยกำลังของรัฐบาล ‘คนเสื้อแดง’ จะต้องรีบแก้ไขเรื่องการใช้ความรุนแรง (และในบริบทอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรง) ถ้าคนเสื้อแดงไม่ทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนก็จะต้องถูกตำหนิด้วยเช่นกัน.!!!
…
เรียบเรียงจากคำให้สัมภาษณ์ของท่านจาตุรนต์ ฉายแสง
‘สถานี People Canal’ – 13 ม.ค. 2553
กรณีเขายายเที่ยง : สะท้อนระบบยุติธรรมที่พิกลพิการ
"ถ้าใครศึกษาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องบ้างแล้วก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่าที่อัยการวินิจฉัยว่าการครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนของพล.อ.สุรยุทธ์เป็นการกระทำผิดโดยไม่เจตนานั้นฟังไม่ขึ้น เนื่องจากพล.อ.สุรยุทธ์ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองเข้าครอบครองที่ดินแปลงนี้โดยประสงค์ต่อผลอย่างชัดเจน ส่วนถ้าจะอ้างว่าไม่รู้ว่าผิดกฎหมายก็ไม่อาจอ้างได้ เพราะแม้แต่ตาสีตาสาก็ยังอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ นับประสาอะไรกับอดีตแม่ทัพภาคที่๒ซึ่งมีหน้าที่แก้ปัญหาการบุกรุกป่าสงวนโดยตรงจะอ้างเช่นนั้นได้..." จาตุรนต์ ฉายแสง
การที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ตัดสินใจยังไม่คืนที่ดินที่เขายายเที่ยงจนกว่ากรมป่าไม้จะพิจารณาเสร็จ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมาก ทั้งยังเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดกฎหมายโดยเจตนาอย่างชัดแจ้งยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย
“ขอเรียนว่าจากการที่โฆษกสำนักอัยการสูงสุดได้ชี้แจงและได้รับทราบว่า คณะกรรมการกรมป่าไม้จะดำเนินการพิจารณาตามระยะเวลาที่กำหนด ตอบได้เพียงว่า ผมพร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อกรมป่าไม้พิจารณาว่ามีคำชี้ขาดเป็นอย่างไร พร้อมปฏิบัติตามนั้น” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี (1)
ถ้าใครศึกษาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องบ้างแล้วก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่าที่อัยการวินิจฉัยว่าการครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนของพล.อ.สุรยุทธ์เป็นการกระทำผิดโดยไม่เจตนานั้นฟังไม่ขึ้นเนื่องจากพล.อ.สุรยุทธ์ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าตนเองเข้าครอบครองที่ดินแปลงนี้โดยประสงค์ต่อผลอย่างชัดเจน ส่วนถ้าจะอ้างว่าไม่รู้ว่าผิดกฎหมายก็ไม่อาจอ้างได้ เพราะแม้แต่ตาสีตาสาก็ยังอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ นับประสาอะไรกับอดีตแม่ทัพภาคที่๒ซึ่งมีหน้าที่แก้ปัญหาการบุกรุกป่าสงวนโดยตรงจะอ้างเช่นนั้นได้
เมื่ออัยการวินิจฉัยว่า“ไม่เจตนา” (2) ซึ่งฟังไม่ขึ้นนั้น หากพิจาณาตามคำวินิจฉัยของอัยการก็อาจตั้งคำถามว่าไม่เจตนาทำอะไร ที่อัยการไม่ได้พูดให้ชัดเจนคงเป็นเพราะจะได้ฟังดูดีหน่อย แต่คำตอบก็คือไม่เจตนาทำผิดกฎหมายหรือทำผิดกฎหมายโดยไม่เจตนานั่นเอง (3) ถ้าถามว่าเหตุใดจึงเห็นว่าไม่เจตนา อัยการก็คงตอบว่า เพราะขณะที่ซื้อนั้นพล.อ.สุรุยทธ์คงไม่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายซึ่งก็ฟังไม่ขึ้นดังกล่าวแล้ว
คำถามง่ายๆจึงมีต่อไปว่า แล้ววันนี้พล.อ.สุรยุทธ์ รู้แล้วหรือยังว่าการกระทำของตนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย คำตอบก็คือย่อมต้องรู้แน่แล้ว หรือควรจะต้องเรียกว่ายิ่งรู้มากขึ้นกว่าเดิมแล้วว่าผิดกฎหมาย ถามต่อไปอีกว่าเมื่อรู้แล้วว่าครอบครองที่ดินอยู่โดยผิดกฎหมายแต่กลับไม่ยอมคืนที่ดินนั้นให้แก่ทางราชการ ยังจะถือว่าเป็นการกระทำผิดโดยไม่เจตนาอยู่อีกหรือไม่ คำตอบย่อมเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากต้องถือว่าเป็นการกระทำผิดโดยเจตนาอย่างสมบูรณ์ จะอ้างว่าไม่รู้อีกไม่ได้แล้ว
“ที่ผ่านมา พล.อ.สุรยุทธ์ ทราบตั้งแต่ตอนซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาแล้วว่า อย่างไรก็ไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของ แต่ที่ซื้อมานั้น ก็เพื่อต้องการใช้สิทธิในการทำประโยชน์ในพื้นที่ … หากทางราชการมีความต้องการที่ดินแปลงนี้คืน พล.อ.สุรยุทธ์ ก็พร้อมที่จะคืนให้ทันที เพราะ พล.อ.สุรยุทธ์ มีความเคารพในกติกาของบ้านเมืองอยู่แล้ว” พล.อ.นินนาท เบี้ยวไข่มุข นายทหารคนสนิท พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ให้สัมภาษณ์ไทยรัฐออนไลน์ (4)
การที่กรมป่าไม้จะต้องใช้เวลาอีก ๖๐ วัน (5) (6) (7) จึงกลายเป็นเรื่องไร้เหตุผล กลายเป็นไม่มีใครรักษากฎหมายทั้งๆที่มีการกระทำผิดกฎหมายให้เห็นอยู่ทนโท่ การปล่อยให้เรื่องคาราคาซังอยู่อย่างพิลึกพิลั่นนี้ รังแต่จะทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่อการรักษากฎหมายบ้านเมือง ตอกย้ำความไม่ยุติธรรมหรือความเป็นสองมาตรฐานอย่างชัดเจนและยังทำให้เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงเกียรติภูมิของพล.อ.สุรยุทธ์เองที่นอกจากไม่ยอมรับผิดแล้วยังเย้ยกฎหมายอีกด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงขณะนี้เปรียบเหมือนมีคนขโมยของๆทางราชการไป สมมุติว่าเป็นรถของกรมป่าไม้ก็แล้วกันปรากฏว่ามีคนรับซื้อรถคันนั้นไว้ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าเป็นรถของกรมป่าไม้ ต่อมามีคนไปแจ้งความตำรวจๆสืบสวนแล้วก็ส่งเรื่องให้อัยการๆพิจารณาแล้วเห็นว่าผิดฐานรับซื้อของโจร แต่เห็นว่าไม่เจตนาจึงสั่งไม่ฟ้อง แต่เมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้องแล้ว ผู้รับซื้อของโจรรายนี้ก็ยังใช้รถคันนั้นต่อไปได้ ถ้าปล่อยให้ทำกันอย่างนี้ได้ ต่อไปก็คงยุ่งกันใหญ่
นอกจากเรื่องนี้ไม่ยุติลงอย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรมแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะบานปลายเสียหายมากยิ่งขึ้นไปอีก สืบเนื่องจากการอธิบายแก้ต่างโดยเพื่อนสนิทของพล.อ.สุรยุทธ์เองที่บอกว่าถ้าต้องเอาที่ดินคืนจากพล.อ.สุรยุทธ์ก็ต้องเอาที่ดินคืนจากประชาชนอีกหลายหมื่นครอบครัวด้วย (8) ผู้ที่ช่วยอธิบายนี้คงคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่คงลืมไปว่ากำลังอธิบายแทนอดีตนายกรัฐมนตรีและองคมนตรีซึ่งสังคมไทยมักได้รับการบอกเล่าว่าเป็นคนดี มีคุณธรรมที่ไม่พึงอ้างการกระทำผิดกฎหมายของคนธรรมดาสามัญทั้งหลายมาเป็นความชอบธรรมที่ตนจะทำผิดกฎหมายเช่นเดียวกัน ซ้ำยังไม่ต้องรับโทษใดๆและหากตนต้องรับโทษก็ต้องลงโทษคนที่ทำผิดกฎหมายทั้งหลายให้เท่าเทียมกันด้วย
ความคิดแบบอภิสิทธิ์ชนเช่นนี้ มีผลลุกลามต่อเนื่องไปยังผู้เกี่ยวข้องอย่างน้อยอีก ๒ กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรก ได้แก่ ผู้ใหญ่บางคนในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สั่งการให้หาทางเอาที่ดินคืนจากชาวบ้านหลายหมื่นครอบครัวที่บุกรุกที่ป่าสงวน กับอีกกลุ่ม คือ สื่อมวลชนบางรายที่ประกาศรณรงค์ให้เอาที่ดินที่ถูกบุกรุกคืนมา การเคลื่อนไหวของคน ๒ กลุ่มนี้ถ้าเป็นภาวะปกติก็พอเข้าใจได้ แต่เมื่อมาเกิดขึ้นเป็นเรื่องสืบเนื่องโดยตรงกับกรณีเขายายเที่ยงก็ทำให้คนรู้สึกได้ว่าเป็นการแก้แค้นแทนบุคลที่คนเหล่านี้ศรัทธายกย่องอยู่ ทำนองว่าบังอาจมาเอาที่ดินของท่านคืนกันได้อย่างไร ต้องสั่งสอนเสียบ้าง หากการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นจริงก็คงโกลาหลกันพอสมควร ที่สำคัญก็จะไม่แก้ปัญหาอะไร แต่กลับจะมีปัญหาตามมาอีกมาก ที่กล่าวอย่างนี้ไม่ใช่จะขัดขวางการแก้ปัญหาการบุกรุกป่าสงวน แต่เห็นว่าหากจะแก้จริงก็ต้องดูปัญหาในภาพรวมและแก้อย่างเป็นธรรมเพื่อรักษาป่าให้ได้จริงพร้อมทั้งคำนึงถึงความสงบสุขด้วย
กรณีที่ดินเขายายเที่ยงนี้เป็นตัวอย่างของความเป็น “สองมาตรฐาน” ของระบบยุติธรรมของประเทศไทยอีกเรื่องหนึ่ง แม้ว่าผู้ที่ทำผิดกฎหมายอาจยังไม่ถูกลงโทษโดยกระบวนการยุติธรรม แต่สังคมก็ได้พิพากษาลงโทษไปเรียบร้อยแล้ว หากมีการร้องเรียนให้พิจารณาความผิดและลงโทษผู้ที่รับผิดชอบคดีนี้ต่อไป แม้ว่าอาจจะไม่ได้ผลเนื่องจากคงหวังอะไรได้ไม่มากนักจากระบบปัจจุบัน แต่การเรียกร้องต่างๆที่จะมีขึ้นก็น่าจะเป็นประโยชน์อย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่าระบบปัจจุบันพิกลพิการอย่างไรและสังคมไทยควรทำอย่างไรกับระบบที่ไม่ยุติธรรมนี้กันต่อไป
0000
อ้างอิง
1. “เขายายเที่ยงยืด บิ๊กแอ้ดดื้อ เมินแสดงสปิริต” ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/pol/58344
2. “อัยการไม่สั่งฟ้อง ขาดเจตนา รุกเขายายเที่ยง” ไทยรัฐออนไลน์ http://www.thairath.co.th/content/pol/57582
3. "สุรยุทธ์" ไม่มีความผิดบุกรุกที่ป่าสงวนเขายายเที่ยง แต่โฆษกอัยการแจงไม่มีสิทธิ์ครอบครอง ชี้การเอาที่ดินคืนเป็นหน้าที่ป่าไม้
http://www.suthichaiyoon.com/WS01_A001_news.php?newsid=18683
4.ซื้อทำประโยชน์ เขายายเที่ยง รู้ไม่มีสิทธิครอง http://www.thairath.co.th/content/pol/58063
5. “กรมป่าไม้ซื้อเวลา สอบ 60 วัน รุกเขายายเที่ยง” http://www.thairath.co.th/content/edu/58138
6. “ป่าไม้รอสำนวนอัยการ มั่นใจ 7 วันชี้ขาดเขายายเที่ยง” http://www.thairath.co.th/content/edu/58379
7. “ป่าไม้นัดเร่งถก สางปม'ยายเที่ยง' พฤหัสฯ14 ม.ค.” http://www.thairath.co.th/content/edu/58618
8. 'เพื่อนซี้แอ้ด'ออกโรงขู่ เอาที่คืนต้อง'ทำทุกคน' ไม่ใช่แค่'เขายายเที่ยง' แต่ต้องทำ'ทั้งประเทศ'http://thaiinsider.info/2009news/the-news/politics/5488-2010-01-09-03-11-31
ใบตองแห้งออนไลน์ : PS สุรยุทธ์
และแล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ก็ออกมาพูด พูดเหมือนไม่ได้พูด พูดอย่างที่ผมต้องอุทานว่า “ฉิบหอยแล้ว”
ต้องเข้าใจก่อนว่าท่านมาเป็นประธานแถลงข่าวมหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติและชีวิต ไม่ได้บอกว่ามาแถลงข่าวเรื่องเขายายเที่ยง แต่อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น วันไหนไม่แถลงมาแถลงวันนี้ ทอสงทอสอก็โทรบอกนักข่าวมากันพรึ่บ... ด้วยความหวังว่าท่านจะยืดอกประกาศอย่างชายชาติตะหาน ว่าที่ดินเท่าแมวดิ้นตายนี้ท่านไม่ต้องการครอบครอง ขอแสดงเจตนาคืนให้ตั้งแต่วันนี้ กรมป่าไม้พร้อมเมื่อไหร่ก็มารับคืนไปได้
แต่...ที่ไหนได้ ท่านกลับบอกเหมือนเดิมว่าพร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมาย กรมป่าไม้พิจารณาชี้ขาดอย่างไร ก็พร้อมปฏิบัติตามนั้น
“ฉิบหอยแล้ว” ท่านพูดอย่างนี้เรื่องมันก็โกโซบิ๊ก เพราะตีความได้ว่าถ้ากรมป่าไม้เขาจะเอาคืน ท่านก็คืน ถ้าเขาไม่เอาคืน ท่านก็...ฮุบ (ภาษาที่สื่อชอบใช้กับนักการเมือง)
โอ๊ยๆๆๆๆๆๆ พล.อ.สุรยุทธ์ที่ผมชื่นชม
แต่ไม่เป็นไร ผมมันคนดื้อ ถึงยังไงผมก็ยังมองท่านในแง่ดี ผมเชื่อว่าใจจริงน่ะท่านไม่ห่วงหวงหรอก ที่ดินแค่นี้ สมบัตินอกกาย ชีวิตท่านต่อสู้สูญเสียและเสียสละอะไรต่ออะไรมามากมายแล้ว
เพียงแต่ตอนนี้ ท่านน่าจะมองว่า ท่านกำลังถูกเล่นงานด้วย “เกมการเมือง” ที่กะเอาท่านเป็นลูกขาวตีกระทบชิ่งให้แตกกราวไปทั้งโต๊ะ ท่านอาจจะมีที่ปรึกษา คนสนิท ใครต่อใคร กินข้าวด้วยกันเต็มโต๊ะบ้านปีย์ มาลากุล (ฮา) แล้วแนะนำว่าท่านถอยไม่ได้ ถอยก็จะถูกรุก คืนเขาก็จะหาว่าผิด ยอมรับผิดก็จะถูกไล่ ถูกทวงถามสปิริต ฯลฯ ฉะนั้นท่านต้องปากแข็งเข้าไว้
ถามว่าเรื่องเขายายเที่ยงเป็นเกมการเมืองไหม เป็นสิครับ เสื้อแดงพรืดซะขนาดนั้น เขาคงไปเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติและชีวิตหรอกนะ แต่ประเด็นคือเป็นแล้วท่านจะรับมืออย่างไร ไม่ใช่อ้างแต่ว่าท่านถูกเล่นเพราะการเมือง
ซึ่งเท่าที่เห็นตอนนี้ ท่านก็เพลี่ยงพล้ำไป 2 ยกแล้ว ยกแรกตั้งแต่ตอนที่อัยการออกมาแถลงสั่งไม่ฟ้อง คือไม่ว่าประเด็นกฎหมายจะถูกผิดอย่างไร ในทางการเมือง ในความรู้สึกของประชาชน-ภาษาจิ๊กโก๋แถวบ้านเขาเรียกว่า “อุ้ม” ครับ บางคนที่คิดลึกคิดร้ายหน่อยยังสงสัยว่านี่อัยการ “วางยา” ท่านอ๊ะป่าว เพราะพูดไปสองไพเบี้ย มีแต่เสียกับเสีย อยู่เฉยๆ ยังเสียน้อยกว่า
สถานการณ์ที่โดนเล่นงานด้วย “เกมการเมือง” แล้วไม่ยอมถอย ไม่ยอมแสดง “สปิริต” นี่ ประวัติศาสตร์ก็เห็นมานักต่อนักแล้วนะครับ ตั้งแต่ สปก.4-01 ที่กว่าเทพเทือกจะลาออก ชวนก็ไหม้ มาจนถึงทักษิณ ขายหุ้นไม่เสียภาษี อ้าว มันก็จริง กฎหมายเขาบอกว่าไม่ต้องเสียภาษีแล้วจะให้ไปเสียกับใครที่ไหน แต่คุณเป็นนักการเมือง เป็นผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดทางบริหาร เมื่อสังคมเห็นว่าคุณกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมแม้ไม่ผิดกฎหมาย คุณต้องแสดงสปิริตไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
กี่รายกี่ราย พอไม่ “ถอย” แล้วเป็นอย่างไร ก็เห็นๆ อยู่ ท่านยังจะอ้างอยู่อีกหรือว่า “พร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมาย”
ก็พอจะเข้าใจหรอกนะครับ เวลาที่ท่านมองจากมุมของท่านหรือผู้ใกล้ชิด ท่านก็จะมองว่าท่านไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ดินมันถูกบุกรุกอยู่แล้ว ป่ารกร้างแล้ว อย่างที่ผมได้ยินมาคือมีคนเอามาใช้หนี้ ถ้าไม่เอาก็สูญ (ช่วยอธิบายนะเนี่ย) พล.อ.นินนาท เบี้ยวไข่มุข นายทหารคนสนิทของท่าน ก็อ้างว่าท่านทราบดีว่าไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของ (ทราบมาเป็นสิบปี และจะทราบต่อไปอีกนานไหม) ท่านได้มาก็ไม่ได้เอาไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ แต่ไปปลูกต้นไม้ไว้จำนวนมาก จนมีสภาพสวยงามเช่นปัจจุบัน เพื่อเอาไว้ใช้พักผ่อนเป็นครั้งคราวเท่านั้น (ไม่บอกด้วยล่ะว่าท่านปรับที่แผ้วถางพัฒนาไปเป็นล้าน) แถมชาวบ้านที่นั่นยังได้อานิสงส์ที่ท่านไปอยู่ใกล้ๆ ได้รับความช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยแล้งภัยธรรมชาติอีกต่างหาก (ฟังแล้วน่าจะจัดสรรให้ท่านนายพลเศรษฐีผู้ดีชาวกรุงไปครอบครองที่ ภบท.ทุกหมู่บ้านตำบล ชาวบ้านจะได้มีที่พึ่ง มีเทวดามาโปรด)
แต่ท่านลองมองย้อนดูหัวอกไอ้เทือกบ้างไหม เฮ้ย แจกอยู่ดีๆ พ่อผัวยัยอัญชลีได้ สปก. 4-01 ผมว่าไอ้เทือกก็ต๊กกะใจเหมิอนทุกคนนั่นแหละ เพราะเจ้าหน้าที่ สปก.ทำอย่างนี้ทุกแห่งในประเทศไทย ไปดูได้ ใครครอบครองอยู่ก็แจก สปก.คนนั้น ไม่สำคัญว่าเป็นเกษตรกรหรือนายหัว นั่นคือความผิดพลาดของนโยบาย แต่มาเจอรูปธรรมที่มัน drama ตอนไอ้เทือกแจกอยู่พอดี ไอ้เทือกคิดว่าตัวเองไม่ผิด ไม่ออก ก็ฉิบหอยสิครับ ไม่ได้พังคนเดียวแต่พังทั้งรัฐบาล
ถ้าเทียบทักษิณยิ่งหนักกว่า ทักษิณขายหุ้นผิดตรงไหน ทักษิณก็บอกว่า “พร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมาย” ถ้ากรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีก็จะจ่าย แต่กางประมวลรัษฎากรตรงไหนก็ไม่มี (คตส.มาตะแบงเอาหลังรัฐประหาร แต่ก็ยังอ้างได้แค่หุ้นที่โอนมาจากเมืองนอก)
ทักษิณไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดที่ความไม่เหมาะสมไงครับ เพราะผู้ดำรงตำแหน่งบริหารประเทศ ต้องมีจริยธรรมสูงกว่าพ่อค้า ต้องเสียสละเพื่อการทำงานให้ส่วนรวม แต่อีกมือหนึ่งคุณยังแสวงกำไร หวังผลกำไรสูงสุด มองอย่างเดียวว่าต้องขายหุ้นตอนที่มันพีค แทนที่จะขายหุ้นไปตั้งแต่ปีแรก คุณกลับขายให้ลูก บอกว่าของลูก ลูกบรรลุนิติภาวะแล้ว ทางกฎหมายใช่เลย แต่ทางความเป็นจริงใครก็รู้ว่าของคุณ คุณยังดูแลอยู่
ทักษิณก็ยังคิดแบบพ่อค้าอยู่นะครับ คือคิดว่าตัวเองไม่ผิด ถ้า พล.อ.สุรยุทธ์คิดแบบคนธรรมดา แบบนายหมูนายแมวเสี่ยแม้ว ท่านก็คิดได้ว่าตัวเองไม่ผิด โหย ใครๆก็ครอบครองที่ ภบท.เยอะแยะไป เหมือนประเทศนี้ใครๆ ก็ฝ่าไฟแดงโดยบอกว่าเหลืองชัดๆ ท่านครอบครองแล้วยังทำความดีอีกต่างหาก ปลูกป่าให้สวยงามร่มรื่น
ที่ว่าเทียบกับทักษิณแล้วหนักกว่า เพราะผมมองว่าทักษิณไม่ได้ “ฝ่าฝืนกฎหมาย” (แต่ชอบไต่เส้นกฎหมาย) อย่างที่คุณสมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ปปช. อ้างในบทความเรื่องคดี 5-4 มาตรา 100
เพราะมาตรา 100 ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับ หน่วยงานของรัฐ ที่ตัวเองมีอำนาจกำกับดูแล การตีความสัญญานี้จะตีความกว้างตะพึดตะพือไม่ได้ เพราะสัญญาที่บุคคลทำกับรัฐมีมากมาย ตั้งแต่ใช้น้ำใช้ไฟใช้โทรศัพท์ เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ อะไรต่อมิอะไร ที่เป็นเรื่องปกติ สัญญาที่เข้าความผิดมาตรา 100 อย่างน้อยต้องเป็นสัญญาที่เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจเข้าไปใช้ดุลพินิจ ซึ่งการประมูลขายทอดตลาดมันไม่ใช่เรื่องของการใช้ดุลพินิจ มันมีหลักเกณฑ์ชัดเจนรวบรัดว่าใครเสนอราคาสูงกว่าก็ได้ไป ไม่เหมือนการประมูลก่อสร้างที่ต้องมีเปิดซองเทคนิคมีการกำหนดสเปก ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้ตุลาการเห็นแย้งกัน 5-4
แต่ทักษิณกับพจมานทำผิดจริยธรรมเพราะมันไม่เหมาะสม ตัวเป็นนายกฯ ไม่สมควรไปประมูลซื้อที่ดินของรัฐแข่งกับคนอื่น ถึงจะเห็นเป็นโอกาสได้ที่ดินสวย ราคาไม่แพง ก็ต้องอดทนอดกลั้น เพราะผัวเป็นนายกฯ นี่คือจริยธรรม คุณต้องเสียสละ ต้องยอมสละไม่ทำอะไรที่เคยทำได้เหมือนตอนยังไม่เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง
ความผิดทางจริยธรรมแบบนี้เป็นเรื่องโลกะวัชชะ คือทำให้เสื่อม เปรียบเหมือนเมียอธิบดีหรือรองอธิบดีกรมบังคับคดี ไปประมูลซื้อที่ดินขายทอดตลาด ยกมือแข่งกับคนอื่นแฟร์ๆ ผัวไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องใช้ดุลพินิจ ฉะนั้นไม่ควรติดคุก แต่ก็จะถูกซุบซิบนินทา ปากหอยปากปู ทำนองว่าคนอื่นเขาเกรงใจหรอกน่า เขายอมให้ พูดกันไปปากต่อปากผัวก็เสื่อม
เมื่อเทียบท่านกับทักษิณ ทักษิณไม่ได้เจตนา “ฝ่าฝืนกฎหมาย” เพราะทักษิณเชื่อว่าทำได้ เชื่อว่าตัวเองไม่ได้มีอำนาจกำกับดูแลกองทุนฟื้นฟู (ก็คนตัดสินยังเสียงแตก 5-4 ว่าทำได้ทำไม่ได้) แต่ในกรณีของท่าน ท่านรู้ตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือ ว่าเป็นที่ดินซึ่งครอบครองไม่ได้ กฎหมายไม่ให้ครอบครอง ถึงจะไม่ใช่ความผิดร้ายแรง แต่ก็ “ฝ่าฝืน” ไปแล้ว
ถ้าพูดถึงจริยธรรมยิ่งแล้วใหญ่ เพราะตัวท่านเองก็พูดอยู่บ่อยๆ ว่าห่วงใยปัญหาที่ทำกินของราษฎรผู้ยากไร้ ท่านอยู่ในฐานะสูงส่งที่ต้องเป็นแบบอย่าง จะกล่าวเพียงว่า “พร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมาย” ได้อย่างไร
ท่านจึงจำเป็นจะต้องแสดงสปิริต ซึ่งหมายถึงการชิง “เสียสละ” มากกว่าจะรอคอยให้กรมป่าไม้พิจารณาชี้ขาดอย่างไรแล้วค่อยทำตาม
วกกลับมาที่เรื่อง “การเมือง” ล้วนๆ สถานการณ์แบบนี้ ถ้าผงไม่เข้าตาตัวเองก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ท่านน่าจะรู้แล้วว่า คนที่เป็น “จำเลยสังคม” น่ะ ในมุมมองของเขาและคนใกล้ชิด ล้วนเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด หรือผิดก็ผิดนิดเดียว น้อยกว่าที่โดนกล่าวหาโจมตี แล้วพวกเขาก็จะพยายามแก้ต่าง ตอบโต้ ไม่ยอมถอย เรียกร้องให้เข้าใจมุมมองของเขาบ้าง ให้ความเป็นธรรมเขาบ้าง ฯลฯ
แต่-บทเรียนของสังคมเส็งเคร็งนี้นะครับ อะไรที่มันจุดติดแล้ว เป็นกระแสแล้ว ยิ่งโต้แย้งยิ่งย่ำแย่ กลายเป็นผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ประชาธิปัตย์ยังรู้จักเอาบทเรียนนี้มาใช้ กอร์ปศักดิ์ วิทยา ชิงลาออก แล้วกระแสก็ซาไป ไม่มีใครสนใจทุจริตพอเพียงอีก ทั้งที่หลักฐานเหวอะหวะ
ผมก็ยังไม่แน่ใจว่านี่มันจุดติดหรือยัง แต่อย่างที่บอก 2 ยกแล้ว มีแต่เข้าเนื้อ ท่านคงจะต้องตั้งสติให้มั่น เข้าวิปัสนากรรมฐาน รวบรวมสมาธิรับมือ เก๊กหน้าให้เหมือนพระธุดงค์เข้าไว้ (ฮา) อย่าใช้อารมณ์และความหวาดระแวงเหมือนที่ใช้กับน้องวาสนา เพราะท่านจะน่วมเอง ท่านต้องรู้จักจังหวะถอย แสดงสปิริตเมื่อถึงสเตป เพราะเรื่องนี้มีหลายสเตป ทั้งการครอบครองที่ดิน ทั้งความเหมาะสมต่อตำแหน่งหน้าที่ ถ้าผิดสเตปก็ขัดขาตัวเอง หงายท้องสิครับ
อย่างที่บอกว่าถ้าท่านประกาศคืนที่ดินเสียตั้งแต่ตอนพ้นตำแหน่งนายกฯ ก่อนได้รับโปรดเกล้าฯ กลับมาเป็นองคมนตรี เรื่องที่แล้วมาก็จบ หรือถ้าท่านประกาศคืนเสียตั้งแต่วันนี้ สเตปที่สองเรื่องจริยธรรม ก็จะเบาบางลดน้อยลง นี่อาจมองสวนทางกัน เพราะบางคนกลับกลัวว่ายิ่งถอยยิ่งถูกรุก แต่ผมมองว่าถ้าไม่แสดงสปิริตให้ชัดเจนระดับหนึ่ง ก็เอาไม่อยู่
ว่างๆ ท่านน่าจะลองเรียกเทพเทือกไปคุย ถ่ายทอดประสบการณ์สมัย สปก.4-01 ว่าโดนซะอ่วมอย่างไร ทำไมจึงคิดว่าตัวเองไม่ผิด หรือถ้าจะเอาสดๆ ร้อนๆ หน่อย ก็น่าจะโทรไปคุยกับทักษิณ (ฮา) ว่าตอนนั้นที่เถียงไม่ตกฟากน่ะ ได้บทเรียนอย่างไร
Monday, January 11, 2010
สิ้นห้าสอง-มองห้าสาม "ความเก่าบางอย่างไม่ใช่ความดีที่สะสมมานาน. .ปิศาจในตัวเขามีมานานก่อนที่ผมจะเกิด.ปี 2553 จะไม่ได้ต่อกับ 2552 แต่ต่อโดยตรงกับการอภิวัฒน์ 2475"
ปีใหม่ปีนี้มีความแปลกประหลาด เพราะเราล้วนอยู่ในโครงสร้างการเมืองแบบเก่าๆ และความทุกข์ทรมานแบบเก่าๆ จนหลายคนรู้สึกว่าเมืองไทยยังไม่ได้เปลี่ยนศักราชเลย ตั้งแต่วันอังคารที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ อันเป็นวันโค่นล้มทำลายรัฐบาลของประชาชนเป็นต้นมา
สอนกันมาเนิ่นนานว่า “สิ่งใหม่ในโลกมีเพียงอย่างเดียว คือประวัติศาสตร์ที่เรายังอ่านไม่พบ” จริงเสียยิ่งกว่าจริง
เพราะบัดนี้คนส่วนใหญ่ของประเทศไทยรู้แล้วว่า “ความเก่า” บางอย่างก็ไม่ใช่ “ความดีที่สั่งสมมาเนิ่นนาน” อย่างที่เคยเข้าใจกัน แต่เป็น “ความเก่าแก่” ตามคติที่ว่าสมบัติข้าใครอย่าแตะ และหนาหนักพอที่เหนี่ยวรั้งบ้านเมืองไว้ไม่ให้ก้าวหน้า เพราะวิตกจริตที่ว่าเขาจะคิดโค่นล้มทำลายตน
เนื่องจากเราหลับตาและปล่อยให้เขากรอกหูมานานเกินไป คำโฆษณาชวนเชื่อจึงไหลผ่านหูถึงสมองและจิตโดยไม่ยาก ชีวิตของพวกเราจึงอยู่ในวังวนของข้อมูลเก่าอันเป็นข้อมูลชุดเดิมที่ย้อมสีทั้งประเทศครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างได้ผล
เราจึงไม่พบความจริงจากประวัติศาสตร์ไทย เพราะประวัติศาสตร์แท้จริงของไทยอยู่ใต้ดิน มิได้ผงาดเหนือดินเหมือนคำลวงโลกต่างๆ ที่นักวิชาการผู้อ่อนแอช่วยยกร่างขึ้นมาครอบงำสังคมไทยอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
ความจริงโอกาสที่จะเปลี่ยนศักราชใหม่ก็มี แต่เขาก็ปล่อยผ่านไป โอกาสเปรียบไปก็เหมือนแก้วมณีอันมีค่า เมื่อไม่ฉวยจับไว้ให้มั่นมือก็พลัดตกแตกไปต่อหน้า เพราะปัญญาบารมีที่เคยมีมาก บัดนี้ดูจะพ่ายแพ้ต่อแรงมหาศาลของโมหะจริตและอวิชชาที่ผุดพลุ่งขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้
ใครบางคนกระซิบผมว่ามาจากภายในนั่นเอง ปิศาจสันนิวาสในตัวเขามีมานานก่อนที่ผมจะเกิด ผมจึงไม่รู้ความใดๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และก็ลุ่มหลงอย่างเดียวกับคนทั้งหลายในระยะที่การชวนเชื่อปรากฏผลสัมฤทธิ์ จนกระทั่งรู้ความขึ้นและเริ่มตั้งคำถามที่ได้รับคำตอบที่ยากลำบากและเจ็บปวด
และมาตื่นเต็มที่เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เพราะถูกกระชากอย่างรุนแรงจนหลุดจากภวังค์ อย่างที่ฝรั่งใช้สำนวนว่า rude awakening
ชนชั้นนำในเมืองไทยในวาระจิตที่เรียกว่า “ปีใหม่หัวใจเก่า” จึงทำให้บ้านเมืองเป็นอัมพาต เดินต่อไม่ได้ ต้องร่วมฉลองปีเก่าและความเก่ากันอย่างจำใจในปีใหม่ที่มาถึง
ผมเชื่อว่าการเมืองภาคประชาชนกำลังถูกท้าทายอย่างรุนแรง อาจถึงขั้นสบประมาทว่ามีความสามารถที่จะต่อสู้ให้ได้มาซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเองหรือไม่ในปีนี้
ทบทวนดูสิครับว่าเราผ่านบททดสอบอะไรกันมาบ้างจนถึงปี พ.ศ.๒๕๕๒
- รัฐบาลที่มาจากความนิยมอย่างสูงจนได้รับเลือกตั้งซ้ำสองและด้วยพลังศรัทธาที่เพิ่มขึ้น
- การรัฐประหารที่ประสบความสำเร็จทั้งที่นายกรัฐมนตรีผู้ถูกโค่นเป็นผู้เลือกสรรและวางตัวผู้นำทุกเหล่าทัพ รวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้วยตนเอง
- ขบวนการต่อต้านเผด็จการที่เริ่มต้นอย่างสะเปะสะปะ เพราะส่วนกลางสับสนระหว่างการยกธงขาวยอมแพ้และการรณรงค์ต่อสู้ จนพลังบางส่วนเปลี่ยนเป็นเครื่องมือของนักการเมืองสายอำมาตย์ที่เข้ามาลดระดับความเข้มลง บางส่วนกลายเป็นกระแสหลักที่ไม่ยอมทำสงครามใหญ่และถูกทำให้เป็นมวลชนเลือกตั้ง และบางส่วนหายสาบสูญไปเพราะหมดกำลังทุน หมดกำลังใจ หรือไม่ก็ต้องคดีความต่างๆ จนโงหัวไม่ขึ้น ทั้งหมดเพราะขาดศูนย์บัญชาการ/ประสานงานภาคประชาชน พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยต่างก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในการทำหน้าที่นั้น
- ความศรัทธาในลัทธิรัฐธรรมนูญ หรือความเชื่อว่ารัฐธรรมนูญจะบังคับพฤติกรรมของเผด็จการมิให้เป็นเผด็จการได้เริ่มลดลง เช่นเดียวกับการเลือกตั้งที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของปวงชนเท่ากับเมื่อ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ อันเป็นที่มาของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
- การสูญเสียคนชนิด เนวิน ชิดชอบ ทำให้ระบบนายหน้าทางการเมืองลดความสำคัญลง บังคับให้ขบวนการประชาธิปไตยสร้างความสัมพันธ์และสื่อสารโดยตรงกับกลุ่มพลังประชาชนมากขึ้น ภาคประชาชนก็แข็งแรงและมีความมั่นใจขึ้น
- รัฐบาลที่ถูกชักใยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่สามารถทำหน้าที่บริหารประเทศได้ เพราะถูกกำหนดทุกย่างก้าวจากหน่วยเหนือ และขาดความสามารถในการทำงานเพราะหย่อนทั้งประสบการณ์และวิชาการ จนกลายเป็นหลักฐานที่ครบวงจรของระบอบอำมาตยาธิปไตยที่เชื่อมโยงผลประโยชน์กับชนชั้นนำของไทย ประชาชนรากหญ้าถูกกันให้อยู่รอบนอก ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ แถมต้องแบกภาระเพิ่มเติม เช่น อัตราภาษีที่เพิ่มสูง เป็นต้น
- แนวร่วมของฝ่ายประชาธิปไตยในต่างประเทศแสดงตัวชัดเจนขึ้น ไม่ว่ากรณีกัมพูชา ลาว และแม้กระทั่งเมียนมาร์ เพราะผลประโยชน์ของอำมาตย์ไทยสวนทางกับโลกาภิวัตน์และภูมิภาคนิยมมากขึ้นทุกที เครือข่ายประชาชนไทยในต่างประเทศก็ขยายตัวกว้างขวางและมีอิทธิพลขึ้น เพราะมีใจและมีทุน
ฯลฯ
ณ จุดเชื่อมต่อระหว่างปลายปี ๒๕๕๒ กับต้นปี ๒๕๕๓ ฝ่ายอำมาตย์คงจะเร่งรัดให้เรื่องทั้งหมดจบลง การไล่ล่าตัวบุคคลฝ่ายประชาธิปไตยด้วยความรุนแรงและผิดกฎหมาย การบีบคั้นด้วยคดีความทุกคดีไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ การปราบปรามขบวนการภาคประชาชน แม้กระทั่งการก่อรัฐประหารอีกรอบหนึ่ง ย่อมอยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้
ฝ่ายประชาธิปไตยเรียนรู้บทเรียนจากอดีตกว่าสามปี และมีความพร้อมขึ้น แต่ต้องไม่ประมาทไม่ว่าในกรณีใดๆ
ผมเชื่อว่าพุทธศักราช ๒๕๕๓ จะไม่ได้ต่อกับพุทธศักราช ๒๕๕๒
แต่ต่อโดยตรงกับการอภิวัฒน์ พ.ศ. ๒๔๗๕ เลยทีเดียว